ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก
造作时光
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
Hanza แปล
— โปรย —
“เจ้าไม่สมควรเรียกข้าว่ารัชทายาทแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นให้เรียกว่าอันใดเพคะ”
“เรียกข้าว่า…ท่านพี่ หรือเรียกชื่อข้าว่า หยวนซู่”
นิ้วของทั้งสองคนสอดประสานกัน เหมือนกับชีวิตของพวกเขานับจากนี้ไป
จะเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งที่สุด…
.
ฮวาหลิวหลี สตรีอ่อนแอไร้เรี่ยวเเรง
แต่แท้จริงนางเข้มแข็งและฉลาดปราดเปรื่องจนน่าครั่นคร้าม
จีหยวนซู่ รัชทายาทหนุ่มรูปงาม เย็นชา หยิ่งยโส ไม่ไว้หน้าผู้ใด
แต่พอตกอยู่ในห้วงรัก ก็เปลี่ยนเป็นคนละคนทันที
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
บทที่ 111
สนมหลิน ยังจำเหตุการณ์ยามนั้นได้ นางกับสนมซูให้กำเนิด บุตรชายปีเดียวกัน พอนางพบว่าองค์ชายห้าที่อายุอ่อนกว่าบุตรชายตนเอง เกือบครึ่งปีพูดจาคล่องแคล่วแล้ว ขณะที่ลูกของนางยังเรียก “เสด็จพ่อ” ไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่ค่อยยิ้ม ไม่งอแง ยามนั้นนางทนไม่ไหว ระบายความ อัดอั้นเรื่องนี้กับนางกำนัลใกล้ชิดต่อหน้าบุตรชาย
“ข้ากับพี่ชายล้วนไม่ใช่คนโง่เขลา ไยถึงได้ให้กำเนิดเด็กโง่ที่พูด ไม่เป็น!”
สนมหลินจำได้เลือนรางว่าตนเองเคยตัดพ้อเช่นนี้
นางเกิดในตระกูลยากจน ไม่เหมือนสนมเสียนหรือสนมหรงที่ เกิดในตระกูลร่ำรวย พบเห็นอันใดมามาก กว่านางจะให้กำเนิดบุตรชาย สักคนหนึ่ง นางลิงโลดมาก ทว่าความดีใจนี้กลับกลายเป็นความแค้นใจ เมื่อบุตรชายอายุสามขวบแล้วยังพูดไม่ได้สักคำ
เหตุใดต้องเป็นบุตรชายของนางที่มีปัญหา
เหตุใดต้องเป็นนาง
ยามนั้นนางรู้สึกว่าคนในตำหนักในล้วนแอบหัวเราะเยาะที่นางให้ กำเนิดบุตรชายปัญญาอ่อน นางยังรู้สึกว่า บุตรชายที่เงียบ ๆ โง่ ๆ คนนี้ เป็นความอัปยศของนาง
ต่อมาเป็นฮ่องเต้ที่รับบุตรชายคนนี้ไปเลี้ยงดูที่ตำหนักเฉินหยางระยะหนึ่ง แล้วเปลี่ยนชื่อเขาเป็นฉี่เฉิน
ฮ่องเต้บอกว่าฉี่เฉินเป็นชื่อที่ดี แสดงถึงการเริ่มต้นใหม่ เป็น ความหวังและเป็นคำอวยพร ลูกยังเล็ก อายุสามขวบแต่ยังพูดไม่ได้ อาจเป็นเด็กที่มีพัฒนาการช้ากว่าผู้อื่นเท่านั้นเอง
คิดไม่ถึงว่าหลังฮ่องเต้รับฉี่เฉินไปเลี้ยงดูที่ตำหนักพร้อมกับรัชทายาท ช่วงหนึ่ง ฉี่เฉินพูดได้แล้วจริง ๆ
