ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก
造作时光
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
Hanza แปล
— โปรย —
“เจ้าไม่สมควรเรียกข้าว่ารัชทายาทแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นให้เรียกว่าอันใดเพคะ”
“เรียกข้าว่า…ท่านพี่ หรือเรียกชื่อข้าว่า หยวนซู่”
นิ้วของทั้งสองคนสอดประสานกัน เหมือนกับชีวิตของพวกเขานับจากนี้ไป
จะเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งที่สุด…
.
ฮวาหลิวหลี สตรีอ่อนแอไร้เรี่ยวเเรง
แต่แท้จริงนางเข้มแข็งและฉลาดปราดเปรื่องจนน่าครั่นคร้าม
จีหยวนซู่ รัชทายาทหนุ่มรูปงาม เย็นชา หยิ่งยโส ไม่ไว้หน้าผู้ใด
แต่พอตกอยู่ในห้วงรัก ก็เปลี่ยนเป็นคนละคนทันที
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
107
คงเป็นเพราะถ้อยคำของรัชทายาทนั้นฟังแล้วน่าโมโหยิ่งนัก หลังจากอารมณ์โกรธจัดผ่านไปแล้ว เล่อหยางก็เริ่มสงบสติอารมณ์ลงได้ นางให้คนรับใช้ประคองตัวราชบุตรเขยเซี่ยกลับห้อง ตนเองเช็ดน้ำตาจนแห้งดีแล้วจึงเชิญรัชทายาทและฮวาหลิวหลีไปนั่งที่ห้องโถงด้านหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “รัชทายาทเสด็จมาทรงเยี่ยมอาการของราชบุตรเขย หรือมาทอดพระเนตรเรื่องสนุกกันแน่เพคะ”
“เสด็จพ่อทรงทราบว่าราชบุตรเขยเซี่ยล้มป่วยจึงรับสั่งให้เราเป็นตัวแทนมาเยี่ยม” รัชทายาทเห็นท่าทางของเล่อหยางแล้วก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะให้ข้ารับใช้ยกถ้วยน้ำชามาต้อนรับแขกผู้มาเยือน “เราเห็นราชบุตรเขยป่วยหนัก ไม่สมควรเดินทางไกล อยู่พักรักษาตัวที่เมืองหลวงต่อไปก่อนเถิด ท่านอาไม่ต้องห่วงเรื่องหมอที่มารักษาและโอสถที่ต้องใช้ ยังมีเสด็จพ่อและเราอยู่ทั้งคน”
ฮ่องเต้วางตัวดี มากเมตตากับพี่น้อง ก็เพื่อชื่อเสียงในหมู่ราษฎร ทว่าความเป็นจริงนางกับราชบุตรเขยคุกเข่า อยู่หน้าตำหนักบูรพานานเพียงนั้น เขาไม่เพียงไม่ห้ามปรามรัชทายาท แต่ยังริบบรรดาศักดิ์องค์หญิงขั้นหนึ่งของนางคืน
ในเมื่อทำเพื่อเอาหน้าเท่านั้น ก็ไม่ต้องกล่าวว่า “ยังมีเราอยู่ทั้งคน” แบบนี้ฟังแล้วน่าขบขันสิ้นดี
นางเม้มปากก่อนเอ่ยว่า “ท่านหมอบอกว่า อาการของราชเขยสมควรที่จะกลับไปรักษาในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย”
