猫咪的玫瑰
เจ้าแมวน้อยกับดอกกุหลาบแสนสวยของเขา
一十四洲 (อีสือซื่อโจว) เขียน
จิงจิง แปล
Caring Wong ภาพ
– โปรย –
การที่ถูกดีดออกจากยานหลักและติดอยู่ในหลุมดำ
ทำให้ตอนนี้สถานการณ์ของยานเขตหกตึงเครียดถึงขีดสุด
หลังจากหลินซือสลบไปเพราะถูกรังสีอันแรงกล้าจากหลุมดำ
พอฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าเกิดเรื่องวิกฤติขึ้นแล้ว
เพราะร่างทดลองที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมร่างหนึ่งดันตื่นขึ้นมา
เดาว่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะรังสีจากหลุมดำที่ทำเขาสลบไปนั่นแหละ
แต่นอกจากจะไร้ความทรงจำ และมีท่าทางไม่เป็นมิตรแล้ว
หลิงอีก็ยังทำเขาไหล่หลุดอีกด้วย!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
4
จากส่วนลึกที่สุดของกระแสวังวน (4)
อาหารมื้อสุดท้ายไม่ทันเริ่ม เหตุการณ์เหนือความคาดหมายกลับย่างกรายเข้ามาเสียก่อน
ยานอวกาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ภาพฉายลูเซียสลายหายไปทันที และเสียงเตือนภัยก็ดังสนั่น
“ตรวจพบรูหนอน[1] กำลังเคลื่อนออกห่างพื้นผิวการเลื่อนทางแดงอนันต์[2] กำลังเคลื่อนออกห่างพื้นผิวการเลื่อนทางแดงอนันต์ กำลังเปิดใช้สนามพลังลุนดิส แจ้งเตือน กำลังเข้าใกล้วงแหวนพิศวง กำลังเข้าใกล้วงแหวนพิศวง”
วงแหวนพิศวงคือจุดสิ้นสุดระหว่างห้วงเวลากับห้วงอวกาศ หากเข้าสู่วงแหวนพิศวงไป สิ่งที่คอยต้อนรับยานอวกาศลำนี้จะมีแต่ความมืดมนอนธการชั่วนิรันดร์
“เกิดข้อผิดพลาดที่ไม่ทราบสาเหตุ การเปิดใช้สนามพลังล้มเหลว”
หลังการปะทะครั้งแรก ยานอวกาศก็หมุนโคลงจนเกือบตั้งฉากในชั่วพริบตา ตัวยานเอียงไปมาก พวกเด็กหนุ่มจึงล้มกลิ้งไปกองรวมกันอยู่ตรงมุมห้อง
หลินซือรีบดีดตัวลุกขึ้นอย่างไว ดึงหลิงอีมาไว้ด้านข้าง กันให้ห่างจากมุมโต๊ะที่อาจจะกระแทกโดน
หลังคลื่นความสั่นสะเทือนลูกแรกผ่านพ้นไป มันไม่เพียงไม่สงบนิ่ง กลับยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ยานอวกาศสั่นสะเทือนและโคลงเคลงไม่หยุด หลังจากเอียงกระเท่เร่ก็หมุนเคว้งอยู่หลายรอบ หลินซือแทบจะคว้าจับหลิงอีให้พลิกกลับมาในชั่วพริบตา ส่งผลให้แผ่นหลังกระแทกเพดานอย่างจัง
หลิงอีค่อย ๆ เงยศีรษะขึ้นจากหน้าอกหลินซือ แต่ถูกเขากดกลับไปเสียก่อน
“จับฉันไว้ให้แน่น ๆ” หลินซือบอกเสียงเรียบ
ยานอวกาศหยุดนิ่ง จากนั้นก็เริ่มพลิกหมุนอย่างรุนแรง ทิศทางโคจรแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์แม้แต่นิดเดียว ผนังโลหะและเพดานถูกแรงกดมหาศาลกระทำลงมาจนเริ่มเปลี่ยนรูปร่าง เกิดเป็นเสียงกระทบเสียดสีบาดหู
ลูเซียแจ้งเตือนอย่างบ้าคลั่ง “ไม่สามารถเปิดสนามพลังลุนดิสได้ กำลังเข้าใกล้วงแหวนพิศวง ยานอวกาศได้รับความเสียหาย นับถอยหลังใน 7 6 5 4…”
หลินซืออุ้มหลิงอีไปไว้ตรงมุมที่ปลอดภัยฝั่งตรงข้าม สูดหายใจสงบสติสักพัก “ลูเซีย!”
