猫咪的玫瑰
เจ้าแมวน้อยกับดอกกุหลาบแสนสวยของเขา
一十四洲 (อีสือซื่อโจว) เขียน
จิงจิง แปล
Caring Wong ภาพ
– โปรย –
การที่ถูกดีดออกจากยานหลักและติดอยู่ในหลุมดำ
ทำให้ตอนนี้สถานการณ์ของยานเขตหกตึงเครียดถึงขีดสุด
หลังจากหลินซือสลบไปเพราะถูกรังสีอันแรงกล้าจากหลุมดำ
พอฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าเกิดเรื่องวิกฤติขึ้นแล้ว
เพราะร่างทดลองที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมร่างหนึ่งดันตื่นขึ้นมา
เดาว่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะรังสีจากหลุมดำที่ทำเขาสลบไปนั่นแหละ
แต่นอกจากจะไร้ความทรงจำ และมีท่าทางไม่เป็นมิตรแล้ว
หลิงอีก็ยังทำเขาไหล่หลุดอีกด้วย!
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
9
บทกวี 14 บรรทัด (1)
แลเห็นคนคนนั้นซึ่งแต่งกายคล้ายผู้บัญชาการสั่งการด้วยสัญญาณมือ ผู้คนที่แยกตัวกระจัดกระจายก็ขยับเข้ามารวมพล
คนนั้นทักทายหลินซือ พลางสาวเท้าเดินมาหา “ดอกเตอร์หลิน”
หลินซือ “ผู้พัน”
เพียงแค่แวบแรกผู้พันก็สังเกตเห็นหลิงอีแล้ว มิหนำซ้ำยังจดจำได้ในทันที “เขาฟื้นแล้วเหรอ”
ผู้พันเป็นหนึ่งในร่างทดลองเช่นกัน และเกือบทุกคนในลานฝึกซ้อมแห่งนี้ก็ด้วย
“อืม” หลินซือรับคำ “ต่อไปเขาจะมาฝึกซ้อมที่นี่ แต่คงต้องไปทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกายก่อน”
ผู้พันตะโกนเรียก “ซีเวียน่า!”
ทหารหญิงเชื้อสายจีนรัสเซีย จมูกโด่งเป็นสัน นัยน์ตาคมลึก ก้าวเข้ามา
“เทวดาตัวน้อยในแคปซูลหมายเลขเก้าสิบเจ็ดนี่!” แววตาทั้งคู่ของเธอวาววับ
ผู้พันสั่งการ “ซีเวียน่า คุณพาเขาไปทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกาย จะได้ทำแผนฝึกซ้อม”
ซีเวียน่าขานรับอย่างเริงร่า แล้วจูงหลิงอีเดินจากไป
หลินซือจึงซักถามกับผู้พันต่อ
“ตอนนี้แผนการสำหรับฝึกซ้อมมีอะไรบ้าง”
“ตำแหน่งของพวกเราคือพลรบแนวหน้า” ผู้พันไหวไหล่ “แผนการในทุก ๆ วันก็จะเกี่ยวกับการซ้อมรบ ทำความคุ้นเคยกับอาวุธและสงครามจำลอง แต่ก็นะ ตั้งแต่ออกเดินทางมาพวกเราไม่เคยได้ปะทะกับศัตรูที่ไหนเลย จักรวาลกว้างใหญ่ขนาดนี้ ไม่นึกว่าจะไม่มีแม้แต่เงาของมนุษย์ต่างดาวให้เห็นสักตัว! บางครั้งผมนี่อยากจะไปสัมผัสประสบการณ์ยกพลขึ้นบกกับกองทัพใจจะขาด”
“อีกสักพักเขตห้ากับเขตหกน่าจะมาขอยืมตัวพวกคุณกับทางกองทัพ” หลินซือยืนเคียงไหล่เขา “พวกเรามีโปรเจ็กต์เครื่องจักรเซลล์ประสาทที่ใกล้จะดำเนินมาถึงปลายทางแล้วโปรเจ็กต์หนึ่ง”
“ได้สิ” ผู้พันตอบรับอย่างสบายใจ แล้วเอ่ยถามต่อ “จะให้พวกเราไปทดลองเครื่องจักรเหรอ”
“อืม” หลินซือตอบรับเสียงเรียบ “เป็นอุปกรณ์สวมใส่แบบไบโอนิก[1]”
ผู้พันบังเกิดความสนใจขึ้นมาชั่วขณะ “มีรูปไหม”
หลินซือเลื่อนหาภาพพิมพ์เขียวบนกำไลข้อมือ ก่อนจะฉายภาพออกมา
“ระบบควบคุมสามารถเชื่อมต่อกับศูนย์รวมเซลล์ประสาท ควบคุมเครื่องจักรโดยตรง ไม่จำเป็นต้องมีการปฏิบัติการที่ซับซ้อน แต่ว่าตอนนี้มีเพียงความเร็วในการตอบสนองของระบบประสาทของร่างดัดแปลงเท่านั้นที่จะทำได้”
ผู้พันอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง
“ดอกเตอร์ นี่มัน…” เขาพูดอย่างตื่นเต้น “มันหุ่นจักรกลนี่!”
