猫咪的玫瑰
เจ้าแมวน้อยกับดอกกุหลาบแสนสวยของเขา
一十四洲 (อีสือซื่อโจว) เขียน
จิงจิง แปล
Caring Wong ภาพ
– โปรย –
การที่ถูกดีดออกจากยานหลักและติดอยู่ในหลุมดำ
ทำให้ตอนนี้สถานการณ์ของยานเขตหกตึงเครียดถึงขีดสุด
หลังจากหลินซือสลบไปเพราะถูกรังสีอันแรงกล้าจากหลุมดำ
พอฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าเกิดเรื่องวิกฤติขึ้นแล้ว
เพราะร่างทดลองที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมร่างหนึ่งดันตื่นขึ้นมา
เดาว่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะรังสีจากหลุมดำที่ทำเขาสลบไปนั่นแหละ
แต่นอกจากจะไร้ความทรงจำ และมีท่าทางไม่เป็นมิตรแล้ว
หลิงอีก็ยังทำเขาไหล่หลุดอีกด้วย!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
10
บทกวี 14 บรรทัด (2)
แม้ความผูกพันนี้จะเป็นเพียงเรื่องไม่คาดฝัน ทว่ามันก็ช่วยปลดล็อกปมในใจหลินซือได้ในที่สุด
ซีเวียน่าพูด “ขอฉันดูหน่อย…ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับอาวุธ แต่เมื่อยืนยันระดับความเข้มข้นของการฝึกฝนขั้นพื้นฐานได้แล้ว ก็จำเป็นต้องฝึกการต่อสู้ต่อ”
“เขามีประสบการณ์ต่อสู้แฝงอยู่ในความทรงจำของร่างกาย” หลินซือบอก
คราวก่อนที่เขาถูกหลิงอีทำหัวไหล่หลุด ตอนนั้นอีกฝ่ายใช้ท่าต่อสู้ตามหลักมาตรฐานแน่นอน
ซีเวียน่าฟังเขาสรุปเหตุการณ์คราวนั้น แล้วเสนออย่างสนใจ “งั้นเรามาลองกันหน่อย”
ตอนนี้ท่อนแขนของเธออาการไม่ค่อยดีนัก จึงหันไปเรียกผู้พันมาแทน
ผู้พันที่ไม่เคยรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ในห้องทดสอบสมรรถภาพถึงขั้นลังเลขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อซีเวียน่าต้องการให้เขามาประมือกับหลิงอี
“เขาเด็กเกินไป แถมยังไม่เคยได้รับการฝึกซ้อมจากระบบด้วยซ้ำ” ผู้พันขมวดคิ้ว “ผมจะออมแรงหน่อยแล้วกัน”
ซีเวียน่ากระแอมไอด้วยความหวั่นใจ “ผู้พัน ฉันแนะนำว่าอย่าทำแบบนั้นเลยดีกว่า”
“หืม” ผู้พันเลิกคิ้ว ก่อนจะตั้งท่า “เอางั้นก็ได้”
หลิงอียืนตรงหน้าผู้พันพลางชำเลืองมองไปทางหลินซือ “ผมต้องสู้กับเขาเหรอครับ”
“จากที่คุณหลินพูดมา หนูจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบฉับพลัน ให้ปล่อยตัวตามสัญชาตญาณได้เลย”