“เขาพำนักในตำหนักองค์หญิงที่เมืองหลวงมานาน ก็ถือว่าเป็น สภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย” รัชทายาทไม่ยอมถอยให้เล่อหยางแม้แต่ก้าวเดียว “ยิ่งกว่านั้น หมอรักษาคนป่วยที่แดนใต้จะมีวิชาแพทย์มากเท่าหมอหลวง ในราชสำนักหรือ
“ผู้ที่เข้าเป็นหมอหลวงของสำนักแพทย์หลวงได้ล้วนมาจากครอบครัว หมอกันทุกรุ่น เป็นหมอเรืองนามที่รักษาอาการป่วยแปลก ๆ หายมา นักต่อนักแล้ว” รัชทายาทเปลี่ยนน้ำเสียงและท่าที “เรารู้ว่ายามนี้ท่านอา ไม่พอใจเรา ส่วนเราเองก็ไม่ค่อยผูกพันกับพวกท่านสักเท่าไร แต่ที่ ทำไปนี้ก็เพราะเห็นแก่เสด็จพ่อ เราจะพูดกับท่านอาเป็นครั้งสุดท้าย
“หมอตามหัวเมืองแดนใต้เก่งกาจ หรือหมอหลวงในสำนักแพทย์หลวง เก่งกาจ ยารักษาโรคที่เมืองหลวงล้วนมีครบถ้วนและปลอดภัยมากกว่า” รัชทายาทแตะนิ้วคลึงสร้อยข้อมือแผ่วเบา “ถ้าพวกเราลองคิดดูให้ดีแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าอาการป่วยของท่านอาเขยจะดีขึ้นเมื่อไร สกุลเซี่ยมีคนมาก หลากหลายสาย ไม่มีผู้ใดแน่ใจว่าจะไม่มีคนคิดร้าย พวกท่านอยู่ห่างไกล จากเมืองหลวงเพียงนั้น หากเกิดเหตุใดขึ้น แม้ทางนี้คิดจะคุ้มครอง พวกท่านก็ไม่ทันกาลแล้ว
“ท่านอาเป็นถึงองค์หญิงที่เป็นภรรยาของท่านอาเขย ถ้าแม้แต่ท่าน มิอาจทำใจให้เยือกเย็น ไตร่ตรองเรื่องนี้แทนเขา ยังจะมีใครปกป้องเขา อย่างจริงใจกันเล่า” รัชทายาทยิ้มพูด “หรือท่านจะอาศัยคนสกุลเซี่ยที่มี จิตใจซับซ้อนเหล่านั้น”
เล่อหยางมิได้กล่าวคำ
นางเข้าใจดีว่าที่รัชทายาทพูดมานั้นไม่ใช่ไร้เหตุผล สกุลเซี่ยที่แดนใต้ ทรงอิทธิพลและยังเกี่ยวดองกับตระกูลใหญ่ในพื้นที่ หากพวกเขามีใจ คิดคด ผู้ที่ไร้การคุ้มครองจากราชวงศ์อย่างนาง นอกจากจะคุ้มครองสามี ไม่ได้แล้ว ก็ยังคุ้มครองบุตรของนางไม่ได้ด้วย
“ท่านอากับท่านอาเขยอยู่รักษาอาการป่วยที่เมืองหลวงอย่างสบายใจ เถิด อย่าได้กล่าวถึงเรื่องการออกนอกเมืองหลวงอีก” รัชทายาทลุกขึ้นยืน “เสด็จพ่อไม่ทรงตอบรับเรื่องนี้ก็เพราะหากกระทำเช่นนี้จะส่งผลดีต่อท่านอา”
เล่อหยางเงยหน้ามองรัชทายาท “ทำเพื่อหม่อมฉันจริงหรือเพคะ”
รัชทายาทตอบเสียงเรียบ “ไม่ว่าอย่างไรท่านอาก็เป็นบุตรหลาน สกุลจี”
เล่อหยางมองรัชทายาทอย่างเหม่อลอย นางนั่งเหม่อบนเก้าอี้จนกระทั่ง รัชทายาทพาฮวาหลิวหลีออกไปแล้วก็ยังนั่งใจลอยอยู่เช่นนั้น
“องค์หญิง” บ่าวรับใช้ข้างกายราชบุตรเขยเซี่ยเข้ามาถามด้วยความร้อนใจ “รัชทายาทมีพระราชานุญาตให้ราชบุตรเขยกลับไปรักษาตัวที่แดนใต้แล้ว หรือเจ้าคะ”