คนในตำหนักเฉินหยางพูดกันว่า เดิมฉี่เฉินนั่งเล่นม้าไม้อยู่ที่มุม ด้านหนึ่ง ได้ยินอาจารย์ของรัชทายาทพูดไม่หยุด พูดไปเรื่อย ๆ สุดท้าย เขาเอ่ยว่า “หุบปาก”
นับจากนั้นมาแม้ฉี่เฉินไม่ค่อยพูด แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าว่าเขาลับหลัง ว่าเขาเป็นเด็กปัญญาอ่อนอีกต่อไป
เรื่องเก่าที่ล่วงผ่านไปนานเพียงนี้ สนมหลินลืมไปแล้ว หรืออาจ บอกว่านางตั้งใจลืมวันเวลาที่เต็มไปด้วยความอับอาย แต่อย่างไรนางคิด ไม่ถึงว่าฉี่เฉินจะยังจำได้
หน้านางซีดเซียวยามมองบุตรชายที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ “ฉี่เฉิน ที่แม่พูดยามนั้นล้วนเป็นเพราะความโมโห เจ้าอย่าถือเป็นจริงเป็นจังเลย แม่รักเจ้า อันใดที่เจ้าอยากได้ แม่จะช่วยให้เจ้าได้ครอบครอง”
องค์ชายสี่มองสนมหลินสีหน้าราบเรียบ “ท่านแม่ ลูกจำความได้เร็ว ขอรับ” เขาฟังคำของผู้ใหญ่ออกนานแล้ว และรับรู้อารมณ์ของคนรอบข้าง ได้อย่างฉับไว แต่เพราะการพูดต้องใช้พลังมาก ทำให้เขาไม่อยากพูดกับ คนธรรมดา ๆ เหล่านี้
มารดาไม่ชอบเขา เขารู้สึกโกรธเกลียดเคียดแค้น ผู้ใดกำหนดว่า มารดาบังเกิดเกล้าจะต้องชอบลูกของตนเองเสมอไป
เขาไม่ชอบที่มารดายัดเยียดความทะเยอทะยานที่คลุมทับด้วย ความรักของมารดามาครอบตัวเขา
เดิมนางก็ไม่รู้สึกอันใดกับเขา ยังจะแสร้งเป็นมารดาผู้มากเมตตา ให้เขาต้องรู้สึกน้อยใจไปไย
“ชีวิตคนเราสั้นนัก ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่กดดันตนเอง” นัยน์ตาดำขลับขององค์ชายสี่ลุ่มลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง “ลูกไม่อยากเป็นรัชทายาท ไม่อยากเป็นฮ่องเต้ ท่านแม่อย่าได้ทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์ เลยขอรับ”
ราชสำนักมีคนโง่เขลาอยู่มากเพียงนั้น ถ้าวันทั้งวันต้องพูดกับคน เหล่านี้ เขาไม่ตายทั้งเป็นหรือ
สนมหลินพลันเข้าใจกระจ่างแจ้งว่านางไร้ตัวตนต่อหน้าบุตรชายคนนี้ ความทะเยอทะยาน คำโกหก แม้แต่การเสแสร้งทั้งหลายของนางล้วนอยู่ ในสายตาของเขา
นางเหมือนคนโง่ที่แสดงความโง่เขลาเบาปัญญาออกมา บุตรชาย ของนางมองอากัปกิริยาของนางด้วยความสงบนิ่งไร้ความรู้สึก ไร้ปฏิกิริยา ตอบสนอง ไร้อารมณ์อย่างที่คนทั่วไปพึงมี
นางให้กำเนิดตัวประหลาดอันใดออกมา!
สนมหลินรู้สึกอับอายยิ่งนัก จากนั้นเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคือง “เจ้า เป็นตัวประหลาดหรือ หลายปีมานี้ได้แต่มองข้าอย่างตลกขบขัน!”
