[ทดลองอ่าน] ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก เล่ม 2 บทที่ 38

ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก

造作时光 

 

เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน

Hanza แปล

 

— โปรย —

รัชทายาทรูปโฉมหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียม เก่งทั้งบุ๋นและบู๊

แต่ถึงเขาหน้าตาดีเพียงใด้ก่งกาจเพียงใด

ก็หักล้างกับนิสัยไม่ดีและปากร้ายไม่ได้

หญิงผู้ดีมีชาติตระกูล มีหรือจะอดทนกับความปากร้าย

ที่สามารถฆ่าคนอย่างไร้รูปเช่นนั้น

ว่ากันว่าแม้แต่สนมในวังหลวงทั้งหลายก็ยังมิอาจต่อกรกับรัชทายาท

นับประสาอันใดกับพวกนางที่เป็นสาวน้อยที่มีพลังในการชิงดีชิงเด่นไม่เข้มแข็งพอ

คิดดูอีกที เมื่อรัชทายาทถูกตาจ้องใจสตรีอ่อนแอขี้โรค

นับว่านางเป็นเนื้อสมันที่เดินเข้าปากเสือ น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี

แม้ภายนอก ฮวาหลิวหลี อ่อนแอขี้โรค

ทว่าแท้จริงนางเป็นสตรีที่น่าครั่นคร้ามยิ่ง

ไม่ว่าฝ่ายใดที่พยายามลอบสังหารนาง

กลับต้องแพ้ภัยตัวเอง

จีหยวนซู่ บุรุษรูปงาม สูงศักดิ์ เป็นถึงรัชทายาทแคว้นจิ้น

เขาถูกตาต้องใจนาง คอยปกป้องเอาใจนางเสมอ

ต่อให้นางเข้มแข็งเพียงใดก็ยังพ่ายต่อเขา

และที่สำคัญคือพ่ายต่อรูปโฉมบุรุษที่เป็นจุดอ่อนของนาง

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

38

 

“เสด็จพ่อ ลูกในพระทัยของเสด็จพ่อเป็นคนเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทมองฮ่องเต้ชางหลง สีหน้าแววตาตัดพ้อ

“เราพูดผิดไปหน่อยเท่านั้น ลูกพ่อเก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊ รูปลักษณ์เป็นหนึ่งไม่มีสอง ยังจะต้องฉุดคร่าหญิงชาวบ้านหรือไร” ฮ่องเต้ชางหลงละอายใจกับการคาดเดาเหลวไหลเรื่อยเปื่อยของตนเอง “จริงสิ หลายวันก่อน พ่อได้ของที่น่าสนใจมาจำนวนหนึ่ง จะให้จ้าวซานไฉส่งไปให้ที่ตำหนักบูรพา”

หลังสัญญาว่าจะมอบสิ่งของจำนวนไม่น้อยให้รัชทายาท สีหน้าของรัชทายาทก็ดีขึ้น ฮ่องเต้ชางหลงอยากรู้โดยพลัน “เจ้าถูกใจบุตรีสกุลใด พ่อจะไปเจรจากับพ่อแม่ของนางให้“

รัชทายาทนิ่งเงียบ

“เป็นสกุลตู้ สกุลเหยาที่ถนนตะวันออก หรือสกุลเถียน สกุลเฉินที่ถนนใต้” ฮ่องเต้ชางหลงขมวดคิ้ว “คงไม่ใช่ญาติผู้น้องเหล่านั้นของเจ้าหรอกนะ”

“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทส่ายหน้า “ลูกไม่รู้ว่านางคิดอย่างไรกับลูก พวกเราคุยเรื่องนี้กันทีหลังเถิด”

“ถ้าเจ้าชอบจริงๆ ก็สมควรรีบบอกพ่อให้รู้ พ่อจะได้ช่วยเจรจาให้ ลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ” จะเสียอันใดก็เสียได้ แต่จะให้บุตรชายคนนี้เสียเปรียบไม่ได้