เล่อหยางส่ายหน้าช้า ๆ กล่าวด้วยความห่อเหี่ยวว่า “ดูแลราชบุตรเขย ให้ดี ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องกลับแดนใต้อีกแล้ว”
“แต่ท่านหมอบอกว่าอาการป่วยของราชบุตรเขยจำต้องกลับไป รักษาตัวยังสถานที่ที่คุ้นเคยจึงจะดีขึ้นนะเจ้าคะ” ข้ารับใช้ร้อนใจ “หาก ราชบุตรเขยอยู่เมืองหลวงต่อไป บ่าวเกรงว่าอาการของราชบุตรเขยจะหนักขึ้น เจ้าค่ะ”
อยู่เมืองหลวงไม่ยิ่งดีกว่าหรือ” เล่อหยางพูดประชดตนเอง “อยู่ที่นี่ มีหมอหลวงมากฝีมือ ยังมี…หญิงที่เขาชอบที่สุดด้วย”
หลายปีมานี้ ราชบุตรเขยไม่เคยเอ่ยถึงเว่ยหมิงเย่ว์ต่อหน้านาง นางจึงคิดว่าเขาคงปล่อยวางได้แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากวิกลจริตแล้ว เขากลับคิดว่าบุตรีของเว่ยหมิงเย่ว์เป็นบุตรีของตนเอง
ที่แท้ในใจของเขาก็อยากมีลูกกับเว่ยหมิงเย่ว์
แล้วนางเป็นอันใดสำหรับเขา
คำหวานหูตลอดหลายปีมานี้ล้วนเป็นคำโกหกหลอกลวงหรือ
เพื่อบุรุษคนนี้นางถึงกับยอมเป็นศัตรูคู่แค้นกับน้องสาวร่วมบิดา ละทิ้งความหยิ่งทะนงในตนเอง แต่งออกไปต่างถิ่น ถึงอย่างไรสิ่งที่นาง ทำลงไปทั้งหมดยังเทียบกับเว่ยหมิงเย่ว์ที่เขาไม่ได้พบมานานไม่ได้
หรือจะบอกว่าบุรุษนั้นมักสนใจสตรีที่เขาไม่ได้ครอบครอง
เล่อยางรู้ว่าตนสมควรโกรธเกลียดชายที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกัน มานานปีคนนี้ แต่นางเกลียดเขาไม่ลง ดังนั้นผู้ที่นางเกลียดก็คือเว่ยหมิงเย่ว์
นางอยากให้เว่ยหมิงเย่ว์ตาย ๆ ไปเสีย
เที่ยงวันนั้น วังหลวงส่งราชองครักษ์มาคุ้มกันรอบตำหนักองค์หญิงเล่อหยาง อย่างแน่นหนา ประกาศกับคนภายนอกว่าราชบุตรเขยเซี่ยป่วยหนัก สำนัก พระราชวังจึงส่งคนมาคุ้มกันตำหนักองค์หญิงเล่อหยางเพื่อความปลอดภัย ของพวกเขา
แต่ข้ารับใช้ในตำหนักองค์หญิงค้นพบในเวลาอันรวดเร็วว่า พวกเขา มิอาจก้าวออกนอกประตูตำหนัก ขาดแคลนอันใด ต้องการสิ่งใด ก็จะ มีคนของสำนักพระราชวังส่งมาให้ แต่ไม่มีผู้ใดสามารถออกไปได้
ทั่วตำหนักองค์หญิงจึงเสมือนบ่อน้ำนิ่งที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ
“ข้าถูกจีหยวนซู่หลอกแล้ว!” เล่อหยางมองตำหนักองค์หญิงที่ถูก ราชองครักษ์ล้อมเอาไว้จนแทบไม่มีช่องว่าง นางขว้างปาสิ่งของเครื่องตกแต่ง ในห้องด้วยโทสะ “เสด็จพี่ทรงกักบริเวณข้า!”
