猫咪的玫瑰
เจ้าแมวน้อยกับดอกกุหลาบแสนสวยของเขา
一十四洲 (อีสือซื่อโจว) เขียน
จิงจิง แปล
Caring Wong ภาพ
– โปรย –
การที่ถูกดีดออกจากยานหลักและติดอยู่ในหลุมดำ
ทำให้ตอนนี้สถานการณ์ของยานเขตหกตึงเครียดถึงขีดสุด
หลังจากหลินซือสลบไปเพราะถูกรังสีอันแรงกล้าจากหลุมดำ
พอฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าเกิดเรื่องวิกฤติขึ้นแล้ว
เพราะร่างทดลองที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมร่างหนึ่งดันตื่นขึ้นมา
เดาว่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะรังสีจากหลุมดำที่ทำเขาสลบไปนั่นแหละ
แต่นอกจากจะไร้ความทรงจำ และมีท่าทางไม่เป็นมิตรแล้ว
หลิงอีก็ยังทำเขาไหล่หลุดอีกด้วย!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
7
สู่ดาวแม่อันไกลโพ้น (3)
ไม่ว่าดาวแม่จะเห็นพวกเขาหรือไม่ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้เจอหลินซือสักที
หลินซือฉุกคิดถึงเด็กน้อยที่ตนปล่อยทิ้งเอาไว้ขึ้นมาได้
เขาเดินออกจากห้องไอซียู ปิดโหมดห้ามรบกวนบนอุปกรณ์สื่อสาร สิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจนิดหน่อยคือ มีข้อความมากมายเด้ง ‘ติ๊ง ๆ ๆ’ ขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด
ในรายการข้อความที่ยังไม่อ่าน มีเพียงหนึ่งข้อความที่มาจากหลิงอี
เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน ‘ผมไม่เล่นกับคุณแล้ว’
เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงเลื่อนดูรายการข้อความที่อ่านแล้ว พบว่าได้รับข้อความจากหลิงอีเมื่อสองวันก่อนอย่างที่คิดไว้ ‘คุณจะกลับมาตอนไหนเหรอครับ’
ตอนนั้นอุปกรณ์สื่อสารของเขากำลังโดนรัวถล่มอย่างบ้าคลั่งพอดี ข้อความนี้เลยจมหายไปกับข้อความอื่น ๆ
หลินซือรู้สึกผิดมาก
เขาจึงส่งคำขอเชื่อมต่อไปหาหลิงอี
แต่ไร้การตอบรับ
หลินซือค่อนข้างกังวล จึงสลับไปใช้ฟังก์ชันระบุตำแหน่ง
ตำแหน่งระบุว่าหลิงอียังคงอยู่ในห้อง หลินซือเลยป้อนคำสั่งแสดงเส้นทาง
ไม่กี่วินาทีถัดมา เส้นทางการเคลื่อนไหวในช่วงสองวันมานี้ของหลิงอีก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ หลิงอีวิ่งพล่านไปมาเหมือนการเคลื่อนที่แบบบราวน์[1]หากแต่อยู่แค่ภายในห้อง ไม่ได้ออกจากประตูห้องเลยสักก้าวเดียว
หลินซือขมวดคิ้วมุ่น
เขาค้นหาชื่อ แอดิเลด ในรายชื่อผู้ติดต่อ
แอดิเลดคือนักจิตวิทยาเพียงคนเดียวบนยานอวกาศ อีกทั้งยังเป็นรูมเมตและเพื่อนสนิทสมัยเรียนของหลินซือด้วย