“ค่ะ ดอกเตอร์”
“เพิ่มความเร็ววาร์ปเก้าเท่า จุดหมายคือวงแหวนพิศวง”
การนับถอยหลังสิ้นสุดลง ไม่จำเป็นต้องประหยัดพลังงานที่เหลืออีกต่อไป การสันดาปเต็มอัตรา วาร์ปไดรฟ์ซึ่งมีสัดส่วนหนึ่งในสี่ของพื้นที่ยานอวกาศถูกเปิดเครื่องขึ้นมาเสียงดังสนั่น
วาร์ปไดรฟ์คือสิ่งประดิษฐ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ผ่านมา โดยจะบิดงอปริภูมิเวลาที่กระทำต่อยานอวกาศ และทำลายขีดจำกัดความเร็วเหนือแสง
เมื่อรวมกับแหล่งกำเนิดพลังงานที่สูง เทคโนโลยีในการเดินทางในปริภูมิเวลา และเทคโนโลยีในการเดินทางข้ามกาแล็กซีก็สัมฤทธิ์ผล
หลังเสียงอื้ออึงจากที่ไกล ๆ ดังขึ้น ทุกอย่างก็พลันเงียบหายไป ราวกับกระแสน้ำทะเลย้อนกลับ ยานอวกาศจมดิ่งสู่ความเงียบสงัดของสุญญากาศ
หากเวลานี้มีคนที่สามารถยืนมองภาพบรรยากาศภายในหลุมดำจากมิติที่สูงกว่า ก็จะเห็นยานอวกาศที่จวนแตกละเอียดกระจัดกระจายพร้อมระลอกคลื่นรุนแรงในแต่ละชั้นของปริภูมิเวลา พุ่งเข้ามาในสุสานเวลาและอวกาศอันเงียบสงัด ราวกับกระแสน้ำที่ซัดหาหน้าผาสูงชัน
จากนั้นวินาทีที่กำลังจะตกลงไปในขุมลึก คลื่นละอองน้ำสูงเทียมฟ้าก็ซัดเข้ามา!
หลิงอีกอดหลินซือแน่นด้วยความใจเสีย แสงขาวโพลนสาดส่องเบื้องหน้า
อาการหลินซือก็ใช่ว่าจะดี
ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะและอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรงประดังเข้ามา เสมือนร่างทั้งร่างโดนบีบอัดจนกลายเป็นอนุภาค จากนั้นก็ถูกระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วกระจัดกระจายไปตามมุมต่าง ๆ ของยานอวกาศ
มีแค่เสียงของลูเซียเท่านั้นที่ยังคงดังต่อเนื่องและไม่สั่นคลอน
“พบรังสีการเลื่อนทางน้ำเงิน[3] กำลังเข้าสู่จุดศูนย์กลางพิศวงในหลุมขาว
“เปิดสนามพลังลุนดิสเรียบร้อย
“เริ่มชาร์ตพลังงาน”
สนามพลังที่มองไม่เห็นถูกกระตุ้น เพื่อปกป้องยานอวกาศไม่ให้ถูกพลังงานมหาศาลของหลุมดำทำลายล้าง พลังงานสีน้ำเงินจึงไหลมารวมกันที่เกราะหุ้มภายนอกตัวยาน สุดท้ายก็มาบรรจบที่เขตเครื่องวาร์ปอย่างรวดเร็ว ทำให้วาร์ปไดรฟ์ที่ใกล้จะดับมอดได้รับพลังชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง
หลิงอีลืมตาขึ้นมาจากอ้อมอกหลินซือ ภาพเบื้องหน้าคือโลกที่แตกกระจุยและยุ่งเหยิงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยากที่จะอธิบาย หากแต่ชวนให้คนเวียนศีรษะจนรู้สึกอยากจะอาเจียน
