แฟ้มคดีกรมปราบปีศาจ
步天纲 (Bu Tian Gang)
梦溪石 เมิ่งซีสือ เขียน
ลลิตา ธ. แปล
นิยาย 6 เล่มจบ วางจำหน่ายแยกเล่ม
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 89
จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาหันศีรษะไป แต่ด้วยขยับไม่ได้ เลยต้องตระหนักถึงความจริงที่ว่าตนไม่มีร่างกายแล้วอีกครั้งอย่างไม่มีทางเลือก
นัยน์ตาสีแดงก่ำของยามาโมโตะ คิโยชิ กลอกไปมา ก่อนหยุดนิ่งที่หงรุ่ยและต่งเฉี่ยวหลาน
“พวกนั้นเป็นร่างที่หามาให้ฉันใช้? ผู้หญิงอ้วนเกินไป ผู้ชายยังพอแก้ขัดได้ เอาผู้ชายมาให้ฉันใช้ก็แล้วกัน!”
หงรุ่ยตัวสั่นเทิ้ม เขาพยายามสะกดกลั้นความตื่นตระหนก รักษาความนิ่งเงียบ หมอบตัวต่ำ ไม่กล้าขยับเขยื้อน
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนของสนพูดขึ้น “วิญญาณนายเกือบแตกสลาย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย มีสังขารไปนายก็เป็นเหมือนคนปกติไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้พวกเขา”
หงรุ่ยเผลอถอนหายใจอย่างโล่งอก ร่างกายแทบอ่อนยวบเพราะหมดแรง
เขาไม่สนใจคำว่า ‘ไม่มีประโยชน์’ ซึ่งสำหรับเขาแล้วเท่ากับเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือการรอดพ้นหายนะไปให้ได้
ไม่มีใครรู้จักวิธีการอันร้ายกาจของสนดีไปกว่าเขา และเขาก็ไม่ต้องการให้วิธีการเหล่านั้นถูกนำมาใช้กับตัวเองในวันใดวันหนึ่งด้วย
ที่เขาได้รู้จักกับนักไสยศาสตร์ท่านนี้เป็นเรื่องบังเอิญล้วน ๆ ตอนนั้นเขากับหลินจี้ คู่แข่งทางธุรกิจแย่งชิงที่ดินผืนหนึ่งทางภาคใต้กัน พูดถึงเรื่องเส้นสายกับกำลังทรัพย์ ตระกูลหลินแห่งหลิ่งหนานเหนือกว่าเขาขุมหนึ่ง หงรุ่ยเตรียมการเพื่อที่ดินผืนนั้นมาช้านาน ถ้าต้องประสานมือคารวะยกมันให้ตระกูลหลินไปฟรี ๆ เขาย่อมไม่ยินยอมอยู่แล้ว ตอนนั้นต่งเฉี่ยวหลานแนะนำให้เขารู้จักอาจารย์สนพอดี อีกฝ่ายอ้างว่าตนทำให้ตระกูลหลินล่าถอยออกไปเองผ่านการทำพิธีได้ หงรุ่ยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ผ่านไปไม่นาน เขาก็ได้ยินว่าหลินจี้ป่วยหนัก ตระกูลหลินดิ้นรนสุดกำลังเพื่อหาวิธีรักษาหลินจี้ไปทั่ว จึงล้มเลิกการแย่งชิงที่ดินไปเองโดยปริยาย หงรุ่ยได้ที่ดินมาอย่างราบรื่น กิจการเจริญก้าวหน้าไปอีกขั้น
ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา เขาก็สยบแทบเท้าสน ให้ความเคารพดุจเทพเจ้า หลังจากนั้นมา ไม่ว่าเขาจะขออะไร สนก็ดำเนินการให้ทั้งหมด รับประกันว่าความปรารถนาของเขาจะเป็นจริงทุกเรื่อง
เคยมีเพื่อนซึ่งเป็นคนไทยในท้องที่บอกหงรุ่ยว่าวิชาไสยศาสตร์ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แพร่หลายเป็นอย่างมาก สำนักไสยศาสตร์ เช่นในพม่า ไทย มาเลเซีย เวียดนาม และอื่น ๆ มีอยู่นับไม่ถ้วน และสนก็เป็นผู้มีฝีมืออยู่ในอันดับต้น ๆ ของบรรดานักไสยศาสตร์สายดำ วิธีการของเขาโหดเหี้ยม อาคมเหนือชั้น ใช้คุณไสยนานาชนิดตามอารมณ์ อย่าว่าแต่คนธรรมดา แม้แต่นักไสยศาสตร์ด้วยกันยังไม่อยากล่วงเกินเขา สิ่งนี้ทำให้หงรุ่ยยิ่งยำเกรง ไม่กล้าล่วงเกินอีกฝ่าย
สนบอกหงรุ่ยกับต่งเฉี่ยวหลานว่าตัวเขาเป็นข้ารับใช้ของท่านปาปียสฺ ท่านปาปียสฺฟื้นคืนจากการหลับใหลต้องการร่างที่เหมาะสม ถามพวกเขาว่าเต็มใจวิ่งวุ่นเพื่อนายท่านหรือไม่ หากยินดีช่วยเหลือเต็มความสามารถ เมื่อถึงวันที่นายท่านฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์ พวกเขาก็จะได้รับพลังอำนาจสูงสุดที่นายท่านมอบให้