การสื่อสารถูกเชื่อมต่อ เงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา แอดิเลดเป็นชาวยุโรปเหนือ มีเส้นผมสีบลอนด์ทองที่ชอบมัดรวบเป็นหางม้ากับนัยน์ตาสีเขียวมรกต และมักจะมีรอยยิ้มเย้ยหยันประดับอยู่เสมอ
“จุ๊ ๆ หลินของฉัน” เขาเลิกคิ้ว “นายไม่ติดต่อฉันซะนานเลยนะ ในที่สุดก็ยอมรับการรักษาแล้วใช่ไหม”
หลินซือกล่าว “ฉันรับเด็กคนหนึ่งมาเลี้ยง”
“นายล้อเล่นอยู่หรือเปล่า บนยานมีเด็กด้วยเหรอ” แอดิเลดหัวเราะ “เก็บได้จากหลุมดำหรือไง”
หลินซือไม่รับมุก แล้วพูดต่อ “ฉันออกมาสองวันแล้ว ระหว่างนั้นไม่ได้ติดต่อเขาเลย ตอนนี้เขาไม่รับสายฉัน แถมระหว่างนั้นก็ไม่ยอมออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว”
“เขาอายุเท่าไหร่”
“อายุร่างกายคือสิบห้า แต่สภาวะของเขามีความพิเศษมาก” หลินซือเรียบเรียงคำพูดสักพัก “สูญเสียความทรงจำทั้งหมด ส่วนความรู้ในชีวิตจำวันก็ต้องเริ่มทำความเข้าใจใหม่ตั้งแต่ต้น ชอบร้องไห้แล้วก็โกรธ ฉันไม่ค่อยเข้าใจรูปแบบพฤติกรรมเขานัก”
“สรุปว่า” แอดิเลดปรายตามอง “นายทิ้งเด็กน้อยที่ไม่รู้อะไรเลยสักนิดไว้ในห้องสองวันเต็ม ๆ โดยไม่สนใจไยดี ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นบนโลกในยามสงบสุข นายในฐานะผู้ปกครองไร้ความรับผิดชอบ เตรียมเผชิญหน้ากับคำฟ้องร้องของเพื่อนบ้านได้เลย”
“เขาส่งข้อความมาหาฉัน แต่ฉันละเลยมันไป” หลินซือว่า “ฉันรู้สึกผิดมาก”
“หรือนายคิดว่าเขาจะเดินออกมาเองได้ แมวน้อยตัวหนึ่งที่เพิ่งถูกซื้อกลับมาบ้าน ก่อนจะถูกเจ้าของโยนทิ้งและไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย แน่นอนว่ามันต้องขดตัวเลียขนอยู่แต่ตรงมุมห้อง” แอดิเลดไหวไหล่
“ฉันควรจะขอโทษเขายังไงดี”
“ไปหาเขา เดี๋ยวนี้” แอดิเลดบอก “เนื่องจากชั่วชีวิตที่ผ่านมาตลอดยี่สิบเจ็ดปี นายไม่เคยมีประสบการณ์คลุกคลีกับตัวอ่อนมนุษย์มาก่อน ฉันขอแนะนำว่าหลังจากทำงานเสร็จ ให้ไปขอคำชี้แนะจากพยาบาลรุ่นพี่ หรือหาอ่านหนังสือเรียนรู้ว่าการเป็นผู้ปกครองที่เหมาะสมนั้นทำอย่างไร”
ขณะเดียวกัน หลิงอีกำลังนอนหลับอยู่
ภาพความฝันแสนขมุกขมัวปรากฏขึ้นอีกครั้ง ซึ่งต่อเนื่องจากฝันที่ยังไม่จบเพราะถูกขัดจังหวะคราวนั้น
“พ่อกับแม่จะไปทำอะไรเหรอครับ” เขาเอ่ยถามผู้หญิงใบหน้าเลือนราง
“พ่อกับแม่มีภารกิจสำคัญมาก จะต้องจากไปสักพักหนึ่ง ลูกยังไม่โต แม่เลยขอร้องให้คนอื่นมาดูแลลูกแทน เขาเป็นคนดีมาก ลูกต้องอยู่กับเขาดี ๆ นะครับ”