“หากทรงช่วยเป็นพ่อสื่อให้ลูก ไม่ว่านางยินดีหรือไม่ ก็มิอาจปฏิเสธ ด้วยนิสัยของนางแล้ว ถึงเดิมจะรู้สึกดีกับลูกอยู่บ้าง สุดท้ายก็อาจกลายเป็นคำตัดพ้อ ไม่รู้ว่าจะเป็นบุพเพสันนิวาส หรือเป็นบุพเพอาละวาดกันแน่” รัชทายาทเอ่ยกับฮ่องเต้ชางหลงอย่างจริงจัง “ฐานะของนางมิได้ไม่เหมาะสมแต่อย่างใด ยามนี้ลูกไม่อยากบังคับนาง ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้บุรุษอื่นแย่งนางไป”

จิตใจของฮ่องเต้ชางหลงสงบนิ่ง บุตรชายคนนี้ทำอันใดตามอำเภอใจแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยยอมให้ตนเองต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจแม้แต่น้อย ยามนี้เขากลับกล่าวอย่างสุขุมลุ่มลึก ดูท่าคงมีใจให้หญิงนางนั้นอย่างแท้จริง

ความรักเป็นความรู้สึกที่ล้ำซึ้งดื่มด่ำ

สิ่งเดียวที่ฮ่องเต้ชางหลงไม่เข้าใจก็คือ เหตุใดหยวนซู่จึงบอกว่าตนเองเป็นเดรัจฉาน ทว่าพอไตร่ตรองไปมา ก็เกิดความคิดนับไม่ถ้วน

อีกฝ่ายเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้วหรือ เรื่องนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ แม้เป็นรัชทายาทก็ต้องตีให้ขาหัก

อีกฝ่ายอายุมากกว่าหรือ สตรีที่แก่กว่าสามปีนับว่ากอดทองก้อนใหญ่ หากอายุมากกว่าอีกหน่อยก็กอดได้หลายก้อน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแต่อย่างใด ไม่ถึงกับเป็นเดรัจฉาน

หรือ…

สีหน้าของฮ่องเต้ชางหลงแข็งค้าง หรือเด็กสาวคนนั้นมีอายุน้อยเกินไป

คิดมาถึงตรงนี้ฮ่องเต้ชางหลงมองรัชทายาทสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวถ้อยคำแฝงนัย “หยวนซู่ ไม่ว่าจะเป็นการวางตัวหรือเป็นการกระทำ ฐานะสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย มีเรื่องบางเรื่องที่กระทำไม่ได้ ห้ามยื่นมือออกไป เข้าใจหรือไม่”

รัชทายาทมองฮ่องเต้ชางหลงด้วยแววตาประหลาด “เสด็จพ่อ วางพระทัยเถิด ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เห็นรัชทายาทรับปากมั่นเหมาะ ฮ่องเต้ชางหลงค่อยวางใจลงได้บ้าง แม้เป็นฮ่องเต้ แต่ก็เป็นพ่อเป็นแม่คนเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

รอให้งานเลี้ยงรับรองแขกต่างแคว้นเสร็จสิ้น เขาสมควรเรียกขุนนางคนสนิทมาปรึกษาว่าทางราชสำนักสมควรดูแลครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวที่ไร้ที่พึ่งพิงเป็นพิเศษหรือไม่

แบบนี้จะช่วยลดความกดดันของผู้ใหญ่ ลดจำนวนเด็กเล็กที่ถูกทอดทิ้ง และลดการขายเด็กอย่างผิดกฎหมายได้ด้วย เพียงแต่นโยบายเหล่านี้จะต้องใคร่ครวญให้รอบคอบ แต่ไม่ว่าจะพิจารณาอย่างรอบคอบเพียงใดก็อาจมีจุดอ่อนหรือข้อบทพร่องได้ แล้วอาจส่งผลให้เกิดความยุ่งยากในภายหลัง

ดังนั้นก่อนประกาศนโยบายการบริหารแผ่นดินออกไปแต่ละครั้ง เขาและขุนนางที่เกี่ยวข้องทั้งหลายจะต้องใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีก พิจารณาถี่ถ้วนกว่าจะประกาศออกไปได้