ที่ว่าเห็นแก่อาการป่วยของราชบุตรเขย เห็นแก่ความปลอดภัย ของนาง สิ่งเหล่านั้นเป็นแค่คำโกหก
พวกเขาไม่ต้องการให้พวกนางกลับแดนใต้
หรือ…หรือเสด็จพี่ทรงทราบแล้วว่าเพื่อเผยแพร่แนวความคิดของ ตนเอง สกุลเซี่ยได้แอบสร้างขุมกำลังไว้ในเมืองหลวง
เมื่อคิดถึงข้อนี้ นางก็หวาดวิตกจนอยู่ไม่เป็นสุข สั่งให้คนไปเรียก เซี่ยซื่อจื่อมาพบ สีหน้าเคร่งเครียด “ลูกแม่ หากแม่กับพ่อของเจ้าเป็น อันใดไป เจ้าจงเข้าวังหลวงไปขอเข้าเฝ้าไทเฮา ในอดีตท่านยายของเจ้า มีสัมพันธ์อันดีกับไทเฮา เมื่อครั้งที่พระปิตุลาของเจ้าเสด็จขึ้นครองราชย์ ท่านยายเจ้ายังช่วยเหลือพวกเขาไม่น้อย เห็นแก่ความผูกพันในกาลก่อน พวกเขาคงไม่ทำให้เจ้าลำบากใจมากนัก”
“ท่านแม่เกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ” เซี่ยซื่อจื่อมองเล่อหยางอย่างงุนงง “เพราะเหตุใดข้างนอกถึงมีราชองครักษ์มากมายเพียงนี้”
“เจ้ายังเด็กนัก ไม่ต้องรู้เรื่องอะไรให้มากเกินไป” เล่อหยางลูบศีรษะ บุตรชาย “หากไม่ใช่เพราะพี่รองที่โง่เขลาของเจ้า ครอบครัวเราคงไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ลูกที่น่าสงสารของแม่…”
“ท่านแม่ พี่รองคิดจะปลงพระชนม์รัชทายาท นับว่าเป็นโทษร้ายแรง รอให้เสด็จลุงทรงสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง ถึงจะมีบทลงโทษ แต่ก็คิดว่า คงไม่ถึงกับเอาชีวิตของพวกเราขอรับ” เซี่ยซื่อจื่อเห็นมารดาร้องไห้จนตา บวมแดงก็รีบปลอบใจ “มีเรื่องใดพวกเราก็แค่เผชิญหน้ากับมัน ท่านแม่ อย่าร้องไห้จนเสียสุขภาพ”
มองบุตรชายที่ไม่เคยรับรู้เรื่องราวใด ๆ แล้วเล่อหยางกลั้นน้ำตา สูดหายใจเข้าลึก เอ่ยว่า “ประเดี๋ยวแม่จะไปเขียนฎีกาขอให้เสด็จพี่และ ไทเฮาทรงรับเจ้าเข้าวังไปศึกษาหาความรู้ ไม่ว่าเกิดเรื่องใดข้างนอก เจ้า จะต้องเชื่อฟังไทเฮา คอยปลอบนางให้สบายพระทัย รู้หรือไม่”
“ท่านแม่ เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ อย่าทำให้ข้าตกใจสิขอรับ…”
“ไม่ต้องกลัว ไม่มีอันใด” เล่อหยางยิ้ม “แม่คิดว่าถ้าเจ้าเรียน หนังสือที่แดนใต้ ไม่สู้เรียนในสำนักศึกษาหลวงจะดีกว่า เหมาะกับเจ้า มากกว่า
“เอาละ เจ้ากลับไปเก็บข้าวของที่จำเป็น ไม่แน่ว่าวันพรุ่งก็อาจมีคน มารับเจ้าเข้าวังแล้ว” หลายปีมานี้เล่อหยางวางอำนาจบาตรใหญ่ เพราะ นางรู้ดีว่าไทเฮาและฮ่องเต้เป็นคนสำนึกในบุญคุณผู้อื่น ยามนั้นมารดา ของนางเคยช่วยไทเฮามาก่อน ด้วยนิสัยของไทเฮา ย่อมไม่มีทางปล่อย ให้นางต้องถูกเอารัดเอาเปรียบ
