曾是年少时
รักเธอตั้งแต่วันวาน
ชิงเหม่ย 青浼 เขียน
หนูน้อยฉี แปล
— โปรย —
“…อืม” อ้ายเจียออกแรงทาบทับตัวเธอ หลังได้ยินเสียงเธอร้องด้วยความตกใจ
เขาก็พึมพำว่า “ตอนนี้เธอต่างหากที่พยายามฆ่าฉัน”
จินหยางหัวเราะ
เธอพยายามผ่อนคลายท่ามกลางเสียงหัวเราะ
ก่อนยกลำตัวท่อนบนขึ้นแนบกับกายของเด็กหนุ่มโดยสมบูรณ์…
เธอลูบไล้กล้ามเนื้อแน่นตึงที่แผ่นหลังเขา
วินาทีที่สองหนุ่มสาวแนบเนื้อชิดใกล้กันแทบกลายเป็นเนื้อเดียว
เธอก็ได้ยินอ้ายเจียคำรามในลำคอคล้ายผ่อนคลายคล้ายครวญครางด้วยความเจ็บปวด
จากนั้นเด็กหนุ่มก็ปรนเปรอความหฤหรรษ์ให้เธออย่างใจเย็น
ด้วยความอ่อนโยนที่สุดท่ามกลางความยินยอมพร้อมใจของเธอเอง
“ได้ไหม”
“…อืม”
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
43
เวลาเดียวกันนั้น
ขณะที่พวกหนุ่มๆ ทีม YQCB พล่ามไร้สาระและคิดจะบีบผู้จัดการทีมให้สติแตกด้วยการกระทำที่สนิทสนมอย่าง “กอดจูบ” กันนั้น ในห้องติดกัน จินหยางอาบน้ำเสร็จแล้วและปีนขึ้นเตียงเรียบร้อย
ช่วงสนทนาระหว่างเพื่อนสาว
[แม่นางเฉิน : …มีเรื่องหนึ่งจะบอกเธอ] [ท่านเหยาสาวน้อยปลาเค็ม : บอกมาสิ] [แม่นางเฉิน : คือว่าเธอว่าการ์ตูนเรื่อง ทรามวัยกับไอ้ตูบ[1]น่ารักไหม] [ท่านเหยาสาวน้อยปลาเค็ม : สุนัขสองตัวดูดสปาเกตตีเส้นเดียวกันจนตอนหลังจุ๊บกันนั่นใช่ไหม ก็โอเคนะ ตอนเด็กๆ ฉันชอบดูมาก แต่พอโตแล้วกลับคิดมากเรื่องสุนัขคนละพันธุ์แต่มีลูกกันอาจดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่แทน…ทำไมเหรอ] [แม่นางเฉิน : การ์ตูนเรื่องนี้ทำให้เธอคิดถึงอะไร]ถงเหยาเงียบไปสามสิบวินาที ขณะจินหยางเฝ้ารอ เพราะคิดว่าถงเหยากำลังตั้งใจใคร่ครวญ เวลานั้นหน้าจอมือถือก็สว่างวาบ สายที่โทร.เข้ามาโชว์ว่า “เด็กน้อยเมล็ดแตง”
จินหยางลังเลชั่วครู่ก่อนกดรับสาย เสียงที่ดังจากทางปลายสายราวกับพยายามสะกดกลั้นความตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เธอพูด “ฮัลโหล” พร้อมหอบเบาๆ จากนั้นยิงตรงเข้าประเด็น…
“เธอคบกับอ้ายเจียแล้วเหรอ”
“…”
จินหยางตระหนกตกใจจนเกือบโยนมือถือทิ้ง
ปลายสายเริ่มพูดรัวไม่หยุดประหนึ่งกระสุนปืนกล…
“ฉันรู้สึกแต่แรกแล้วว่าระหว่างพวกเธอสองคนมีอะไรสักอย่าง อ้ายเจียเป็นใคร…คนที่ตั้งแต่จบชั้นประถมก็ไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษอีกเลย เธอลองคิดดูสิว่าตั้งแต่มัธยมต้นยันมัธยมปลายมีกี่คนที่คิดเพ้อฝันหวังโน้มน้าวเขาให้หวนคืนหลังปีกหัก[2] ไม่อย่างนั้นเขาคงเลือกเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือมหาวิทยาลัยชิงหวาตามใจชอบแล้ว”
“…”
“พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเขากลับเพิ่งคิดได้ว่าควรเรียนภาษาอังกฤษงั้นเรอะ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลยว่ามหาวิทยาลัยยังช่วยยกระดับความคิดและศีลธรรมของนักศึกษาได้ด้วย ฉันว่าที่เขายอมเรียน ไม่ใช่เพราะอยากขอเธอเป็นแฟนหรอกเหรอ!”