ชื่อเสียงเหนือกว่าคนทั้งปวง หรือทรัพย์สินเงินทองนับไม่ถ้วน ถึงตอนนั้นสำหรับพวกเขา มันจะเป็นสิ่งที่ได้มาเพียงแค่กระดิกนิ้ว
ในฐานะนักธุรกิจที่แสวงหาผลกำไรตามสัญชาตญาณ อันที่จริงหงรุ่ยไม่ค่อยเต็มใจยอมรับข้อเรียกร้องที่วันครบกำหนดไถ่ถอนออกจะเลื่อนลอยประเภทนี้เท่าไหร่นัก แต่เขาไม่กล้าต่อต้านสน เทียบกันแล้วต่งเฉี่ยวหลานเคารพเลื่อมใสอีกฝ่ายกว่าเขามาก หลังกลับไป หล่อนก็คัดเลือก ‘ภาชนะ’ เพื่อท่านปาปียสฺด้วยความจริงจัง จนสุดท้ายก็เลือกหานฉี
ในฐานะผู้จัดการคนเก่าของหานฉี ต่งเฉี่ยวหลานมีข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดของหานฉี หล่อนส่งข้อมูลเหล่านี้ให้สน และสนพอใจมากตามคาด ด้วยเหตุนี้ แผนสบคบคิดที่ถูกวางมาเพื่อเธอโดยเฉพาะก็ถือกำเนิดขึ้นโดยที่หานฉีไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ต่งเฉี่ยวหลานพาหานฉีซึ่งกำลังลำบากเพราะวิญญาณทารกตามรังควานไปพบสน โดยสนลงมือช่วยหล่อนด้วยตัวเอง ขับไล่วิญญาณทารก จับมันขังไว้ในแผ่นหยก และวาดภาพอนาคตที่ดีงามให้กับเธอ หลังกลับไป หน้าที่การงานของหานฉีก็ดีขึ้นไปทีละขั้นด้วยการประคับประคองแบบเงียบ ๆ ของหงรุ่ย จนกระทั่งได้มาพบหงรุ่ยที่มอบความเอาใจใส่ และความรักที่ลึกซึ้งจริงใจให้กับเธอ หานฉีจึงเริ่มเกิดความศรัทธาในตัวสน และค่อย ๆ เชื่อเต็มอกโดยไม่หวาดระแวงใด ๆ หลังหานฉีตั้งท้อง หงรุ่ยยังพาเธอมาหาสน เพื่อให้สนลงมือทำพิธีใส่ไอปีศาจเสี้ยวหนึ่งเข้าไปในตัวหานฉีด้วยตัวเองอีกด้วย และบอกหานฉีว่าครรภ์ของเธอเป็นครรภ์มงคล ในภายภาคหน้าจะทำให้เธอมั่งคั่งร่ำรวยอย่างไม่อาจประเมินได้ เธอต้องดูแลทารกในครรภ์นี้ให้ดี
หานฉีเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ และตั้งความหวังต่อทารกในครรภ์อย่างเต็มเปี่ยมตามคาด เพียงแต่ตอนนี้ดันเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น
ความคาดหวังที่หล่อนมีต่อเด็กส่งผลกระทบต่อวิญญาณทารกที่ถูกกักขังอยู่ในแผ่นหยก วิญญาณทารกนั่นคือเด็กที่หล่อนทำแท้งไปในอดีต เมื่อเห็นมารดาใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือ ในขณะที่เอาอกเอาใจลูกคนปัจจุบัน ความแค้นก็สุมในอกอย่างอดไม่อยู่ ในที่สุดมันก็ทำลายปราการแผ่นหยกออกมา ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนเครื่องบิน และนำไปสู่เรื่องราวที่ตามมาในภายหลัง
หงรุ่ยยังไม่รู้ว่าพวกตงจื้อทำลายอาคมที่สนลงไว้บนตัวหานฉีไปโดยไม่ตั้งใจจนหมดแล้ว เขารู้แค่ว่าสนเป็นคนใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต จิตใจคับแคบเหลือแสน ตอนนี้ตนทำแผนของสนพัง บางทีอาจได้รับการลงโทษ ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ เขาก็อกสั่นขวัญแขวน หวาดผวาอยู่ตลอดเวลา
แต่สนไม่ได้สนใจเขา ยังคงสนทนากับศีรษะมนุษย์นั้นอยู่เหมือนเดิม
“ฉันบอกนายแล้วไง ที่ประเทศจีนมีคนเก่ง ๆ อยู่ทั่ว ไม่ใช่นายจะไปยั่วยุได้ง่าย ๆ แต่นายไม่ยอมฟังคำเตือน ไปทำตัวเหิมเกริมฆ่าคนที่นั่น ครั้งนี้ถือซะว่าเป็นบทเรียนของนายก็แล้วกัน” สนเอ่ย
“ตอนแรกฉันจะนำร่างวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียรพวกนั้นกลับมาให้นายท่านได้อยู่แล้วเชียว ไม่นึกว่าแผนจะพังลงเพราะคนคนเดียว ไว้ฉันหาร่างได้เมื่อไหร่ จะไปบดขยี้ศพมันเป็นหมื่น ๆ ชิ้น!”
สีหน้าบิดเบี้ยวที่แสดงถึงอยากเอาชนะของยามาโมโตะ คิโยชิ ทำเอาต่งเฉี่ยวหลานเห็นแล้วใจสั่น รีบย่อตัวลง ไม่กล้าเหลือบตามองสุ่มสี่สุ่มห้า
สน “คนคนนั้นชื่ออะไร”
ยามาโมโตะบอกทีละพยางค์ “เป็นคนจีน ชื่อตง…จื้อ!”
