曾是年少时
รักเธอตั้งแต่วันวาน
ชิงเหม่ย 青浼 เขียน
หนูน้อยฉี แปล
— โปรย —
สำหรับจินหยางแล้ว ที่น่าเสียดายที่สุดน่าจะเป็นเรื่องที่เวลานี้เธอไม่ได้อยู่เคียงข้างเขา
อย่างน้อยถ้าอยู่ข้างๆ เขาก็พอจะมอบอ้อมกอดที่อบอุ่นให้เขา
หรือไม่ก็ตบไหล่เขาเงียบๆ ได้
พวกเราควรเรียนรู้หลักการหนึ่งตั้งแต่เนิ่นๆ นั่นก็คือ
อีสปอร์ตไม่ได้มีชัยชนะและเกียรติยศอยู่เคียงข้างตลอดเวลา
ยิ่งเสียงปรบมือในจุดที่สว่างไสวดังมากเท่าไหร่
เงาดำหลังแสงก็จะยิ่งมืดมนมากเท่านั้น
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
75
บางทีอาจต้องย้อนเวลากลับไปเมื่อหกชั่วโมงก่อน
วันนี้เป็นวันที่สิบเก้าเดือนสิงหาคม ยามเช้าแสงแดดจัดจ้า ถงเหยาลืมตาขึ้น ตอนผลักเปิดหน้าต่าง เธอได้ยินเสียงนกร้องด้านนอก วันนี้ของถงเหยาเริ่มต้นอย่างสวยงาม…
เวลานี้เธอคิดว่าวันนี้น่าจะเป็นวันที่ไม่เลว
เธอทำกิจกรรมตามปกติ ลุกขึ้นมาวิ่งตอนเช้า อาบน้ำ กินข้าวเช้า ในขณะที่มุมปากอาจยังมีกลิ่นนมหลงเหลืออยู่บ้าง เธอก็กลับห้องตัวเองอย่างพึงใจ เธอเห็นคอมพิวเตอร์ยังเปิดอยู่ บนหน้าจอมีไอคอนไฟล์ไมโครซอฟเวิร์ดกระจัดกระจายอยู่จำนวนหนึ่งและไฟล์เอกสารศึกษาด้วยตัวเอง…
และมีไอคอนของเกมออร์เดอร์ออฟสตรอม
เมื่อเห็นโลโก้เกมสีฟ้านั่น เธอก็นึกถึงเด็กเกรียนที่อาศัยอยู่ข้างบ้านเธอตามสัญชาตญาณ…ก่อนเพื่อนรักเฉินจินหยางจะทำเรื่องชวนตกใจจนทำให้คนอ้าปากค้างจนกรามหลุดด้วยการคว้าอันธพาล (บางทีควรเรียกว่าหัวหน้าอันธพาล) มาเป็นแฟน ถงเหยาคิดมาโดยตลอดว่าเจ้าเด็กเกรียนข้างบ้านเธอคือคนที่ไม่ได้เรื่องที่สุดในโลกใบนี้
เธอปิดคอมพิวเตอร์ เลื่อนสายตาลงมาที่โต๊ะ บนนั้นมีแบบฝึกหัดหลายแผ่นที่ทำไปได้ครึ่งหนึ่งกางอยู่ นั่นคือการบ้านปิดเทอมฤดูร้อนของเด็กมัธยมปลายปีสองของโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งมหาวิทยาลัย T…ถงเหยายืนอยู่ที่เดิม เบิกตามองแบบฝึกหัดกองนั้น ลังเลห้าวินาที แล้วแน่ใจอย่างยิ่งว่าตัวเองไม่อยากทำการบ้านพวกนี้ซ้ำอีกรอบหนึ่ง… (เพราะภาคเรียนก่อนเพราะเจี่ยนหยางไม่ได้ส่งการบ้านปิดเทอม เปิดเทอมใหม่เลยถูกปฏิเสธการลงทะเบียนเรียน ถงเหยาจึงจำต้องช่วยเขาเร่งทำการบ้าน นับเป็นการทำการบ้านปิดภาคเรียนที่มีเนื้อหาเดียวกันเป็นครั้งที่สอง)…