องค์ชายสี่นิ่วหน้า แม้เผชิญกับคำด่าทอของมารดา เขาก็มิได้มี สีหน้าหมองหม่นให้เห็นแม้แต่น้อย เขาตอบนางสีหน้าเรียบเฉย “ท่านแม่ เป็นผู้ให้กำเนิดลูก ถึงลูกจะเป็นตัวประหลาดก็โทษลูกไม่ได้”
สนมหลินขึ้งโกรธจนตัวสั่น แผนการที่นางวางไว้หลายปีมานี้ กลายเป็นความว่างเปล่า กลายเป็นเรื่องตลกขบขัน นางพูดอย่างไม่คิดว่า “ถ้ารู้แต่แรกว่าเจ้าจะเป็นตัวประหลาดเช่นนี้ ข้าไม่สมควรให้กำเนิดเจ้าเลย”
เสียงคำรามด้วยความคั่งแค้นของสนมหลินทำนางเพิ่งฉุกคิดได้ว่า พูดอันใดออกไป นางมองบุตรชายเพียงคนเดียวอย่างตื่นตระหนก ไม่รู้ว่า สมควรเหนี่ยวรั้งสายสัมพันธ์แม่ลูกจอมปลอมนี้อย่างไรดี
หลังนิ่งเงียบชั่วขณะ องค์ชายสี่ค่อยตอบทื่อ ๆ เพียงว่า “อ้อ
“ไม่เป็นไรขอรับ” มุมปากขององค์ชายสี่ยกขึ้นเป็นเส้นโค้งที่ เล็กมาก ๆ “ยามนั้นเสด็จพ่อเคยตรัสกับลูกว่าลูกเป็นของขวัญที่สวรรค์ ประทาน รัชทายาทเองก็เคยตรัสว่า แม้ลูกจะโง่ไปสักหน่อย แต่ก็ ไม่ทรงยินยอมให้คนอื่นรังแกลูก
“แม้ท่านแม่ไม่อยากให้กำเนิดลูก แต่อย่างน้อยในวังหลวงนี้ก็มี คนที่อยากให้ลูกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่สองคน” องค์ชายสี่เห็นสีหน้า ของสนมหลินไม่น่าดูขึ้นเรื่อย ๆ ก็ปลอบอย่างคนใจกว้างว่า “อย่าได้โมโห เพียงเพราะผู้อื่นคิดเห็นไม่เหมือนท่านแม่เลย ในโลกนี้ คนที่มีความ คิดเห็นไม่เหมือนท่านแม่มีมากมายเหลือเกิน ท่านแม่โมโหไม่หวาด ไม่ไหวหรอกขอรับ”
สนมหลินตวาดด้วยแรงโทสะที่สะกดไม่อยู่ “ออกไปให้พ้น ๆ หน้า ประเดี๋ยวนี้”
องค์ชายสี่มองสนมหลินที่มีสีหน้าบิดเบี้ยวแล้วก็จากไปแต่โดยดี
ออกจากตำหนักสนมหลิน องค์ชายสี่รู้สึกว่าค่ำคืนนี้งดงามไม่น้อย จึง ยกเลิกความคิดที่จะนั่งเสลี่ยงกลับตำหนักของตน แต่เดินเรื่อยเฉื่อย เอามือไพล่หลัง
ดวงดาวบนนภาช่างสว่างนัก แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาจันทร์
“องค์ชายสี่” ฮวาหลิวหลีถือโคมไฟ เห็นองค์ชายสี่เดินอยู่เพียงลำพัง บนทางเดิน จึงถามอย่างหลากใจว่า “ไฉนถึงอยู่ที่นี่คนเดียว นางกำนัล และขันทีที่คอยรับใช้อยู่ที่ใดเจ้าคะ”
องค์ชายสี่หันมองด้านหลัง แล้วส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่รู้สิ”
ฮวาหลิวหลีถอนหายใจ ถือโคมไฟก้าวเข้ามาใกล้เขาอีกเล็กน้อย เพื่อช่วยส่องทางให้เขา “องค์ชายสี่ เดินอยู่ในวังเพียงลำพังเช่นนี้ ข้า ไม่วางใจ ข้าจะส่งองค์ชายกลับนะเจ้าคะ”
องค์ชายสี่มองวงหน้าอ่อนเยาว์ของฮวาหลิวหลี “เจ้าเด็กกว่าข้า”
“ท่านเป็นองค์ชาย ข้าสมควรปกป้ององค์ชาย” ฮวาหลิวหลีอดหัวเราะไม่ได้ เห็นท่าทางขององค์ชายสี่ที่ไม่คิดจะพูดมากกว่านี้แม้แต่ คำเดียวก็กล่าวว่า “ไปเถิดเจ้าค่ะ”
