ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก
造作时光
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
Hanza แปล
— โปรย —
รัชทายาทรูปโฉมหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียม เก่งทั้งบุ๋นและบู๊
แต่ถึงเขาหน้าตาดีเพียงใด้ก่งกาจเพียงใด
ก็หักล้างกับนิสัยไม่ดีและปากร้ายไม่ได้
หญิงผู้ดีมีชาติตระกูล มีหรือจะอดทนกับความปากร้าย
ที่สามารถฆ่าคนอย่างไร้รูปเช่นนั้น
ว่ากันว่าแม้แต่สนมในวังหลวงทั้งหลายก็ยังมิอาจต่อกรกับรัชทายาท
นับประสาอันใดกับพวกนางที่เป็นสาวน้อยที่มีพลังในการชิงดีชิงเด่นไม่เข้มแข็งพอ
คิดดูอีกที เมื่อรัชทายาทถูกตาจ้องใจสตรีอ่อนแอขี้โรค
นับว่านางเป็นเนื้อสมันที่เดินเข้าปากเสือ น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี
แม้ภายนอก ฮวาหลิวหลี อ่อนแอขี้โรค
ทว่าแท้จริงนางเป็นสตรีที่น่าครั่นคร้ามยิ่ง
ไม่ว่าฝ่ายใดที่พยายามลอบสังหารนาง
กลับต้องแพ้ภัยตัวเอง
จีหยวนซู่ บุรุษรูปงาม สูงศักดิ์ เป็นถึงรัชทายาทแคว้นจิ้น
เขาถูกตาต้องใจนาง คอยปกป้องเอาใจนางเสมอ
ต่อให้นางเข้มแข็งเพียงใดก็ยังพ่ายต่อเขา
และที่สำคัญคือพ่ายต่อรูปโฉมบุรุษที่เป็นจุดอ่อนของนาง
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
หลังความเงียบงันชั่วขณะผันผ่าน ผู้ที่ลอบวางยาพิษในห้องครัวกล่าวอย่างขลาดกลัวว่า “สตรีสกุลฮวานางนั้นถูกเลี้ยงดูจนกลายเป็นคนดื้อรั้น เอาแต่ใจ ใจไม่กว้าง ไม่ตรงไปตรงมาอย่างที่คนในตระกูลนักรบสมควรมีแม้แต่น้อย ข้าน้อยคิดไม่ถึง…คิดไม่ถึงว่านางจะใช้วิธีการต่ำช้า ไร้ยางอายกลั่นแกล้งผู้อื่นเช่นนี้”
ได้กลิ่นคาวเนื้อแล้วเวียนหัวอันใดกัน ไฉนไม่บอกว่าตนเองเติบโตมากับการดื่มน้ำค้างยามเช้าเสียเลยเล่า
พูดได้คำเดียวว่า หน้าไม่อาย!
ความเงียบเข้าปกคลุมภายในห้องอีกครา มีเสียงคนเดินไปมาอย่างรีบร้อนจากด้านนอก ผู้รับผิดชอบวางยาพิษจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วปั้นหน้าห่วงใย ก่อนแง้มประตูเป็นช่องเล็กๆ ที่มีขนาดแค่ครึ่งตัวคน
จากนั้นเขาเห็นมือปราบหามหลินฮุยจือที่นอนหมดสติขึ้นมาชั้นบน จึงอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเด็กเมื่อวานซืนสกุลฮวาทั้งสองคนยั่วโมโหหลินฮุยจือจนตายไปเสียยามนี้ก็จะดียิ่งนัก พวกเขาจะได้ประหยัดแรงอีกหน่อย
ทว่าน่าเสียดายที่หลินฮุยจือเป็นขุนนางบุ๋นที่ดวงแข็งและแข็งแรงมาก ถึงจะถูกคนหามขึ้นมาด้วยหมดสติเพราะถูกยั่วโมโห ก็ยังนอนละเมอถึงความจงรักภักดีและคุณธรรมไม่ขาดปาก
ในฐานะขุนนางบุ๋น การถูกคนหามขึ้นมาเช่นนี้นับเป็นความอับอายขายหน้าเหลือแสนแล้ว