หลิงอีพยักหน้ารับ
ผู้พันจึงพูด “ฉันจะเริ่มแล้วนะ”
ร่างกายหลิงอีเครียดเกร็งเล็กน้อย
ผู้พันเริ่มก่อน ไม่ได้เล่นแง่หรือตุกติกอะไร เพียงแค่ปล่อยหมัดพุ่งเข้าไปตรงหน้าหลิงอี
ทว่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและความรวดเร็วในการตอบสนองของร่างที่เคยผ่านการดัดแปลงมาก่อนจะมีความน่ากลัวอยู่มาก ด้วยเหตุนี้ต่อให้เป็นเพียงหมัดธรรมดาก็ยากที่จะหลบเลี่ยง
หลิงอีเคลื่อนไหว
เบี่ยงตัวไปทางด้านหลังเพื่อหลบหมัด จากนั้นก็รีบวิ่งหนีอย่างรวดเร็วไปซ่อนอยู่หลังหลินซือ
ผู้พัน “…”
ซีเวียน่า “…”
วิ่งหนีด้วยความว่องไว คล่องแคล่ว และสมบูรณ์แบบ
หลิงอีชะโงกหน้าออกมาจากด้านหลังหลินซือเพื่อแอบมองผู้พัน
เพราะแบบนั้นหลินซือจึงถูกไล่ตะเพิดออกไปทันที
“เพราะตัวคุณแน่ ๆ ที่ส่งผลต่อความสามารถของหนูน้อยนี่” ซีเวียน่าปิดประตูห้องทดสอบสมรรถภาพ
ผู้พันยังคงเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน ปล่อยหมัดพุ่งใส่หน้าหลิงอี เด็กน้อยเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไว หมัดไร้เทียมทานนั่นจึงเฉียดผ่านไปข้างใบหู พอจู่โจมพลาดเป้า ผู้พันก็รีบเปลี่ยนท่า เก็บหมัดซ้าย ปล่อยหมัดขวา ย่อตัวแล้วกวาดขาไปด้านหน้า เพียงชั่วพริบตากระบวนท่าต่อเนื่องก็เสร็จสมบูรณ์ในคราวเดียว!
ในกระบวนท่าเช่นนี้ หากหลิงอีหมุนตัวไปด้านหลัง อาจตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบเอาง่าย ๆ หากไปทางขวาก็คงโดนหมัดของผู้พันฮุกเข้าอย่างจัง แต่ถ้าไปทางซ้ายก็จะโดนเตะสกัดอีก
ด้วยความสามารถของผู้พันทำให้มองสถานการณ์ได้อย่างเฉียบขาด
จากมุมมองของคนดู หลิงอีไม่อาจเดินหน้าหรือถอยหลังได้เลย อันตรายทั้งขึ้นทั้งล่อง เป็นอันรู้ผลแพ้ชนะเรียบร้อย ทว่าวินาทีนั้นที่รู้ว่ากำลังจะถูกโจมตีเข้าแล้ว หลิงอีก็เคลื่อนไหวอย่างฉับไว
หลิงอีฝืนใช้แขนป้องหมัดฮุกจากผู้พัน ฝ่ามือคว้าท่อนแขนที่มีแต่กล้ามเนื้อแข็งแกร่งไว้แน่น ย่อตัวแล้วออกแรงกดลง อาศัยแรงนั้นดีดตัวขึ้นไป เหตุการณ์รวดเร็วดุจอัสนีหินเพลิง [1] กระโดดหลบท่อนขาที่กวาดตัดแข้งมาอย่างดุดัน
แต่นี่ยังไม่ใช่กระบวนท่าทั้งหมดของเขา วินาทีต่อมา หลิงอีที่กระโดดขึ้นไปก็แทงเข่าใส่หน้าอกของผู้พัน!