หลิงอีดึงแขนเสื้อของผู้หญิงคนนั้นแล้วเอ่ยถาม “แล้วแม่จะกลับมาตอนไหนเหรอ”
“ลูกรัก…” จู่ ๆ หญิงสาวพลันสูญเสียการควบคุม ดึงตัวเขาเข้าไปกอดเสียแน่น น้ำเสียงที่อ่อนโยนก็ฟังดูเศร้าสร้อยแถมยังสั่นเครือ “ลูกรัก จงมีชีวิตที่ดี ไม่ว่าลูกจะพบเจออะไร ก็จงมีชีวิตที่ดี…”
หลิงอีรู้สึกทุกข์ระทม คล้ายถูกบางสิ่งที่เจ็บปวดครอบทับทั่วร่างจนหายใจไม่ออก
เมื่อความเจ็บปวดนั้นมาถึงจุดวิกฤตก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา
หลิงอีมองเพดานสีเงินด้วยแววตาเลื่อนลอย เนิ่นนานกว่าสติจะหวนคืน ภายในห้องว่างเปล่า ไม่มีเสียงอื่นใดแม้แต่น้อย ชวนให้รู้สึกหวาดกลัว หลินซือบอกให้รอเขากลับมา ทว่าเวลาก็ล่วงเลยไปหลายวันแล้ว หลิงอีชันตัวลุกนั่งบนเตียง สองมือกอดเข่า ขดตัวเอาไว้เพื่อรับไอสัมผัสที่ปลอดภัย
ภาพนั้นคือสิ่งที่หลินซือเห็นขณะผลักประตูเข้ามา
ร่างเล็กขดตัวเป็นก้อนกลม แม้แต่เส้นผมสลวยสีดำขลับยังดูเหมือนขาดความเงางาม
จู่ ๆ ความรู้สึกแปลกประหลาดเล็ก ๆ ก็พลันแล่นปราดเข้ามาในใจหลินซือ
นอกจากพูดคุยเรื่องงานแล้ว เขาก็ใช้ชีวิตแบบไม่คบค้าสมาคมใด ๆ กับมนุษย์มานาน แต่ตอนนี้อยู่ดี ๆ กลับมีชีวิตน้อย ๆ ที่ตนต้องรับมาดูแล ซ้ำยังต้องคอยอยู่เป็นเพื่อนอีก
ชีวิตน้อย ๆ ที่แสนสดใสนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา แต่ก็เปราะบางในเวลาเดียวกัน อีกฝ่ายยังไม่โต จึงไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวและความยากลำบากอย่างไร
หลินซือก้าวเข้าไป เขารู้ดีว่าหลิงอีประสาทสัมผัสไว ย่อมต้องรู้สึกได้ว่าเขาเดินเข้ามาตั้งแต่แรก
ทว่าเด็กน้อยกลับไม่ขยับเขยื้อน เห็นได้ชัดว่ากำลังงอนตุ๊บป่อง
“ฉันกลับมาแล้ว” เขาหยุดยืนข้างเตียงก่อนจะพูด
หลิงอียังคงไม่ขยับเขยื้อน
หลินซือระบายยิ้มอย่างจนปัญญา แล้วยื่นมือไปลูบไล้เรือนผมสีดำขลับที่อ่อนนุ่มของเด็กน้อย “ฉันผิดเอง”
หลิงอีปฏิเสธสัมผัสจากเขา ร่นกายถอยหลังพลางสั่นศีรษะสุดแรง
หลินซือสอดมือผ่านใต้วงแขนอีกฝ่ายแล้วอุ้มขึ้นมา
หลิงอีใช้สองแขนคล้องเกี่ยวลำคอหลินซือไว้แน่น ก่อนจะไล่กัดไปตามลาดไหล่ของเขา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ทว่าครั้งนี้เจ้าสิ่งเล็ก ๆ กลับยั้งแรงไว้พอสมควร กัดเต็มแรงแค่เพียงครู่เดียวก็ปล่อย ทำให้ผิวเนื้อไม่ฉีกขาดเลือดไม่ไหลซึม
เด็กน้อยซุกหน้าลงตรงซอกคอหลินซือ เพราะกลัวว่าเขาจะทิ้งกันไปอีก