วิชาอวตารหุ่นเชิด จริง ๆ แล้วเป็นการผสมผสานระหว่างวิชาไสยศาสตร์กับวิชาองเมียว
แม้ยามาโมโตะจะโชคดีเอารอดชีวิตมาจากเงื้อกระบี่ของตงจื้อได้ในตอนแรก แต่ร่างจริงได้ตายไปแล้ว ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาทำได้แค่สับเปลี่ยนตัว เพื่อรักษาศีรษะในตอนนี้เอาไว้
ตบะทั้งหมดสูญสิ้น ตอนนี้จะหาร่างที่เหมาะสมเพื่อฟื้นคืนชีพได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย ยามาโมโตะทำได้เพียงอาศัยอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่มืดมนนี้ทุกวัน ประคองชีวิตให้อยู่รอดไปวัน ๆ ไม่แปลกที่จะสติแตกและเป็นบ้า
สีหน้าสนแปรเปลี่ยนเล็กน้อย “ฉันจำได้ว่านายมีเรื่องในลู่เฉิงที่จีน?”
เขาหันไปทางหงรุ่ย “ช่วงนี้หานฉีอยู่ที่นั่น พวกเธอรู้ไหม”
ต่งเฉี่ยวหลานทำหน้างุนงง
หงรุ่ยคิดทบทวนอย่างละเอียด ก่อนบอกด้วยความระมัดระวัง “ก่อนออกจากประเทศ เหมือนจะได้ยินเธอบอกว่ามีถ่ายละครที่ลู่เฉิงครับ”
สนมองไปทางยามาโมโตะ พูดด้วยใจที่สงบเยือกเย็น “ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ถ้าฉันเดาไม่ผิดนะ แต่ว่า นายอย่าโมโหไป ฉันว่าอีกไม่นานความแค้นของนายคงได้รับการชำระแล้ว”
ยามาโมโตะหงุดหงิด “ตอนนี้ฉันอยากรู้มากกว่าว่าเมื่อไหร่จะหาร่างให้ฉันได้เสียที!”
สนปลอบอีกฝ่าย “อย่าเพิ่งใจร้อนไป ต่อให้หาร่างที่เหมาะสมไม่ได้ ไว้นายท่านฟื้นคืนชีพเมื่อไหร่ ต้องสร้างร่างใหม่ให้นายแน่ ๆ”
เพิ่งพูดจบ สนก็มีท่าทีกลัวเกรง ตาสองข้างมองตรงไปข้างหน้า แต่กลับเลื่อนลอยไร้จุดโฟกัส คล้ายกำลังมองผ่านยามาโมโตะไปยังบางสิ่งที่อยู่ไกลออกไป
ครู่ต่อมา ร่างกายของเขาก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด สนถอนหายใจเบา ๆ และบอกกับหงรุ่ยว่า “นายท่านต้องการพบเธอ”
หงรุ่ยไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เขานึกว่าฟังผิดไป
“นะ…นายท่านคนนั้น?”
เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยชื่อ ไม่ใช่เพราะความเคารพ หากแต่เป็นเพราะความหวาดกลัว
ความหวาดกลัวที่แทรกซึมออกมาจากในกระดูก
แต่สนกลับเอ่ยชื่อนั้นออกมาอย่างไม่เกรงกลัว พลางยิ้มอ่อนโยนให้เขาหนึ่งที “ใช่ ท่านปาปียสฺ เป็นเกียรติของเธอนะ”
หงรุ่ยไม่รู้สึกเป็นเกียรติ เขารู้สึกถึงความกลัวเพียงอย่างเดียว แต่ไม่กล้าขัดสน เริ่มรู้สึกเสียดายลึก ๆ แล้ว เสียดายที่ตอนแรกไม่น่าหลงเชื่อการยุยงของต่งเฉี่ยวหลาน เหยียบย่างขึ้นมาบนเรือโจรสลัดลำนี้เลย แต่บัดนี้เรือลำนี้ได้แล่นเข้าไปในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าเขาอยากลงจากเรือก็มีแต่ต้องจมน้ำตายอย่างเดียว
เขามีลางสังหรณ์ว่าที่นายท่านปาปียสฺเรียกพบตนต้องไม่ใช่เรื่องดีอะไร ลางสังหรณ์นี้มาจากสัญชาตญาณของมนุษย์ที่เป็นผู้ล่าและถูกล่ามาหลายล้านปี แต่หงรุ่ยรู้ว่าตนไม่อาจถอยหนี ทำได้เพียงชะลอการเคลื่อนไหวลงอย่างสุดความสามารถ ด้วยความหวังที่ว่าท่านผู้ยิ่งใหญ่อาจเปลี่ยนใจในวินาทีถัดไป ด้านหนึ่งอดแอบเหลียวกลับไปมองต่งเฉี่ยวหลานไม่ได้ เฝ้าภาวนาว่าอีกฝ่ายจะขยับตัวทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เขาไม่ต้องไปเข้าเฝ้า
สนเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิง ทุก ๆ อิริยาบถของอีกฝ่ายอยู่ในสายตา นอกจากไม่ขัดจังหวะแล้ว ยังมองด้วยความสนอกสนใจอีกด้วย
เสียงครางเย็น ๆ ทำให้หงรุ่ยสะดุ้งทันที เขาเงยหน้าขึ้น เห็นศีรษะศีรษะนั้นกำลังจ้องมาที่ตนเขม็งพลางเผยสีหน้ามุ่งร้าย อดรู้สึกสยองในใจไม่ได้ เขาไม่กล้าอิดออดอีก รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นตามหลังสนไปทันที
เป็นทางเดินอีกแล้ว
อันที่จริงทิวทัศน์รอบด้านนั้นงดงาม ลำน้ำใสป่าเขียวขจี ใบกล้วยพลิ้วไหวเบา ๆ ท่ามกลางสายลม เมฆขาวลอยเหนือศีรษะ เผยให้เห็นท้องฟ้าสีครามด้านหลัง
แต่เหงื่อเย็น ๆ ไหลซึมทั่วตัวหงรุ่ย เขาไม่มีอารมณ์ชมวิวอะไรทั้งนั้น ในใจคิดอย่างเดียวว่าอีกเดี๋ยวจะรับมืออย่างไรดี
เขาตระเวนไปมาระหว่างแวดวงธุรกิจและการเมือง บุคคลสำคัญที่ได้พบมีตั้งไม่รู้เท่าไหร่ แต่ผู้ที่เขากำลังจะเผชิญหน้าก้าวข้ามความเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปแล้ว อีกฝ่ายครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่ลึกลับยากจะคาดเดา นำพาเขาขึ้นไปยังที่สูง หรือฉุดลากเขาลงนรก ทำให้ตายทั้งเป็นในพริบตาก็ย่อมได้