หลายปีมานี้นางเคยชินกับคำยกยอปอปั้นของผู้อื่น ไม่เคยต้อง น้อยเนื้อต่ำใจ
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน นางเริ่มทำใจให้สงบเยือกเย็น ปล่อยวางเรื่องราวมากมายลง
ถ้ารู้แต่แรกว่าบุตรีคนรองจะก่อเรื่องใหญ่โตเพียงนี้ ยอมให้บุตรี คนนี้ตายตั้งแต่อยู่แดนใต้ ยังดีกว่าพานางมาเมืองหลวงด้วย หากไม่ใช่ เซี่ยเหยาก่อเรื่องมากมาย ราชบุตรเขยผู้สง่าผ่าเผยจะเสียสติได้อย่างไร และไยนางจะต้องให้บุตรชายสุดที่รักทำตัวว่านอนสอนง่ายต่อหน้าไทเฮา และใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น
เล่อหยางค้นพบอย่างรวดเร็วว่าจดหมายที่นางเขียนถึงไทเฮานั้น มิอาจส่งออกไปได้ คนในตำหนักออกไปไม่ได้ ราชองครักษ์ก็ไม่มีผู้ใดฟัง คำสั่งของนาง ในสายตาของคนเหล่านี้ นางเป็นองค์หญิงที่ไร้ประโยชน์
นางมองทหารที่เฝ้าหน้าประตูตำหนัก มือที่ถือจดหมายกำแน่น ขณะที่นางตัดสินใจจะอาละวาดเพื่อหาทางส่งจดหมายฉบับนี้เข้าวังให้ได้ พลันเห็นคนผู้หนึ่งขี่ม้าตัวใหญ่งามสง่ามุ่งหน้ามาทางนี้
ผู้มาใหม่สวมชุดผ้าไหมสีเข้ม โกนหนวดเคราเรียบร้อย หน้าตา หล่อเหลาคมคาย ดูคล้ายชายอายุสามสิบกว่าปี
ทว่าความจริงแล้วเล่อหยางรู้ดีว่าชายที่นั่งอยู่บนหลังม้ามีอายุเกิน สี่สิบหลายปีแล้ว เพียงแต่เขาดูอ่อนเยาว์เท่านั้น
เล่อหยางเกลียดเว่ยหมิงเย่ว์และเกลียดบุรุษของนาง แต่ที่น่าเศร้า ก็คือยามนี้นางได้แต่ก้มหัวเพื่อขอให้ฮวาอิ้งถิงช่วยเหลือ
“แม่ทัพฮวา” เล่อหยางพยายามสะกดอารมณ์พลุ่งพล่านในใจ ตะโกนเรียกฮวาอิ้งถิงผ่านดาบที่อยู่ในมือของพวกราชองครักษ์
ฮวาอิ้งถิงหันมองเล่อหยาง แล้วดึงม้าให้เดินห่างออกมาเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าองค์หญิงมีธุระใดหรือ”
“มิกล้า” เล่อหยางยอบกายให้ฮวาอิ้งถิง ก่อนร้องขอ “ข้าอยากถวาย จดหมายฉบับนี้แด่ไทเฮา ขอแม่ทัพฮวาช่วยนำส่งแทนข้าด้วย”
“องค์หญิง ข้าเป็นบุรุษ จะให้นำจดหมายเข้าตำหนักในไม่ค่อยเหมาะ” ฮวาอิ้งถิงมองไปด้านหลัง “แต่ฮูหยินของข้าช่วยองค์หญิงได้ องค์หญิง ลองปรึกษานางก็แล้วกัน”
เล่อหยางตั้งสติได้ รีบมองไปด้านหลังไม่ไกลนัก เห็นเว่ยหมิงเย่ว์ สวมชุดพอดีตัวอย่างบุรุษ นั่งอยู่บนหลังม้าใบหน้าแต้มยิ้ม
เว่ยหมิงเย่ว์เห็นสภาพก้มหัวขอร้องผู้อื่นของนางแล้ว
เล่อหยางกำจดหมายในมือแน่น ก่อนยอบกายทักทายเว่ยหมิงเย่ว์ หลังนิ่งเงียบเนิ่นนาน “ขอ…แม่ทัพเว่ยช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้”