หลินซือตบหลังอีกฝ่ายปุ ๆ แล้วโอบกอดอยู่นาน ทำเช่นนี้จึงปลอบโยนเจ้าสิ่งเล็ก ๆ ให้สงบลงได้
“ทำไมคุณไม่สนใจผมเลย” หลิงอีเอ่ยถามด้วยความปวดใจ
“ฉันติดภารกิจสำคัญมาก” หลินซือตอบ “รอทำภารกิจเสร็จก่อนก็จะมาเล่นกับนายได้แล้ว”
จู่ ๆ หลิงอีก็นึกถึงความฝันเมื่อกี้ขึ้นมา ผู้หญิงในความฝันก็บอกแบบนี้เหมือนกัน เธอมีภารกิจสำคัญมากที่ต้องไปทำ
หลิงอีหวนนึกภาพฉากในห้วงความฝัน มันค่อนข้างขมุกขมัว จึงเอ่ยถามพึมพำ “หลินซือ เราใช้ชีวิตอยู่บนยานอวกาศมาตลอดเลยเหรอครับ”
“เปล่า เราเคยตั้งถิ่นฐานอยู่บนโลกมาก่อน” หลินซือตอบเนิบนาบ “โลกนั้นมีขนาดใหญ่มาก”
“ใหญ่แค่ไหนเหรอ”
“นายเดินไปทั่วยานอวกาศทั้งลำได้ แต่ไม่สามารถเดินไปทุกหนทุกแห่งบนโลกได้” หลินซือมองผ่านประตูที่กำลังเปิดกว้าง แลเห็นทะเลดวงดาวอันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่ภายนอกหน้าต่างบานใหญ่ ดวงตาที่ฉายแววเย็นชาอยู่เสมอบัดนี้วูบไหวขึ้นมาเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังทอดมองสถานที่ใดสักแห่ง ณ ที่ห่างไกลผ่านมวลหมู่ดาว
“แล้วทำไมพวกเราต้องอยู่บนยานอวกาศด้วยล่ะ”
หลินซือเงียบไปนานกว่าจะตอบ “ตอนที่นายยังเล็ก โลกมนุษย์เกิดเรื่องเลวร้ายมากมาย ทั้งสงคราม รังสี และไวรัสได้คร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก”
หลิงอีห่างไกลจากแนวคิดความเป็นความตายมากเหลือเกิน แม้จะพยายามย้อนคิดกลับไป แต่ไม่ว่าอย่างไรกลับนึกถึงแต่แผ่นฟ้ามืดครึ้มในความฝันผืนนั้น
เด็กน้อยถาม “งั้นพ่อกับแม่ของผมก็ถูกฆ่าตายแบบนั้นด้วยใช่ไหมครับ”
ครั้งนี้หลินซือเงียบไปนานกว่าเดิม และสุดท้ายก็ไม่ยอมให้คำตอบ เขาพูดเพียง “ถ้านายอยากมีครอบครัว จะเรียกฉันว่าพี่ชายก็ได้นะ”
หลิงอีแค่นเสียง “หึ”
หลินซือไม่ค่อยมีเวลาว่างนัก และตอนนี้ก็มีคนส่งสัญญาณเรียกหาตัวเขาแล้ว
เขากำลังจะผละไป แต่หลิงอีจับแขนเสื้อเขาไว้แน่นไม่ยอมให้ไป หลินซือนึกถึงสภาพสิ้นไร้หนทางของเด็กน้อยที่ขดตัวอยู่ในห้องเพียงลำพังใจก็พลันอ่อนยวบ สุดท้ายก็ตัดสินใจพาเด็กน้อยไปด้วย
ขั้นตอนการรักษาในขณะนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือพลังงานสูงเหล่านั้นแล้ว จึงไม่ต้องกังวลว่ารังสีจะสร้างความเสียหายให้ร่างกายของเด็กน้อย อีกอย่างหลิงอีมีนิสัยสงบเสงี่ยม ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของคนอื่นแน่นอน