“หลับตา!” เสียงคำสั่งแสนเย็นชาของหลินซือดังขึ้นข้างใบหูอย่างคลุมเครือ จากนั้นเรียวแขนก็สัมผัสได้ถึงแรงบีบอย่างหนัก…มันเจ็บมาก
หลิงอีกำลังหวาดวิตกจึงเผลอกอดหลินซือไม่ยอมปล่อย ทว่ามือไม้ไร้เรี่ยวแรง ได้แต่อ้าปากลงแรงกัดไปตามสัญชาตญาณ จากนั้นค่อยตระหนักถึงความพร่าเบลอที่ลุกลามขึ้นมาเรื่อย ๆ
เมื่อฟื้นสติขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองยังคงอยู่ในอ้อมอกหลินซือเช่นเดิม ส่วนยานอวกาศก็เสถียรมากขึ้นแล้ว
หลินซือเอื้อมมือไปคลำบริเวณบ่า ปรากฏว่ามีเลือดสีแดงสดไหลอาบเต็มฝ่ามือ
“เด็กอกตัญญู” เขากล่าวจบก็ยกมือเปื้อนเลือดนั้นป้ายใบหน้าเล็กไปสองที
หลิงอีดีดตัวจากอ้อมอกเขา วิ่งหนีตึงตังไปหลบอีกมุมหนึ่งไม่ยอมพูดจา
อีกด้านของยานอวกาศ เด็กหนุ่มแต่ละคนเริ่มทรงตัวได้บ้างแล้ว จึงประคองศีรษะวิ่งโซซัดโซเซมาหาหลินซือ เมื่อเผลอเหลือบไปเห็นปรากฏการณ์ภายนอกยานเข้าโดยบังเอิญ พวกเขาก็นิ่งค้างไป แล้วพูดติด ๆ ขัด ๆ หลังเงียบไปนาน “พวกเรา…ออกมาแล้วเหรอ”
แรงโน้มถ่วงคืนสภาพ ปริมาณออกซิเจนเพิ่มขึ้น อุณหภูมิค่อย ๆ สูงขึ้น พอหลินซือถอดเสื้อโค้ตออก จึงเห็นรอยเลือดบนหัวไหล่กระจายตัวเป็นวงกว้าง
เขาจัดการบาดแผลง่าย ๆ พร้อมพูดไปพลาง “สุดท้ายฉันคิดว่า ในเมื่อหลุมขาวคือขั้วตรงข้ามของหลุมดำ ไม่สู้ลองพุ่งชนวงแหวนพิศวงไปเลยดีกว่า ลูเซียจัดเก็บข้อมูล แล้วส่งมอบให้เขตหนึ่งหลังกลับถึงยานแม่ด้วย”
ไม่คิดว่าการพุ่งชนวงแหวนพิศวงจะเป็นการเปิดหลุมขาวโดยไม่ตั้งใจ หลายคนที่รอดตายอย่างหวุดหวิด แข้งขาทั้งสองข้างสัมผัสได้ถึงความอ่อนแรง หลังสูดหายใจลึกอยู่สองสามที ค่อยรู้สึกดีใจแทบคลั่งที่รอดชีวิตจากวิบัติภัยมาได้ พวกเขาสบประสานสายตา ก่อนจะโผกอดกันด้วยความตื่นเต้น
หลิงอีนั่งกอดเข่าหลบมุม ช่างขัดกับบรรยากาศแห่งความสุขเหลือเกิน
ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวมาหาตนเอง
จังหวะฝีเท้ามั่นคง พอฟังก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นหลินซือที่เกลียดแสนเกลียด แม้แต่เสียงเดินยังไม่วายทำให้คนรู้สึกเกลียดได้
ยิ่งตนเองเหมือนจะกัดเขาจนเลือดท่วม เขายิ่งต้องทำตัวโหดร้ายมากขึ้นแน่!