ปิดเทอมฤดูร้อนจวนจะสิ้นสุดลงแล้ว เธอมีลางสังหรณ์ว่าเจี่ยนหยางอาจยังไม่ได้หยิบการบ้านปิดเทอมฤดูร้อนออกจากกระเป๋าเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้นเธอเลยเก็บแบบฝึกหัด แล้วหอบกองแบบฝึกหัดที่ทั้งทำเสร็จแล้วและยังทำไม่เสร็จ ปากคาบถุงนมเปรี้ยว มือหิ้วกระเป๋าเครื่องเขียนไปกดออดบ้านข้างๆ
ไม่นานประตูก็เปิดออกจากด้านใน ถงเหยามองเจี่ยนหยางที่เห็นได้ชัดว่ายังไม่ตื่นนอนดี ใช้ไหล่ดันเขาออก แทรกตัวเข้าไปด้านใน เธอแหงนหน้าเชิดอกเดินดุ่มๆ ตรงไป เจี่ยนหยางเดินตามหลังเธอ เกาหัวพลางโอดครวญว่า “มาทำอะไรเช้าขนาดนี้เนี่ย เมื่อคืนฉันลงแรงก์ยันตีสาม…ตอนนี้แค่เห็นเกมก็อยากอ้วกแล้ว ไม่เล่นเกมนะ”
ถงเหยาเวลานี้เดินเข้าบ้านแล้ว เธอได้ยินเสียงปิดประตูทางด้านหลังและเสียงหาวหวอดอย่างเกียจคร้านของเจี่ยนหยาง
เธอหมุนตัวไปมองเด็กหนุ่มที่หาวไปได้ครึ่งหนึ่งด้านหลังเธอ แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “วันนี้ไม่เล่นเกม พวกเรามาทำการบ้านปิดเทอมฤดูร้อนกันเถอะ”
เธอพูดแล้วเห็นเจี่ยนหยางชะงักค้างที่ท่าหาว ท่าทางเขากระอักกระอ่วน เอามือลงพลางกะพริบตาปริบๆ มองเธอก่อนร้อง “อ้อ” ราวกับคนความรู้สึกช้า เขาพูดทิ้งท้ายประโยคหนึ่งว่า “เธอรอแป๊บหนึ่งนะ” แล้วหมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำ
…ถงเหยาฉงน เขาคงไม่เข้าใจที่เธอพูดแม้แต่น้อย เธอพอจะรู้จักเจี่ยนหยางอยู่บ้าง
ถงเหยาไม่โมโห เธอนั่งลงที่โซฟาห้องรับแขก วางกระเป๋าเครื่องเขียน รูดซิปเปิด ควานหาถุงนมเปรี้ยวอีกถุงในนั้นก่อนวางลงข้างมือตัวเอง จากนั้นก็ฟังเสียงน้ำในห้องน้ำไหลอย่างอดทน
…
สิบนาทีต่อมา เจี่ยนหยางเดินออกมายืนตรงหน้าถงเหยา สีหน้าท่าทางคล้ายอยากพูดอะไร…เวลานี้ถงเหยาที่ไม่คิดมากยื่นถุงนมเปรี้ยวที่ยังเย็นอยู่บ้างให้เขา “นักวิทยาศาสตร์วิจัยมาแล้วว่าคนที่ไม่ได้กินข้าวเช้ามีอายุขัยเฉลี่ยน้อยกว่าคนทั่วไปห้าปี ถ้าคำนวณจากอายุของนายตอนนี้ รวมถึงความเคยชินที่ไม่กินข้าวเช้าแล้ว นายอาจตายเร็วกว่าคนทั่วไปปีสองปี…แต่ไม่ต้องสิ้นหวังขนาดนั้น ‘สามารถหยุดความเสียหายได้ทันท่วงที’ ใช้สำนวนนี้ในเวลาแบบนี้แหละ”
เจี่ยนหยางรับถุงนมเปรี้ยว ไม่ได้ใช้หลอดแต่กัดถุงขาดเป็นรูแทน…หลังกระดกดื่มอึกใหญ่แล้ว เขาก็เอื้อมมือไปดึงถงเหยาขึ้นมาจากโซฟา “เมื่อกี้เธอพูดว่าไงนะ”