“พี่ใหญ่ ยามนี้พวกเราสมควรทำอย่างไรดี” บุรุษผู้นั้นปิดประตู แล้วหันมองชายที่นั่งข้างหน้าต่าง
“ยังจะทำอันใดได้ รีบหนีกันก่อนเถิด”
“หนีรึ”
“หากไม่หนีจะอยู่ให้คนเขาสงสัยหรืออย่างไร!” บุรุษผู้นั้นสีหน้าเคร่งเครียด เขาคิดเสมอว่าตนเองวางแผนได้อย่างล้ำเลิศ แต่คาดไม่ถึงว่าจะสะดุดหัวทิ่มอยู่ที่นี่
ฮวาหลิวหลีนอนแทบไม่หลับทั้งคืน เตียงของโรงเตี๊ยมทั้งเก่าทั้งแคบ แม้ปูผ้าห่มเนื้อดีรองอีกชั้น นางก็ยังไม่สบายตัวเอามากๆ
นอนพลิกไปพลิกมาครึ่งคืน ในขณะที่ความง่วงงุนมาเยือน พลันมีเสียงตะโกนด้วยความตกใจดังมาจากชั้นล่าง นางปัดผ้าห่มออก สวมเสื้อตัวนอก แล้วคลุมทับด้วยเสื้อคลุมอีกตัวหนึ่งก่อนวิ่งลงไปชั้นล่าง
“ตะโกนอันใดแต่เช้า” เหล่ามือปราบสะดุ้งตื่นเพราะเสียงนี้ พวกเขาอ้าปากคิดจะด่ากลับ แต่เมื่อเห็นฮวาหลิวหลีเดินออกมาก็รีบกลืนคำพูดทั้งหมดลงไป
ฮวาฉางคงเห็นน้องสาวเดินปล่อยผมยาวสยายออกมานอกห้องก็รีบเข้าไปดึงหมวกที่ติดกับเสื้อคลุมขึ้นมาสวมให้นาง กดเสียงต่ำถามว่า “เกิดเรื่องใดขึ้น”
“ข้างนอก…ข้างนอกมีนกกระจอกตายเต็มไปหมดขอรับ” ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมตอบ หน้าซีดเผือด “อาหารเมื่อวานที่ข้าน้อยกวาดไปทิ้งข้างนอก…”
สีหน้าฮวาฉางคงเคร่งเครียด ก้าวยาวๆ ออกไปนอกห้องโถง เขาเห็นลานด้านนอกมีนกกระจอกนอนตายเกลื่อนพื้น ยังมีเศษอาหารที่จับตัวเป็นก้อนแข็งบนหิมะอีกส่วนหนึ่ง
อาหารที่น้องสาวทำตกพื้นชามนั้นมียาพิษ
“ไม่ใช่ข้าน้อย ไม่เกี่ยวกับข้าน้อยนะขอรับ” พ่อครัวที่ตามออกมาดูด้วยถึงกับส่ายหัวไปมาด้วยความตกใจ “ข้าน้อยทำงานที่นี่มาสิบกว่าปี บรรพชนล้วนมีประวัติขาวสะอาด มิกล้าทำเรื่องนี้หรอกขอรับ”
“นี่ นี่ นี่….” เจ้าหน้าที่หน่วยตรวจการณ์เห็นภาพนี้แล้วเข่าอ่อนทันควัน หากขุนนางนักโทษผู้นั้นตายที่นี่ คนในโรงเตี๊ยมหลวงอย่างพวกเขาจะต้องโชคร้ายกันหมด
“พี่สามเกิดอันใดขึ้นหรือ” ฮวาหลิวหลีเดินตามออกมา
ฮวาฉางคงรีบลุกขึ้นยืนบังฮวาหลิวหลีเอาไว้ ไม่ให้นางเห็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนนี้ “ไม่ต้องดู มิฉะนั้นเจ้าจะกินข้าวไม่ลง”
“น่ากลัวจริงๆ” ฮวาหลิวหลีตบหน้าอกดังปุๆ ทำหน้าประมาณว่า ข้าเป็นสตรีอ่อนแอแบบบางอย่างยิ่ง ก่อนหมุนตัวตั้งท่าจะเดินกลับเข้าห้องโถง “ข้ากลัวของสกปรกพวกนี้ที่สุด”
ฮวาฉางคงจัดเสื้อคลุมตัวนอกของนางให้เข้าที่ “กลับเข้าห้องแล้วให้ยวนเหว่ยช่วยเกล้าผมให้ พี่จะให้คนมาเก็บกวาดลานด้านนอกก่อน”
“เจ้าค่ะ” เพราะความรีบร้อนทำให้ฮวาหลิวหลีสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเกินไป พอมีลมพัดผ่านห้องโถงจึงรู้สึกหนาวยะเยือก นางกลับเข้าห้องแล้วซุกตัวใต้ผ้าห่มอย่างเกียจคร้านครู่หนึ่ง ก่อนเรียกหญิงรับใช้ให้ยกอ่างน้ำมาล้างหน้า แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่
