猫咪的玫瑰
เจ้าแมวน้อยกับดอกกุหลาบแสนสวยของเขา
一十四洲 (อีสือซื่อโจว) เขียน
จิงจิง แปล
Caring Wong ภาพ
– โปรย –
การที่ถูกดีดออกจากยานหลักและติดอยู่ในหลุมดำ
ทำให้ตอนนี้สถานการณ์ของยานเขตหกตึงเครียดถึงขีดสุด
หลังจากหลินซือสลบไปเพราะถูกรังสีอันแรงกล้าจากหลุมดำ
พอฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าเกิดเรื่องวิกฤติขึ้นแล้ว
เพราะร่างทดลองที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมร่างหนึ่งดันตื่นขึ้นมา
เดาว่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะรังสีจากหลุมดำที่ทำเขาสลบไปนั่นแหละ
แต่นอกจากจะไร้ความทรงจำ และมีท่าทางไม่เป็นมิตรแล้ว
หลิงอีก็ยังทำเขาไหล่หลุดอีกด้วย!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
1
จากส่วนลึกที่สุดของกระแสวังวน (3)
ตอนเจ้าสิ่งเล็ก ๆ นี่ยังไม่ฟื้นก็ทำเอาหลายคนกดดันจนศีรษะแทบลุกเป็นไฟ พอฟื้นขึ้นมาก็นำพาแต่ความวุ่นวายเข้ามาจนไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่าน[1]
ความโกรธแค้นทั้งใหม่ทั้งเก่าผูกรวมกลายเป็นความพยาบาท หลิงอีจึงปฏิเสธไม่ยอมเข้าใกล้หลินซืออีก
เนื่องจากมีประวัติทำลายแคปซูลจำศีลด้วยมือเปล่า ทำให้บรรดาเด็กหนุ่มทั้งหลายตัวสั่นงันงกทุกครั้งที่เข้าใกล้หลิงอี
สุดท้ายเซสจึงใช้น้ำหวานรสองุ่นปริมาณเข้มข้นผสมกับสารอาหาร ง้องอนไม่รู้นานเท่าไหร่ ในที่สุดก็ยอมให้ป้อนเข้าปาก
หลังท้องอิ่มก็นิ่งเงียบประพฤติตัวเป็นเด็กดี ไม่พูดไม่จา ไม่ขยับเขยื้อนใด ๆ ห่อตัวในผ้าห่มแล้วลอบมองผู้คนในห้องทดลองเดินขวักไขว่ไปมา
“เขากำลังสังเกตพวกเราอยู่” หลินซือบอก “ดูฉลาดมาก งั้นจะเลี้ยงดูแบบเลี้ยงเด็กแล้วกัน”
จู่ ๆ ลูเซียก็กล่าวคำทักทายหลิงอีโดยไม่คาดคิด “Hello หลิงอี”
หลิงอีเงยหน้าขึ้น หันขวับไปมองที่มุมเพดานทันที
หลินซือถือตารางแบบฟอร์มใบหนึ่ง วาดดาวลงในแบบฟอร์มช่องทักษะการฟัง
เสียงพูดของ ‘ลูเซีย’ ถูกออกแบบให้คล้ายคลึงมนุษย์มากที่สุด ผลที่ได้ทำให้เหมือนดังอยู่ข้างหู คนปกติจะแยกไม่ออกว่าเสียงมาจากทิศทางไหน แต่เจ้าสิ่งเล็ก ๆ นี่กลับแยกแยะแหล่งที่มาของเสียงได้อย่างแม่นยำภายในชั่วระยะเวลาสั้น ๆ
ลูเซียพูดซ้ำ “Hello หลิงอี”
“ลูเซีย” หลินซือถาม “คุณกำลังสอนเขาอยู่เหรอ”
“ใช่ค่ะ คุณพ่อมด”
หลิงอียังคงมองที่มาของเสียงไม่ลดละ ลูเซียจึงพูดซ้ำอีกรอบ “Hello หลิงอี”
ในที่สุดหลิงอีก็อ้าปาก เปล่งเสียงออกมาด้วยความลังเล
“Hello” เพราะคำนี้ออกเสียงง่ายมาก ดังนั้นจึงพูดตามได้ง่าย ส่งผลให้หลาย ๆ คนเฝ้ารอประโยคต่อมา ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือ หลิงอีไม่ได้พูดชื่อตัวเอง แต่กลับพูดคำว่า “…ลูเซีย”