ตัวเขายังมีไอเย็นจากน้ำเย็นและส่งผ่านไปยังตัวของถงเหยา
ยามนี้ถงเหยาก้มลงเก็บพวกแบบฝึกหัดที่เธอวางไว้บนโต๊ะชั่วคราว…
“ฉันพูดว่าการบ้านปิดเทอม” ถงเหยาทวนอีกครั้งอย่างอดทน เวลาเดียวกันเธอก็เชิดหน้า พูดสั่งสอนและเตือนเขาด้วยท่าทางแบบที่เด็กดีคนหนึ่งพึงกระทำ “นายคงไม่คิดจะรอให้เปิดเทอมแล้วค่อยเรียกฉันมาช่วยนายทำการบ้านอีกหรอกนะ ฉันขอบอกนายว่าครั้งนี้ฉันไม่มีทางใจอ่อนแน่…”
เจี่ยนหยางดึงเธอเข้าห้องนอน
ถงเหยามือหนึ่งหอบแบบฝึกหัดกับกระเป๋าเครื่องเขียนไว้ ปล่อยให้เขาดึงเธอตามอำเภอใจ ก่อนงอปลายนิ้วถูๆ ฝ่ามือของเขา…เจี่ยนหยางรู้สึกได้ เขาเบือนหน้ากลับมามองเธอ
เธอฉีกยิ้มให้เขาอย่างหน้าไม่อาย แก้มขาวเนียนถูกย้อมเป็นสีชมพูสวย
เวลานี้ทั้งคู่เดินเข้าห้องนอน ขณะที่ถงเหยายังไม่ทันหุบยิ้ม เธอก็ก้มหน้าเห็นกระเป๋าเดินทางที่เปิดออกกว้างกลางห้องนอนของเจี่ยนหยางพอดี…ความจริงห้องนอนเขาดูคล้ายเพิ่งโดนขโมยบุกรุก ประตูตู้เสื้อผ้าอ้าออก ลิ้นชักเปิดค้างไว้ครึ่งหนึ่ง มีกางเกงในกับถุงเท้าหลายคู่พาดออกมา เสื้อผ้าฤดูร้อนวางกระจัดกระจายเกลื่อนเตียง บนโซฟา…
และมีบางส่วนถูกยัดใส่กระเป๋าเดินทางแล้ว
ถงเหยากะพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจว่านี่หมายความว่าอย่างไร เธอหมุนตัวไปถามเจี่ยนหยางอย่างแปลกใจพร้อมมองสำรวจเขาขึ้นลงรอบหนึ่ง “นี่อะไร นายจะไปข้างนอกเหรอ จะเปิดเทอมแล้วนะ นายไม่สนการบ้านแล้วเหรอ อย่ามัวแต่ลีลา เที่ยวจนใกล้จะเปิดเทอมแล้วมาร้องไห้ขอร้องฉันให้ช่วยนายทำการบ้านอีก…”
ถงเหยายังพูดไม่ทันจบ เจี่ยนหยางเรียกชื่อเธอเสียงราบเรียบดังขัดจังหวะขึ้นซะก่อน…
“ถงเหยา”
เจี่ยวหยางปล่อยมือจากเธอ
ปลายนิ้วของถงเหยางอเข้าหาฝ่ามือโดยไม่รู้ตัว ประหนึ่งพยายามจะจับอะไรสักอย่าง เธอชักมือกลับเงียบๆ
“…อะไร”
ราวกับคาดเดาได้ว่าต่อจากนี้จะเกิดเรื่องที่ไม่ค่อยสุขใจเท่าไหร่ขึ้น เธอรีบปิดปากสนิท ก่อนถลึงตาใส่เจี่ยนหยางไม่พูดไม่จา เธอกอดกระเป๋าเครื่องเขียนกับแบบฝึกหัดแนบอกแน่น ราวกับว่านี่เป็นเกราะกำบังเพียงอย่างเดียวที่เธอสามารถคว้าไว้ในมือ และเป็นหนทางรอดชีวิตเดียวของเธอยามเผชิญกับเรื่องทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นต่อจากนี้
แต่แล้วถงเหยากลับพบว่าเธออาจคิดผิดไป