หลินซือมุ่นคิ้ว “หุ่นจักรกลเหรอ”
“ใช่!” ผู้พันถูฝ่ามือไปมา “คุณไม่เคยอ่านนิยายไซไฟเหรอ” เขาทำท่าทางประกอบใหญ่โต “ก็แบบหุ่นยนต์ตัวใหญ่ ๆ ที่ทำสงครามในจักรวาลได้ไง”
“ตามทฤษฎีแล้ว ติดตั้งอาวุธให้ได้ แต่คงไม่มีความสามารถในการเดินทางในห้วงอวกาศ ซึ่งในความเป็นจริงคงจะเป็นไปได้ยากมาก คุณลองไปคุยกับเจิ้งซูดูสิ” หลินซือปิดจอภาพ ใบหน้ายังคงไร้คลื่นอารมณ์ โทนเสียงค่อนข้างราบเรียบ แล้วพูดต่ออย่างเย็นชา “ผมต้องการข้อมูลฝึกซ้อมของพวกคุณ”
ผู้พันจึงเปิดกำไลข้อมือเชื่อมต่อกับเครื่องเมนเฟรม แล้วทำการโอนถ่ายข้อมูล
“ท่าทางดอกเตอร์หลินยังดูเย็นชาเป็นน้ำแข็งเหมือนเดิมเลยนะ” ซีเวียน่าเห็นหลิงอีมัวแต่เหลียวหลังมองหลินซือ จึงคุยกับเขา “ตอนแรกพวกเราแอบคิดกันว่าพอเขารอดตายมาได้ครั้งหนึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน”
เธอยักไหล่ “หนูน้อย ลองทบทวนเรื่องลงหลักปักฐานที่นี่ดูไหม คุณหลินไม่ใช่ผู้ปกครองที่ดีนักหรอก พอคิดว่าหนูต้องถูกพ่อมดเลี้ยงดูจนโต ฉันก็ชักจะกังวลว่าหนูจะกลายเป็นปีศาจน้อยแสนเย็นชาเสียแล้วสิ”
หลิงอีเอียงศีรษะ ใคร่ครวญว่าหลายวันมานี้หลินซือปฏิบัติกับตนอย่างไร
แม้ว่า…จะใช้เข็มทิ่มแทงร่างกายตนตลอด บางครั้งก็นิสัยร้ายกาจ ทว่า…
หลิงอีไม่รู้ว่าควรจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดอย่างไร จึงได้แต่ส่ายศีรษะ “หลินซือดีมาก”
ซีเวียน่ามองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนโยน เด็กน้อยผู้งดงามและบริสุทธิ์ผุดผ่องคนนี้ช่างกระตุ้นให้คนเกิดความปรารถนาอยากจะปกป้องได้ง่ายดายเหลือเกิน
“เอาละ” เธอเอ่ยพูด “เรามาเข้าเรื่องกันเถอะ ฉันเคยเห็นข้อมูลร่างกายหนูแล้ว เรามาทดสอบรายการที่ใช้ได้จริงกันดีกว่า”
ด้วยเหตุนี้ ตอนหลินซือมาดูความคืบหน้าหลังจากจัดการธุระเสร็จสิ้น ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปใกล้ ก็ได้ยินเสียงของซีเวียน่าดังลั่น
“ที่รัก หนูเหมือนแมวน้อยจังเลย!”