เซสเผยสีหน้าที่ดูเกินกว่าเหตุ
ในเมื่อฟังเข้าใจว่าลูเซียเป็นชื่อเรียก แสดงว่าแท้จริงแล้วต้องฉลาดเฉลียวไม่เบา ทั้งยังฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง ดังนั้นไม่ว่าโครงสร้างทางกายภาพจะกลายพันธุ์ไปเช่นไร สุดท้ายก็ยังคงนับว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ระดับภัยคุกคามลดฮวบกลายเป็นเส้นตรง
หลิงอีนับว่าเป็นมนุษย์ แต่ลูเซียไม่ใช่ ต่อให้เธอมีระดับสติปัญญาสูงส่งเพียงใด ก็ไม่เหมือนคนเป็นแม่ที่กำลังปลอบโยนลูกน้อย ดังนั้นจึงทำได้เพียงพูดย้ำซ้ำ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าคล้ายระบบรวน
“หลิงอี ขอแสดงความยินดีที่ฟื้นขึ้นมาค่ะ
“ที่นี่คือ ‘วอยเอเจอร์’ เขตหก
“ปัจจุบันอยู่ในปีคริสต์ศักราช 2681 คุณได้ออกจากโลกมาแล้วหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดปี”
หลิงอีคล้ายเข้าใจระคนไม่เข้าใจ
บนผิวหนังของหลิงอีมีชิปเซนเซอร์ติดอยู่ เพื่อให้ตรวจสอบสภาพร่างกายได้ทุกเมื่อ เด็กหนุ่มผู้รับหน้าที่สังเกตค่าสถิติส่งเสียงร้อง “เอ๋” ออกมา “ระดับความผ่อนคลายเขาสูงมาก”
อีกคนได้ยินจึงรีบบอก “เมื่อลูกสัตว์อยู่ใกล้เพศเมีย จะแสดงอาการเช่นนี้เป็นปกติ พวกมันมีประสาทสัมผัสฉับไวมาก จึงมักเลือกจะอยู่ห่างบุคคลที่มีนิสัยก้าวร้าวรุนแรง และเข้าใกล้บุคคลที่ก้าวร้าวน้อยกว่า”
เด็กหนุ่มทั้งห้าแอบเบนสายตาไปมองหลินซือพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
หลินซือกำลังเขียนสมุดปูมเดินทาง มันคือกฎในการเดินทาง ผู้รับผิดชอบยานอวกาศต้องบันทึกสิ่งนี้เป็นประจำทุกวัน เขาจับปากกาลูกลื่นด้ามหนึ่ง แม้จะขีดเขียนด้วยวิธีโบราณคร่ำครึ หากแต่ก็มีคนชื่นชอบไม่น้อย
กระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวติดจนถึงเม็ดบนสุด ท่านั่งหลังตรงได้มาตรฐานขั้นสุด ใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ เมื่อไม่ยิ้ม ความรับผิดชอบอันเคร่งครัดราวกับคนเสียสติก็แสดงให้เห็นชัดเจนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
พวกเขาย่นคอพร้อมกันโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเบนสายตากลับมาแล้วตั้งใจทำงานในส่วนของตัวเองอย่างว่าง่าย ความจริงแล้ว แม้หลินซือจะอายุห่างจากพวกเขาเพียงไม่กี่ปี แต่กลับดูน่ายำเกรงเหลือเกินเมื่อเทียบกับอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเขา
ระหว่างที่ลูเซียพูดซ้ำ ๆ คล้ายระบบรวนกับหลิงอีที่ตอบกลับเป็นครั้งคราว เวลาก็ล่วงเลยมาสักพักใหญ่แล้ว กระทั่งเสียงเครื่องจับเวลาขนาดย่อมบนโต๊ะของหลินซือดัง ติ๊ง!