เมื่อนางลงมาชั้นล่างอีกครา คนอื่นๆ กินอาหารเช้ากันเกือบหมดแล้ว นางนั่งข้างโต๊ะมองหลินฮุยจือแวบหนึ่ง แล้วแสร้งหาเรื่องติอาหารบนโต๊ะไปเรื่อย
นางกินข้าวยังไม่ถึงสองคำ แต่กลับตินั่นตินี่มากมาย แม้นางจะทำตัวเรื่องมากเพียงใด ทว่าหลินฮุยจือที่นั่งอยู่มุมห้องกลับไม่พูดไม่จา
รอจนกระทั่งฮวาหลิวหลีกินอาหารเช้าเสร็จ ไม่เห็นหลินฮุยจือพูดจาว่ากล่าวนาง ทำนางอดคิดไม่ได้ว่า หรือนางจะยั่วโมโหจนตาเฒ่าผู้นี้ไม่สบายแล้ว
ผู้เฒ่าคนนี้อายุมากแล้ว แต่จิตใจกลับไม่กว้างขวางตามอายุ เมื่อมีโอกาสอันดีที่จะหาเรื่องนางได้ เขาก็ไม่สมควรจะปล่อยโอกาสนี้ผ่านไป
ขณะครุ่นคิด ฮวาหลิวหลีเห็นขุนนางเฒ่าเดินตรงมาหา เลิกคิ้วใบหลิวเล็กน้อย นางกวักมือเรียกทหารในห้องโถงมายืนอยู่ด้านหลังนางเพื่อเสริมบารมีให้ดูน่าเกรงขาม
การทะเลาะกับผู้อื่น เรื่องสำคัญที่สุดก็คือจะต้องมีคนมากมีอำนาจเต็มเปี่ยมไว้ก่อน
ความรู้สึกของหลินฮุยจือนั้นซับซ้อนยิ่งนัก เขาถูกล่ามตรวนทำให้เดินลำบาก เดินสองก้าวก็ต้องหยุด เดินสามก้าวก็หายใจหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่สุดท้ายเขายังเดินมาเบื้องหน้าฮวาหลิวหลีจนได้
ไม่รอให้ฮวาหลิวหลีเอ่ย เขาเป็นฝ่ายค้อมกายคำนับนางอย่างเต็มพิธีการ
ฮวาหลิวหลีหน้าเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด ตาเฒ่านี่คิดจะทำอันใด คิดจะคำนับนางเพื่อหวังให้นางอายุสั้นเช่นนั้นหรือ
เถียงสู้นางไม่ได้ก็ใช้วิธีต่ำช้าอย่างนี้รึ
“ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยชีวิตข้าเมื่อวาน” เขาเป็นขุนนางใหญ่ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสามในราชสำนัก แม้เห็นแก่ตัวและมีจุดยืนที่แตกต่าง แต่ก็มิใช่คนโง่เขลา
ตอนเช้าตื่นขึ้นมาก็รู้ว่ามีคนคิดจะวางยาพิษสังหารเขา ทั้งยังลงมือหลังจากสองพี่น้องสกุลฮวาเดินทางมาถึง หลินฮุยจือก็รับรู้ได้ถึงแผนชั่วที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
หากเขาเสียชีวิต ปัญหาแต่เดิมที่เป็นเพียงความขัดแย้งเรื่องความเห็นต่างทางการเมืองธรรมดาจะกลายเป็นความแค้นลึกล้ำ ปัญญาชนมีความรู้ เย่อหยิ่ง ทะนงตน ส่วนฮวาอิ้งถิงลือนามในหมู่ราษฎรเนื่องจากทำศึกชนะแคว้นจินพั่ว หากสองฝ่ายบาดหมางกัน จะเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงในราชสำนัก แม้แต่ราชวงศ์จิ้นก็เกรงว่าจะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