“อะ…อาจารย์สน เดี๋ยวก่อนครับ…” หงรุ่ยอดเอ่ยปากถามไม่ได้
“ชู่” สนทำมือเป็นสัญญาณ หงรุ่ยรีบหุบปาก ไม่กล้าพูดต่อ
พวกเขามาถึงที่หมายแล้ว
ห้องตรงหน้าซึ่งมีผ้าโปร่งสีดำปกคลุมอย่างมิดชิดทั่วทั้งห้อง คือสถานที่หล่อเลี้ยงวิญญาณปีศาจฟ้า
หงรุ่ยคิดเตลิดไปไกล ที่นี่ตั้งอยู่เขตชายแดน เป็นบริเวณที่ไม่มีผู้ใดสนใจ รอบ ๆ ล้วนเป็นป่าทึบบดบังแสงอาทิตย์ การมายังที่นี่ไม่ต้องพูดถึงป้ายบอกทางกับเลขหมู่บ้านเลย หากไม่มีคนในพื้นที่นำทาง สุดท้ายต้องหลงทางและเสียชีวิตอยู่ที่นี่แหง ๆ แม้แต่การระบุตำแหน่งด้วยดาวเทียมก็อาจค้นหาซอกมุมที่ถูกหลงลืมนี้ไม่ได้เสมอไป แต่สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ตัดขาดทางโลกอย่างสิ้นเชิง ต้องการทรัพยากรอะไรก็รวบรวมจากโลกเฟื่องฟูด้านนอกผ่านทางสน รวมถึงบ่าวรับใช้ของเขาได้ตลอดเวลา บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้ นายท่านผู้นี้ถึงได้เลือกมาจุติใหม่ที่นี่?
ใจลอยเพียงครู่เดียว เมื่อสนเลิกผ้าม่านสีดำมุมหนึ่งออกและก้มตัวเข้าไป หงรุ่ยก็รีบดึงความสนใจกลับมา เลียนแบบท่าทางของสน มุดเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวังผ่านทางมุมเล็ก ๆ ที่เปิดออก
หอม กลิ่นหอมฟุ้งตลบไปทั่ว
ภายในห้องมืดสลัว เทียนสองสามเล่มวูบวาบ แต่กลิ่นธูปรุนแรงกว่าตอนเข้ามาในเรือนก่อนหน้านี้ร้อยเท่า มันแทรกซึมเข้าไปในตับไตไส้พุงของหงรุ่ยจนแยกไม่ออก ผ่านทางอวัยวะรับสัมผัสจากโลกภายนอกทั้งหมด ฉุนจนหายใจไม่ออก หลังจากพยายามควบคุมอาการไอได้แล้ว ก็วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม มือเท้าอ่อนระทวย
ในนี้จัดวางข้าวของปะปนกันไว้มากมาย มีโหลแก้วบรรจุสัตว์นานาชนิด เช่น งู แมงป่อง แมลง หนู แต่ที่มากไปกว่านั้น หงรุ่ยนึกชื่อไม่ออก และไม่รู้วิธีการใช้งานพวกมันด้วย คิดแค่ว่าทั้งหมดนี้ล้วนแปลกประหลาด แน่นอนว่านับตั้งแต่เข้ามาในเรือนนี้ การตกแต่งทั้งหมดไม่มีตรงไหนที่ไม่แปลก เดิมทีโลกของนักไสยศาสตร์ก็แตกต่างจากคนธรรมดาอย่างสิ้นเชิงอยู่แล้ว
ที่ด้านหนึ่ง โถใบหนึ่งวางอยู่ มันมีขนาดเล็กกว่าอ่างเล็กน้อย แต่ใหญ่กว่าโถทั่วไป ข้าง ๆ โถมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่ เห็นถึงลักษณะของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามแบบฉบับได้ราง ๆ ท่ามกลางความมืดทึม โหนกแก้มค่อนข้างสูง ตาสองข้างเว้าเข้าไปเล็กน้อย แต่อีกฝ่ายอยู่ในสภาวะซึมกะทือ ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
จากนั้นสนก็คุกเข่าไปทางโถใบนั้น หน้าผากจรดพื้น เอ่ยถ้อยคำสำเนียงแปลกประหลาด หงรุ่ยไม่เข้าใจ
เขาไม่กล้ามองมากนัก รีบตามหลังสนไป คุกเข่าย่อตัวลงกับพื้นตามอีกฝ่าย
สนเอ่ยถ้อยคำยาวเหยียดรัวเร็วติด ๆ กัน หงรุ่ยงุนงง ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ว่ามีการเคลื่อนไหวเล็กน้อยตรงหน้า เขาหักห้ามความสงสัยไม่ไหว เงยหน้าขึ้นเงียบ ๆ หางตาเหลือบมอง พลันเห็นหมอกดำจาง ๆ กลุ่มหนึ่งลอยขึ้นจากด้านในโถมากขึ้นจนหนาหนัก ท้ายที่สุดหมอกทั้งหมดก็เข้าไปทางรูจมูกของชายคนที่อยู่ข้าง ๆ
ร่างของชายคนนั้นสั่นเทาเล็กน้อย
ท่ามกลางแสงสลัวราง สีหน้าของเขาดูจะบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม ตาเหลือกขึ้นด้านบน มุมปากฉีกออกเป็นเส้นโค้งเย็นยะเยือก หงรุ่ยไม่กล้าเพ่งมอง รีบก้มหัวลง
“บอกข้า ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายนอก”
หงรุ่ยฟังออกโดยไม่คาดคิด เสียงดังกล่าวกระแทกลงกลางใจเขาอย่างหนัก สั่นสะเทือนจนทั้งร่างซวนเซ ความปวดแปลบระลอกหนึ่งเกิดขึ้นในใจ กระแสความร้อนตีตื้นขึ้นมาที่ลำคอ รู้สึกอยากพ่นเลือดสดออกมา เขาเวียนศีรษะ เอามืออุดปากอย่างอดไม่ได้ กลัวว่าจะมีเลือดไหลออกมาจริง ๆ
เขารู้สึกว่ามีสายตาแผดเผาตกอยู่ที่ร่างตน ดุจผู้ล่าที่กำลังพิจารณาเหยื่อที่ได้มาโดยง่าย
สนหมอบตัวต่ำกว่าเก่า
“ท่านปาปียสฺ เจ้าเหนือหัว สนข้ารับใช้ผู้เคารพเทิดทูนท่าน ขอกราบเรียนจากใจจริง จากข้อมูลที่ยามาโมโตะนำกลับมา ปีศาจมนุษย์ตายแล้ว”
“ตาย…แล้ว?”