“องค์หญิงเกรงใจเกินไปแล้ว” เว่ยหมิงเย่ว์เบี่ยงตัวเล็กน้อยเพื่อ หลบการคำนับของเล่อหยาง นางกระโดดลงจากหลังม้า หยุดยืนเบื้องหน้า เล่อหยาง รับจดหมายที่ยับยู่ยี่ไว้แล้วหมุนตัวเตรียมจากไป
ยามนั้นเอง มีคนวิ่งพรวดพราดออกจากประตูใหญ่ วิ่งตรงไปหาเว่ยหมิงเย่ว์ ทว่าน่าเสียดายที่ราชองครักษ์ขัดขวางไว้ได้ทัน
“ราชบุตรเขย” เล่อหยางเห็นแววตาที่ราชบุตรเขยเซี่ยมองเว่ยหมิงเย่ว์แล้วรู้สึกเจ็บแปลบราวกับมีลูกเกาทัณฑ์นับไม่ถ้วนยิงทะลุหัวใจ นางถลึงตา ใส่เด็กรับใช้ของราชบุตรเขยเซี่ย “พาราชบุตรเขยกลับเข้าตำหนัก”
“ฮูหยิน เจ้ามาหาบุตรีของพวกเราหรือ” ราชบุตรเขยเซี่ยเพิ่งกล่าวจบ ก็มีฝักกระบี่กระแทกใส่หน้าอกของเขาอย่างแรง ราชบุตรเขยเซี่ยยังไม่ทัน ส่งเสียงร้องก็ถูกฝักกระบี่กระแทกจนล้มลงกับพื้น
“ขออภัย” ฮวาอิ้งถิงกระโดดลงจากหลังม้า ก้มลงเก็บฝักกระบี่ที่ตก อยู่บนพื้น “ดูคล้ายฝักกระบี่เล่มนี้จะมีปัญหา ราชบุตรเขยเซี่ยเป็นอันใด หรือไม่”
กล้าแสร้งเสียสติ คิดจะเอาเปรียบภรรยาเขาอย่างนี้ ต้องตีให้ตาย
“แค็ก ๆ ๆ” ราชบุตรเขยเซี่ยส่งเสียงไอโขลก ๆ จู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้น มานั่งกับพื้นแล้วแหกปากร้องไห้ราวกับเด็กเล็กที่ถูกผู้อื่นรังแก
เล่อหยางเห็นท่าทางของเขาแล้วให้ปวดใจยิ่งนัก
“เอ๊ะ” เว่ยหมิงเย่ว์ถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างรังเกียจ “ที่แท้ชายอัปลักษณ์ที่ปล่อยผมเผ้าคนนี้ก็คือราชบุตรเขยเซี่ยหรือ ไม่เจอกันหลายปี ไยถึงเปลี่ยน เป็นเช่นนี้ไปได้”
น้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเล่อหยางคล้ายหยุดไหลทันใด ชายที่นาง ให้ความสำคัญ เป็นยอดดวงใจของนาง เว่ยหมิงเย่ว์กลับว่าว่าเขาอัปลักษณ์
เว่ยหมิงเย่ว์คล้ายจะรู้ตัวว่าพูดจาไม่น่าฟัง จึงยกสองมือประสาน “ขออภัย ข้าเป็นคนหยาบช้า พูดจาไม่ค่อยเป็น ขอองค์หญิงอย่าได้ถือสา บางทีอาจไม่ใช่เพราะราชบุตรเขยเซี่ยหน้าตาอัปลักษณ์ แต่เป็นเพราะสายตา ของข้าไม่ดีเอง องค์หญิงอย่าใส่ใจสิ่งที่ข้าพูดเลย”
เล่อหยางรู้สึกว่าเว่ยหมิงเย่ว์เหยียดหยามนาง
เว่ยหมิงเย่ว์ก้าวยาว ๆ รวบสามก้าวเป็นสองก้าวกระโดดขึ้นหลังม้า ท่าทางราวกับกลัวว่าราชบุตรเขยเซี่ยจะแตะต้องชายเสื้อของนาง “องค์หญิง โปรดวางใจ ข้าจะส่งจดหมายขององค์หญิงเข้าวัง”
มีเรื่องต้องขอร้องผู้อื่น เล่อหยางจึงมิอาจกล่าวคำ ได้แต่มองเว่ย- หมิงเย่ว์ที่มีชีวิตชีวาก่อนเก็บความโกรธแค้นและความน้อยใจที่พลุ่งพล่านในใจเอาไว้ กัดฟันเอ่ยว่า “ขอบคุณแม่ทัพเว่ยอย่างยิ่ง”