ผู้พันไม่ทันชักขากลับ ขณะที่ร่างกายเริ่มไม่มั่นคง การโจมตีก็ยังคงดำเนินต่อไป ผู้พันถูกโจมตีจนต้องร่นถอยหลังไปหลายก้าวอย่างไม่มีทางเลือก
หลิงอีใช้แรงกระโดดผึงออกมา หยุดยืนตรงหน้าคู่ต่อสู้
ทหารที่จะเข้ามาในวอยเอเจอร์ได้ มีแต่บุคคลอัจฉริยะเหนือชั้น ไม่มีใครไม่เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ ขอแค่ผ่านการประมือในระยะสั้น ๆ ก็สามารถล่วงรู้ศักยภาพที่แท้จริงได้แล้ว
ผู้พันรับรู้ได้ทันทีว่าถูกโจมตีเข้าเสียแล้ว
ซีเวียน่าได้แต่นำข้อมูลของหลิงอีมาปลอบใจ
เห็นพวกเขาหยุดต่อสู้กันผ่านกล้องสังเกตการณ์ หลินซือถึงเดินเข้ามา
ซีเวียน่าพูดกับหลินซือ “ถึงเขาจะจำไม่ได้ แต่เห็นชัดว่าเคยได้รับการฝึกเฉพาะทางมาก่อน…ฉันคงต้องพิจารณาดูอีกทีว่าควรทำแผนฝึกซ้อมหลังจากนี้ยังไง”
“เคยผ่านการฝึกมาก่อนถือเป็นเรื่องรอง” ผู้พันว่าขณะนวดคลึงท้ายทอย “ขอผมคิดแป๊บหนึ่งว่าจะพูดยังไงดี…เขารวดเร็วมาก ไม่ได้หมายถึงความเร็วในการต่อสู้นะ”
ผู้พันเรียบเรียงถ้อยคำสักพัก ในที่สุดก็ค้นพบวิธีอธิบายที่เหมาะสมที่สุดจนได้ “คนทั่วไปต่อให้สมองรู้ว่าควรจะรับมือแบบไหน บางทีอาจต้องใช้เวลาในการขยับแขนขาเล็กน้อย แต่เจ้าหนูนี่ทำให้ผมรู้สึกว่า ร่างกายเขาถูกจิตสำนึกครอบงำในระดับสูงเกินไป แทบจะลงมือไปพร้อม ๆ กับการตัดสินใจเลยทีเดียว ไม่งั้นตอนนั้นคงไม่มีทางหลบผมพ้นหรอก”
“แต่ปัญหาก็ยังมีเหมือนกัน” ซีเวียน่าขีดเขียนลงบนกระดาษร่างแผนงาน “ตอนนี้เขาถูกจิตสำนึกครอบงำไปหมดทุกส่วนแล้ว ไม่สามารถแสดงศักยภาพที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกายออกมาได้ทั้งหมด อีกอย่างเพราะมีประสบการณ์ไม่มากพอ ต่อให้เคยผ่านการฝึกเฉพาะทางมาก่อน ก็ยังต้องขัดเกลาจิตสำนึกในการต่อสู้ ไม่งั้นเมื่อตัดสินใจผิดพลาดอาจเกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงตามมา”
เธอหันมองหลินซือ “ฉันขอพิจารณาแผนการฝึกซ้อมอีกที แล้วจะส่งให้คุณช้าสุดคืนนี้”
หลินซือ “ขอบคุณมาก”
ซีเวียน่าขยิบตาทำหน้าทะเล้นให้เขา
เวลานี้ใกล้ค่ำแล้ว หลินซือยังต้องไปร่วมงานเลี้ยงเขตหนึ่งจึงอยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก หลังจากพูดคุยกันอีกครู่หนึ่งก็รีบพาหลิงอีกลับไป
หลิงอีถาม “ต่อไปผมมาเล่นที่นี่ทุกวันได้ไหมครับ”
หลินซือตอบ “อืม”
ดูท่าเด็กน้อยคงชอบที่นี่มาก
กว่าจะกลับมาถึงเขตหกก็ค่ำแล้ว แถมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกำลังจะเริ่มในอีกไม่ช้า
หลินซือให้หลิงอีเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าที่ดูทางการขึ้นเล็กน้อย
แม้เสื้อผ้าที่บิดดี้ตระเตรียมไว้ให้นั้นจะใส่แก้ขัดไปก่อนได้ แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าพวกนี้แล้ว หลินซือก็มั่นใจว่าบิดดี้หมายมั่นปั้นมือจะจับหลิงอีแต่งตัวในสไตล์เรียบหรูสง่างาม