สำเนียงแปลกประหลาดเจือเสียงสะท้อนก้อง คล้ายเปล่งออกจากปากของชายที่นั่งอยู่คนนั้น ทั้งยังเหมือนเจาะทะลุเข้าไปในเยื่อหู ส่งเข้าไปในสมองโดยตรง หงรุ่ยรู้สึกเวียนหัวมากขึ้น ไม่รู้เพราะสูดดมกลิ่นหอมมากเกินไปหรือเปล่า
สนกล่าวด้วยความนอบน้อม “ขอรับ เมื่อปราศจากคำสั่งการของปีศาจมนุษย์แล้ว อสูรดักซุ่มทั้งหมดก็ดูเหมือนจะหายไปในชั่วข้ามคืนด้วย ถึงแม้กระผมยังรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของเศษเสี้ยวพลังปีศาจของปีศาจมนุษย์ แต่อย่างน้อยก็คงต้องใช้เวลาในโลกมนุษย์กว่าร้อยปีขึ้นไปถึงจะรวมตัวและก่อร่างขึ้นใหม่อีกครั้ง”
“ถ้าอย่างนั้น ปีศาจดินล่ะ”
สน “ช่วงนี้ทางญี่ปุ่นมีการเคลื่อนไหวบ่อยครั้ง ได้ยินว่าพวกเขามีเบาะแสของศิลาอยู่ในมือ อีกอย่างยามาโมโตะบอกว่าคนญี่ปุ่นหลายกลุ่มมีเป้าหมายอยู่ที่ศิลา กระผมเลยคิดว่าปีศาจดินอาจตื่นขึ้นแล้วเช่นกัน”
“ปีศาจมนุษย์ไร้ประโยชน์เกินไป อย่าไปคาดหวังกับมัน ในเมื่อปีศาจดินพุ่งเป้าไปที่ศิลา รอจนถึงเวลาเหมาะสม ค่อยให้เบาะแสศิลากับมัน แต่เจ้ารู้ว่าต้องทำยังไง” ปากของชายคนนั้นอ้า ๆ หุบ ๆ ถ่ายทอดเสียงปีศาจซึ่งมาจากส่วนที่อยู่ลึกสุดของขุมนรก
สนแสดงความเคารพนบนอบมากยิ่งขึ้น “ขอรับ วางใจได้ กระผมจะไม่แพร่งพรายที่อยู่ของท่านปาปียสฺเด็ดขาด กระผมเป็นข้ารับใช้ที่ภักดีที่สุดของนายท่าน สิ่งเดียวที่มุ่งมั่นคือเพื่อให้นายท่านฟื้นคืนชีพในเร็ววัน ไม่ว่าจะเป็นปีศาจดินหรือปีศาจมนุษย์ ต่างก็ไม่ใช่ผู้ที่กระผมจะถวายความจงรักภักดีให้”
ชายผู้นั้นหัวเราะ เสียงเย็นยะเยือกสลักเข้าไปในกระดูก มากพอให้ใครก็ตามที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำหนาวสั่นสะท้านตั้งแต่ก้นบึ้งของหัวใจ
สนเผลอตัวสั่นเล็กน้อย
ชายคนนั้นพูดช้า ๆ “ตอนนี้เจ้าพูดน่ะมันง่าย หากรู้ว่าที่ปีศาจดินค้นหาศิลาเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นเล่า”
ยามอยู่ต่อหน้าหงรุ่ยกับต่งเฉี่ยวหลาน สนมีพลังอำนาจมากล้น ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้นี้เขากลับทำได้แค่ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
“บ่าว บ่าวโฉดเขลา ไม่เข้าใจว่านายท่านหมายถึงอะไร…”
ชายคนนั้นเอ่ย “เมื่อพลังปีศาจท่วมท้นพวยพุ่งจากรอยแยกใต้ผืนดินที่ปริออก จันทราปีศาจสีแดงมาเยือนโลก ประตูนรกเปิดออกอีกครา ปีศาจดินจะไม่เต็มใจเคลื่อนไหวตามคำสั่งของข้า สิ่งที่มันต้องการสวามิภักดิ์คือ…“
ทันใดนั้นเขาก็ท่องอักขระแปลก ๆ ออกมาเป็นพรวน หงรุ่ยไม่เข้าใจ เขาเงยหน้าขึ้นเงียบ ๆ เหลือบมองสนแวบหนึ่ง เดาว่าอีกฝ่ายคงไม่เข้าใจเหมือนกัน
แม้ได้รับรู้ข้อมูลมากมายจากที่นี่ แต่หงรุ่ยยิ่งสับสนขึ้นทุกที