พวกการบ้านปิดเทอมฤดูร้อนที่ยากแสนยากนี้อ่อนแอเปราะบางเหมือนวัสดุที่ผลิตพวกมัน พวกมันไม่ได้ปกป้องเจ้านายของพวกมันในสถานการณ์ที่ควรจะเป็นเหมือนอย่างที่เธอคาดหวัง…
อย่างน้อยตอนเจี่ยนหยางพูดว่า “ฉันอาจไม่กลับไปเรียนที่โรงเรียนแล้ว มีทีมอาชีพ SPL เชิญฉันไปฝึก” ถงเหยารู้สึกว่าสีหน้าเธอย่ำแย่อย่างที่ปิดไว้ไม่มิดในชั่วพริบตา
เขาจะไป
ไปจากเมือง G
ไปเมือง S เมืองที่ไม่ถือว่าไกลมากแต่ก็ไม่ใกล้แน่นอน นั่งเครื่องบินไปกลับอย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาทั้งวัน…
อีกเดี๋ยวก็จะขึ้นมัธยมปลายปีสามแล้ว เธอไม่มีทางไปหาเขาได้เลย ต่อให้เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้
ไม่ได้ไปเรียนด้วยกัน เลิกเรียนด้วยกัน แสร้งทำเป็นไม่สนิทกันตอนเดินออกจากประตูรั้วโรงเรียน พอพ้นจากสายตาของอาจารย์แล้ว ก็รีบจูงมือกันตระเวนทั่วตรอกซอกซอยในละแวกโรงเรียน
หลังเลิกเรียนคาบศึกษาด้วยตัวเองช่วงค่ำก็จะไม่มีคนรออยู่หน้าประตูห้องเรียนอีก และไม่จำเป็นต้องเฝ้ารอใครอีกแล้ว
เขาจะไป
เขาจะไป
สมองของถงเหยาว่างเปล่าขาวโพลน และแล้วเธอก็พบว่าตัวเองรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ไม่ไหว…เธอจ้องเจี่ยนหยางอย่างค่อนข้างตึงเครียด “นายตัดสินใจแล้วเหรอ แม่นายอนุญาตแล้วรึ”
“แม่ไม่คัดค้าน” เจี่ยนหยางยื่นมือไปคิดจะลูบผมของเธอ แต่ถงเหยาเอี้ยวตัวหลบ “เดิมต่อให้ฉันเรียนจบมัธยมปลายปีสามแล้ว ก็ไม่แน่ว่าฉันจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยดีๆ ได้ ไปเป็นนักกีฬาอาชีพอย่างน้อยก็มีรายได้ต่หลายแสนหยวนต่อปี”
ถงเหยาแทบอยากเอาหัวโขกให้ตัวเองสลบ จากนั้นแสร้งทำเป็นว่าวันนี้เธอยังไม่ตื่นนอน
“แค่รายได้หลายแสนต่อปีนายก็พอใจแล้ว หลังเกษียณล่ะ ถ้าเกมปิดตัวล่ะ ถ้าเล่นได้ไม่ดี ไม่มีทางได้เลื่อนขั้นเป็นตัวจริงล่ะ” ถงเหยากัดริมฝีปากล่างแน่นพลางเบิกตาโตมองเจี่ยนหยางด้วยแววตำหนิ น้ำเสียงที่ถามไม่ค่อยหนักแน่นเท่าไหร่ “…แล้วฉันล่ะ”
มีอยู่วินาทีหนึ่งที่เด็กหนุ่มดูเหมือนหวั่นไหวแล้ว
ถงเหยาโยนกองแบบฝึกหัดในมือทิ้ง เธอรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวอย่างอธิบายไม่ถูก นี่ทำให้เธอจำต้องถามเสียงสูงเพื่อไม่ให้ฟังแล้วเสียงสั่นเครือ “ฉันล่ะ!”