องค์ชายสี่คิดว่าองค์หญิงฝูโซ่วเป็นว่าที่ชายารัชทายาท เท่ากับเป็น พี่สะใภ้สามของเขา พี่สะใภ้ถือเป็นญาติผู้ใหญ่ การที่ให้นางส่งเขากลับ ตำหนักก็พอจะฟังขึ้น
ยวนเหว่ยและอวี้หรงเดินตามหลังองค์ชายสี่ พวกนางคอยระแวด- ระวังองค์ชายสี่อย่างจริงจัง ไม่ใช่เพราะพวกนางระมัดระวังตัวมากเกินไป แต่นักฆ่าในเมืองหลวงมีมากเกินไป พวกนางจึงจำเป็นต้องระมัดระวังตัว
“คล้ายองค์ชายไม่สบายใจ เกิดอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ” ฮวาหลิวหลี เห็นองค์ชายสี่เดินเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา แม้มีผลไม้หล่นลงมาถูกศีรษะ ก็ยังไม่ส่งเสียง นางจึงปากมาก เอ่ยถามประโยคหนึ่ง
“ไม่สบายใจหรือ” องค์ชายสี่หยุดเดิน มองฮวาหลิวหลีอย่างข้องใจ ก่อนลูบหน้าตนเองไปมา “ไม่มีอันใดไม่สบายใจนี่”
ฮวาหลิวหลีเงยหน้ามองนภา “แล้วเมื่อครู่ที่แหงนหน้ามองท้องฟ้า เพราะกำลังดูดาวหรือเจ้าคะ”
“อืม”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ องค์ชายไปหอชมทิวทัศน์กับข้าดีกว่า ที่นั่น เหมาะกับการชมท้องฟ้ายามราตรีที่สุด”
“ไม่เหมาะสม” องค์ชายสี่ชำเลืองมองอีกฝ่าย เขาเป็นน้องชาย ของรัชทายาท จะไปดูดาวกับว่าที่พี่สะใภ้ได้อย่างไร รัชทายาทเป็นคน เจ้าคิดเจ้าแค้น จะต้องหาเรื่องเขาแน่
“องค์ชายเข้าใจผิดแล้ว” แม้องค์ชายสี่มิได้แสดงท่าทีสักเท่าไร แต่ ฮวาหลิวหลีกลับอ่านความคิดของเขาออกจากดวงตาดำขลับคู่นั้น “รัชทายาท เองก็ประทับที่นั่นด้วย”
รัชทายาทอยู่ที่หอชมทิวทัศน์ด้วยหรือ อย่างนั้นเขายิ่งไปไม่ได้ รัชทายาทชอบองค์หญิงฝูโซ่วถึงเพียงนี้ ถ้าเขาวิ่งโร่เข้าไปร่วมวงด้วย ไม่แน่ว่า รัชทายาทอาจจะยัดเยียดคนพูดมากมาไว้ข้างกายเขาอีกหลายคนก็เป็นได้
“ไม่” องค์ชายสี่ส่ายหน้าติด ๆ กัน
อยากมีชีวิตที่สงบสุขนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เขาคิดว่าความเป็นอยู่ยามนี้ ก็ดีแล้ว
“หลิวหลี” รัชทายาทรอฮวาหลิวหลีอยู่นานเห็นว่านางยังไม่มาสักที จึง ลงจากหอชมทิวทัศน์มาดูนาง เห็นองค์ชายสี่และฮวาหลิวหลีอยู่ด้วยกัน จึงมององค์ชายสี่นานขึ้นอีกหน่อย
องค์ชายสี่สบตารัชทายาทแล้วถอยหลังก้าวหนึ่ง แต่เขายังรู้สึกว่า ไม่ปลอดภัยพอ จึงถอยหลังอีกก้าวหนึ่ง คิดไปคิดมา สุดท้ายก็ถอยหลังอีกสามก้าว
ฮวาหลิวหลีมองระยะห่างระหว่างตนเองกับองค์ชายสี่แล้วเลิกคิ้ว
นางเหมือนคนชั่วที่กำลังจะกินคนหรือ
“น้องสี่ เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร” รัชทายาทเดินมาจูงมือฮวาหลิวหลี พอเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่ข้างกายองค์ชายสี่แม้แต่คนเดียวจึงถามว่า “ข้ารับใช้ ของเจ้าไปที่ใดหมด”
องค์ชายสี่ส่ายหน้า