เขารู้ว่านายท่านผู้นี้คือปีศาจฟ้าในตำนาน หลังจากครั้งก่อนที่ได้ยินเรื่องจากปากสน เขาก็ตั้งใจกลับไปค้นหาข้อมูลโดยเฉพาะ และพบว่าปีศาจฟ้าก็คือพญามารในศาสนาพุทธของอินเดีย มนุษย์ขนานนามว่าปัวสวิน ปาปียสฺ อภิมหาปีศาจที่ทรงพลังอย่างยิ่งมาตั้งแต่โบราณ เล่าลือกันว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติและจากฝีมือมนุษย์หลายครั้งในประวัติศาสตร์ล้วนมีเงาของปีศาจอยู่เบื้องหลัง
หากเป็นเมื่อก่อน หงรุ่ยคงหัวเราะเยาะตำนานอภินิหารพวกนี้แน่ ๆ แต่หลังจากที่เขาได้พบสน ได้เห็นเหตุการณ์พิลึกพิลั่นตรงหน้าที่ไม่อาจหาคำมาพรรณนาด้วยตาตัวเอง ก็ทำให้เขาอดเชื่อไม่ได้
เพียงแต่ได้ยินบทสนทนาของนายท่านผู้นี้กับสนแล้ว เขาถึงรู้ว่าแท้จริงแล้วนอกจากปีศาจฟ้า ยังมีปีศาจดินกับปีศาจมนุษย์บนโลกด้วย
ปีศาจมนุษย์ตายไปแล้ว ดูเหมือนปีศาจดินกำลังค้นหาศิลาอะไรอยู่ ส่วนนายท่านผู้นี้ก็ต้องการฟื้นคืนชีพโดยเร็ววัน ถึงแม้พวกเขาต่างก็เป็นปีศาจเหมือนกัน แต่ดูเหมือนไม่ได้ลงเรือลำเดียวกัน
สนย่อตัวลง เสียงทุ้มต่ำของเขาดังก้องไปทั่วบริเวณซึ่งตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมประหลาด
“ไม่ว่าโลกจะแปรเปลี่ยนไปยังไง ก็ไม่มีผู้ใดที่จงรักภักดีต่อนายท่านไปมากกว่ากระผม กระผมจะปวารณารับใช้ท่านอย่างซื่อสัตย์แต่เพียงผู้เดียวตลอดไป!”
หงรุ่ยไม่กล้าแกล้งตาย ได้ยินดังนั้นก็รีบทำตาม “ผะ…ผมก็เหมือนกัน ผมเต็มใจทุ่มเททุกอย่างเพื่อนายท่าน!”
ดูเหมือนชายคนนั้นจะเพิ่งสังเกตเห็นหงรุ่ยในตอนนี้
ลูกตาขาวแข็งทื่อสั่นไหว ศีรษะขยับหมุนเล็กน้อย หันไปจ้องหงรุ่ย
เหมือนสนจะรู้ตัว จึงรีบบอก “นี่คือคนที่ท่านอยากพบขอรับ เขาชื่อหงรุ่ย เป็นนักธุรกิจชาวจีน”
ชายผู้นั้นเอ่ยช้า ๆ “เมื่อกี้เจ้าบอกว่า ยินดีทุ่มเททุกอย่างเพื่อข้า?”
หงรุ่ยเหงื่อแตกราวกับห่าฝน พูดตะกุกตะกักว่า “คะ…ครับ ผมประสบความสำเร็จในธุรกิจ ถ้าท่านต้องการทรัพย์สินเงินทอง…”
“ข้า ไม่ต้องการเงิน” ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นช้า ๆ ชี้ไปที่ตัวเขา “ร่างของเจ้าใช้ได้ ร่างนี้ ข้าใช้จนเบื่อแล้ว เอาร่างเจ้ามาให้ข้ายืม”
หงรุ่ยสั่นไปถึงขากรรไกรบนล่าง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าการยืมครั้งนี้ ความจริงแล้วเป็นการยืมโดยไม่มีทางให้คืน!
“นายท่าน! ได้โปรดให้ผมไปหาร่างที่ดีกว่านี้ แข็งแกร่งกว่าผม ดูดีกว่าผมมาให้ท่าน สิ่งที่ท่านต้องการ ผมหามาให้ท่านได้หมด!”
ชายผู้นั้นกล่าวเสียงอึมครึม “ข้าไม่ต้องการคนพวกนั้น ข้าต้องการเพียงเจ้า”
หงรุ่ยไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นเพื่อกลับหลังหันหนีไปข้างนอก แต่เพิ่งวิ่งไปถึงประตู อยู่ ๆ ก็รู้สึกปวดท้องราวกับถูกจับบิด ก้าวขาไม่ออกอีกต่อไป เขาร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างเสียไม่ได้ ก้มตัวเอามือกุมท้อง กลิ้งไปมากับพื้นทันที
“อาจารย์สน! ช่วยผมด้วย! ผมไม่อยากตาย ช่วยผมขอความเมตตากับนายท่านให้ที! ผมทำเพื่อคุณได้ทุกอย่าง!”