“…”
“ถ้าเธอเรียนเอกภาษาเยอรมัน เวลานี้เขาน่าจะร้องแรปเป็นภาษาเยอรมันแล้ว แต่นั่นอาจเป็นเพราะเขาหลงรักฟุตบอลเยอรมันเอามากๆ ก็เป็นได้…กู๊ดเทน ทาก[3]”
ตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวผู้หญิงเสียสติ สาวน้อยที่อยู่ปลายสายขำสิ่งที่ตัวเองพูด ฟังจากเสียงแล้วเหมือนเธอกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง “เด็กเรียนอย่างพวกเธอมักชอบเด็กเรียนเหมือนกัน เขาสรรหากลเม็ดมาจีบสาวได้เหมาะเหม็งมาก กดไลก์ให้สามร้อยหกสิบครั้ง”
จินหยางขยับมือถือออกห่างจากตัวพลางทำหน้ารังเกียจ คล้ายกลัวว่าภาวะปัญญาอ่อนอาจติดต่อกันผ่านสัญญาณโทรศัพท์ได้อย่างไรอย่างนั้น…และตอนนี้ในที่สุดเธอก็หาโอกาสพูดแทรกระหว่างที่ถงเหยาทอดถอนใจและพร่ำพูดไม่หยุดได้สักที “เด็กที่เรียนเก่งมาตลอดตั้งแต่เล็กจนเข้ามหาวิทยาลัยมักเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมากกว่า แล้วจะเรียกว่าใช้กลเม็ดได้ยังไง”
“ไม่จำเป็นเสมอไปหรอก ฉันสังเกตว่าตอนมัธยมปลายเธอไม่เคยได้รับช็อกโกแลตวาเลนไทน์เลย…จดหมายรักหน้าตาเป็นยังไงเธอรู้บ้างไหม เธอลองเดาดูสิว่าตอนที่ผู้ชายเขียนจดหมายรักจะเริ่มต้นด้วยคำว่า ‘สวัสดี’ แบบเดียวกับจดหมายทางการไหม”
“ไม่”
“แต่พวกเขาใช้คำนั้นจริงค่ะ คุณนางฟ้า” ตอนเฉลย ถงเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดายและขึ้นจมูกหน่อยๆ แฝงความรู้สึกของผู้ที่อยู่เหนือกว่า “ขอถามอีกข้อนะ เธอเลือกที่จะไม่ตอบก็ได้…แต่ถ้าไม่ตอบหลังจากนี้ฉันจะเซ้าซี้ถามไม่หยุดจนความถี่ของมันจะแทนที่คำถามอย่าง ‘กินข้าวรึยัง’ คำถามก็คือพวกเธอสองคนถึงขั้นไหนกันแล้ว”
“…”
“ตอบมาสิ”
“พวกเราหารือเรื่องคบกันบนหลังรถบรรทุก พอเข้าใจตรงกันแล้วก็ปีนลงจากรถ เขาจุ๊บเปลือกตาฉันหนหนึ่ง”
ถงเหยานิ่งเงียบเพราะขวยเขินชั่วครู่ เธอพยายามอยู่นานกว่าจะเค้นคำถามออกมาได้ “บนหลังรถบรรทุกเหรอ ทำไมถึงไปอยู่บนหลังรถบรรทุก พวกเธอสองคนรู้จักเล่นนะเนี่ย”
สาวน้อยอายุสิบเจ็ดสิบแปดมักกระตือรือร้นกับเรื่องซุบซิบนินทามากเป็นพิเศษ
อ้ายเจียเป็นคนดังของโรงเรียนมัธยมแห่งมหาวิทยาลัย T ในขณะที่เพื่อนสนิทของเธอคบหากับเขาแล้ว…
จะว่าไปก็ได้หน้าได้ตาสุดๆ เหมือนว่าพอมีความสัมพันธ์นี้แล้ว คะแนนวิชาคณิตศาสตร์ของถงเหยาจะพุ่งขึ้นสามสิบคะแนนโดยไร้สาเหตุ และเธอไม่จำเป็นต้องกลัวเหล่าอันธพาลโรงเรียนข้างๆ ที่ชอบยืนดักอยู่หน้าประตูโรงเรียนอีกแล้ว!