รัชทายาทมุ่นคิ้ว สั่งขันทีติดตามที่อยู่ด้านหลังว่า “ให้สำนัก พระราชวังตรวจดูซิ จะปล่อยให้บ่าวที่ทำงานอย่างไม่ใส่ใจเหล่านี้อยู่ ข้างกายองค์ชายสี่ไม่ได้ เปลี่ยนตัวผู้ติดตามรับใช้องค์ชายสี่คืนนี้ให้หมด”
แม้พี่น้องของเขาเหล่านี้เป็นพวกแตงเบี้ยวพุทราปริ1 ถ้าจะแสดง ท่าทางรังเกียจก็มีแต่เขารัชทายาทคนนี้เท่านั้นที่ทำได้ ส่วนผู้อื่นอย่าได้คิด
พอได้ยินว่ารัชทายาทจะลงโทษบ่าวรับใช้ของเขา องค์ชายสี่ก็ไม่มี ปฏิกิริยาใด ๆ ก้มหน้าเงียบ ๆ ยังคงมีท่าทางหม่นหมองเช่นเดิม
กำลังจะสั่งให้คนส่งองค์ชายสี่กลับตำหนัก องค์ชายสี่พลันเงยหน้า มองรัชทายาท “เสด็จพี่รัชทายาท กระหม่อมอยากดูดาวพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทจ้ององค์ชายสี่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “ตามเรามา”
องค์ชายสี่เดินตามอยู่ด้านหลังรัชทายาทเงียบ ๆ ถ้าเขาไม่พูดไม่จา ก็แทบไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงความคงอยู่ของเขา เขาเงยหน้ามองรัชทายาทและ องค์หญิงฝูโซ่วที่จูงมือเดินด้วยความไม่เข้าใจ
ปกติรัชทายาทอารมณ์ร้าย พูดจาไม่น่าฟัง ไยพออยู่ต่อหน้าองค์หญิง ฝูโซ่วจึงกลายเป็นคนละคน
หรือนี่ก็คือว่าความรักอย่างที่เขาว่ากัน
ขณะที่ปีนบันไดขึ้นไปที่หอชมทิวทัศน์ องค์ชายสี่เห็นรัชทายาท ก้มตัวยกชายกระโปรงให้องค์หญิงฝูโซ่วอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วจูงนาง เดินขึ้นข้างบนช้า ๆ
พฤติกรรมที่รัชทายาทแสดงออกอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา จนเขาลืมไปว่าเขาจะขึ้นไปดูดาว
กว่าจะเดินขึ้นไปถึงยอดหอชมทิวทัศน์ก็ไม่ใช่ง่าย พอมาถึง องค์ชายสี่เห็นองค์หญิงฝูโซ่วปลดถุงหนังที่ห้อยอยู่ข้างเอว ล้วงของกินเล่น ออกมากำหนึ่ง แบ่งให้รัชทายาทครึ่งหนึ่ง
ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง องค์หญิงฝูโซ่วยื่นให้เขา
ของกินพวกนี้ มีแต่ตอนที่เขาอายุสามขวบกว่าระหว่างที่พำนักใน ตำหนักเฉินหยางไม่กี่เดือนเท่านั้นถึงจะได้กิน ต่อมาพอท่านแม่รับเขา กลับมาแล้ว เขาก็มิได้แตะต้องของเหล่านี้อีกเลย
เขาหันมองรัชทายาทผาดหนึ่ง ก่อนยื่นมือไปรับของกินเล่น แล้ว เลียนแบบรัชทายาท นั่งบนม้านั่งหินที่วางอยู่แถวนั้น หยิบกินช้า ๆ
ฮวาหลิวหลีนั่งข้างรัชทายาท มององค์ชายสี่ที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ของรัชทายาทแล้วยิ้มกล่าว “รัชทายาท ทอดพระเนตรสิเพคะ พวกเรา เหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่นั่งเรียงหน้ากระดานแล้วแบ่งขนมกันกินหรือไม่”
“อืม” รัชทายาทผงกศีรษะยิ้มน้อย ๆ “ในใจของเรา เจ้ายังคงเป็น เด็กน้อยที่ต้องการการปกป้องคุ้มครองตลอดไป”
องค์ชายสี่กระเถิบห่างเล็กน้อย ท่าทางแสดงให้เห็นว่าเลี่ยนกับ ถ้อยคำนี้