เขาคว้าขากางเกงสน น้ำมูกน้ำตาไหลอาบหน้า ไม่เหลือมาดของผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสิ้นเชิง เหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่งที่กำลังกระดิกหางประจบ พยายามวิงวอนร้องขอให้ผู้อื่นไว้ชีวิตตนเสียมากกว่า
สนคุกเข่าลงพลางส่ายหัวอย่างเวทนา “เธอยังจำน้ำที่เธอดื่มระหว่างทางมาที่นี่เมื่อกี้ได้ไหม เธอโดนคุณไสยตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยเธอไปตั้งแต่แรก เพราะถ้าเธอกลับไปต้องถูกจับได้แน่นอน คนที่พบตัวหานฉีพวกนั้นจะเจอเบาะแสของนายท่านจากตัวเธอ ฉันปล่อยให้เธอเปิดโปงนายท่านไม่ได้”
เขาลูบใบหน้าหงรุ่ย กิริยาใกล้เคียงกับความอ่อนโยน แต่หงรุ่ยกลับตัวสั่นหนักกว่าเก่า
“ผมทำเพื่อนายท่านมามาก…ได้โปรด…”
หงรุ่ยพบว่าเขาขยับตัวไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้มือเรียวยาวของสนสัมผัสหน้าท้องตน แผ่วเบาอ่อนโยนเหมือนกำลังลูบไล้บุตรของตน
วินาทีต่อมา เขารู้สึกเจ็บแปลบในช่องท้อง สนฉีกเสื้อเชิ้ตของเขา ใช้มือแยกเนื้อหนังสด ๆ ออกจากกัน ก่อนหยิบหนอนสีขาวยาวสามเมตรตัวหนึ่งออกมาจากด้านใน
หงรุ่ยเบิกตากว้างด้วยความตระหนก มองหนอนตัวยาวที่ยังคืบคลานอยู่บนพื้นช้า ๆ หลังจากออกมาแล้ว เขารู้สึกขยะแขยงและอยากอ้วก หันหน้าไปอาเจียนเอาเลือดสดคำใหญ่ออกมาที่พื้นหลายคำ
“นอนเถอะ พอหลับไป ก็จะไม่รับรู้อะไรแล้ว” ความทรงจำสุดท้ายของหงรุ่ย คือสนใช้มือปิดตาเขา
เขาอยากดิ้นรน ต้องการหลบหนี แต่การกระทำทุกอย่างในสายตาของคนนอกคือการไม่ประมาณกำลังตัวเอง
หงรุ่ยได้ยินสนถาม “นายท่านต้องการใช้ร่างของเขาออกไปดูโลกภายนอกหรือขอรับ”
ชายคนนั้นบอก “เปล่า ข้าแค่อยากเปลี่ยนมาใช้ร่างที่สบายขึ้น พลังของข้าในตอนนี้ ยังไม่แข็งแกร่งพอ…”
สติของหงรุ่ยค่อย ๆ พร่าเลือน ศีรษะเอียงกระเท่เร่ ตัวอ่อนล้มพับกับพื้น และไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
ชายผู้นั้นอดเผยรอยยิ้มสุขใจไม่ได้ ขณะมองเขาสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปอย่างสมบูรณ์
“เมื่อช่วงเวลาแห่งความรื่นรมย์มาถึงอย่างสมบูรณ์ และมนุษย์ไม่ต่างอะไรกับมดปลวกที่คลานอยู่ใต้เท้า เราก็จะมีอาหารและข้ารับใช้ที่นับไม่หวาดไม่ไหวกันแล้ว สน ในฐานะข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของข้า ข้าจะอนุญาตให้เจ้า เพลิดเพลินไปกับทุกอย่างนี้พร้อมกับข้า”
หมอกสีดำค่อย ๆ ไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของชายคนนั้น ควบแน่นอยู่ในอากาศ ก่อนแทรกซึมเข้าไปในขน เส้นผม ผิวหนัง และอวัยวะภายในของหงรุ่ยอย่างเชื่องช้า
ลำตัวของชายผู้สูญเสียหมอกดำไปอ่อนยวบอยู่บนเก้าอี้ประหนึ่งถูกสูบกระดูก ส่วนหงรุ่ยลืมนัยน์ตาคู่แดงฉานขึ้นช้า ๆ
“ขอรับ ขอบพระคุณนายท่าน” สนคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจูบเท้าของอีกฝ่าย
ต่งเฉี่ยวหลานรออยู่ด้านนอกตั้งแต่ตอนที่ดวงอาทิตย์ยังอยู่กลางศีรษะ จนกระทั่งตะวันตกดินก็แล้ว ก็ยังไม่เห็นร่างของหงรุ่ยกับสนกลับมาเสียที
เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นในใจเธอ ฝ่ามือชื้นเหงื่อ กังวลจนทนไม่ได้
อยากโกยแนบเผ่นหนีออกไปแต่ไม่กล้า เพราะลูกศิษย์ของสนกำลังจับจ้องตนอยู่อย่างเย็นชา
เมื่อเห็นดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ตกดิน ห้องที่แต่เดิมมืดสลัวอยู่แล้วสูญสิ้นแสงสุดท้ายที่มาจากธรรมชาติไป
อยู่ ๆ หัวคนบนโต๊ะก็แค่นยิ้ม “เธอคิดหนี?”