เจ้าสิ่งเล็ก ๆ จึงออกแรงถอยกรูดไปชิดมุมผนัง
หลังเสียงฝีเท้าหยุดลง ได้ยินแค่เสียงลมหายใจสม่ำเสมอ คนคนนั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ผ่านไปพักใหญ่ หลิงอีถึงได้ยินหลินซือเอ่ยเสียงเรียบ “เงยหน้าขึ้นมา”
หลิงอีมีทั้งความรู้สึกหวาดผวาทั้งไม่ยินยอมอัดแน่นเต็มหัวใจ จึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ สิ่งแรกที่เห็นกลับไม่ใช่หลินซือ ทว่าคือบานหน้าต่างฝั่งตรงข้ามที่ทำให้ตะลึงงันไปชั่วขณะ
หลินซือยกยิ้มมุมปากนิด ๆ เมื่อเห็นเจ้าสิ่งเล็ก ๆ ทำหน้าดุจแมวลายตัวน้อย เบิกตาที่คลอเคล้าไปด้วยหยาดน้ำตาจนกว้าง เหม่อมองไปนอกหน้าต่างราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง
ทะเลดวงดาวอันกว้างใหญ่ภายนอกหน้าต่างทรงกลมขยายตัวทอดยาวออกไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด กลุ่มเนบิวลา[4]แสนสวยขนาดใหญ่ซุกซ่อนอยู่ ณ ที่ไกลโพ้นอย่างเรือนลาง ดาวฤกษ์นับพันหมื่นส่องแสงระยิบระยับอ่อนโยน ช่างแตกต่างกับความมืดมิดอันเงียบงันในหลุมดำอย่างสิ้นเชิง
จู่ ๆ หลินซือก็โพล่งถามขึ้นมา “จำพ่อแม่ของตัวเองได้ไหม”
หลิงอีกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความสับสน หัวสมองขาวโพลน รู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน หากแต่ทำอย่างไรก็นึกไม่ออก
“พ่อ…” เขาพึมพำขึ้นมาคำหนึ่ง แล้วพูดเสียงค่อย “…พ่อผมอยู่ที่ไหน”
เสียงวัยรุ่นที่ยังไม่แตกเนื้อหนุ่ม เมื่อเปล่งเสียง “พ่อ” แล้วช่างคล้ายคลึงเสียงของเด็กน้อยอย่างไม่อาจเลี่ยง
หลินซือเหม่อมองทะเลดวงดาวแสนสงัดนอกหน้าต่าง “มนุษย์บนโลกตายหมดแล้ว”
เจ้าสิ่งเล็ก ๆ นี่ฟังเข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ มัวแต่จ้องมองนอกหน้าต่างอย่างตกตะลึง
หลินซือลูบเส้นผมอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจนัก ทันใดนั้นก็มีแสงหลากสีสันสว่างวูบขึ้นมาตรงหน้า มันคือสัญญาณบอกเหตุก่อนสลบไสลนั่นเอง
เหล่าเด็กหนุ่มกระวีกระวาดช่วยกันพาหลินซือไปวางบนเตียง จากนั้นก็พบว่าเขาหลับไปเสียแล้ว
“ดอกเตอร์หลินต้องบังคับยานอวกาศกับลูเซีย หลายวันมานี้เลยแทบไม่ได้นอน” เซสฉีดยาให้หลินซือเล็กน้อย แล้วพูดต่อ “ให้เขานอนพักสักหน่อยเถอะ”