เป็นแผนยิงเกาทัณฑ์ดอกเดียวได้วิหคหลายตัวที่แยบยล จะต้องเป็นแผนร้ายของแคว้นข้าศึกเป็นแน่
เย็นวานนี้การกระทำของบ่าวรับใช้สกุลฮวาที่ทำชามอาหารของเขาหกไม่เพียงช่วยชีวิตเขาไว้ แต่ยังช่วยผู้ที่อาจถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไว้ด้วย
แม้หลินฮุยจือไม่ชื่นชอบผู้ที่ชอบทำสงคราม แต่นั่นมิได้หมายความว่าเขาเป็นคนที่ไม่รู้บุญคุณคน
เมื่อมองฮวาหลิวหลีอีกครา ถึงเขาจะรู้สึกว่าคุณหนูน้อยผู้นี้ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจเกินไป ปากคอเราะรายมากเกินไป นิสัยใจคอหรือก็แย่เกินไป เป็นคนเรื่องมาก ชอบติไปเรื่อยก็จริง ทว่าก็ยังมีข้อดีอยู่บ้าง
อย่างเช่น…
หลินฮุยจือขบคิดอย่างตั้งใจ อย่างเช่น เป็นดรุณีน้อยที่หน้าตาดี
หากปัญญาชนคิดจะเอ่ยวาจาชื่นชมผู้ใด มักจะสรรหาคำไพเราะเสนาะหูมาชื่นชมได้เสมอ ดังนั้นแม้หลินฮุยจือจะติฮวาหลิวหลีที่ช่วยชีวิตเขามากมายเพียงใด ทว่าก็ยังรังสรรค์คำขอบคุณและคำชื่นชมที่ฟังรื่นหูมาได้มากมาย
ฮวาหลิวหลี “…”
ร้ายกาจยิ่งนัก ขุนนางบุ๋นยังคงร้ายกาจที่สุด เขากล่าวถึงนิสัยเรื่องมากที่นางตั้งใจทำจนนางกลายเป็นคนละเอียดรอบคอบ ทำอันใดด้วยความระมัดระวัง กระทั่งสามารถช่วยคนให้พ้นภยันตรายได้ ขนาดนางฟังแล้วยังเกือบจะคล้อยตาม
“ถึงใต้เท้าท่านนี้จะพูดจาน่าฟังเพียงใด ท่านก็ไม่ได้กินเนื้อแน่นอน” ฮวาหลิวหลียกผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากเบาๆ “ไม่มีประโยชน์”
หลินฮุยจือชะงัก หน้าแข็งค้างเล็กน้อย “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น”
“ในเมื่อมิได้หมายความเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว” ฮวาหลิวหลีหันกลับไปเลือกทหารด้านหลังจำนวนหนึ่ง “พวกเจ้าเดินทางไปกับใต้เท้าผู้นี้ จำไว้ให้ขึ้นใจว่าจะต้องคอยดูแลอาหารการกินของใต้เท้าท่านนี้ให้ดี”
จะให้เขากินเนื้อสัตว์ไม่ได้เป็นอันขาด ต้องหาทางทำให้เขาอยากกินแต่ไม่ได้กิน ทั้งยังใช้โอกาสนี้คุ้มกันตาเฒ่านี่ไปให้ถึงจุดหมายเพื่อจะได้ไม่ถูกคนลอบทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตระหว่างทาง
หลินฮุยจือตะลึงงันเนิ่นนาน ก่อนคำนับฮวาหลิวหลีอีกคราอย่างนอบน้อม “คุณหนูเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง ข้ามิอาจเทียบกับคุณหนูได้แม้แต่น้อย”
ฮวาหลิวหลีปรายตามองแวบหนึ่ง ก่อนเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างอย่างแนบเนียน นางลุกขึ้นเอ่ยกับฮวาฉางคงว่า “พี่สาม พวกเราสมควรออกเดินทางได้แล้วเจ้าค่ะ”
ถ้ายังไม่ไป ตาเฒ่านี่คงจะคำนับนางอีกแน่
นางอายุยังน้อย จะรับการคำนับจากผู้เฒ่าได้อย่างไร