ดูคล้ายเธออยากอาละวาดอยู่รอมร่อ
อืม ไม่ใช่ดูคล้าย
แต่เธออาละวาดแล้ว…
เจี่ยนหยางเงียบกริบ ไม่เอ่ยคำ
ต่อมาจู่ๆ เขาก็ยกมือขึ้น! มือใหญ่ล็อกท้ายทอยเธอไว้ ปลายนิ้วเรียวยาวสอดเข้าไปในเรือนผมของเธอ รั้งศีรษะเธอให้ขยับเข้ามาใกล้…หน้าผากที่ค่อนข้างเย็นของเขาชนกับหน้าผากของเธอ ปลายจมูกแตะปลายจมูกเธอเบาๆ ระยะห่างของทั้งคู่ใกล้จนแทบรับรู้ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย…
เวลานี้เธอปกปิดอาการสั่นของตัวเองได้ไม่ดีนัก กระเป๋าเครื่องเขียนในอ้อมกอดตกกระแทกใส่หลังเท้าของเธอ แบบฝึกหัดเกลื่อนอยู่บนพื้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
…ที่จริงการคบหากันของเขากับถงเหยาเกิดขึ้นอย่างไม่ค่อยชัดเจนนัก ไม่ได้สารภาพรักกันอย่างเป็นทางการ
กระทั่งวันหนึ่งจู่ๆ เขาก็จับจูงมือเธอตามธรรมชาติ ชินกับการเดินตามหลังเธอคอยบังกลุ่มคนที่เดินสวนไปมาให้เธอ
พวกเขาแค่จูงมือกันเท่านั้น ไม่ถึงขั้นทำอะไรเกินเลย…
บางครั้งถงเหยาก็หลากใจว่าพวกเธอคบหากันแล้วจริงๆ ใช่ไหม…
จวบจนวันนี้วินาทีนี้
เจี่ยนหยางก้มหน้าลงมา ทาบริมฝีปากที่ค่อนข้างเย็นแต่นุ่มของตัวเองลงบนเรียวปากเธออย่างระมัดระวัง จากนั้นผละออก จุมพิตบางเบาพร้อมถอนหายใจเบาๆ รินรดปลายจมูกของเธอ ขนตาของเธอ หางตาของเธอ
“อย่าถลึงตาใส่ฉัน” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มต่ำอย่างที่ไม่เคยเอ่ยมาก่อน เขาพูดอย่างจนใจว่า “ฉันรับประกันว่าอนาคตจะไม่มีอะไรต่างจากตอนนี้…ฉันสัญญา”
ถงเหยาออกแรงดึงชายเสื้อฮู้ดของเด็กหนุ่มตรงหน้า…
ราวกับที่เธอดึงอยู่ในมือคือหัวของเขา
จากนั้นเธอผลักเจี่ยนหยางออก โน้มตัวลงไปเก็บแบบฝึกหัดที่กระจัดกระจายบนพื้น…เจี่ยนหยางลังเลชั่วครู่ก่อนนั่งยองลงไปช่วยเธอเก็บ ขณะที่เขาคิดจะยื่นแบบฝึกหัดที่มีลายมือคุ้นเคยให้ถงเหยา ถงเหยาก็แย่งแบบฝึกหัดกองนั้นมาอย่างไม่เกรงใจ…
เธอถลึงตาใส่เขา แล้วเหวี่ยงประตูเปิดเดินออกไป
บางทีเรียกว่าเผ่นหนีน่าจะเหมาะกว่า
ถงเหยาขังตัวเองในห้องแล้วร้องไห้พักหนึ่ง ต่อมาคำนวณเวลาว่าจินหยางน่าจะลงจากเครื่องบินแล้วเลยกดโทร.ไปหาอีกฝ่ายท่าทางน่าสงสาร
“…ไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้าเลย จู่ๆ เขาก็เริ่มจัดกระเป๋า! จู่ๆ ก็ตัดสินใจไปเมือง S! จู่ๆ ก็ตัดสินใจไม่เรียนต่อแล้ว! จู่ๆ ก็ตัดสินใจจะไปเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตอะไรนั่น!” เสียงในสายของถงเหยาเสมือนมีดเปื้อนเลือดเล่มหนึ่ง “เขายังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่าสัญญากับฉันว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไป…เหอะๆ ใครบอกว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไป เขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าฉันจะไม่ทิ้งเขา!”