พวกเขาเดินออกจากห้องไป จึงเหลือหลิงอีเพียงคนเดียว
หลิงอีก้าวมาหยุดข้างเตียงอย่างระมัดระวัง แอบสังเกตการณ์อยู่พักใหญ่ หลังจากมั่นใจแล้วว่าคนคนนี้จะไม่ตื่นขึ้นมาก็เคลื่อนตัวไปอีกด้าน กอบดินที่หกกระจายบนพื้นมาใส่ในบีกเกอร์ ตามด้วยนำหญ้าแมวที่เหี่ยวเฉากว่าครึ่งยัดกลับเข้าไปอย่างแรง เทน้ำจนชุ่ม แล้วค่อยวิ่งออกไปจากห้อง
เสียงลูเซียดังสะท้อนทั่วโถงใหญ่
“พิกัดขณะนี้: แขนเกลียวที่สองกลุ่มดาวหงส์ในเนบิวลาดอกกุหลาบ พิกัดชวาทซ์ชิลท์ที่ 24789-78558-67865
จุดหมาย: กลุ่มดาวซีตัส ดาวเคราะห์ TN-III
ระยะห่าง: แปดพันเจ็ดร้อยล้านปีแสง
สถานะเชื้อเพลิง: เพียงพอ
เตรียมเข้าสู่ปริภูมิเวลาระดับสาม เวลาเดินทางที่คาดการณ์หกสิบเจ็ดชั่วโมง ยี่สิบหกนาที”
หลินซือนอนเต็มอิ่มไปสิบชั่วโมง การเดินทางในปริภูมิเวลาย่อมไม่เกิดวิกฤตการณ์ความปลอดภัยใด ๆ เขาจึงมีพลังงานมากพอที่จะศึกษาร่างทดลองเสียที
ในวิกฤตการณ์การเดินทางเมื่อสักครู่ ทำให้หลิงอีรู้สึกดีกับหลินซือขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่หลังจากถูกบังคับให้เจาะเลือดไปสองครั้ง ตัดเนื้อเยื่อไปหนึ่งครั้ง ความรู้สึกที่ว่านั่นก็อันตรธานหายไปหมด นอกจากนี้ยังถอนหญ้าแมวที่ยากจะส่อแววฟื้นตัวในบีกเกอร์ใบนั้นทิ้งอีกต่างหาก
การเดินทางในปริภูมิเวลาสิ้นสุดลงแล้ว ขณะที่สถานการณ์วุ่นวายจนไก่บินเตลิดหมาวิ่งพล่านยังคงดำเนินต่อไป
ยานเขตหกหมุนโคจรในชั้นบรรยากาศรอบดาวเคราะห์หนึ่งรอบ กระทั่งยานหลักสีดำขนาดมหึมาอย่าง ‘วอยเอเจอร์’ ปรากฏอยู่บริเวณปลายสุดของครรลองสายตา
หลินซือจึงส่งข้อความ ‘ขอเชื่อมต่อ’ ไปยังวอยเอเจอร์
การสื่อสารถูกเชื่อมต่อ บนหน้าจอตรงหน้าหลินซือปรากฏภาพของเจิ้งซู ผู้รับผิดชอบดูแลเขตห้า
เขตห้าเป็นพื้นที่หนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่มโหฬาร ดำเนินโปรเจ็กต์หลากหลาย ทั้งยังรับผิดชอบการนำทางและบำรุงรักษายานอวกาศ ‘ลูเซีย’ คือผลสำเร็จของเขตห้า แต่เจิ้งซูไม่ได้รับผิดชอบโปรเจ็กต์นี้ เพราะขอบเขตงานของเขาคือเครื่องจักรกลและอาวุธ
เขาอายุราวสามสิบกว่า หน้าตาหล่อเหลาดูอบอุ่น เมื่อได้พบหลินซือ สิ่งแรกคือความไม่เชื่อ ต่อมาคือความแปลกใจระคนดีใจ
หลินซือเอ่ยเรียก “พี่เจิ้ง”