การเป็นฮ่องเต้ที่ดีนั้นไม่ง่าย การเป็นฮ่องเต้ที่ลุ่มหลงมัวเมานั้นง่ายกว่า ฮ่องเต้ชางหลงหันมองรัชทายาทผาดหนึ่ง ผู้สืบทอดบัลลังก์เกียจคร้านจนเกินไป ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรบิดาอย่างเขาจึงจะปลดภาระบนบ่าลงได้

รัชทายาทเหลือบมองสีหน้าของฮ่องเต้ชางหลงแค่แวบเดียวก็รู้ว่าบิดาคิดอันใดอยู่ รีบพูดดักคอว่า “เสด็จพ่อ มีคำกล่าวว่า สร้างครอบครัวแล้วค่อยสร้างงาน ลูกยังมิได้สร้างครอบครัว ดังนั้นอย่าได้ทรงคาดหวังเรื่องอื่นใดกับลูกเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าลูกไม่เอาไหน เรายังไม่ได้เอ่ยคำเลย”

“แต่สายพระเนตรของเสด็จพ่อบอกทุกอย่าง” รัชทายาทพูดเต็มปากเต็มคำ “เสด็จพ่อทรงเป็นหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ ลูกยังเล็ก ดังนั้นอย่างเพิ่งทรงพระดำริถึงเรื่องอื่นเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าผ่านพิธีสวมมาลาแล้ว ยังจะเป็นเด็กอันใดอีก” ฮ่องเต้ชางหลงกล่าว “ตอนที่เราโตเท่าเจ้าต้องขึ้นครองบัลลังก์บริหารราชการแผ่นดินแล้ว”

อดีตฮ่องเต้โปรดปรานสนมใหม่ ไม่เพียงเลื่อนตำแหน่งและให้อำนาจแก่ครอบครัวของสนมใหม่ แต่ยังคิดจะปลดรัชทายาทอย่างเขา เพื่อแต่งตั้งรัชทายาทองค์ใหม่ด้วย คนในสกุลของสนมใหม่ฉุดคร่าหญิงชาวบ้าน บุกยึดที่ดินทำกินของผู้อื่น หากินบนความทุกข์ยากของราษฎร มีขุนนางตรวจการถวายฎีการ้องทุกข์ กลับถูกคนของสนมใหม่ดักทำร้ายจนถึงแก่กรรมหน้าประตูวังหลวง

เขายืนอยู่บนกำแพงเมืองมองภรรยาครรภ์แก่ของขุนนางคนนั้นร่ำไห้กอดศพของสามีปานจะขาดใจ ยามนั้นเขาเย็นวาบไปทั้งตัว

ไม่ว่าใครก็รู้ว่าหากผู้ที่เป็นฮ่องเต้พิโรธ ซากศพจะกองทับกันเป็นภูเขา แล้วตัวฮ่องเต้เองจะไม่รู้เชียวหรือ

ดังนั้นหลังจากเสวยราชย์ เขาเตือนสติตนเองมาโดยตลอดว่า ถึงจะเป็นฮ่องเต้ที่ได้รับการจารึกนามไว้ในประวัติศาสตร์นานนับพันปีไม่ได้ ทว่าก็ต้องรักษาแผ่นดินของราชวงศ์จิ้นไว้ให้ได้

แผ่นดินคือสิ่งใด

คือแผ่นดินที่มีบรรพตสูง ธาราไหลรินไม่ขาดสายเช่นนั้นหรือ

ไม่ใช่ แต่เป็นอาณาประชาราษฎร์ที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ต่างหาก

“เสด็จพ่อ” รัชทายาทเอ่ย “ลูกได้ยินว่าราชครูตู้ไม่สบาย”

เสียงของรัชทายาทดึงสติฮ่องเต้ชางหลงกลับคืนมา เขาถอนหายใจ “ราชครูตู้เป็นผู้มีความรู้อย่างถ่องแท้คนหนึ่ง” แต่กลับไม่ใช่ขุนนางที่ได้มาตรฐานผ่านเกณฑ์

“เจ้าไปเยี่ยมเขาแทนพ่อที” ฮ่องเต้ชางหลงหยุดครู่นคิด “ราชครูตู้ออกจะดื้อรั้นไปสักหน่อย ถ้าเขากล่าวคำไม่เหมาะสม เจ้าก็ทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน รอเจ้ากลับมา พ่อจะมอบเพชรพลอยอีกหลายกล่องให้เจ้าเป็นสินสอดเพื่อชดเชย”

“ลูกทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” รัชทายาทตอบ “หลายปีมานี้ลูกเคยเอาเรื่องเอาราวกับเขาหรือ”

แม้ผู้เฒ่าที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจ ไม่รู้จักพลิกแพลงคนนี้จะนิสัยไม่ดี ดื้อด้านเพียงใด แต่เขาก็จงรักภักดีต่อเสด็จพ่อไม่เคยเปลี่ยนแปลง

 

ตู้ซ่งเหวินอาการไม่ดีจริงๆ

เขาเป็นขุนนางสองรัชกาล เพราะเก่งกาจเหนือผู้อื่น จึงเข้ารับราชการเป็นขุนนางประจำตำหนักบูรพาตั้งแต่อายุเยาว์ ต่อมาอดีตฮ่องเต้หลงใหลสนมคนใหม่ ขณะที่เขายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับรัชทายาทไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดังนั้นหลังรัชทายาทขึ้นนั่งบัลลังก์แล้ว เขาจึงมีชีวิตที่สุขสบายมาโดยตลอด

ไม่ว่าผู้ใดต่างรู้สึกว่าเขาเข้มงวดกวดขันกับรัชทายาทมากเกินไป นั่นเพราะเขาคิดว่า รัชทายาทก็คือฮ่องเต้องค์ต่อไป เขากลัวรัชทายาทจะมีนิสัยเหมือนอดีตฮ่องเต้ แล้วผู้ที่จะประสบทุกข์เข็ญก็คือไพร่ฟ้าใต้หล้า

ตู้ซ่งเหวินนอนอยู่บนเตียงหน้าเหลืองซีด กลิ่นขมของยาต้มอบอวลทั่วห้อง เขาพยายามเบิกตากว้างมองลูกหลาน ก่อนกวักมือเรียกตู้ซิ่วอิ๋งที่ยืนดวงตาแดงก่ำ “มานี่”

“ท่านปู่” ตู้ซิ่วอิ๋งฝืนยิ้มพลางยอบกายอยู่ข้างเตียง นางกุมมือเหี่ยวย่นของตู้ซ่งเหวินหลวมๆ

“เจ้าไม่ต้องการแต่งให้รัชทายาทจริงหรือ” ตู้ซ่งเหวินถาม

ตู้ซิ่วอิ๋งก้มหน้าไม่พูดไม่จา

“เอาเถิด” ตู้ซ่งเหวินถอนหายใจ “ปู่อยากให้เจ้าอยู่ข้างกายรัชทายาทเพื่อคอยเตือนสติเขาว่าอันใดคือถูก อันใดคือผิด แต่ปู่ก็กลัว หากรัชทายาทหมางเมินเจ้า แล้วชีวิตที่เหลืออยู่ของเจ้าจะเป็นอย่างไร แบบนี้ก็ดี แบบนี้ก็ดี”

“ท่านปู่…” ตู้ซิ่วอิ๋งสะกดความอาดูรไว้ไม่ไหว น้ำตาเอ่อล้นขอบตาก่อนรินไหลลงข้างแก้มเป็นทางยาว

“เป็นความผิดปู่เอง” ตู้ซ่งเหวินหลับตา “มักกลัวว่ารัชทายาทจะกลายเป็นเหมือนอดีตฮ่องเต้ ทว่าคนเราแตกต่างกัน มิอาจนำมาตรฐานการเติบโตของคนคนหนึ่งมาเทียบกับอีกคนหนึ่งได้ หลายปีมานี้เพราะความดื้อรั้นหัวแข็งของปู่ ทำรัชทายาทไม่พอใจหลายครั้ง เมื่อปู่จากไปแล้ว พวกเจ้าจะทำอย่างไร”

แม้เป็นผู้ประเสริฐเพียงใด ย่อมใกล้ชิดสนิทสนมกับคนในครอบครัวมากที่สุด นับประสาอันใดกับตู้ซ่งเหวินที่ไม่ใช่ผู้ประเสริฐ