เพราะถงเหยาโมโหเกินไป เสียงหัวเราะในสายเลยฟังแล้วน่ากลัวมาก
อย่างกับแม่มดเฒ่า
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแบบนี้ของถงเหยา จู่ๆ จินหยางก็รู้สึกเหมือนตัวเองหลุดพ้นจากการเป็นมนุษย์ปุถุชนกลายเป็นเทพเซียนที่ไร้อารมณ์ความรู้สึก…จินหยางที่ถือมือถือไว้อยากกระโดดตึกตายนิดหน่อย เพราะเวลานี้ด้านหลังเธอมีเด็กแสบที่ “เปี่ยมพลัง” คนหนึ่ง ขณะที่เพื่อนรักในสายของเธอแทบอยู่ในสถานะคลุ้มคลั่งหรือขาดสติแล้ว…
เธออ้าปากด่าคนใดคนหนึ่งในพวกเขาไม่ได้ ต่อให้พวกเขาเกือบบีบจนเธอฟั่นเฟือน แต่อย่างน้อยเธอก็มีสติพอจะรู้ว่า นี่คือความบังเอิญแสนน่ากลัวครั้งที่สองนับแต่อุกกาบาตชนโลกทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ และพวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้บริสุทธิ์
“ไม่ได้มีอะไรแตกต่างนี่นา สักวันพวกเธอก็ต้องจากกัน” จินหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดจะโน้มน้าวถงเหยา “คะแนนเธอไม่แย่ อย่างน้อยก็สอบติดมหาวิทยาลัยแน่นอน คุณป้าเองก็เคยคิดจะส่งเธอไปเรียนต่อต่างประเทศ…หรือเธอยังคาดหวังว่าอนาคตจะได้เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับเจี่ยนหยาง มีสติหน่อยสิ พวกเธอแค่จากกันเร็วขึ้นหนึ่งปีเอง! อีกอย่าง เวลาที่เมือง G กับเมือง S ก็ไม่ต่างกันแม้แต่วินาทีเดียว ห่างกันแค่นั่งเครื่องไม่กี่ชั่วโมงเอง! ไม่ได้ขวางกั้นด้วยมหาสมุทรแปซิฟิกซะหน่อย!”
พอพูดถึงช่วงท้ายจินหยางรู้สึกหงุดหงิดในความอยุติธรรมอยู่บ้าง เพราะจู่ๆ เธอก็นึกได้ว่าทำไมตัวเองถึงปรากฏตัวที่เมือง S
เธอต่างหากคือคนที่ต้องแยกจากแฟนหนุ่มไกลนับหมื่นหลี่…
แค่ระยะห่างของเมือง S กับเมือง G เอง สาวน้อยคนนี้ร้องไห้ทำบ้าอะไร!
ทางปลายสาย เหมือนว่าคำพูดของเพื่อนรักทำเอาถงเหยางุนงงไปบ้าง ต่อมาไม่นานเธอก็เข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้และตระหนักว่าสถานการณ์ของเพื่อนรักเธอกับเธอนั้นเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน แถมสถานการ์ณของอีกฝ่ายยังร้ายแรงกว่าเธอด้วย…
“ถามเธอซิว่าปิดหน้าต่างดีแล้วหรือยัง” อ้ายเจียเยี่ยมหน้ามาจากด้านหลัง วงหน้าแนบติดจินหยางก่อนถูไถไปมาอย่างเฉื่อยชา น้ำเสียงแหบพร่า
อ้ายเจียน้อยยังอยู่ในตัวของจินหยาง หยุดนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ราวกับนักกีฬาบาสเกตบอลพักครึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาพูดคุยเรื่อยเปื่อย
ถงเหยาตอนนี้ถึงเพิ่งรับรู้ว่าอ้ายเจียก็อยู่ด้วย พอเธอนึกขึ้นได้ว่าแม้ผ่านเรื่องนี้ไป ความสัมพันธ์ระหว่างจินหยางกับอ้ายเจียก็ยังมั่นคงดี จู่ๆ เธอก็เหมือนได้รับการปลอบประโลมอย่างน่าประหลาด…
โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าเวลานี้จินหยางกุมมือถือแน่นพลางเหลือบมองอ้ายเจียก่อนยื่นมือไปผลักหน้าเขาออก “เด็กเกรียนบ้านข้างๆ ไม่ได้อ้างอะไรให้ดูน่าสงสารและร้องขออะไรจากเธอใช่ไหม ตาไม่แดง ไม่เสแสร้ง ไม่ได้พูดว่าฉันยังไม่ทันไปตอนนี้ก็คิดถึงเธอแล้ว…”
อ้ายเจียกระแอม แล้วกระแทกใส่จินหยางคราหนึ่ง
จินหยางนิ่งไปชั่วแวบ หลังสูดลมหายใจเย็นเข้าลึกอย่างไร้สุ้มเสียงแล้ว เธอยิ้มมุมปาก “ถ้าเขาพูดละก็ อย่าเชื่อแม้แต่พยางค์เดียวเชียวนะสาวน้อย”
“เขาจูบฉันหนหนึ่ง”
“เธอยอมให้เขาจูบเธอเรอะ!”