ก่อนอื่นต้องติดกระดุมเสื้อกั๊กสีน้ำตาล ปรับแถบผ้าด้านหลังรัดเข้ากับช่วงเอว จากนั้นผูกหูกระต่ายใต้ปกเสื้อเชิ้ตสีขาวให้เรียบร้อย ห้ามติดเข็มกลัดสีเดียวกัน ปิดท้ายด้วยการพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้น เพื่อให้เห็นเนื้อผ้าด้านในซึ่งเป็นสีเดียวกับเสื้อกั๊ก ก่อนจะตกแต่งด้วยกระดุมกลัดปลายแขนเสื้อสามเม็ด
สุดท้ายหลินซือมองเรือนผมสีดำขลับยาวเลยบ่าของหลิงอี จัดการหวีรวบเข้าด้วยกันแล้วมัดโบหลวม ๆ ไว้เหนือโคนหางม้าเล็กน้อย เป็นอันถือว่าเก็บงานได้อย่างสมบูรณ์
เด็กน้อยผู้เหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ เมื่อถูกพามาถึงบริเวณโถงจัดงานเลี้ยงก็ยิ่งดึงดูดความสนใจอย่างมาก
หลายวันมานี้ จากคำเล่าลือปากต่อปากไปทั่วทั้งยาน ทุกคนจึงรู้ว่าหลินซือรับเลี้ยงเทวดาตัวน้อยแสนบริสุทธิ์ดุจกระดาษขาวที่มีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะรังสีจากหลุมดำ แต่ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่หลาย ๆ คนได้พบเจอตัวจริง
เหล่านักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการไม่ใช่กลุ่มคนที่มีพฤติกรรมแปลกประหลาดแต่อย่างใด กลับดูจะใสซื่อจริงใจมากเกินไปด้วยซ้ำ แต่เพราะไม่ได้พบเจอเด็กน้อยบนยานอวกาศมานานแสนนานต่างหาก
หากไม่ใช่เพราะมีทรัพยากรที่ดาวแม่เคยมอบให้ ‘วอยเอเจอร์’ ก็คงต้องวุ่นวายไปมาระหว่างดาวเคราะห์ต่าง ๆ ที่มีทรัพยากรให้พอใช้สอย จากนั้นก็เก็บรวบรวมโลหะ แร่ แหล่งพลังงานเพื่อนำมาใช้ในยาน เพราะต้องอาศัยอยู่บนยานอวกาศที่มีแหล่งพลังงานจำกัดและการจัดสรรที่เข้มงวดเช่นนี้ ทำให้ต้องควบคุมจำนวนคนอย่างเคร่งครัด ไม่อนุญาตให้ทุ่มเทแรงกายในด้านที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงาน ถึงขั้นมีอยู่ในกฎข้อบังคับอันเข้มงวดซึ่งได้รับการยอมรับและถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน จึงเป็นเหตุให้ ณ ที่แห่งนี้ แม้ว่าจะมีคู่รักที่ถูกตาต้องใจกัน แต่กลับไม่มีชีวิตใหม่ถือกำเนิดขึ้นเลย
ตอนที่เหล่าสุภาพสตรียังอยู่บนโลกมนุษย์ ส่วนใหญ่ต่างเป็นทั้งแม่เป็นทั้งภรรยา บัดนี้พอเห็นหลิงอี ความรักใคร่เอ็นดูที่นอนเงียบสงบอยู่ภายในหัวใจคนเป็นแม่มาอย่างยาวนานก็ถูกปลุกขึ้น มีหลายต่อหลายคนถึงขั้นหยาดน้ำตาเอ่อรื้น
หลังคำกล่าวเปิดงานของคุณนายเฉินกับคุณแลมเบิร์ตผ่านพ้นไป หลิงอีก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยเสียงร้องเรียกขาน “หนูน้อย” “ยาหยี” แทบจะทันที
ความจริงอาหารบนยานอวกาศเป็นอาหารธรรมดาทั่วไปที่มีอยู่บนโลกมนุษย์ และใช่ว่าทุกมื้อจะต้องมีแต่สารอาหารเหลวเสมอไป
เขตหกมีวิธีการเพาะเลี้ยงพืชผักนานาพรรณกับเนื้อสัตว์นานาชนิดหลากหลายวิธี จากนั้นก็มอบหมายให้เขตสองไปทำการเพาะเลี้ยงต่อ ทว่ามันคือทรัพยากรที่นับว่าหาได้ยาก ต้นทุนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสารอาหารเหลว จึงได้เห็นอาหารธรรมดาเหล่านี้ในปริมาณมาก ๆ เฉพาะแค่ในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองแบบนี้เท่านั้น
เหล่าสุภาพสตรีย่อมไม่จบแค่ทักทายหลิงอีแน่นอน ไม่นานพวกเธอก็พบว่าการป้อนขนมหวานหลิงอีคือความสุขใจที่แท้จริง!