ดังนั้นหลิงอีเลยยึดครองโต๊ะทำงานของหลินซือได้อย่างถูกจังหวะ ทั้งยังมองเห็นได้ตลอดเวลาว่าหลินซือกำลังทำอะไรอยู่ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างจดจำเด็กน้อยหน้าสวยผู้สงบเสงี่ยม และไม่ยอมห่างกายดอกเตอร์หลินได้เป็นอย่างดี
คุณแลมเบิร์ตที่กำลังพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายอยู่ในอาการตื่นเต้นอย่างหนักตลอดเวลา เนื่องจากผลสำเร็จจากการทดลอง หากไม่ใช่เพราะหลินซือปฏิเสธที่จะให้อุปกรณ์ทุกชนิด คุณแลมเบิร์ตก็คงไม่ยอมดูแลตัวเอง และคงนั่งเขียนรายงานผลการทดลองอย่างละเอียดถี่ถ้วนตลอดทั้งคืน
คุณแลมเบิร์ตที่อารมณ์เบิกบานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเห็นหลิงอีก็ยิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่ เอ่ยถามหลิงอีด้วยท่าทางอ่อนโยน “หนูน้อยคนสวย เธอชื่ออะไรเหรอ”
หลิงอีไม่คุ้นเคยการสานสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า จึงบอกชื่อตัวเองไปอย่างแข็งเกร็งเล็กน้อย
ผู้ชายคนนี้พอจะรู้ภาษาจีนอยู่บ้าง สีหน้าฉายแววชื่นชมอย่างยิ่ง “เป็นชื่อที่ยอดเยี่ยม!”
หลิงอีเอียงศีรษะ “ทำไมเหรอครับ”
คุณแลมเบิร์ตว่า “ความคิดนี้มาจากเพื่อนของฉันคนหนึ่ง และบังเอิญว่าเขากับเธอก็มีนามสกุลเดียวกัน! เขาทำงานให้กับกองทัพ เป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ในตำนาน พวกเราเคยคุยกันเล่น ๆ หนหนึ่ง เขาบอกว่า เขาคิดชื่อที่ดีที่สุดให้ลูกชายตัวเองได้แล้ว ซึ่งก็คือชื่อนี้! ศูนย์กับหนึ่ง[2]ระบบเลขฐานสองที่มักจะใช้กับเครื่องจักรกลและระบบปฏิบัติการ พอเรามีระบบเลขฐานสองก็เท่ากับว่ามีหมดทุกอย่าง!”
เล่าจบก็ส่ายศีรษะครั้งหนึ่ง
“แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่มีชื่อของเขาในยานวอยเอเจอร์ เป็นเรื่องที่แปลกมาก รู้กันอยู่ว่า ระบบปฏิบัติการภายในที่กองทัพใช้มาถึงทุกวันนี้โดยไม่เคยเกิดข้อผิดพลาดนั้นเป็นผลงานของเขา ถ้าขนาดเขายังไม่ได้สิทธิ์ขึ้นยาน พวกที่วิจัยลูเซียในเขตห้ายิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ใหญ่เลย”
[1] เป็นการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว โดยไร้ระเบียบแบบแผนของอนุภาคที่แขวนลอยอยู่ในอากาศ (ก๊าซ) หรือของเหลว โดยมีสาเหตุจากการชนกันอะตอมหรือโมเลกุลที่กำลังเคลื่อนที่
[2] ศูนย์ในภาษาจีนอ่านว่า หลิง และหนึ่งอ่านว่า อี ซึ่งไปพ้องเสียงกับชื่อของหลิงอี