จินหยางถามเสียงสูง ทำให้เด็กหนุ่มด้านหลังเธอสะดุ้งตกใจ นำพาให้เจ้าตัวน้อยสะดุ้งตามไปด้วย จินหยางกดเอวแนบกับเตียง ลิ้มรสความทุกข์ทรมานที่ตัวเองเป็นต้นเหตุ
“แค่แตะริมฝีปากกันเอง” ถงเหยาเฉลยเสียงเบา
“…เพื่อนรัก แค่นี้ก็พอแล้ว!” จินหยางพบว่ายากมากที่จะควบคุมตัวไม่ให้ตื่นตูมประหนึ่งศพที่ปีนออกจากสุสานโบราณ “ห้ามมีขั้นต่อไปนะ ได้ยินหรือเปล่า เธอเพิ่งอายุเท่าไหร่เอง…ก่อนพวกเธอจะจดทะเบียนสมรสกัน อย่าให้เขายื่นแม้แต่ลิ้นเข้าไปได้!”
จินหยางกลัดกลุ้ม
ต่อให้เธอรู้ว่าตัวเองเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้อีกฝ่ายก็ตามที…
อาชญากรต้นเรื่องเวลานี้ก้มหน้ากลั้นขำกับกลุ่มผมของเธอ ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดลำคอของเธอนับครั้งไม่ถ้วน…
ประเด็นของถงเหยาถูกจินหยางเบี่ยงเบนออกไปไกลแล้ว มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่ถงเหยาถึงกับลืมไปแล้วว่าเธอโทร.ไปทำไม “รักทางไกลจะรอดจริงๆ เหรอ”
“ฉันตอบคำถามนี้ไม่ได้ ถ้าเธอโทร.มาขอเคล็ดลับจากฉัน ฉันก็พอจะแนะนำเธอได้บ้าง”
จินหยางพลิกตัว…ด้วยท่วงท่าที่เขายังอยู่ในกายเธอ เธอนอนบนหมอน ระหว่างที่ยกตัวขึ้น เธอเกาเด็กหนุ่มที่ทาบทับเธอเหมือนหยอกล้อแมวน้อย…
เขาโน้มตัวลงมาใกล้ จุมพิตเรียวปากแดงจางของเธอ
กดคางลงที่ไหปลาร้าของเธอ
“มีเรื่องอะไรต้องพูดกันตรงๆ และจัดการให้จบทันที” จินหยางเอ่ยช้าๆ “นั่นคือแฟนของเธอ ผู้ชายต่างมีข้อเสียโน่นนี่เต็มไปหมด ในเมื่อเธอยอมรับเขาแล้วก็ต้องช่วยเขาแก้ไขข้อเสียพวกนั้น…ถ้าเธอพบว่าเธอไม่อยากทนและคร้านจะเปลี่ยนแปลงเขา เวลานั้นเธอก็แค่ต้องลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไปให้ทันการณ์ก็เท่านั้น”
ถงเหยาที่อยู่ปลายสายเงียบไปอีกครั้ง
เธอรู้สึกว่าการดำรงอยู่ของจินหยางทำให้เธอกล้าหาญขึ้นเล็กน้อย…
ถ้าตอนนี้สามารถกอดเพื่อนซี้และได้รับความอบอุ่นที่สัมผัสได้จริงสักหน่อยจะยิ่งดี
ตอนนี้เองกระทั่งจินหยางก็ไม่รู้ว่าเธอกลายเป็นคนเนื้อหอมที่ผู้คนทั่วโลกต่างเฝ้ารอตั้งแต่เมื่อไหร่
หลังเธอวางสายโทรศัพท์และเล่นพิเรนทร์กับอ้ายเจียอีกสักพักแล้ว ขณะอ้ายเจียร้องประท้วงไม่พอใจ เธอก็จองตั๋วเครื่องบินไปเมือง G ก่อนเร่งเดินทางกลับเมือง G ราวกับคนบ้าก่อนฟ้าจะมืดสนิท
สองมือของเธอว่างเปล่า นี่ทำให้เธอสามารถกางสองแขน…มอบอ้อมกอด…ให้เพื่อนรักที่รอเธออยู่ที่สนามบินก่อนแล้วได้อย่างสะดวก