“เมื่อข้าไปแล้ว พวกเจ้าต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจสนับสนุนฮ่องเต้และรัชทายาท จะคิดเป็นอื่นไม่ได้” ตู้ซ่งเหวินหยุดพักหายใจก่อนพูดต่อ “รัชทายาทไม่ใช่ผู้ที่สมบูรณ์แบบ เป็นเลิศ แต่ฮ่องเต้ทรงพระอภิบาลมาแต่ยังเยาว์ จะต้องทรงมีคุณธรรมของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นแน่ แม้องค์ชายอื่นๆ มีจุดเด่น แต่ก็เทียบกับความเก่งกาจของรัชทายาทไม่ได้ หากใครที่คิดผิดไปจากนี้ ให้…ให้…

“ให้ขับชื่อออกจากผังตระกูล ลูกหลานรุ่นหลังไม่เกี่ยวข้องกับสกุลตู้อีกต่อไป”

“ท่านพ่อ ลูกไม่มีทางทำผิดความต้องการของท่านพ่อขอรับ” บิดาของตู้ซิ่วอิ๋งคุกเข่าตรงหน้าตู้ซ่งเหวิน เสียงพูดติดสะอื้นฟังไม่ได้ศัพท์ “ท่านพ่อ ขอให้ท่านพ่อรักษาตัวให้ดี ท่านจะต้องหายในเร็ววันขอรับ”

“ข้ารู้สภาพของตนเองดี” ตู้ซ่งเหวินมองตู้ซิ่วอิ๋ง “ซิ่วอิ๋งเป็นเด็กดี ต่อไปหากนางอยากทำสิ่งใด พกวเจ้าไม่ต้องขัดขวาง”

“ลูกเข้าใจแล้ว” ใต้เท้าตู้อายุห้าสิบปีแล้ว แต่กลับร้องไห้ราวกับเด็กเล็กๆ ปกติเขามักตำหนิบิดาที่ไม่รู้จักพลิกแพลง ดื้อรั้นเอาแต่ใจอยู่เสมอ แต่เมื่อถึงยามนี้ สิ่งที่หลงเหลือในใจนั้นมีแต่ความอาลัยอาวรณ์

“ใต้เท้า รัชทายาทเสด็จขอรับ”

มีเสียงอึกทึกดังจากนอกประตู รัชทายาทสวมชุดผ้าไหมและรัดเกล้าหยกก้าวยาวๆ เข้ามา “ใต้เท้าตู้ เรามิได้รอให้คนเข้ามารายงานก็ถือวิสาสะเข้าจวนก่อนแล้ว ขอทุกท่านอย่าได้ถือสา”

“รัชทายาท” คนสกุลตู้คิดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะมาเยี่ยมด้วยตนเอง ทยอยกันลุกขึ้นทำความเคารพรัชทายาท

“ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี” รัชทายาทก้าวยาวๆ มาข้างเตียง ทันทีที่เห็นสีหน้าของตู้ซ่งเหวินก็รู้ว่าอาการของเขาไม่ดีเลย

“ราชครูตู้” รัชทายาทถอยหลัง คำนับตู้ซ่งเหวินอย่างผู้อ่อนวัยกว่า “เสด็จพ่อทรงทราบว่าราชครูป่วย ทรงกังวลยิ่งนัก แต่เพราะไม่สะดวกที่จะเสด็จออกนอกวัง จึงรับสั่งให้เราเป็นตัวแทนมาเยี่ยมท่าน”

“กระหม่อมขอบพระทัยในพระเมตตาของฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” ตู้ซ่งเหวินคิดจะคำนับตอบ หากรัชทายาทกดตัวเขาเอาไว้ “ใต้เท้าตู้ ท่านเป็นพระอาจารย์ของเสด็จพ่อ เราเป็นเด็กรุ่นหลัง สมควรคารวะท่าน ท่านพักผ่อนให้ดี ไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องอื่น”

รัชทายาทถามคนสกุลตู้ว่าราชครูตู้ป่วยเป็นอันใด แล้วกินยาอันใดบ้าง เมื่อฟังคนสกุลตู้ตอบแล้ว รัชทายาทก็เอ่ยว่า “ตอนที่เราออกมา ได้พาหมอหลวงหลายคนและยังนำตัวยาสำคัญหลายตัวมาด้วย หากพวกท่านไม่ถือสา เราขอให้หมอหลวงช่วยตรวจอาการของราชครูตู้สักหน่อย”