ถงเหยาตื่นเต้นดีใจครามครัน
ทว่าความตื่นเต้นดีใจของถงเหยาตรงข้ามกับจินหยางสุดขั้ว ถึงกับทำให้จินหยางสงสัยว่าตัวเธอมีนิสัยเย็นชาหรือเปล่านะ…เธออยากบอกเล่าให้ใครสักคนฟังว่าเธอมีแฟนแล้ว…แต่ทำไมคนที่เธอแบ่งปันข่าวนี้กลับกระโดดโลดเต้นไปมา ดูตื่นเต้นยิ่งกว่าเธอเสียอีก
ผิดกับเธอที่สงบนิ่งมาก
เหมือนประโยคที่เธอพูดตอนเกาะอยู่ข้างรถบรรทุกนั่นแหละ ทุกอย่างเป็นไปตามปกติราวกับว่าในใจของเธอยอมรับว่าพวกเขาทั้งคู่คบหากันนานแล้ว
ตอนเขาขยับเข้ามาใกล้ ใจเธอเต้นกระหน่ำ ใบหน้าใบหูแดงก่ำ สูดดมกลิ่นกายเขาอย่างระมัดระวัง และรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นปลอดภัย…
ผิดเป็นคนละคนกับเด็กหนุ่มที่กะพริบตาเฉลี่ยสิบวินาทีต่อครั้งพร้อมยิ้มสำราญใจ
ทั้งคู่คุยกันเรื่องทั่วไป ขณะคุยเขาเอาแต่จ้องหน้าเธอ จากนั้นยกยิ้มมุมปาก ทำหน้าปานสุนัขพันธุ์ซามอยด์[4]
คล้ายป่วยเป็นโรคโหยหาสกินชิพ[5]หรืออะไรสักอย่าง ตลอดทางตั้งแต่ออกจากสนามมหกรรมแข่งอีสปอร์ตระดับโลกกลับถึงโรงแรม เขาขยับขาเขาเข้าใกล้ขาเธออย่างระมัดระวัง เขาอาจคิดว่าตัวเองทำได้แนบเนียนมากแล้ว แต่จินหยางยังคงเห็น แค่ไม่ได้เปิดโปงเขาก็เท่านั้น
ระหว่างเดินทางกลับ รถติดนิดหน่อย ใช้เวลาเดินทางรวมหนึ่งชั่วโมงสามสิบห้านาที นับแต่นาทีที่สิบห้า เขาก็กุมมือของเธอไว้ ฝ่ามือเขาอุ่นมีเหงื่อซึมออกมา…
เด็กหนุ่มทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติขนาดนี้
แต่จินหยางกลับพบว่าตัวเธอเองไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไร
พูดกันตามตรง เธองงงวยนิดหน่อย
“ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ทั้งๆ ที่ดีใจมากแต่เหมือนว่าพอเทียบกับเขาแล้ว ฉันรู้สึกว่าฉันดีใจไม่มากพอ…” จินหยางถือมือถือขณะนอนราบกับเตียง พูดอย่างกลัดกลุ้ม “ฉันเพิ่งคบกับแฟนนะ สภาพแบบนี้ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่…ไหนว่าเดือนแรกที่เพิ่งคบกัน สองฝ่ายแทบต้องตัวติดกันใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันถึงจะมีความสุขยังไงล่ะ ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกแบบนั้น”
“เธอจะไม่รู้สึกได้ยังไง”
“คงไม่ใช่ว่าความจริงแล้วฉันไม่ได้ชอบเขาหรอกนะ” จินหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฉันเข้าใจผิดไปเองเหรอ”