“ได้” ฮวาฉางคงที่นั่งอยู่ข้างๆ ผงกศีรษะรับคำสีหน้ายิ้มแย้ม เขาไม่สงสัยที่หลินฮุยจือเอ่ยชมพฤติกรรมของฮวาหลิวหลีแม้แต่น้อย ถึงกับยังรู้สึกว่าการที่หลินฮุยจือเยินยอน้องสาวนั้นสามารถนำไปใช้เป็นแบบอย่างได้
เมื่อขึ้นรถม้า ฮวาหลิวหลีมองผู้ดูแลโรงเตี๊ยมหลวงที่ยืนค้อมกายส่งพวกนาง และมองโรงเตี๊ยมซอมซ่อด้านหลังปราดหนึ่ง ก่อนหยิบถุงแพรใส่เงินใบหนึ่งโยนให้เขา “ในรัศมีหลายร้อยหลี่นี้มีโรงเตี๊ยมของเจ้าเพียงแห่งเดียว นำเงินจำนวนนี้ไปซ่อมแซมให้ดีๆ”
นางเกรงว่าหากพายุหิมะโหมกระหน่ำจะทำให้โรงเตี๊ยมถล่ม แล้วผู้บริสุทธิ์จำนวนไม่น้อยอาจต้องโชคร้ายด้วยเหตุนี้
“ขอบคุณผู้สูงศักดิ์ ขอบคุณผู้สูงศักดิ์” เพียงชั่วคืนเดียวเกิดเรื่องร้ายแรงถึงเพียงนี้ก็สร้างความหวาดผวาให้ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมจนทำอันใดไม่ถูก เคยคิดว่าผู้สูงศักดิ์ที่เรื่องมากผู้นี้จะหาเรื่องยุ่งยากให้เขา แต่คาดไม่ถึงว่านอกจากนางจะไม่เอ่ยวาจา ยังให้เงินเขาซ่อมแซมปรับปรุงโรงเตี๊ยม นางมิใช่ผู้สูงศักดิ์ธรรมดา หากเป็นเทพธิดาบนสวรรค์จุติลงมาต่างหาก
หลังสองพี่น้องสกุลฮวาจากไป หลินฮุยจือขอให้มือปราบนำกระดาษพู่กันมาให้ เขาเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ก่อนไหว้วานให้คนของโรงเตี๊ยมนำไปส่งที่เมืองหลวง
สองพี่น้องสกุลฮวามีคุณธรรมสูงส่ง แม้แค้นใจที่เขากล่าวโทษฮวาอิ้งถิงก็จริง ทว่าเมื่อเห็นเขามีภัยที่อาจถึงแก่ชีวิตก็ยังละทิ้งความแค้นส่วนตัว ส่งทหารคุ้มกันเขาไปยังสถานที่ปลายทาง ความใจกว้างเยี่ยงนี้ทำเขาละอายใจยิ่งนัก
หรือ…เขาอคติต่อคนสกุลฮวาจริงๆ นี่เป็นความผิดของเขาอย่างนั้นหรือ
ระหว่างการเดินทาง เพราะความเรื่องมากของฮวาหลิวหลีทำให้ขบวนรถเดินๆ หยุดๆ จนจดหมายของหลินฮุยจือถูกส่งไปถึงเมืองหลวงก่อนพวกนางก้าวหนึ่ง
ในจวนเสนาบดี เฉาจิ้นปั๋วเสนาบดีกรมคลังกำลังหารือเรื่องงานกับจั่วอวิ้นเต๋อรองเสนาบดีกรมคลังในห้องหนังสือ เขาได้ยินบ่าวรับใช้รายงานว่ามีจดหมายจากสหายสนิทส่งมาถึงก็ให้คนรีบไปนำมา
“เฮ้อ” เฉาจิ้นปั๋วรับจดหมายมาถึอไว้ มิได้เปิดอ่านทันที เขายิ้มแหย “ครานี้ความคิดทางการเมืองของข้ากับฮุยจือต่างกันจนขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด”
เขาไม่อยากเปิดจดหมายฉบับนี้ด้วยซ้ำ
หลินฮุยจือยังคงดื้อรั้น คิดว่าการที่แม่ทัพฮวารุกไล่กองทัพจินพั่วออกไป แล้วยึดดินแดนอีกฝ่ายเอาไว้นั้น เป็นการใช้อำนาจทางทหารที่เกินจำเป็น ทว่าเขาเองกลับเห็นด้วยกับการกระทำของแม่ทัพฮวา ดังนั้นหลินฮุยจือจึงพยายามโน้มน้าวให้เขาคิดเห็นเช่นเดียวกันมาตลอด ภายหลังพวกเขายังโต้เถียงเรื่องนี้ในท้องพระโรง