คนสกุลตู้ได้ยินก็ปลื้มปีติ รีบคำนับและกล่าวขอบคุณรัชทายาท

หลังแพทย์หลวงจับชีพจรแล้ว ก็เหลือบมองรัชทายาทแวบหนึ่ง รัชทายาทจับมือตู้ซ่งเหวินไปไว้ใต้ผ้าห่ม เหน็บชายผ้าเรียบร้อยแล้วเอ่ยว่า “ราชครูตู้ เราจะไปดูว่าหมอหลวงจัดยาอันใดให้บ้าง แล้วอีกสักครู่จะกลับมา”

ตู้ซ่งเหวินมองตามรัชทายาทที่เดินจากไป นัยน์ตาของเขาฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำตา

รัชทายาทออกมายังห้องด้านนอก เห็นสีหน้าของเหล่าแพทย์หลวงไม่สู้ดีจึงถามเสียงเบาว่า “ชีพจรของราชครูตู้เป็นอย่างไรบ้าง”

“ราชครู…ประดุจตะเกียงที่น้ำมันเหือดแห้งพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าหมอหลวงพูดอย่างจนปัญญา “ขอรัชทายาทพระราชทานอภัยโทษ ที่พวกกระหม่อมไร้สามารถ”

รัชทายาทนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ตรวจชีพจรถูกต้องแน่หรือ”

“นอกจากราชครูตู้จะได้ผู้เยี่ยมยุทธ์ใช้กำลังภายในเปลี่ยนลักษณะของเส้นชีพจร มิเช่นนั้น…” แพทย์หลวงตอบ “คนส่วนใหญ่ฝึกวิชากำลังภายนอก แทบไม่มีคนฝึกวิชากำลังภายในเลย”

ถ้อยคำนี้แทบจะพูดอย่างชัดเจนว่า ตู้ซ่งเหวินนั้นหมดหนทางเยียวยา

มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านหลัง รัชทายาทหันกลับไปมอง เป็นใต้เท้าตู้และบุตรสาว

“รัชทายาท กระหม่อมได้ยินคำพูดของท่านหมอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาของใต้เท้าตู้มีน้ำตาคลอหน่วย คำนับแพทย์หลวง “ขอใต้เท้าทุกท่านรักษาอย่างเต็มที่ หากไม่ได้…ก็ขอให้ท่านพ่อทรมานน้อยลงก็พอ”

แพทย์หลวงคำนับตอบ “ขอใต้เท้าตู้วางใจ พวกเราจะทำอย่างสุดความสามารถ”

รัชทายาทกลับเข้าห้องด้านใน ได้ยินตู้ซ่งเหวินเรียกหา จึงเดินไปข้างเตียง

“รัชทายาท กระหม่อมคงไม่ไหวแล้ว” ตู้ซ่งเหวินพยายามพูด “ขอรัชทายาททรงศึกษาหลักการเป็นฮ่องเต้จากพระบิดาอย่างตั้งใจ มิอาจทรงเกียจคร้าน”

“ราชครูไม่ต้องห่วง เรารู้แล้ว” รัชทายาทเห็นตู้ซ่งเหวินยื่นมือให้ จึงกุมมือเหี่ยวย่นข้างนั้นไว้หลวมๆ

“หลายปีมานี้กระหม่อมเข้มงวดกับพระองค์มาก กระหม่อมทำได้ไม่ดีเลย” ตู้ซ่งเหวินมองมือที่แข็งแรงของรัชทายาทแล้วเอ่ยต่อว่า “กระหม่อมเชื่อว่าต่อไปในอนาคต พระองค์จะต้องทรงประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”