คนปลายสายเงียบไปหลายวินาที
ก่อนเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “เธอชอบเขา”
จินหยางร้อง “อ้อ” แล้วลุกขึ้นขยับนั่งตัวตรง “อย่าเอาแต่พูดไปเรื่อยสิ ชี้แจงให้ฟังด้วย”
“เธอไม่รู้จริงเหรอ”
“ไม่รู้”
“ถ้าเธอไม่ชอบเขา เธอจะเอาแต่จ้องหน้าเขาแล้วพบว่าหน้าเขาเปลี่ยนสีเฉลี่ยสิบวินาทีต่อครั้งเหรอ สองคนนั่งข้างกัน การที่ขาชนกันปกติจะตายไป ตอนฉันนั่งรถเมล์ ป้าข้างๆ ก็เอาขามาถูขาฉันทุกวัน ทำไมฉันไม่เห็นจินตนาการว่าเป็นนิยายโรแมนซ์บ้างเลยล่ะ ตอนขากลับ รถติดนิดหน่อย ใช้เวลาเดินทางรวมหนึ่งชั่วโมงสามสิบห้านาที เขาจับมือเธอนาทีไหนวินาทีไหน เธอยังจำได้แม่นขนาดนี้ ยังงี้แล้วเธอยังบอกฉันว่าเธอไม่ชอบเขางั้นเรอะ”
“…อา”
“อาบ้าอะไรของเธอ สาวน้อย ไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบเขา แค่ตัวเธอตกลงไปในแม่น้ำแห่งรักแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าจะแหวกว่ายน้ำยังไง…เธอเลยพยายามเกาะตลิ่งไว้ แล้วหลอกตัวเองว่าเธอไม่ได้ตกลงไป”
“…”
จินหยางรู้สึกว่าถงเหยาพูดมีเหตุผล
แม้การที่เด็กอายุสิบเจ็ดปีสั่งสอนเธอจะทำให้เธอรู้สึกไม่ดีก็ตาม…
แต่สิ่งที่เพื่อนซี้พูดก็เหมือนมีเหตุผลอยู่บ้าง
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ฉันควรทำยังไงดี” จินหยางกลิ้งบนเตียงรอบหนึ่งก่อนมุดเข้าโปงผ้าห่ม
“ปล่อยมือ” ปลายสายพูดเสียงเย็น “ให้ตัวเองลอยล่องไปตามคลื่นแม่น้ำ ต่อให้สุดท้ายต้องจมน้ำตายก็เถอะ”
จินหยางไม่เข้าใจว่า “การปล่อยมือให้ตัวเองจมน้ำตาย” ที่ว่าคือการกระทำแบบไหน
ทว่าเธอก็ไม่มีหน้าไปปรึกษาเรื่องนี้กับใครอื่นเป็นคนที่สอง หลังถงเหยาหัวเราะเยาะอย่างบ้าคลั่งและตัดสายไปนั้น จินหยางเพิ่งรู้สึกตัวว่าคืนนี้เพื่อนนักเรียนมัธยมปลายคนนี้ของเธอคล้ายเหิมเกริมมากมาย…
ละม้ายพวกเธอสลับบทบาทกัน และครั้งนี้จินหยางที่เคยเป็นผู้อยู่เหนือกว่า ที่เคยเป็นคนหัวเราะเยาะถงเหยาก็กลายเป็นเด็กโง่งมที่ถูกสั่งสอนจนตัวสั่นเทิ้มแทน
สำหรับเรื่องนี้จินหยางไม่มีอะไรจะพูด แม้ภายนอกแสดงออกว่าต่อต้าน แต่ภายในใจแอบเห็นด้วยกับเพื่อน ถงเหยาพูดถูก
…ความรู้สึกนี้ทำให้คนรู้สึกไม่ดีเลย
ทว่าเรื่องที่ทำให้คนไม่พอใจยิ่งกว่าก็คือ วันถัดมาเจ้าเด็กแสบอ้ายเจียไม่รู้ไปกินอะไรผิดสำแดง พอเห็นหน้าเธอแล้ว แววตาเขาเจือยิ้มระคนมีลับลมคมในแฝงเลี่ยงหลบอยู่หน่อยๆ…