เขาเดินเข้าไปอีกก้าว เห็นภายในห้องทดสอบสมรรถภาพอันกว้างขวาง มีโครงที่ทำจากยางสีดำสูงต่ำวางเรียงกันตั้งแต่พื้นจรดเพดาน
ขาข้างหนึ่งของหลิงอีเกี่ยวอยู่กับขั้นที่สูงที่สุด ร่างห้อยต่องแต่งอยู่ในท่ากลับหัว พอเห็นหลินซือเดินเข้ามาจึงพับตัวไปด้านหลังด้วยองศาที่เกินกว่าจินตนาการของมนุษย์ แล้วพลิกตัวปีนป่ายขึ้นไปก่อนจะเปลี่ยนมานั่งคุกเข่าอยู่ด้านบนสุด จากนั้นจึงดีดตัวกระโดดลงมาเบา ๆ แล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลินซืออย่างมั่นคง พร้อมทั้งเงยหน้ามอง
ท่วงท่าต่อเนื่องของหลิงอีนั้นรวดเร็วและสัมพันธ์กันมากจนแทบไม่มีเสียงอะไร
หลินซือเอื้อมมือไปลูบศีรษะเด็กน้อย
“เซอร์ไพรส์มาก” ซีเวียน่าก้าวเข้ามา เอ่ยถามกับหลินซือ “ดอกเตอร์ พวกคุณทำการดัดแปลงได้ถึงขั้นนี้เชียวเหรอ”
“บังเอิญน่ะ ไม่ใช่ผลของการทดลองหรอก” หลินซือรับผลการทดสอบมาจากมือซีเวียน่า
ความทนทานของระบบไหลเวียนโลหิต ความยืดหยุ่น ความสัมพันธ์ของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ความสมดุล ความว่องไว สิ่งเหล่านี้สามารถฝึกฝนและพัฒนาได้ในภายหลัง แต่ในระดับที่สูงกว่านั้นจะถูกจำกัดโดยโครงสร้างของเนื้อเยื่ออ่อนและข้อต่อที่มีมาแต่กำเนิด ทุกคนมักจะมีข้อจำกัดเช่นนี้เสมอ ทว่าไม่ใช่กับหลิงอี เพราะโครงสร้างเนื้อเยื่ออ่อนของหลิงอีเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ความที่หลินซือรู้ผลประเมินของหลิงอีที่ทดสอบในเขตหกมาก่อนแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจนัก
แต่นาทีนี้จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์บางอย่าง หากวิทยาศาสตร์สูญสิ้น มนุษย์ที่เหลืออยู่ในตอนนี้คงจะเกิดการกลายพันธุ์ เกิดวิวัฒนาการ และถูกธรรมชาติคัดสรรต่อไป หลังจากนั้นเป็นร้อยเป็นพันปี ร่างกายอาจจะมีสภาวะที่ใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาก็ได้
หลิงอีใช้เวลาในกระบวนการวิวัฒนาการทั้งหมดเสร็จสิ้นภายในไม่กี่วินาทีของการแผ่รังสีหลุมดำ เพราะความบังเอิญอย่างน่าอัศจรรย์ทำให้ได้รับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ท่ามกลางการกลายพันธุ์ที่มีความเป็นไปได้หลายร้อยล้านทิศทาง
บางทีการกลายพันธุ์ของหลิงอีคงเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไม่มีทางลอกเลียนแบบได้ แต่กลับส่งมอบความหวังอย่างหนึ่งมาให้ คือวิวัฒนาการที่เป็นไปได้ หนทางในการวิวัฒนาการของมนุษย์ยังอีกยาวไกลกว่าจะเดินไปถึงจุดสิ้นสุด เขตหนึ่งกับเขตห้าจะเน้นใช้เทคโนโลยีระดับสูงเพื่อปกป้องอารักขายานลำนี้ แต่สำหรับเขตหกแล้ว พวกเขาให้ความสำคัญกับชีวิต