“องค์หญิงไม่ต้องเกรงใจ ข้าขอตัวก่อน” เว่ยหมิงเย่ว์คำนับอีกครา “อ้อ อย่างไรขอองค์หญิงอย่าเก็บคำพูดเมื่อครู่มาใส่ใจ”
เล่อหยาง “…”
พูดให้น้อยลงสักสองคำ ข้าก็แกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจได้
เซี่ยเหยาเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว เร็วขนาดที่เผยจี้ไหวเพิ่งเดิน ออกจากห้องขังก็ถูกเรียกกลับเข้าไปอีก
สีหน้าของเผยจี้ไหวขณะที่ฟังเซี่ยเหยาให้การนั้นเคร่งเครียดขึ้นเรื่อย ๆ ตามคำให้การ นางเล่าเรื่องต่าง ๆ มากมาย หากสิ่งที่นางสารภาพเป็น ความจริงทั้งหมด แสดงว่าสกุลเซี่ยจะต้องวางแผนนี้มาตั้งแต่หลายสิบปี ที่แล้ว พวกเขาปกปิดแผนการได้นานถึงเพียงนี้นับว่าเป็นตระกูลที่มีความ อดทนสูงยิ่งนัก
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ เผยจี้ไหวมิกล้าเสียเวลา หลังบันทึก ปากคำเรียบร้อยแล้วก็ขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในบัดดล คดีนี้โยงใยกับหลายส่วน ศาลต้าหลี่มิอาจจัดการคดีนี้เพียงลำพัง
ฮวาหลิวหลีและรัชทายาทเพิ่งกินอาหารที่ตำหนักบูรพาเสร็จ ก็มีคน จากตำหนักเฉินหยางมาเชิญรัชทายาทเข้าเฝ้า
“ยามนี้เลยหรือ” รัชทายาทมองฮวาหลิวหลีก่อนลุกขึ้น “พวกเจ้า ไปกันก่อน ประเดี๋ยวเรากับองค์หญิงฝูโซ่วจะตามไป”
“ไฉนหม่อมฉันต้องไปด้วยเล่าเพคะ” ฮวาหลิวหลีแปลกใจ
“อีกสักครู่แม่ทัพเว่ยกับแม่ทัพฮวาก็ต้องเข้าวัง คนมากสนุกดี” รัชทายาทยังคิดจะใช้โอกาสที่แม่ทัพทั้งสองอยู่ด้วยกล่าวถึงงานวิวาห์
รัชทายาทพาฮวาหลิวหลีเดินเข้าพระที่นั่งใหญ่ของตำหนักเฉินหยาง แต่คิดไม่ถึงว่าพ่อตาแม่ยายในอนาคตมาถึงแล้ว จางซั่วและเผยจี้ไหว แห่งศาลต้าหลี่ก็อยู่กันพร้อมหน้า เขานิ่วหน้า “ถวายบังคมเสด็จพ่อ สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อไม่ดีเลย เกิดเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เซี่ยเหยารับสารภาพแล้ว” ฮ่องเต้ชางหลงเห็นรัชทายาทพาฮวา- หลิวหลีมาด้วยก็บอกรัชทายาทว่า “เจ้ามาพอดีมาอ่านนี่สิ”
รัชทายาทพลิกอ่านคำให้การแล้วหัวเราะเสียงเย็นคราหนึ่ง “คิด เพ้อฝันที่ไม่เป็นจริง เหลวไหลจนน่าหัวร่อ”
ปัญญาชนของราชวงศ์จิ้นมีมากมาย แม้ต้องการทิ้งชื่อไว้ในประวัติ- ศาสตร์ให้คนจดจำ ก็สมควรอาศัยความรู้ความสามารถของตนเองด้าน การประพันธ์หรือการบริหารจัดการราชการแผ่นดินให้คนจารจำ ไฉนสกุลเซี่ย จึงได้แต่คิดเรื่องเหลวไหลใช้ไม่ได้เหล่านี้
เกรงว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ มิใช่ชื่อเสียง แต่เป็นอำนาจ!