เขาคิดถึงตอนอยู่ที่ตำหนักเฉินหยาง รัชทายาทยกจานขนมพุทรา มาแบ่งให้เขา เสด็จพ่อไม่ให้พวกเขากินขนมมากเกินไป ดังนั้นแต่ละคน จะได้ตามปริมาณที่กำหนดเอาไว้เท่านั้น
ทุกครั้งที่แบ่งขนมเสร็จ เขาจะพบว่ารัชทายาทจะมีขนมมากกว่าเขา สองสามชิ้น แต่ทุกครั้งรัชทายาทจะพยายามหาทางเก็บขนมที่ได้มาเกิน ไว้ให้เสด็จพ่อ
ยามนั้นเขาไม่เข้าใจว่าของเหล่านี้ก็เป็นของที่เสด็จพ่อให้พวกเขา ไม่มีของอันใดที่เสด็จพ่อต้องการแล้วไม่ได้ ไฉนรัชทายาทจะต้องตั้งใจ เก็บไว้ให้เสด็จพ่อด้วย
ที่ไม่เข้าใจมากกว่านั้นก็คือ เสด็จพ่อดีใจมากทุกครั้ง ราวกับสิ่งที่ รัชทายาทเก็บไว้ให้นั้นมิใช่ขนมธรรมดา แต่เป็นของหายาก
ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือขุนนางที่เอาแต่คาดหวังว่าเสด็จพ่อจะปลด รัชทายาท ใต้หล้านี้ ไฉนมักมีคนนอกที่อยากให้ความสัมพันธ์พ่อลูก ร้าวฉาน ไร้คุณธรรมสิ้นดี
“องค์ชายสี่ เอาอีกหรือไม่เจ้าคะ” ฮวาหลิวหลีสังเกตว่าองค์ชายสี่ ไม่พูดไม่จา กินขนมที่นางแบ่งให้จนหมด นางจึงล้วงขนมออกมาอีกกำหนึ่ง “เอานี่ แบ่งให้เจ้าค่ะ”
องค์ชายสี่มององค์หญิงฝูโซ่วที่มีรอยยิ้มสดใสแล้ว รับของกินที่นาง ส่งให้ เขาเอียงหน้าเห็นรัชทายาทมองเขาด้วยสายตาลุ่มลึก ก็เกิดความคิด ทันควัน “ขอบคุณพี่สะใภ้สามมาก”
“หา” ฮวาหลิวหลีคิดว่าตนเองหูฝาด
“น้องสี่อายุยังน้อย บางครั้งพูดจาไม่รู้จักคิด ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ” รัชทายาทยิ้มอย่างคนที่เข้าใจผู้อื่นดี “หลิวหลีไม่ต้องโกรธเขาหรอก”
ฮวาหลิวหลีกระแอมแก้เขิน แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้น นาง เงยหน้ามองฟากฟ้า “ดูนั่นสิ มีดาวตกด้วย”
องค์ชายสี่เงยหน้ามองตาม เห็นเพียงแสงสว่างช่วงสุดท้ายของดาวตก เท่านั้น
เขามองรัชทายาทที่กินขนมที่องค์หญิงฝูโซ่วแบ่งให้ มุมปากแต้มยิ้ม น้อย ๆ
รัชทายาทเอียงคอมององค์ชายสี่ แตงเบี้ยวยิ้มก็พอจะดูดีกว่าตอน ไม่ยิ้มนิดหนึ่ง
ภายในตำหนักเฉินหยาง ฮ่องเต้ชางหลงอ่านเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ การสืบสวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันงานเลี้ยงพระราชทานร้อยแคว้นแล้ว นิ่งเงียบเนิ่นนานก่อนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“จ้าวซานไฉ เจ้าไปตามสนมหลินมาที่นี่ อย่าให้ผู้อื่นล่วงรู้เล่า”
“บ่าวน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวซานไฉมองฮ่องเต้ชางหลง อย่างกังวลแวบหนึ่ง ก่อนค้อมกาย ล่าถอยออกไปอย่างแผ่วเบา
สองเค่อให้หลัง สนมหลินผลักประตูใหญ่หน้าพระที่นั่งที่งับเอาไว้ เข้ามา มองฮ่องเต้ชางหลงที่นั่งตัวตรงอย่างเป็นการเป็นงาน รอยยิ้มบน ใบหน้าจางหายทีละน้อย
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”