สำหรับเรื่องนี้ ปฏิกิริยาแรกของจินหยางก็คือ บ้าเอ๊ย วันนี้ฉันทาลิปสติกผิดเบอร์เหรอ
ปฏิกิริยาที่สองก็คือ บ้าเอ๊ย เมื่อคืนมีคนได้ยินเรื่องที่ฉันโทร.คุยกับถงเหยาเหรอ
ไม่อย่างนั้นทำไมจู่ๆ เขาถึงเป็นแบบนี้
นี่ออกจะแปลกพิกลแล้วจริงๆ
จินหยางพยายามข่มความหงุดหงิดในใจ อัดอั้นอยู่เงียบๆ ตั้งแต่โรงแรมจนถึงสนามบิน…ระหว่างนั้นอ้ายเจียยังคงนั่งอยู่ข้างเธอ เพียงแต่ตอนที่ทั้งคู่คุยกันนั้น พวกเขาต่างใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว จินหยางรู้สึกแจ่มแจ้งถึงความผิดปกติ เธอถึงกับรู้สึกละอายใจนิดๆ
แต่จะให้เธอยอมปิดปากเงียบ ปล่อยให้อ้ายเจียหลบตาเธอแบบนี้ เพียงเพราะเธอละอายใจน่ะเหรอ
ไม่ได้
เธอมักเป็นคนชั่วที่ชอบฟ้องร้องก่อน[6]…
“เมื่อคืนนายทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อฉันหรือเปล่า” จินหยางแสร้งถามระหว่างที่พวกเขานั่งอยู่ในเลานจ์รอบินกลับเมือง S
ตอนนั้นจินหยางรู้สึกได้ว่าคนข้างกายเงียบไปครู่หนึ่ง หัวใจเธอเต้น “ตึ้กตั้ก” พลางตื่นตะลึงมองอ้ายเจีย ยากที่จะทำใจให้เชื่อ คืนแรกที่พวกเขาคบกันหรือถ้านับกันจริงๆ แค่สองชั่วโมงหลังจากพวกเขาคบกัน อ้ายเจียก็ทำเรื่องไม่ดีแล้วเหรอ
ต่อให้เรื่องแบบนี้จะถือว่าเป็น “นิสัยชั่วโดยทั่วไปของผู้ชาย” แต่ก็ไม่ควรชั่วขนาดนี้มั้ง!
“เขาไม่ได้ทำอะไร” อ้ายเจียยังเงียบงัน ผิดกับเหลียงเซิงที่นั่งอยู่ด้านขวาของจินหยางตอบเสียงเรียบแทน ขณะก้มหน้าเล่นมือถือ เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองด้วยซ้ำ “แค่ถูกฉันจูบเลยเริ่มสงสัยชีวิตของตัวเอง”
จินหยาง “????”
เสี่ยวเซียนที่นั่งอยู่ทางขวาของเหลียงเซิงโน้มตัวลงมาหาจินหยาง สีหน้าจริงจังขณะเอ่ย “เป็นเรื่องจริง ฉันเห็นกับตา ทำฉันเป็นตากุ้งยิงด้วย”
“…และแล้วผู้เล่นสำรองคนนี้ก็พบว่าตัวเองมีรสนิยมทางเพศเบี่ยงเบนงั้นเรอะ” จินหยางหันมองอ้ายเจียทางซ้ายของเธอ อ้ายเจียนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา สองตามองตรง คล้ายจมอยู่ในภวังค์ความคิด จินหยางพูดใส่เขา “ฮัลโหล มีใครอยู่ไหมคะ”
ขณะที่จินหยางมีสีหน้าใคร่รู้ จังหวะนี้เองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ทางซ้ายของเธอก็ขยับตัว…อ้ายเจียโน้มตัวลงมาจุ๊บหน้าเธอหนึ่งที
“?”