ทว่าน่าเสียดายเหลือเกินที่ไม่สามารถสานต่อโปรเจ็กต์ ‘limitless’ ได้อีกแล้ว
แม้ว่าผลการทดสอบจะสมบูรณ์แบบ ทว่าจากที่สังเกตการณ์ตลอดหลายวันมานี้ หลิงอียังมีปัญหาอยู่หนึ่งด้าน
“ทดสอบกำลังกล้ามเนื้อเขาหน่อย” หลินซือบอกซีเวียน่า “ตอนเพิ่งฟื้นขึ้นมา เขาทำหัวไหล่ผมหลุดได้ง่าย ๆ เลย แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้แสดงพลังอะไรที่แตกต่างจากคนทั่วไปอีก”
“ไม่แสดงออกมาเลยเหรอ ไม่น่าเป็นไปได้” ซีเวียน่าส่ายศีรษะ “หรือจะมีปัญหากับการออกแรง แต่ก็ไม่น่าใช่”
เธอพาหลิงอีเดินไปยังตำแหน่งเครื่องวัดแรงบีบมือแบบง่าย ๆ “ลองอันนี้ก่อนแล้วกัน”
หลิงอีวางมือขวาไว้บนที่จับทรงกลม มือนั้นเรียวสวย ดูผิวเผินไม่เหมือนคนมีพละกำลังมหาศาลด้วยซ้ำ
“พยายามกำให้แน่น” ซีเวียน่าบอก
นิ้วมือเรียวยาวกำเข้าหากันแน่น เข็มบนหน้าปัดเคลื่อนไปอยู่ตรงกลางแล้วหยุดนิ่ง
“ระดับเฉลี่ยของคนปกติ” ซีเวียน่ามุ่นคิ้ว “หนูน้อย เป็นไปไม่ได้ที่หนูจะมีแรงน้อยขนาดนี้ ที่หนูทำบนชั้นปีนแมวพวกนั้น ไม่มีทางทำสำเร็จด้วยแรงระดับนี้หรอกนะ ออกแรงอีกที อย่าให้กลไกความจำของร่างกายมาปิดกั้นเอาได้”
หลิงอีกะพริบตาปริบ ๆ แววตาว่างเปล่า คล้ายกำลังทำความเข้าใจอะไรบางอย่าง
เด็กน้อยกำมือแน่นขึ้น แท่งเข็มสั่นสะท้าน ก่อนจะหมุนติ้วรัวเร็ววนอยู่สองสามครั้ง!
“แบบนี้สิถึงจะถูก” ซีเวียน่าเอ่ยอย่างพึงพอใจ หันมองหลินซืออีกครั้ง คล้ายว่าเธอขยิบตาให้เขา “ดอกเตอร์ คุณคิดมากไปแล้ว เขาไม่ได้มีปัญหาสักหน่อย”
หลินซือขมวดคิ้วมุ่น
เขามั่นใจว่าหลิงอีต้องไม่แสดงพละกำลังระดับอย่างเมื่อครู่นี้ออกมาให้เห็นในชีวิตประจำวันแน่
เขาม้วนแขนเสื้อ เผยให้เห็นเพียงข้อมือ จากนั้นยื่นไปตรงหน้าหลิงอี “บีบฉัน”
หลิงอีคว้าข้อมือเขา แล้วออกแรงบีบอย่างว่าง่าย
จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นมองหลินซือ
สีหน้าหลินซือไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะถามว่า “…นายเป็นแมวหรือไง”
“ออกแรงแบบเมื่อกี้สิ” ซีเวียน่าคอยให้กำลังใจหลิงอีอยู่อีกด้าน “เครื่องมือแพทย์ของเราเจ๋งอยู่แล้ว ต่อให้หนูบีบจนเขากระดูกแหลกก็ไม่เป็นไร”
หลิงอีจึงตั้งใจออกแรงมากขึ้น
แต่ทว่าหลินซือยังคงสัมผัสได้เพียงเรี่ยวแรงเบาหวิวอย่างกับลูกแมวน้อย
“แปลกจัง” ซีเวียน่าถลกแขนเสื้อทหารของตัวเองขึ้นบ้าง “มา”
หลิงอีปล่อยมือ เหลือเพียงรอยแดงทิ้งไว้บนข้อมือขาวผ่องของหลินซือ
“มาจ้ะ…ออกแรงเลย” ซีเวียน่าใช้น้ำเสียงปลอบโยนเด็กน้อย
แต่ไม่นานเธอก็คุมน้ำเสียงปลอบโยนต่อไปไม่ไหว
“พอแล้ว หนูน้อย รีบปล่อยเร็ว…” เธอแสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน “ฉันว่ากระดูกฉันต้องแตกไปแล้วแน่ ๆ เลย!”