เขาลุกยืนขึ้นหน้าโต๊ะ หยิบเข็มฉีดยามาหนึ่งเข็ม
หลิงอีเห็นเขาขยับเข้ามาใกล้ตัวเองเรื่อย ๆ ร่างกายก็เริ่มแข็งค้าง คำปฏิเสธระบุชัดทั่วร่าง
หลินซือไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เดินมาหยุดตรงหน้าหลิงอี แล้วดึงข้อมืออีกฝ่ายขึ้นมา
หลิงอียังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เข็มปลายแหลมก็แทงเข้ามาเสียแล้ว
จากนั้นกระบอกก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง
หลินซือรีบดึงปลายเข็มออกอย่างรวดเร็ว และเซสก็รับหลอดเลือดที่มีปริมาณเลือดกว่าครึ่งไปตรวจสอบ
การกระทำต่อเนื่องเป็นทอด ๆ นั้นดูชำนาญและคล่องแคล่ว จัดการเสร็จเพียงชั่วอึดใจ ไม่มีแม้กระทั่งการเตรียมการก่อนเจาะเลือดอย่างที่กระทำในคนปกติ ตำแหน่งรอยเข็มไร้หยดเลือดซึม มีแค่จุดแดงเล็ก ๆ ที่ไม่สะดุดตาเท่านั้น
หลิงอีสติหลุดลอยไปแล้ว
วินาทีต่อมา หยดน้ำตาเม็ดเบ้อเริ่มก็ไหลแหมะจากดวงตา มองหลินซือด้วยความไม่เชื่อใจอีกแล้ว แววตาทั้งโกรธเคืองระคนตัดพ้อ
หลินซือพินิจมองอีกฝ่าย
หลิงอีร้องไห้อย่างหนัก ด้วยความที่มีหน้าตาสะสวย ทั้งยังอยู่ในช่วงก้ำกึ่งวัยรุ่น พอร้องไห้ขึ้นมาแต่ละทีก็ทำเอาผู้คนใจแทบสลาย
แน่นอนว่าต้องยกเว้นหลินซือไว้คนหนึ่ง เขาหมุนตัวเดินจากไป
หลิงอีเห็นเขาเดินออกประตูไปก็โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม ส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น หยาดน้ำตานองทั่วใบหน้า
คนมีตาล้วนดูออก เจ้าสิ่งเล็ก ๆ นี่คับแค้นใจหลินซือเข้าให้แล้ว ถึงอย่างนั้นก็หวาดกลัวมากเช่นกัน จึงไม่กล้าตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้น
พวกเขาจับทางนิสัยหลิงอีได้แล้ว แม้การกลายพันธุ์ทางกายภาพจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจ ทว่าตัวหลิงอีไม่น่าจะเข้าใจนัก ทั้งยังไม่สูญเสียการควบคุม และไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวเหมือนตอนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาแต่อย่างใด แน่นอนว่าปัญหายังคงมีอยู่ เด็กคนนี้ขาดสภาวะทางอารมณ์ นอกจากตอนที่หลินซือเข้าใกล้และปฏิกิริยาตอบสนองตอนอยู่กับลูเซียแล้ว หลิงอีล้วนเมินเฉยใส่คนอื่น ๆ บางครั้งถึงขั้นเหมือนตุ๊กตามนุษย์ที่ไร้ชีวิต
ลูเซียฉายภาพสามมิติของตัวเธอเองเพื่อสอนความรู้พื้นฐานให้กับหลิงอี อาทิ เปิดหลอดสารอาหารเหลวอย่างไร เดินอย่างไร สวมเสื้อผ้าอย่างไร
ภาพเสมือนเลียนแบบร่างมนุษย์ของเธอคือนักรบหญิงในชุดเกราะสีขาวปลอด เรือนผมสีบลอนด์ทอง ดวงตาสีฟ้า เต็มไปด้วยกลิ่นอายความกล้าหาญและศักดิ์สิทธิ์ ในฐานะผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวบนยานลำนี้ เธอจึงได้รับความนิยมชมชอบอย่างแพร่หลาย