“เรารู้ว่าราชครูรักใคร่เรามากจึงได้สั่งสอนอย่างเข้มงวด” รัชทายาทเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เสด็จพ่อมักตรัสกับเราว่าตอนนั้นหลังจากสนมเซียวควบคุมตำหนักในเอาไว้ ก็หาเรื่องตำหนิเสด็จพ่ออย่างรุนแรงมาโดยตลอด ท่านราชครูไม่ยินดีเป็นพวกเดียวกกับคนเหล่านั้น ยืนกรานที่จะถวายการสอนแก่เสด็จพ่อทุกวัน ซ้ำยังช่วยเสด็จพ่อวิ่งหาขุนนางราชสำนัก เรื่องนี้เสด็จพ่อทรงจดจำไว้ในพระทัย เราเองก็จำได้ไม่ลืม”

“นั่นเป็นหน้าที่ของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

รัชทายาทเห็นตู้ซ่งเหวินเหน็ดเหนื่อย จึงกล่าวปลอบอยู่หลายคำ รอจนตู้ซ่งเหวินหลับจึงปล่อยมือเขา

หลายปีมานี้คนสกุลตู้ต่างรู้ดีว่าตู้ซ่งเหวินหาเรื่องตำหนิรัชทายาทมากมาย แต่รัชทายาทกลับเอาชนะคำว่าติเตียนเหล่านั้นด้วยคุณธรรม ไม่เพียงถามไถ่อาการป่วย ถามไถ่การกินยาของตู้ซ่งเหวินอย่างใส่ใจแล้ว ยังสนทนากับตู้ซ่งเหวินเป็นเวลานานด้วย

จะมีสักกี่คนที่มีจิตใจกว้างขวางถึงเพียงนี้

ถึงรัชทายาทจะมีข้อบกพร่องอื่นไม่น้อย แต่ก็เป็นข้อบกพร่องที่มิได้ร้ายแรงแต่ประการใด มิได้ส่งผลต่ออุปนิสัยใจคอของรัชทายาท

ตู้ซิ่วอิ๋งเป็นหนึ่งในคนที่รู้สึกสับสนที่สุดในยามนี้ นางเดินตามบิดามารดาไปส่งรัชทายาทถึงหน้าประตูจวน รอจนกระทั่งรัชทายาทจากไปแล้ว ได้ยินเสียงผู้ใหญ่ชื่นชมรัชทายาทไม่ขาดปาก จึงเริ่มทบทวนตนเองว่ายามที่นางวิจารณ์ผู้อื่นนั้น ล้วนเป็นความคิดเห็นของนางฝ่ายเดียวหรือไม่

 

หลังสิ้นสุดการสอบเข้ารับราชการประจำฤดูใบไม้ผลิ ฮวาฉางคงใช้เวลากินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กินอย่างเกียจคร้านถึงสองวันเต็มๆ เมื่อเขาได้ยินว่าขณะที่ตนเองขะมักเขม้นกับการสอบอยู่นั้น น้องสาวกลับไปเที่ยวโรงมหรสพและถูกรัชทายาทจับได้คาหนังคาเขา จึงไม่คิดจะนอนชดเชย รีบตามหาฮวาหลิวหลีที่นั่งอาบแดดอยู่ในสวน “น้องพี่ ไปโรงมหรสพสนุกหรือไม่”

ฮวาหลิวหลีพูดเนือยๆ “ล้วนเป็นพวกธรรมดาสามัญเท่านั้นเจ้าค่ะ”

“ก็มาตรฐานของเจ้าสูง” ฮวาฉางคงให้คนยกเก้าอี้มาแล้วนั่งลงข้างน้องสาว “โรงมหรสพประเภทนั้นยังคนหล่อเหลาที่ดูไม่สามัญอย่างที่เจ้าต้องการหรือ ไม่สู้เลี้ยงบัณฑิตตกยากที่สะอาดหมดจด สุภาพเรียบร้อยสักสองคน คนพวกนี้รู้จักพะเน้าพะนอเอาใจ ยังดูไม่ไร้รสนิยมด้วย”

ฮวาหลิวหลีโบกมือ “ไม่สนใจเจ้าค่ะ”

“เหตุใดเล่า เจ้าไม่คิดจะเลี้ยงนายบำเรอ คิดจะทำอย่างอื่นแทนแล้วหรือ” ฮวาฉางคงยื่นนิ้วไปจิ้มตัวฮวาหลิวหลีที่เกียจคร้านจนไม่อยากขยับตัว “บอกพี่สามซิว่าช่วงนี้เจ้ามีงานอดิเรกใหม่ใด”