เกรงว่าจดหมายฉบับนี้จะมิได้เขียนเพราะความคิดถึงสหายเก่าเช่นเขาแต่อย่างใด
“ใต้เท้า เพื่อช่วยใต้เท้าหลินแล้ว ท่านถึงกับต้องขอความช่วยเหลือไปทั่ว หากใต้เท้าหลินรู้เรื่องนี้จะต้องเข้าใจถึงความตั้งใจดีของท่านแน่” จั่วอวิ้นเต๋อปลอบใจ “ท่านกับใต้เท้าหลินเป็นสหายกันมาหลายสิบปี จะผิดใจกันเพราะเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรือ”
“นิสัยของฮุยจือเป็นอย่างไรใช่เจ้าจะไม่รู้ เขาทั้งดื้อทั้งรั้น เรื่องที่เขาคิดไว้ ต่อให้ใช้อาชาแปดตัวก็ยังลากให้เขาเปลี่ยนใจไม่ได้” เฉาจิ้นปั๋วถอนหายใจเฮือกใหญ่ สุดท้ายยังคงแกะจดหมายฉบับนั้นช้าๆ
จั่วอวิ้นเต๋อรู้ถึงความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนระหว่างคนทั้งสองดี เพราะใต้เท้าหลินเป็นคนอารมณ์ร้อน คิดว่าเนื้อหาในจดหมายคงจะเป็นคำด่าทอใต้เท้าเฉามากกว่าครึ่ง หลายชั่วอึดใจผ่านไป เขาคิดหาวิธีปลอบใจใต้เท้าเฉาได้หลายวิธีแล้ว
เขารอครู่หนึ่งก็ไม่เห็นใต้เท้าเฉาพูดจา เมื่อมองสีหน้าของอีกฝ่ายก็เห็นแววตกตะลึงระคนสงสัย ราวกับในจดหมายเขียนถึงสิ่งที่น่าเหลือเชื่อเอาไว้
“ใต้เท้า” จั่วอวิ้นเต๋อคิดในใจ คงไม่โมโหเพราะเนื้อหาในจดหมายของใต้เท้าหลินจนทำอันใดไม่ถูกกระมัง
“อวิ้นเต๋อเอ๊ย” เฉาจิ้นปั๋ววางจดหมายลง สีหน้าซับซ้อน เต็มไปด้วยความขัดแย้งบางอย่าง “เจ้าคิดว่าด้วยนิสัยของฮุยจือ หากถูกคนข่มขู่แล้วจะยอมเอ่ยสิ่งที่ผิดต่อความคิดของตนเองหรือไม่”
“ที่ใต้เท้าพูดนั้น…หมายความเช่นไร” จั่วอวิ้นเต๋อถามอย่างงุนงง
“อย่างเช่น ชื่นชมลูกๆ ของผู้ที่เขาชิงชัง”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ จั่วอวิ้นเต๋อถึงกับหัวเราะเสียงแห้ง “เรื่องนี้คงจะต้องดูว่าเป็นผู้ใดขอรับ”
“อาทิลูกๆ ของแม่ทัพฮวา”
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!” จั่วอวิ้นเต๋อพูดโพล่งแล้วถึงรู้สึกว่าถ้อยคำนั้นตรงเกินไป เขาตอบเร็วเกินไป จนดูคล้ายจะกล่าวหาว่าใต้เท้าหลินเป็นคนใจคอคับแคบอยู่กลายๆ จึงรีบชี้แจงอ้อมๆ อีกหลายประโยคว่า “ลูกๆ ของแม่ทัพฮวาเติบโตแถวชายแดน ได้รับการอบรมสั่งสอนจากแม่ทัพฮวาและแม่ทัพเว่ย นิสัยและการกระทำจะต้องคล้ายคลึงบิดามารดาอยู่มาก ด้วยนิสัยของใต้เท้าหลิน พวกเขาไม่สมควรจะเป็นเด็กรุ่นหลังที่ใต้เท้าหลินชื่นชอบ”
หากจะให้กล่าวชมนั้นเป็นไปไม่ได้ ต่อให้ตายก็เป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าจะหาเรื่องติเตียนอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า นั่นจึงจะเป็นเรื่องปกติมากกว่า
ด้วยนิสัยของใต้เท้าหลิน เกรงว่าจะยอมเอาหัวชนกำแพงตายดีกว่าจะพูดถึงสกุลฮวาในด้านดี