“เทพธิดาลูเซีย” เซสถามด้วยความตั้งใจจริง “ผมขอถ่ายรูปกับคุณได้ไหม”
ลูเซียค้ำยันดาบเล่มใหญ่กับพื้น เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ “คำขอถูกปฏิเสธ”
หลิงอีพยายามก้าวเดินเข้ามาจากอีกฝั่งแล้วตะโกนเรียก “ลูเซีย” แม้จะยังเดินไม่คล่องนัก แต่ละย่างก้าวดูแข็งทื่อเล็กน้อย แต่ก็แฝงความสง่างามกึ่งระมัดระวังบางอย่าง
ลูเซียหมุนตัวเดินไปหาหลิงอี
เซสได้แต่ทำใจยอมรับด้วยความท้อแท้ว่าตัวเองอยู่ในฐานะชนชั้นล่างของห่วงโซ่อำนาจ
เพื่อนร่วมเดินทางของเขาร้อง “เอ๊ะ” แล้วพูด “อยู่ดี ๆ ผมก็นึกได้ว่า พวกมนุษย์ทดลองของดอกเตอร์หลินจะสุ่มเอาร่างทดลองมาจากร่างแช่แข็งในกองทัพหมดเลยนี่ ทำไมถึงมีเด็กอายุน้อยขนาดนี้ได้ล่ะ”
เซสตอบ “บางทีคงมีเบื้องลึกเบื้องหลังในสิทธิ์ขึ้นยานอวกาศละมั้ง ช่วงแรก ๆ พวกผู้มีอิทธิพลบนโลกอาจไม่สามารถส่งเด็ก ๆ ขึ้นมาบนยานอวกาศได้ แต่ใช่ว่าทุกคนจะรักษากฎอย่างเคร่งครัดเหมือนจอมพลเอสยอร์ชสักหน่อย ขนาดภรรยากับลูกตัวเองยังทิ้งได้ลงคอ”
“ไม่น่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังหรอก” เด็กหนุ่มคนหนึ่งส่ายศีรษะ “พวกนายก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าตอนนั้นเข้มงวดแค่ไหน นอกจากคุณนายเฉินกับจอมพลเอสยอร์ช ก็ไม่มีใครมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะขึ้นมาบนยานสักคน แต่พวกเขาทั้งคู่กลับปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดและชัดเจนสุด ๆ ได้ยินมาว่า ตอนนั้นคุณนายเฉินเสียดายที่ดอกเตอร์แคทเธอรีนไม่สามารถขึ้นยานมาได้ ถึงขั้นตัดสินใจสละสิทธิ์ขึ้นยานของตัวเองให้เธอเลยนะ เพราะไม่สามารถขยายจำนวนโควตาได้แล้ว ดังนั้นจะต้องมีอะไรพิเศษ ๆ เกี่ยวกับเด็กน้อยน่ารักคนนี้แน่นอน”
บทสนทนาไร้สาระจบลงในเวลาอันรวดเร็ว ส่วนคนถูกจับทางได้ก็เลิกแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวโดยไม่มีเหตุผลแล้วเช่นกัน ทั้งยังมีลูเซียคอยช่วยเหลือ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องดูแล สังเกตการณ์ และบันทึกสถิติข้อมูลของหลิงอีแล้ว พวกเขาต้องจัดการปัญหาหลุมดำที่ยังคาราคาซังให้เร็วที่สุด จดรายละเอียดความเสียหายในแต่ละห้องทดลอง หลังกลับไปที่ยาน ‘วอยเอเจอร์’ แล้วจะได้ยื่นขอทรัพยากรเพิ่มกับเขตสอง และยังต้องปกป้องอุปกรณ์ล้ำค่า ข้อมูลในห้องทดลองที่ยังไม่เสียหายไว้ให้มั่น ป้องกันการสั่นสะเทือนอีกครั้ง
สำหรับโอกาสในการกลับยาน ‘วอยเอเจอร์’ ที่สามเปอร์เซ็นต์นั้น แม้ว่าจะต่ำเรี่ยดิน แต่ก็ยังนับว่าพอมีหวังอยู่ ทว่าสองสามวันหลังจากนั้น สถานการณ์ของพวกเขากลับเริ่มเลวร้ายลงเรื่อย ๆ สัญญาณพลังงานขึ้นแจ้งเตือนฉุกเฉิน สารอาหารกับน้ำร่อยหรอ ยิ่งสภาพการณ์นำทางในหลุมดำมีแต่ความซับซ้อน ภาพสนามพลังตัดกันยุ่งเหยิง ความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ย่อมส่งผลให้ร่างแหลกสลายกลายเป็นผุยผงเลยก็ว่าได้