จินหยางสีหน้างุนงงขณะหันมองเขา เด็กหนุ่มหลุบตาลง น้ำเสียงค่อนข้างแหบพร่า “ฉันเป็นชายแท้”
แววตาเขาระยิบระยับคล้ายตื่นเต้น
จินหยางยกมือจับหน้าตัวเอง ก่อนชายตามองอ้ายเจียผาดหนึ่ง เธอห้ามตัวเองไม่ให้ด่าเขาว่าไอ้โรคจิตได้สำเร็จ
ทว่าเธอพบว่าความเงียบของเธอราวกับนำความสุขมาให้เจ้าเด็กเกรียน เพราะหลังจากเขาจ้องเธอหลายวินาทีแล้ว เขาก็ยิ้มอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มอย่างสุนัขพันธุ์ซามอยด์นั่นแหละ
จินหยางขนลุกซู่ไปทั่วร่างเพราะรอยยิ้มนี้ของเขา เธอได้แต่ก้มหน้าเล่นมือถือแทน อ้ายเจียนั่งอยู่ข้างเธอ ปิดปากเงียบ ท่าทางเรียบร้อยว่าง่ายราวหนุ่มเบื้อใบ้หูหนวก…
ดังนั้นจินหยางเลยไม่รู้ว่าความจริงแล้วภายในกลุ่มแชตของทีม YQCB ขณะนี้…ครึกครื้นประหนึ่งเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน
[เมจิกเกิร์ลอ้ายเจีย : อ๊าๆๆ อ๊าๆๆ ฉันจุ๊บเธอแล้ว พวกนายเห็นไหมว่าเธอไม่ขัดขืน นี่หมายความว่าเธออยากแต่งงานกับฉัน ใช้ชีวิตร่วมกับฉันไปทั้งชาติรึเปล่า!!!!] [เหลียงเซิง : …] [เสียวหน่วน : …] [หรงหรง : …] [รุ่ยถ่า : …] [เสี่ยวเซียน : จบสิ้นแล้ว เซ็นสัญญาจ้างคนบ้ามาแข่ง สงสารตัวเองจัง]
ภายหลัง
จินหยางพยายามสงบอารมณ์หลากหลายที่บรรยายไม่ถูกไว้จนเธอและอ้ายเจียกลับถึงเมือง G ไม่นานเธอก็กลับคืนสู่ชีวิตปกติทั่วไปของตัวเองอีกครั้ง…
นี่หมายความว่าในที่สุดจินหยางก็มีเวลาถกเถียงกับตัวเองถึงเรื่องที่ “ฉันชอบเขา” กับ “ความจริงฉันไม่ชอบเขา” อย่างจริงจังแล้ว…
อีกด้านหนึ่ง
เมื่อจินหยางยืนกราน “หนีออกจากบ้าน” สามวัน ปฏิเสธการรับเงินจากทุกช่องทางแล้ว วันที่สี่เธอก็รับสายจากพ่อของเธอชวนคุยเรื่องอื่น นอกเหนือจากถามไถ่ตามปกติทั่วไป ในสายโทรศัพท์พ่อเฉินเหมือนยอมพักเรื่องไปเรียนต่อต่างประเทศของลูกสาวไว้ก่อน แล้วค่อยว่ากันภายหลัง เขาให้เธอสอบพวกวัดระดับภาษาอังกฤษที่ควรสอบให้เรียบร้อยก่อน ตามด้วยกำชับเธอให้กินข้าวให้ดี อย่าเล่นอะไรแผลงๆ อีก
จินหยางวางสายแล้วไปตรวจสอบจำนวนเงินในบัตรที่ธนาคาร ในบัตรมีเงินเพิ่มขึ้นแสนหยวน สำหรับผลลัพธ์นี้เธอถือว่าพอใจอยู่บ้าง
หลังเธอบอกเรื่องนี้ให้แฟนหนุ่มของเธอฟัง แฟนหนุ่มของเธอเงียบกริบนานถึงหนึ่งคาบเรียนก่อนบอกว่าเธออาศัยความรักขูดรีดพ่อของตัวเอง
จินหยางครุ่นคิดสักพัก ค่อยตอบเขาว่า ฉันโตจนถึงป่านนี้ นอกจากเรียนหนังสือแล้วฉันก็ถนัดแค่เรื่องพรรค์นี้