เพียงแค่ตัดเค้กเป็นคำเล็ก ๆ ก็จะเห็นเทวดาตัวน้อยหยิบช้อนขึ้นมาตักเข้าปาก ในดวงตาสีดำสนิทคู่สวยนั้นฉายแววพึงพอใจระคนปลื้มปริ่ม จากนั้นก็ฉีกยิ้มกว้างจนดวงตายกโค้งส่งให้พวกเธอ แล้วเอ่ย “ขอบคุณครับคุณนาย”
เรื่องนี้ทำให้ผู้คนเพลิดเพลินไปตาม ๆ กัน
การที่เจ้าสิ่งเล็ก ๆ เอาแต่ตามติดหลินซือไม่ห่างกาย ย่อมไม่เป็นผลดีต่อพัฒนาการเติบโตของเด็กน้อย ดังนั้นหลินซือจึงปล่อยเอาไว้กับเหล่าสุภาพสตรีผู้อ่อนโยนและเอาใส่ใจมากกว่าตนเองชั่วคราว ส่วนตัวเขาก็ไปหาโต๊ะมุมเงียบ ๆ หย่อนตัวลงนั่งก่อนจะรินวิสกี้ใส่แก้ว
กลิ่นเข้มข้นอันเป็นเอกลักษณ์ของสุราสีเหลืองอำพันโชยฟุ้ง
แสงไฟมืดสลัว ทำให้เงาสีดำของตัวเขาตัดทับแสงสว่าง ทำนองดนตรีในงานเลี้ยงค็อกเทลแสนโรแมนติกชวนให้ผู้คนนึกถึงเครื่องบรรเลงดนตรีทองเหลืองกับดอกกุหลาบ แต่เห็นได้ชัดเหลือเกินว่าหลินซือไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับบรรยากาศสุขสำราญนี้แม้แต่น้อย
เขาไม่ชอบพูดคุยกับคนอื่น เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้กันดี ดังนั้นคนที่สนใจในตัวเขาก็เลยได้แต่แอบชำเลืองมองอยู่ห่าง ๆ
แต่กลับมีใครคนหนึ่งหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ เขา
“เหล้าเข้ม ๆ จะช่วยให้คนลืมความทุกข์” ผู้มาใหม่เอนพิงพนักอย่างเกียจคร้าน “จากที่ผมสังเกต คุณดูหลงใหลเหล้าเข้ม ๆ เป็นพิเศษนะครับ”
“ทุกคนก็มีนิสัยแปลก ๆ กันหมดนั่นแหละ”
“ก็เหมือนพี่เจิ้งที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยดื่มเหล้า แล้วคุณพ่อมดก็ทนไม่ได้ใช่ไหมครับที่มีงานไม่เสร็จตามตารางกำหนดการ”
หลินซือถามเสียงเรียบ “นายหัดสังเกตคนอื่นเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“พี่เจิ้งบอกว่า ถ้าผมยังไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ไม่ช้าก็เร็วคงได้ตายคาคีย์บอร์ดแบบเฉียบพลันแน่” คนคนนี้เป็นวัยรุ่นผมสีทอง มีดวงตาสีเขียวมรกต พกคีย์บอร์ดแบบกลไก [2] ติดตัว ให้ความรู้สึกย้อนยุค “แต่ถ้าให้ห่างจากคีย์บอร์ด ผมน่าจะตายตอนนี้เลย”
หลินซือคลี่ยิ้มเย็น