บางครั้งภาพสามมิติของลูเซียที่นาทีแรกยังยืนอยู่ข้าง ๆ หลิงอี ทว่านาทีต่อมากลับบิดเบี้ยวแล้วดับพรึบไป เนื่องจากข้อมูลที่จำเป็นต้องคำนวณในขณะนั้นมีปริมาณมากจนไม่สามารถปฏิบัติการไปพร้อมกับโปรแกรมอื่น ๆ ได้
หลินซือจ้องเวลาที่กำลังนับถอยหลัง
ระบบผลิตออกซิเจน ระบบควบคุมอุณหภูมิ และระบบแรงโน้มถ่วง ล้วนปรับค่าลดลงมาในจุดที่แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ขณะเดินในยานอวกาศจะรู้สึกเวียนศีรษะและมึนงง ไม่เพียงแต่หนาวเหน็บ หากยังลอยละล่อง
เด็กหนุ่มทั้งห้าได้รับสัญญาณเตือนภัยจากลูเซีย จึงพากันเดินซวนเซเข้ามารวมกลุ่ม เห็นหลินซือคลุมเสื้อโค้ตสีดำทับไว้ตัวหนึ่ง นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ และหน้าจอที่สว่างวาบอยู่เบื้องหลังคือเวลาที่กำลังนับถอยหลัง
ยังเหลือเวลาอีก 29 นาที 46 วินาที ก่อนที่พลังงานจะหมดลง
บนโต๊ะมีหลอดสารอาหารเหลวไม่กี่หลอดวางเรียงราย เซสโฉบเข้ามาปานสายลม นัยน์ตาสองข้างไร้แวว “อาหารเย็น…อาหารเย็นมื้อสุดท้าย พระเยซูเจ้า มันดูเหมือนจะไม่พอกับจำนวนคนของเราเลย”
ใบหน้าหลินซือไร้คลื่นอารมณ์ “อีกเดี๋ยวพระแม่มารีก็จะนำพาเรื่องวุ่นวายครั้งใหญ่มาให้แล้ว”
เซสเหลียวมองไปยังโถงทางเดิน “เรื่องวุ่นวายครั้งใหญ่อะไรกันครับ เห็นชัด ๆ ว่าเป็นแค่เทวดาตัวน้อย”
เทวดาตัวน้อยสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวซึ่งดูหลวมโพรกกว่าตัวเล็กน้อย ปลายเท้าขาวเรียวโผล่พ้นขากางเกงที่พับม้วนขึ้นมา ราวกับตุ๊กตาตัวหนึ่ง
น่าเสียดายที่เดินเคียงคู่มากับลูเซียพร้อมสีหน้าบอกบุญไม่รับ จ้องมองผนังด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง และไม่คิดจะชายตาแลหลินซือสักนิดเดียว
แปลกมากที่หลิงอีไม่ตอบสนองต่อสภาวะไร้น้ำหนักใด ๆ
หลินซือวาดดาวสองดวงไว้เหนือช่อง ‘การประสานของร่างกายและระบบประสาท’ ในแบบฟอร์ม
ทันทีที่หลิงอีก้าวเข้ามา ไฟทางเดินก็ดับพรึบ ทั้งยานอวกาศจึงเหลือเพียงไฟในห้องนี้ที่ยังส่องสว่างอยู่ เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานระดับสูงสุด
“มากันครบแล้ว งั้นอันดับแรก” หลินซือดันแว่นกรอบเงินขึ้น “ฉันขอถามเด็กน้อยท่านนี้ก่อนว่า นายแอบดึงหญ้าแมวที่ฉันปลูกไว้ในบีกเกอร์ใช่หรือไม่”
หลิงอีไม่ยอมตอบ
“ไม่ตอบก็เท่ากับยอมรับกลาย ๆ” หลินซือสบถ “ชิ” ขึ้นมาเสียงหนึ่ง “งั้นคำถามต่อไป นายดึงพวกมันทิ้ง เพราะชอบเล่นแบบนั้นอยู่แล้ว หรือทำเพื่อแก้แค้นฉันทางอ้อม”
แม้ว่าหลิงอีจะสามารถฟังเข้าใจหลายประโยคแล้ว ทว่าประโยคนี้ยังค่อนข้างซับซ้อนเกินไป
หลิงอีรับรู้แต่เพียงว่าคนคนนั้นที่เกลียดชังสุดขั้วหัวใจแกล้งยั่วยุตัวเองอยู่!