อ้ายเจียหมดคำพูด หลังพิมพ์ตอบโต้กันอย่างหวานเลี่ยนในวีแชตสักพัก ทั้งคู่ก็นัดกันกินข้าวหลังเลิกเรียน
จินหยางอ่านพวกประโยค [อีกเดี๋ยวเธอจะมาหาหรือให้ฉันไปหา] [ช่างเถอะฉันไปแล้วกัน ฉันกลัวเธอเหนื่อย] [คาบนี้ของเธอเป็นคาบเสรีเหรอ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ฉันนั่งกับเธอที่ห้องบรรยายดีไหม] [ฉันเองก็เรียนคาบเสรี เรียนที่ไหนก็ถือว่าเป็นคาบเสรีเหมือนกัน]…ของเขาที่เด้งมาทีละประโยคๆ ไม่หยุดหย่อน…
จินหยางยิ้มชั่วครู่
ก่อนขมวดคิ้วอีกครั้ง
เธอไม่รู้อีกแล้วว่าควรตอบอย่างไรดี
สุดท้ายเลยได้แต่พิมพ์ตอบไปว่า [นั่งในห้องบรรยายของนายไปเถอะ ฉันเลิกเรียนก่อน เดี๋ยวฉันไปหานายที่ห้องบรรยายของนายเอง] ตัวอักษรที่เธอพิมพ์ค่อนข้างดุ ทางด้านเด็กแสบเลยได้แต่ตอบรับอย่างห่อเหี่ยวว่า [อืม]…
แม้พิมพ์ผ่านมือถือ แต่จินหยางก็ยังรู้สึกว่าหูสุนัขของเขาลู่ลงแล้ว
ท้องไส้ของจินหยางปั่นป่วนเป็นครู่ก่อนเริ่มนั่งไม่ติดยืนไม่อยู่…หลังฝืนทนจนเหลือเวลาอีกสิบนาทีจะหมดคาบที่สอง เธอก็เริ่มเก็บข้าวของบนโต๊ะ เดิมค้อมหลังเตรียมย่องออกทางประตูหลัง…
เซี่ยเหมียวที่นั่งอยู่ตรงประตูแปลกใจ “เธอจะไปไหนน่ะ”
จินหยางที่ค้อมหลังย่องไปถึงหน้าประตูชะงักค้าง “…กินข้าว”
เซี่ยเหมียวเลิกคิ้ว “หิวขนาดนี้เลยเรอะ”
จินหยาง “…อืม”
จากนั้นก็กอดกระเป๋าวิ่งออกไป
สิบนาทีต่อมา จินหยางสวมหูฟังฟังคลิปเสียงภาษาอังกฤษขณะยืนอยู่หน้าประตูคณะวิศวกรรมโยธาและวิศวกรรมชลประทานก่อนเดินวนไปวนมา ในสมองมีแต่ “บ้าเอ๊ย แค่คบแฟนทำไมถึงได้ยากเย็นขนาดนี้” “สรุปว่าฉันชอบเขาหรือเปล่าเนี่ย” “โอ๊ย ถ้าฉันไม่ชอบเขา ไม่ใช่ว่าเขาน่าสงสารสุดๆ เลยเหรอ”…
ต่อมาเสียงออดหมดเวลาเรียนก็ดังขึ้น นักศึกษาทยอยเดินออกมาด้านนอก
จินหยางหงุดหงิดที่รู้ตัวว่าต่อให้เวลานี้เธอฟังคลิปเสียงภาษาอังกฤษอยู่ก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้ เธอครุ่นคิดอย่างจริงจังว่ากลับไปแล้วเธอจะโหลด “ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร[7]” มาฟังดีไหม
เวลานี้รอบข้างเริ่มคึกคัก จินหยางไม่อยากยืนอยู่หน้าประตูดุจคนโง่ เธอเลยเดินปะปนในหมู่นักศึกษา ก้าวเดินสวนกระแสคนตรงไปทางตัวตึก ขณะเยี่ยมหน้ามองหาเด็กแสบในกลุ่มคนและพยายามทบทวนว่าอ้ายเจียบอกว่าเขาเรียนวิชาเสรีที่ชั้นไหนนั้น เธอก็ได้ยินเสียงใสของผู้หญิงด้านหน้าห่างจากเธอสามร้อยเมตรร้องเรียก “อ้ายเจีย”
จินหยางหยุดฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว เธอหันไปตามทิศทางของต้นเสียง ครั้นเงยหน้ามองก็เป็นดังคาด เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยอยู่ที่ขั้นบนสุดของบันได…
เดิมเด็กหนุ่มถือกระเป๋าเป้ไว้ นิ้วก้อยเกี่ยวถุงพลาสติกใส่หมั่นโถวที่กินจนเหลือแค่ครึ่งลูก อีกมือหนึ่งกุมมือถือ ก้มหน้าจิ้มอะไรอยู่ไม่รู้ขณะจะสาวเท้าลงบันได พอถูกเรียก เขาก็หันมองด้วยความงุนงง
บนบันไดที่สูงขึ้นไปหนึ่งขั้น เด็กสาวผมยาวประบ่าวิ่งลงมาเร็วรี่ เธอวิ่งเร็วจี๋ และไม่รู้ว่าเพราะเหตุนี้หรืออะไร แก้มขาวเนียนของเธอเวลานี้แดงระเรื่อ เธอยื่นมือไปยัดถุงซาลาเปาที่ยังร้อนอยู่ด้วยไม่รู้ว่าอบไว้ในกระเป๋าหลังซื้อมานานแค่ไหนแล้วใส่มือของอ้ายเจีย “นายรับนี่ไป มีไส้ถั่วแดงกับไส้เนื้อ อย่าเอาแต่กินหมั่นโถว!”
การกระทำของเจ้าหล่อนค่อนข้างรีบร้อน ดูเหมือนตื่นเต้นมาก…คนรอบข้างเริ่มแซว ขณะผู้หญิงคนนั้นอุทาน “ไอ้หยา” ออกมาอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ไม่ยอมให้พวกเขาหัวเราะเธอ
อ้ายเจียถือถุงใส่ซาลาเปาสีหน้างุนงงและตั้งตัวไม่ทัน จวบจนผู้หญิงหน้าแดงก่ำคนนั้นวิ่งปรู๊ดจากไปแล้ว เขายังทำท่าคล้ายไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอยู่เลย
“…”
จินหยางมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นสีหน้าเฉยชา เธอถอดหูฟังออกแล้วยัดใส่กระเป๋าเป้
หลังเงียบไปสามวินาที เธอก็หมุนตัว สาวเท้ายาวไปด้านนอก
ทุกฝีก้าวคล้ายกอตซิลลาที่เพิ่งขึ้นจากทะเลมาย่ำเหยียบบนถนนในโตเกียวอย่างไรอย่างนั้น…และคล้ายว่าเธอกำลังสวมรองเท้าส้นแหลมย่ำเหยียบหน้าของอ้ายเจียอยู่ใต้ฝ่าเท้าแต่ละก้าว
[1] ภาพยนตร์เพลงของวอลต์ดิสนีย์ ออกอากาศครั้งแรกปี ค.ศ. 1955
[2] หมายถึง การหวนกลับมาพร้อมจิตใจย่ำแย่หลังจากที่ทำความใฝ่ฝันให้เป็นจริงไม่สำเร็จ เป็นส่วนหนึ่งของกลอนในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้
[3] Guten Tag ภาษาเยอรมัน แปลว่า สวัสดี(ตอนกลางวัน)
[4] Samoyed เป็นสุนัขขนาดกลาง ขนขาวหนาฟู มีถิ่นกำเนิดแถบไซบีเรีย รัสเซีย
[5] Skinship มาจากคำว่า Skin (ผิวหนัง) กับ Relationship (ความสัมพันธ์) เป็นความสัมพันธ์ผ่านการสัมผัสในรูปแบบต่างๆ ไม่จำกัดเพศ อายุ หรือความสัมพันธ์ เช่น ชอบกอดเพื่อน ชอบสัมผัสร่างกายแฟน บางคนอาจถึงขั้นเสพติด
[6] หมายถึง คนที่กระทำผิดหรือไม่มีเหตุผลชิงฟ้องหรือพูดก่อน
[7] คือพระสูตรที่สำคัญและเป็นที่นิยมมากของพุทธศาสนานิกายมหายาน