“แต่ยังไงผมก็ต้องเชื่อฟังคำพูดของพี่เจิ้ง ใครใช้ให้ผมเลื่อมใสเขากันละ ไม่งั้นผมคงไม่ต้องออกมาพบปะผู้คนแบบนี้หรอก” คนคนนี้ไม่ปรารถนาจะเสวนากับหลินซือต่อ ทำเพียงวางคีย์บอร์ดลงบนโต๊ะ จอภาพฉายขึ้นตรงหน้า ก่อนจะเริ่มรัวนิ้วมือด้วยความเร็วสูง เคาะก๊อกแก๊ก ๆ อย่างใจจดใจจ่อ เห็นได้ชัดว่าการ ‘พบปะผู้คน’ ของเขาเป็นเพียงการพบปะเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น
พวกเขาทั้งสองต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัวเงียบ ๆ นานกว่าสิบนาที กระทั่งเจิ้งซูเดินเข้ามา
เจิ้งซูทักทายหญิงสาวอย่างสุภาพมาตลอดทาง จนเดินมาถึงมุมนี้
ในบรรดาคนอายุสามสิบถึงสี่สิบปีเช่นนี้ เจิ้งซูนับว่าเป็นผู้ชายที่ทรงเสน่ห์ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งรูปร่างสูงโปร่ง เครื่องหน้าหล่อเหลาชนิดหาตัวจับยาก นิสัยอ่อนโยน สง่างาม สุภาพ ใจเย็น และมีความเชื่อมั่นในตนเอง
คนที่กำลังเคาะแป้นพิมพ์หยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นแล้วทักทาย “พี่เจิ้ง!”
เจิ้งซูพยักหน้าให้ “เสี่ยวหนิง”
เจิ้งซูขมวดคิ้วมุ่น “ลูเซียเสร็จไปแล้วนี่ นายให้คีย์บอร์ดของนายพักบ้างก็ได้”
“ไม่ครับ” ตอบกลับอย่างเถรตรง
เจิ้งซูเองก็จนใจกับอีกฝ่าย จึงนั่งลงข้างหลินซือ กวาดสายตามองเข้าไปในกลุ่มคน ก่อนจะหยุดที่ร่างของหลิงอี “ถ้าฉันไม่งานยุ่งนะ คงได้เลี้ยงดูเขาจนโตไปแล้ว”
“ก็จริง คุณสมบัตินายมากกว่าของฉันอยู่หน่อยเดียว” หลินซือจิบเหล้าอึกหนึ่งขณะทอดมองหลิงอีไปพลาง
ช่วงที่หลิงอีแยกจากหลินซือ ตอนแรกก็แอบกังวลใจเล็ก ๆ อยู่แล้ว เวลานี้พอเห็นเขามองมาที่ตน จึงรีบออดอ้อนเหล่าคุณนายทันที ก่อนจะปลีกตัวเดินมาหา
ถึงอย่างนั้นตำแหน่งข้าง ๆ หลินซือทั้งสองด้านกลับถูกจับจองไว้หมดแล้ว
เด็กน้อยมองทั้งสองสลับไปมา ขณะหยุดยืนอยู่ที่เดิม พร้อมความกรุ่นโกรธที่ปะทุขึ้นมานิด ๆ
[1] คือ เหตุการณ์หรือการกระทำที่รวดเร็วมากประหนึ่งสายฟ้าแลบกับประกายจากหินเหล็กไฟ
[2] Mechanical Keyboard คือ คีย์บอร์ดที่แป้นพิมพ์แต่ละปุ่มกดจะมีกลไกของสปริงและสวิตช์ที่ยกสูงอยู่เหนือขั้วไฟฟ้ารับคำสั่ง คีย์บอร์ดแบบกลไกจะมีความแม่นยำและความทนทานค่อนข้างสูง