หลิงอีปล่อยมือ แววตาไร้ความรู้สึกผิด
ซีเวียน่าหอบหายใจด้วยความตระหนก วางข้อมือลงอย่างระวัง “พวกคุณรวมหัวกันหลอกฉันใช่ไหมเนี่ย”
หลินซือจ้องหลิงอี “ใช้แรงทั้งหมดแล้วจริงเหรอ”
หลิงอีพยักหน้า
หลินซือนึกย้อนไปถึงคราวนั้นตอนที่เขาไม่ได้ตอบกลับข้อความหลิงอีมาตลอดสองวัน ก็เลยถูกปฏิเสธตอนยื่นมือไปหมายจะกอดเด็กน้อยที่เศร้าซึมคอตก แม้ว่าจะโดนทั้งผลักไสทั้งทุบตีกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่ากลับไม่เกิดรอยฟกช้ำใด ๆ สักรอย
หากแต่ซีเวียน่ากลับได้รับบาดเจ็บหนัก เธอเองก็เป็นร่างดัดแปลงของ ‘limitless’ ระดับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อย่อมแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป
หลินซือคิดว่าความรู้ของตัวเองไม่อาจแก้ไขปัญหาข้อนี้ได้
เขาจึงเขียนสรุปเหตุการณ์แล้วส่งให้เซส
เซส ‘ผมมีไอเดียที่ดูบ้าบิ่นไปสักหน่อย’
หลินซือ ‘ว่ามาสิ’
เซส ‘ก่อนอื่นพวกคุณมาร่วมมือกับผม ทำการทดลองเล็ก ๆ นี้ด้วยกันสิ’
หลิงอีถูกปิดตาไว้
หลินซือยืนปะปนอยู่ในกลุ่มทหารที่กระจายตัวกัน
หลิงอีเดินสะเปะสะปะผ่านฝูงชนไป
กระทั่งมาถึงตำแหน่งที่อยู่ห่างจากหลินซือไปประมาณสามสี่เมตร ฉับพลันนั้นหลิงอีก็หยุดเดินสะเปะสะปะไปมาอย่างไร้จุดหมาย แต่มุ่งตรงไปยังทิศทางที่หลินซือยืนอยู่ด้วยความแม่นยำ แล้วพุ่งปรี่เข้าสู่อ้อมอกหลินซือ
หลินซือกอดตอบ ลูบหลังแล้วปลดผ้าผูกตาให้ “ทำไมรู้ล่ะ”
หลิงอีส่ายศีรษะ “ผมรู้สึกได้ว่าคุณอยู่ตรงนี้ครับ”
หลินซือตอบข้อความเซส ‘หาเจอแล้ว’
เซสตอบกลับ ‘ดอกเตอร์ ยินดีกับคุณด้วย คุณน่าจะได้ลูกสัตว์ที่มีพฤติกรรมการฝังใจ[2]ระดับยกกำลังอินฟินิตี้แล้วละ อินฟินิตี้!’
ผ่านไปสักพัก ก็มีคำอธิบายที่ค่อนข้างจริงจังส่งมาอีกข้อความ
‘เคยมีกรณีตัวอย่างก่อนหน้านี้ แล้วก็เคยพบในร่างกายสัตว์หลาย ๆ ชนิด ลูกสัตว์ที่อยู่ในขอบเขตที่จำกัดชัดเจน มีความใกล้ชิดแค่กับญาติร่วมสายเลือดที่โตกว่า มักได้รับอิทธิพลจากฟีโรโมนบางชนิดที่จนถึงตอนนี้พวกเราเองก็ยังไม่มีหลักฐานเชิงรูปธรรม ทำให้มันสูญเสียความก้าวร้าวไปหมดสิ้น ซึ่งหนูน้อยน่ารักก็มีสภาวะคล้ายคลึงกันมาก’
หลินซือลูบศีรษะของลูกสัตว์ตัวน้อย
เด็กน้อยก็โอนอ่อนผ่อนตาม
หลินซือมีความสุขมาก
สิ่งมีชีวิตน้อย ๆ ในอ้อมอกที่ยังมีลมหายใจและมีจังหวะการเต้นของหัวใจที่อบอุ่นเช่นนี้ ได้เข้ามาสร้างความผูกพันบางอย่างแก่เขาเสียแล้ว
นาทีนี้เขาอยากโอบกอดเด็กน้อยไว้ไม่ยอมปล่อย แม้ว่าความผูกพันนี้อาจเป็นเพราะยีนประหลาดบางอย่างที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของหลิงอีก็ตาม
[1] เกิดจากการประสมคำว่า Biology (ชีววิทยา) และ Electronics (อิเล็กโทรนิกส์) เข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นวิทยาการที่ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต และนำมาสร้างเครื่องจักร วงจรไฟฟ้า หรือปัญญาประดิษฐ์เพื่อนำมาใช้ร่วมกับสิ่งมีชีวิต อาทิ อุปกรณ์สวมใส่ซึ่งสามารถเชื่อมต่อ หรือควบคุมโดยระบบประสาทของสิ่งมีชีวิต
[2] พฤติกรรมการเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด เพื่อใช้จดจำสภาพแวดล้อมรอบตัวในช่วงแรกเกิด