ต่งเฉี่ยวหลานตัวสั่นเทา รีบฉีกยิ้มเจื่อน ๆ “ไม่ ไม่กล้า…”
ยามาโมโตะหัวเราะเกรี้ยวกราด “เพื่อนเธอคนนั้นไม่ได้กลับมาแล้วละ เธอจะอยู่รอดคืนนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย”
ต่งเฉี่ยวหลานหน้าซีด ทรุดลงกับพื้นรวดเดียว วิงวอนลูกศิษย์ของสนและยามาโมโตะด้วยความทุกข์ระทม “อาจารย์ ฉันจงรักภักดีกับอาจารย์มาตลอด แถมยังช่วยแนะนำลูกค้าให้เขาตั้งเยอะ ไม่มีความดีความชอบก็ต้องมีผลตอบแทนจากการทำงานหนักบ้าง ฉัน ต่อไปฉันจะช่วยอาจารย์ทำอะไรมากกว่านี้อีก!”
ยามาโมโตะพูดด้วยความเย็นชา “คนแซ่ตงนั่นเป็นคนของกรมจัดการคดีพิเศษ พวกเขาเจอตัวหานฉีแล้ว ไม่ช้าก็เร็วต้องสาวมาถึงตัวเธอ เธอกลับไปก็เท่ากับโยนตัวเองเข้าไปในแห!”
ต่งเฉี่ยวหลานอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ด้วยความเกรงกลัว “ฉันจะระวัง ฉันเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ได้…”
ยามาโมโตะบอกยิ้ม ๆ “จะต้องยุ่งยากขนาดนั้นไปทำไม อยู่ที่นี่เสียเลยก็สิ้นเรื่อง ฉันเดาว่าสนคงไม่ถือสาหรอกที่มีภาชนะอย่างเธอสำหรับฝึกวิชาไสยศาสตร์เพิ่มเข้ามา นายว่าจริงไหม สน”
เขาเอ่ยกับคนที่อยู่ด้านหลังต่งเฉี่ยวหลาน ต่งเฉี่ยวหลานหันหน้าไปตามจิตใต้สำนึก ปรากฏว่าหัวหมุนคว้าง ร่างล้มตึงไปกับพื้นทันที
สนก้าวเข้ามาจากด้านนอก
“นายท่านบอกว่าร่างของหงรุ่ยใช้ดีกว่าร่างเก่า”
ยามาโมโตะ คิโยชิ ขยับลูกตาหนึ่งที ตอนนี้เขาเหลือแค่ศีรษะ พลอยทำให้มุมมองการรับภาพจำกัดไปด้วย ไม่ชินเลยจริง ๆ
“ร่างของฉันล่ะ เมื่อไหร่นายจะเตรียมให้ฉันเสร็จเสียที!”
สนเอ่ยเสียงเรียบ “วิญญาณนายได้รับความเสียหายอย่างหนัก ถึงตอนนี้มีร่างกายไปก็เปล่าประโยชน์ ตั้งใจพักฟื้นอยู่ที่นี่ดีกว่า บางทีสามปีหลังจากนี้อาจกลับมาเป็นปกติ”
ยามาโมโตะบอกด้วยความฉุนเฉียว “สามปี! ฉันยังต้องรออีกสามปี! ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้คนแซ่ตงนั่น ตอนนี้ฉันจะมาอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง! ฉันจะฆ่ามัน! เอาให้ตายอนาถกว่าฉันสักร้อยเท่า! ไม่สิ ฉันต้องการร่างของมัน เอามันมาเป็นร่างใหม่ของฉันไปเลย!”
“นายตะโกนใส่ฉันไปแล้วได้อะไรขึ้นมา” ปล่อยให้อีกฝ่ายโหวกเหวกโวยวายไป สนยังคงสงบนิ่งดังเดิม เขากำชับลูกศิษย์ว่า “จักรปกรณ์ เอาตัวผู้หญิงคนนี้ไปที่ห้องฉัน คุณไสยผีของฉันกำลังขาดส่วนประกอบชิ้นสุดท้ายอยู่พอดี”
ลูกศิษย์ผู้เชื่อฟังผงกศีรษะเล็กน้อย ก่อนลุกขึ้นลากตัวต่งเฉี่ยวหลานออกไป
ผู้หญิงที่หนักกว่าร้อยกิโลกรัมถูกเขาลากออกไปทั้งอย่างนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียวโดยไม่ต้องใช้แรงใด ๆ
ลู่เฉิง
เป็นอีกวันที่อากาศดี
เมื่อบริเวณตอนเหนือส่วนใหญ่เริ่มมีหิมะตก ที่นี่ยังคงมีไออุ่นบางเบาจากลมทะเลเหมือนเดิม ใบไม้ที่ร่วงหล่นยังไม่เหี่ยวเฉาและกลายเป็นสีเหลืองไปทั้งหมด กิ่งก้านเขียวขจีละลานตา ชวนให้สงสัยว่าฤดูกาลที่กำลังใกล้เข้ามาไม่ใช่ฤดูหนาว หากแต่เป็นฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อปราศจากหมอกควันและฝุ่นละออง มีเพียงกลิ่นหอมของดอกไม้และกลิ่นทะเลจาง ๆ ตงจื้อกับหลิวชิงปัวต่างก็อ้าปากหาวพร้อมเพรียง พยายามสะกดความง่วงงุนที่เกิดจากการโดนแสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องลงมากระทบกาย
เพียงแต่ว่า ใครคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ ในขณะที่ใครอีกคนยังพิมพ์รายงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
หลิวชิงปัวอดไม่ได้ เจียดเวลามากลอกตาใส่ตงจื้อ “เป็นหัวหน้านี่สบายจริง ๆ เลยนะ ไม่ต้องทำอะไรเลย!”
ตงจื้อหาวอีกรอบ ดึงผ้าห่มผืนบางบนตัวขึ้นอีกนิด
“ใครบอกว่าฉันไม่ต้องทำอะไร ถ้าไม่มีฉัน เราจะได้เปลี่ยนที่ทำงานใหม่กันเร็วขนาดนี้เหรอ”