“เงียบก็เท่ากับยอมรับข้อที่สองนะ” หลินซือคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “วันนี้ไม่ใส่น้ำตาลในสารอาหาร”
ประโยคนี้ธรรมดามาก จึงฟังเข้าใจได้อย่างง่ายดาย
หลิงอีโมโหจนแทบจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
หลินซือเอ่ยสั่งอย่างเย็นชา “มานี่”
หลิงอีมองลูเซียด้วยสายตาแกมขอร้องให้ช่วย แต่ลูเซียไม่อาจตอบสนองใด ๆ ได้เลย ตามข้อมูลที่ได้จากการสังเกตหลินซือตลอดหลายวันมานี้ ทุกคนล้วนปฏิบัติตามคำสั่งหลินซือแต่โดยดี หลิงอีจึงทำได้เพียงเดินเข้าไปอย่างไม่ค่อยจะสมยอมนัก
แต่การกระทำของหลินซือกลับเหนือความคาดหมายมากเหลือเกิน เขาไม่ได้ใช้เข็มแทง ไม่ได้ทำอะไรที่ชวนให้รู้สึกอึดอัด หากเอื้อมมือมากลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้สองเม็ด
ปลายนิ้วของหลินซือสัมผัสโดนผิวของหลิงอีโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เจ้าสิ่งเล็ก ๆ นี่ถึงกับสะดุ้งโหยง
หลินซือกดหางเสียงต่ำเล็กน้อย รอยยิ้มแฝงความนึกสนุก “กลัวฉันขนาดนั้นเลยเหรอ”
หลิงอีเบือนหน้าหนีไม่ยอมมองเขา
หลินซือจึงหันไปมองพวกเซส
พวกเด็กหนุ่มต่างรู้ดีว่าเมื่อครู่นี้หลินซือแค่จงใจแกล้งหยอกเย้าหลิงอี รวมถึงรับมุก ‘อาหารเย็นมื้อสุดท้าย’ จากเซสก่อนหน้านี้ก็เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ
เวลานับถอยหลังเดินทางมาถึง 23 นาที 14 วินาทีแล้ว
หลินซืองอข้อนิ้วแล้วเคาะลงกับโต๊ะ ก่อนจะพูด “ถ้าไม่ผิดคาด พวกเราคงใกล้จะตายกันแล้ว
“ถึงทุกคนจะเป็นพวกยึดมั่นในสสารนิยม[2]ก็เถอะ แต่ผมหวังว่า วิญญาณของพวกคุณจะกลับสู่บ้านเกิดนะ
“เพื่อให้ทุกคนเดินทางอย่างมีความสุขสักหน่อย ผมอนุญาตให้พวกคุณเติมน้ำตาลในสารอาหารได้”
เซสหยิบหลอดสารอาหารเหลวขึ้นมาหนึ่งหลอดอย่างอ่อนแรง “ดอกเตอร์หลิน ขอให้วิญญาณของคุณได้กลับสู่บ้านเกิดเช่นกันครับ”
เด็กหนุ่มคนอื่นที่เหลือก็หยิบหลอดสารอาหารเหลวขึ้นมา “ขอให้วิญญาณพวกเรากลับสู่บ้านเกิดด้วยเถอะ”
บนโต๊ะยังเหลืออีกหนึ่งหลอด
หลิงอีไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้แต่เพียงว่าหลอดที่เหลือนั่นต้องถูกหลินซือที่เกลียดแสนเกลียดหยิบไปแน่นอน
หลินซือหยิบขึ้นมาดังคาด แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ของฉันไม่จำเป็น”
จากนั้นเขาก็ยื่นสารอาหารเหลวให้กับหลิงอีแทน “อันนี้หวาน”
หลิงอีกอบกุมหลอดสารอาหารเหลวซึ่งเย็นชืดแล้วเล็กน้อยไว้ในอุ้งมือ ทั้งยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย
[1] อุปมาถึงอารามตกใจจนเกิดความสับสนอลหม่าน
[2] Materialism หรือ สสารนิยม เป็นแนวคิดที่เชื่อในหลักสสาร สสารเท่านั้นที่เป็นจริง ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลของสสาร