猫咪的玫瑰
เจ้าแมวน้อยกับดอกกุหลาบแสนสวยของเขา
一十四洲 (อีสือซื่อโจว) เขียน
จิงจิง แปล
Caring Wong ภาพ
– โปรย –
การที่ถูกดีดออกจากยานหลักและติดอยู่ในหลุมดำ
ทำให้ตอนนี้สถานการณ์ของยานเขตหกตึงเครียดถึงขีดสุด
หลังจากหลินซือสลบไปเพราะถูกรังสีอันแรงกล้าจากหลุมดำ
พอฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าเกิดเรื่องวิกฤติขึ้นแล้ว
เพราะร่างทดลองที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมร่างหนึ่งดันตื่นขึ้นมา
เดาว่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะรังสีจากหลุมดำที่ทำเขาสลบไปนั่นแหละ
แต่นอกจากจะไร้ความทรงจำ และมีท่าทางไม่เป็นมิตรแล้ว
หลิงอีก็ยังทำเขาไหล่หลุดอีกด้วย!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
8
สู่ดาวแม่อันไกลโพ้น (4)
ห้องโถงกลางทรงกลมขนาดใหญ่ที่จุคนได้เกือบพันมีคนทยอยเข้ามานั่งกันอย่างต่อเนื่อง ทุกคนที่ถูกเรียกมาประชุมต่างจ้องมองไปยังคุณนายเฉินบนเวที
วันนี้คุณนายเฉินสวมชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม ทรงผมที่มักเกล้าเป็นมวยแน่นในวันธรรมดาถูกปล่อยสยายลงมา ทำให้ภาพลักษณ์ของเธอดูอ่อนโยนน่าเข้าหามากยิ่งขึ้น เสริมความสดใสเจิดจรัสด้วยภาพเสมือนดวงดาวสีน้ำเงินละมุนละไมบนหน้าจอด้านหลัง
ทว่าคำกล่าวเปิดประชุมของเธอกลับทำเอาทุกคนรู้สึกกดดันขึ้นมาทันที
“ปีคริสต์ศักราช 2544 ‘วอยเอเจอร์’ ออกเดินทาง ปีคริสต์ศักราช 2567 พวกเราเคลื่อนห่างจากวงแหวนดาวเคราะห์ลาแพลนเตอร์ พยายามออกนอกเขตส่งสัญญาณเท่าที่จะทำได้ แล้วจากบ้านเกิดนับแต่นั้นมา
“อันที่จริง ช่วงปีที่สองของการเดินทาง ไม่มีใครสักคนตอบรับสัญญาณของพวกเราจากดาวแม่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างหนักหน่วงอีกเลย
“ฉันไม่รู้ว่า ดาวแม่อันไกลโพ้นยังมีเพื่อนร่วมโลกที่ยังรอดชีวิตอยู่หรือเปล่า และไม่รู้เลยว่า ‘วอยเอเจอร์’ จะไปถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายได้หรือไม่ แต่ทุกชั่วขณะเราต้องจารึกหน้าที่สำคัญนี้ไว้ในใจ ห้ามหวั่นไหวต่อความโดดเดี่ยวไม่รู้จบแม้แต่เสี้ยวเดียว พวกเราคือเมล็ดพันธุ์แห่งความศิวิไลซ์ นำพาแสงสุดท้ายแห่งความหวัง ชักใบเรือมุ่งหน้าสู่จักรวาลอันกว้างใหญ่”
เสียงปรบมือดังสนั่นเลื่อนลั่นห้องโถงขนาดใหญ่
เธอเว้นจังหวะแล้วกล่าวต่อ “เราบากบั่นเดินทางในจักรวาลเป็นเวลาหนึ่งร้อยสามสิบเจ็ดปี เป็นระยะทางหนึ่งร้อยสิบสองล้านปีแสง ข้ามผ่านสองร้อยสามสิบสองกาแล็กซี เคยโคจรรอบชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ห้าสิบหกดวง จนถึงบัดนี้ ได้มีการหมุนเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์และทหารชั้นยอดมาแล้วสี่รุ่น ผลงานทางวิทยาศาสตร์ของพวกเราก็รุ่งโรจน์ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นสนามพลังฟรังเกอร์ สนามพลังลุนดิส ระบบปฏิบัติการลูเซีย ไหนจะโปรเจ็กต์ ‘limitless’ เครื่องจักรเซลล์ประสาท ล้วนคือความก้าวหน้าครั้งสำคัญของวิทยาศาสตร์มนุษย์”
เธอเผยรอยยิ้มบางบนใบหน้า “สิบวันก่อน เขตหนึ่งเกิดอุบัติเหตุนิวเคลียร์ระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งโชคดีเหลือเกินที่เขตหกได้เข้าช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง นักวิทยาศาสตร์จำนวนห้าสิบสามรายจึงรอดพ้นวิกฤตมาได้ทุกคน และสิ่งที่ควรค่าให้เราโห่ร้องดีใจคือ การทดลองครั้งนี้ แม้จะเกิดข้อบกพร่องอันเนื่องมาจากการทำงานที่ผิดพลาดในตอนท้าย แต่ผลลัพธ์นั้นไม่ต้องสงสัย เทคโนโลยีนิวเคลียร์ฟิวชันรุ่นที่สามประสบความสำเร็จ นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกเราจะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งพลังงานอันไร้ขีดจำกัด”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ เสียงปรบมือแสดงความยินดีก็ดังเลือนลั่นทั่วห้องโถง
คุณแลมเบิร์ตและเพื่อนร่วมงานได้รับคำชื่นชมอันน่าทึ่งอย่างล้นหลาม
“ไม่น่าเชื่อจริง ๆ พวกคุณสุดยอดมาก!”
คุณนายเฉินรอให้ทุกคนแสดงความยินดีเสร็จจึงกล่าวต่อ “วันนี้ฉันได้พูดคุยกับเหล่าผู้รับผิดชอบการวิจัยในแต่ละเขตแล้วหนหนึ่ง สุดท้ายพวกเราลงความเห็นว่า จะลงจอดบนดาวเคราะห์ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต เพราะมีปัจจัยในการสร้างที่อยู่ของมนุษย์อย่างครบครัน ส่วนความคิดเห็นของกองทัพ…” เธอยิ้ม “เราต่างก็รู้ดีว่า กองทัพทนรอไม่ไหวมาตั้งนานแล้ว”
ทุกคนส่งเสียงหัวเราะอย่างจริงใจ หันมองไปยังจอมพลเอสยอร์ชที่นั่งอยู่อีกด้าน
เห็นได้ชัดว่าจอมพลอารมณ์ดีมาก ไร้กลิ่นอายน่าเกรงขามดังเช่นเวลาอื่น ๆ พร้อมผงกศีรษะทักทายทุกคนที่มองมาทางเขา
พวกเขาหัวเราะเสร็จก็หันกลับไปมองคุณนายเฉินต่อ แววตาแตกต่างไปจากเมื่อตอนแรกเริ่ม
เมื่อสักครู่เพิ่งยินดีกับผลสำเร็จของเขตหนึ่งไปแท้ ๆ ตอนนี้กลับมีทั้งความคาดหวังทั้งความกระวนกระวาย เพราะในคำพูดของคุณนายเฉิน มีโปรเจ็กต์ขั้นต่อไปของ ‘วอยเอเจอร์’ หลุดออกมา
คุณนายเฉินพูดต่ออย่างเคร่งขรึม “ด้วยเหตุนี้ ฉันขอลงคะแนนโหวตอย่างเป็นทางการไว้ ณ ที่นี้ หากสมาชิก ‘วอยเอเจอร์’ เห็นชอบมากกว่าสองในสาม เราจะออกเดินทางกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ล่องยานเข้าสู่ปริภูมิเวลา มุ่งหน้าสู่เขตที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยที่ใกล้ที่สุด และลองสร้างฐานทัพมนุษย์บนดาวเคราะห์นอกระบบเป็นครั้งแรก”
อุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือของทุกคนสว่างวาบ จากนั้นก็ฉายภาพขึ้นตรงหน้าพวกเขา
หลิงอีมองหน้าจอฮอโลแกรม
แม้ว่าตอนที่เขาฟื้นขึ้นมา ความรู้ความเข้าใจต่อสิ่งต่าง ๆ ล้วนแต่ว่างเปล่า แต่พอได้ทำความเข้าใจใหม่ กลับสามารถเรียนรู้ได้อย่างก้าวกระโดด ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่สิบวัน หลิงอีก็สามารถอ่านคำที่เจอบ่อย ๆ ออกทั้งหมด
“หลินซือ” เขาเรียกชื่อ “ดาวเคราะห์สวยเหมือนโลกไหมครับ”
หลินซือกดเลือก ‘เห็นชอบ’ ที่หน้าจอฮอโลแกรมของตน ก่อนจะพูดกับหลิงอี “ส่วนใหญ่บนดาวเคราะห์จะไม่มีอะไรเลย”
หลิงอีเอียงศีรษะ “งั้นทำไมเราต้องลงจอดด้วยล่ะ”
นี่เป็นคำถามที่ค่อนข้างตอบยากทีเดียว
สุดท้ายหลินซือก็ตอบไปว่า “เพราะจักรวาลกว้างใหญ่มาก แต่พวกเราเล็กนิดเดียว”
หลิงอีแย้งทันควัน “ดาวเคราะห์ก็เล็กนิดเดียวเหมือนกัน”
“แต่มันปกป้องเราได้” หลินซืออธิบาย “เราต้องพบเจออันตรายมากมายขณะออกเดินทาง เหมือนอย่างหลุมดำนั่นไง แต่พวกเราจะสามารถเติบโตได้อย่างปลอดภัยบนดาวเคราะห์ที่เหมาะสมสักดวง และพัฒนาวิทยาศาสตร์ของเราไปจนถึงวันหนึ่ง…วันที่เราไม่ต้องกลัวภยันตรายใด ๆ ในจักรวาลอีกต่อไป”
หลิงอีพยักหน้า แล้วกดเลือก ‘เห็นชอบ’ เช่นเดียวกัน
หลินซือมองเด็กน้อย
ความจริงหลินซือเป็นคนหนึ่งที่ไม่ถนัดอธิบายอะไรนัก บางครั้งถึงขั้นเรียกได้ว่า วาจามีค่าดั่งทองคำ แต่ถ้าใครได้เผชิญกับแววตางดงามแฝงความไม่เข้าใจคู่นี้เข้า คงไม่อาจทนใจแข็งปล่อยให้อีกฝ่ายคลางแคลงใจต่อไปได้ลงคอหรอก
ขั้นตอนการโหวตใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้น โดยเก้าสิบแปดเปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าร่วมประชุมต่างเลือกเห็นชอบ
แผนการจึงได้รับอนุมัติไปตามระเบียบ หรือบางทีหลังจากนี้ พวกเขาอาจจะได้เห็นแผ่นดินที่ร้างราไปนานเสียที
คุณนายเฉินแจกแจงรายละเอียดปัจจัยที่พวกเขามีอยู่ทั้งหมดในตอนนี้เพิ่มเติม อนาคตของยานอวกาศจึงเปล่งแสงเจิดจรัสขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้เธอยังประกาศว่าได้ตระเตรียมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองแสนยิ่งใหญ่สำหรับเขตหนึ่งในค่ำคืนนี้ เพื่อฉลองเปิดยุคแห่งพลังงานอันไร้ขีดจำกัด
หลังเสร็จสิ้นการประชุม หลินซือก็พาหลิงอีออกจากห้องโถงกลางมุ่งตรงไปยังเขตสาม
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลินซือกับจอมพลเอสยอร์ชจะเลวร้าย ทว่าเขาก็คุ้นเคยกับเขตสามเป็นอย่างดี เนื่องจากร่างทดลอง ‘limitless’ ทั้งสองระยะต้องเข้ารับการคัดเลือกทหารที่เขตสามหลังเสร็จสิ้นการดัดแปลงพันธุกรรม และตัวหลินซือเองก็ต้องมารับข้อมูลติดตามผลจากที่นี่ด้วยเช่นกัน ร่างกายที่ผ่านการดัดแปลงมานั้น สมรรถภาพในแต่ละด้านจะถูกพัฒนาขึ้นมาก ไม่เหมาะที่จะฝึกฝนร่วมกับเหล่าทหารทั่วไป ดังนั้นจึงมีพื้นที่สำหรับตนเองโดยเฉพาะ
หลิงอีกวาดสายตามองสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ด้วยความใคร่รู้
ไม่เหมือนเขตอื่นเลย เขตสามสร้างด้วยวัสดุโลหะสีเงินเช่นเดียวกัน มีห้องโถงใหญ่กว้างขวาง ระเบียงทางเดินกับลิฟต์เชื่อมถึงกัน ทว่าบรรยากาศที่นี่กลับให้ความรู้สึกน่ากริ่งเกรงเป็นอย่างมาก
ผู้คนที่สาวเท้าเดินผ่านพวกเขาไปสวมเครื่องแบบทหารสีดำตามระเบียบ บนลาดไหล่ติดอินทรธนูซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของยศทหาร แผ่นหลังตั้งตรง พกอาวุธติดตัว ใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์
หลิงอีเอ่ยถาม “เขตสามได้ทำการวิจัยวิทยาศาสตร์เหมือนพวกคุณไหม”
“พวกเขาคอยปกป้องอารักขาวิทยาศาสตร์” หลินซือตอบ “ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางโดยอากาศยาน ยกพลไปขุดทรัพยากรบนดาวเคราะห์ รับประกันความปลอดภัยภายในยานหลัก ล้วนเป็นหน้าที่ของกองทัพ หลังลงจอดบนดาวเคราะห์ พวกเขาก็จะมีบทบาทมากขึ้น”
หลิงอีถามเพิ่ม “งั้นต่อไปผมก็ต้องทำเรื่องพวกนี้ด้วยใช่ไหมครับ”
“เดิมตัวตนนายเป็นของกองทัพ แต่ถ้านายค้นพบเรื่องอื่นที่อยากไปทำมากกว่า ฉันจะพยายามแย่งชิงอิสรภาพมาให้นายเอง”
หลินซือยืนยันกับหลิงอีจบ ในใจก็พลางคิดว่า การทำให้เด็กน้อยคนหนึ่งเติบโตอย่างปกติยุ่งยากกว่าการส่งไปฝึกในกองทัพทุกวันเสียอีก
หลิงอีควรได้ลองสัมผัสความรู้ในทุก ๆ ด้านเพื่อง่ายต่อการตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินของชีวิตเอง ทำให้เหมือนกับสิ่งที่โรงเรียนบนโลกมอบให้
หลินซือคิดคำนวณสักพัก เนื่องจากโปรเจ็กต์ ‘limitless’ ถูกกีดกัน และตามแผนงานล่าสุด เขาสามารถจัดสรรเวลาให้สำหรับเด็กคนนี้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
หลิงอียอมให้เขาลากตัวมาอย่างว่าง่าย จนมาถึงหน้าประตูโลหะบานใหญ่ ที่กว้างราวห้าเมตรเป็นอย่างต่ำ ด้านบนสุดของประตูมีป้ายขนาดเล็ก สลักตัวอักษรเป็นคำว่า ‘limitless’
ทันทีที่สแกนม่านตา ข้อมูลก็ปรากฏขึ้นมา
‘เขตหก หลินซือ
ระดับการเข้าถึง SS
อนุมัติผ่านได้’
สิทธิ์การเข้าถึงและความเป็นส่วนตัวในยานอวกาศมีทั้งหมดเจ็ดระดับ ตั้งแต่ D ถึง SSS และสิทธิ์การเข้าถึงสูงสุดมีเพียงจอมพลเอสยอร์ชกับคุณนายเฉินเท่านั้น ผู้รับผิดชอบเขตอย่างหลินซือและเจิ้งซูจะต่ำกว่าหนึ่งระดับ
ประตูโลหะทั้งสองบานค่อย ๆ เปิดออก เบื้องหน้าปรากฏลานฝึกซ้อมกว้างขวางโอ่อ่า ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าห้องโถงกลางเท่าทวีคูณ มันถูกแบ่งออกเป็นหลายโซนอย่างชัดเจน ขอบเขตพื้นที่บริเวณรอบ ๆ มีเครื่องตรวจจับพร้อมด้วยยานบรรทุกหน่วยจู่โจมลำเล็กจอดเทียบอยู่เป็นจำนวนมาก
บัดนี้มีคนกำลังทำกิจกรรมอยู่ในแต่ละพื้นที่ของลานฝึกซ้อม นับรวมกันได้ราวสองร้อยคน
เสียงประตูใหญ่เคลื่อนไม่เบานัก ทำให้พวกเขาสังเกตเห็นหลินซือที่เดินเข้ามา