“หลินซือ…” เจิ้งซูโคลงศีรษะยิ้ม ๆ “พวกเรานึกว่าพวกนายตายกันหมดแล้ว ทำได้ยังไงกัน นี่มันปาฏิหาริย์ชัด ๆ” จากนั้นจึงกล่าวต่อ “แต่…นายน่ะ มหัศจรรย์เสมอเลยนะ”
หลินซือ “บันทึกสมุดปูมเดินทางไว้อย่างละเอียดแล้ว หลังกลับไปจะส่งให้นายดู”
เจิ้งซูยังไม่กล้าพอที่จะเชื่อสายตาตัวเอง “เอาชีวิตรอดจากหลุมดำมาได้ เหลือเชื่อจริง ๆ”
“จะไม่ยินดีกับฉันหน่อยเหรอ” หลินซือกอดอก
“ยินดีมาก ๆ” เจิ้งซูกล่าว “เมื่อวานถังหนิงยังคิดถึงนายอยู่เลย หลังออกจากหลุมดำ พวกเราก็จัดพิธีไว้อาลัยให้นายอย่างยิ่งใหญ่ คุณนายเฉินเสียใจมาก แต่จอมพลเอสยอร์ชกลับดีใจเสียนี่ ได้ยินว่าดื่มเหล้าไปหลายแก้วเพื่องานนี้โดยเฉพาะ”
“อ่า” หลินซือครางรับ “งั้นวันนี้เขาน่าจะหงุดหงิดจนกินข้าวไม่ลงแล้วละ”
เจิ้งซูยิ้มแล้วถอนหายใจ “แต่ไม่ว่ายังไง ยินดีต้อนรับกลับมา ไว้ค่อยคุยตอนเจอกันอีกที”
ภาพดับวูบไป ยานหลักวอยเอเจอร์ที่อยู่ไกล ๆ ก็เริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาช้า ๆ เพื่อเตรียมเชื่อมต่อกับเขตหก
หลายวันมานี้เซสอยู่กับหลินซือจนค่อนข้างสนิทสนม จึงเอ่ยถามด้วยความข้องใจประโยคหนึ่ง “ดอกเตอร์ คุณมีความขัดแย้งอะไรกับท่านจอมพลเหรอครับ”
“จอมพลเคลือบแคลงมาตลอดว่าบนยานมีผู้ก่อการร้ายกลุ่มหนึ่ง ไม่ก็มีใครสักคนที่พยายามขัดขวางการเดินทางครั้งยิ่งใหญ่ของวอยเอเจอร์” หลินซือเหลือบมองยานหลักแล้วกล่าวต่อ “ไม่แค่นั้น เขายังคิดว่า หากจะมีใครสักคนที่พอมีเหตุผลให้เคียดแค้นยานอวกาศลำนี้ละก็ อย่างไรก็คงไม่พ้นผม”
เซสเกาศีรษะ “คุณเป็นคนดี”
หลินซือมองอีกฝ่ายด้วยแววตาติดตลก แล้วถาม “คุณก็เข้าใจอะไรผมผิดอยู่ใช่ไหม”
[1] ในทางทฤษฎีเชื่อว่าเป็นเส้นทางลัดในการเดินทางข้ามจักรวาลหรือมิติเวลา เกิดขึ้นเมื่อมีการบิดเบี้ยวของปริภูมิเวลา จากการเปลี่ยนแปลงพลังงานภายในหลุมดำ
[2] Infinite Redshift Surface แสงที่สะท้อนหรือปล่อยออกมาจากพื้นผิวนี้จะถูกแปรเปลี่ยนให้มีความยาวคลื่นมากขึ้น แต่ความถี่ลดต่ำลงจนถึงระดับอนันต์ จึงมองไม่เห็นสีใด ๆ
[3] Blueshift คือ ปรากฏการณ์ที่วัตถุเคลื่อนที่เข้าหาผู้สังเกตการณ์ ทำให้รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความยาวคลื่นสั้นลง เส้นดูดกลืน (แถบมืด) จะค่อนไปทางด้านสีน้ำเงิน
[4] กลุ่มเมฆหมอกของฝุ่น แก๊ส และพลาสมาในอวกาศ