เมื่อเห็นถงเหยาทำตัวประหนึ่งลูกเจี๊ยบที่เพิ่งฟักและกางปีกที่โตไม่เต็มที่วิ่งตะบึงมาหาเธอนั้น จินหยางก็ต้องสะกดกลั้นคำโอดครวญที่อัดแน่นเต็มท้องไม่ให้ปะทุออกมา เธอโน้มตัวลงโอบยายเตี้ยเข้ามาในอ้อมกอด ลูบผมสั้นๆ ของเธอ “โถ น้อยใจแย่เลยสินะ”
ถงเหยาปากคว่ำจนดูคล้ายลูกเป็ดตัวน้อย
“ทำไมเธอไม่มีกระเป๋าเลยล่ะ”
“เพราะอีกสามชั่วโมงฉันจะนั่งเที่ยวบินกลับเมือง S น่ะสิ แฟนฉันนั่งเฝ้าห้องตามลำพังอยู่ที่เมือง S ฉันรู้สึกว่าเขาน่าจะเริ่มเกลียดเธอซะแล้วละ”
“…”
ถงเหยากอดเอวจินหยางแน่น
นี่ทำให้จินหยางคิดถึงเฉินหยวน…
คืนวันนั้นพอพวกเธอกอดกันแบบนี้แล้ว พวกเธอก็ตัดสินใจทำเรื่องที่ถือว่าสำคัญยิ่งในชีวิตอย่างไปโรงพยาบาลรับการรักษาและไปเรียนต่อต่างประเทศ
การกอดกันเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์มาก มันเป็นแค่กิริยาที่เรียบง่ายแต่กลับมอบความอบอุ่นที่สัมผัสได้จริง ทำให้คนเราสามารถตัดสินใจเดินบนเส้นทางใหม่ได้…
เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นและเหมือนเป็นจุดสิ้นสุด ทุกคนต่างมีสิทธิ์ที่จะยืนอยู่ตรงนั้น ร้องไห้จนกว่าจะพอใจ จากนั้นก็เช็ดน้ำตาแล้วเดินหน้าต่อ
“พอคิดถึงว่าเจี่ยนหยางจะไปแล้วฉันก็กลัว”
“ฉันหวังว่าอ้ายเจียจะคิดแบบนี้เพราะฉันจะไปไกลยิ่งกว่าอีก” จินหยางพูดตลกเสียงราบเรียบ
ถงเหยาที่อยู่ในอ้อมกอดจินหยางคร่ำครวญที่คล้ายกับเสียงสะอื้น จินหยางยกมือลูบผมเพื่อนซี้ราวกับลูบขนสัตว์เลี้ยง “โอ๋ๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่ผู้ชายคนเดียวเอง ในโลกนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตอะไรที่หาได้ง่ายกว่าผู้ชายที่เดินสองขาอีก…ถ้ามีพวกเราก็เอา ถ้าไม่มีก็ช่างมันสิ”
“…ไม่เห็นเธอคิดยังงี้กับอ้ายเจียเลย”
“ความจริงคือฉันคิดแบบนี้แหละ” จินหยางลูบหลังถงเหยาช่วยให้เธอหายใจได้คล่องขึ้น “ทรายกำหนึ่ง ถ้ากำแน่นเกินไปกลับจะทำให้มันรั่วออกมาแทนนะ”
“วันนี้เธอมีตรรกะชีวิตเยอะจริงๆ”
“เพราะท่าทางเธอเหมือนกำลังแหงนคอโวยวายร้องบอกฉันว่า ปลอบฉัน ปลอบฉัน ปลอบฉันหน่อย!”
“…”
สาวน้อยที่ซบอกของจินหยางอยู่หลุดหัวเราะทั้งน้ำตา
จินหยางลูบผมหน้าม้าที่ถงเหยาถูไถจนยุ่งเหยิงทั้งสีหน้าเรียบเฉย…
“เอาละ ไม่ต้องร้องแล้วนะ…เรื่องแค่นี้เอง ก็แค่ชายชั่วคนเดียว ดูซิ ทำเธอเสียขวัญซะขนาดนี้…เมื่อเรือแล่นไปถึงท่าก็จะหันตรงเอง[1] ไม่มีทางที่ชีวิตเธอจะย่ำแย่ตลอดไป เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง ฉันสัญญา”
[1] หมายถึง ปัญหาทุกอย่างเมื่อถึงปลายทางก็จะคลี่คลายเอง