“ไม่มีเจ้าค่ะ” ฮวาหลิวหลีถอนหายใจ “ช่วงนี้พวกโรงมหรสพและร้านอาหารแต่ละร้านนับวันยิ่งไม่น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ยังไปชมการร่ายรำหรือฟังดนตรีได้ แต่ช่วงนี้พวกนั้นต่อบทกลอนอันใดกันก็ไม่รู้ หากข้าอยากเที่ยวเล่นแบบนั้น มิสู้ไปหาสตรีชนชั้นสูงในเมืองหลวงไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยยังมีความสามารถสูงกว่าคนเหล่านั้น”

“อีกไม่นานจะมีงานเลี้ยงพระราชทานร้อยแคว้นแล้ว จัดระเบียบความเรียบร้อยบ้างก็ดี หากคนของแว่นแคว้นอื่นกล้ากระทำความผิดในเขตแดนของต้าจิ้น พวกเราก็ยังเอาเรื่องพวกนั้นได้” ฮวาฉางคงตอบ “มิฉะนั้นถ้าพวกเขาย้อนถามว่าชาวจิ้นเองก็ยังกระทำเรื่องพวกนี้ แล้วไฉนพวกเราถึงทำไม่ได้ เจ้าว่าแบบนี้ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าตนเองหรอกหรือ”

ฮวาหลิวหลีแค่นเสียงขึ้นจมูกนิดๆ จากนั้นหยิบผ้าเนื้อบางปิดหน้าตนเอง เพื่อมิให้แสงแดดที่ร้อนแรงแผดเผาใบหน้านางจนไหม้เกรียม

“วันพรุ่งเป็นวันงานเทศกาลบุปผาแล้ว” ฮวาฉางคงเอ่ย “ข้ากับบัณฑิตที่เข้าสอบด้วยกันนัดกันไปเที่ยวชมธรรมชาตินอกเมือง น้องพี่จะไปกับพี่หรือไม่ หรือจะไปกับคุณหนูสกุลอื่น”

“น้องจะไปหาเจียหมิ่น ไม่ไปกับพี่เจ้าค่ะ” พวกบุรุษที่แข็งกระด้างมีอันใดน่าสนใจ แกล้งเด็กสาวๆ สนุกกว่ากันอักโข

“ได้” ฮวาฉางคงมิได้คะยั้นคะยอ “วันพรุ่งคนมาก เจ้าไม่คุ้นเคยกับถนนในเมืองหลวงนัก อย่าพลัดหลงกับกลุ่มสหายของเจ้าเล่า จำได้ว่าต้องพายวนเหว่ยและอวี้หรงไปด้วย”

“เจ้าค่ะ” ฮวาหลิวหลีพยักหน้ารับ “วางใจเถิด น้องจะหลงทางได้ง่ายๆ อย่างไร”

ฮวาฉางคงลูบศีรษะนางเบาๆ พลาคลี่ยิ้ม มิได้พูดต่อ

 

องค์ชายอาหว่า เชลยศึกจากแคว้นจินพั่วพบว่ามีสหายบ้านใกล้เพิ่มมาคนหนึ่ง ช่วงนี้เขาไม่โวยวายอดอาหารเพื่อขอพบฮวาหลิวหลีแล้ว นับว่าได้กินอิ่มนอนหลับ สบายดี วันทั้งวันอยู่แต่ในคุกไม่ได้ทำอันใด จึงอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นเป็นกอง

เพียงแต่ห้องขังซ้ายขวาของเขาเป็นห้องว่าง ปกติผู้คุ้มของศาลต้าหลี่ก็ไม่สนทนากับเขา ทำให้เขาว่างจัดจนใกล้จะเสียสติอยู่รอมร่อ

กว่าจะมีสหายบ้านใกล้เรือนเคียงเพิ่มมาคนหนึ่ง เขาจึงโยนฐานะองค์ชายสูงศักดิ์ทิ้งแล้วชวนอีกฝ่ายคุยก่อน “น้องชาย เจ้าทำความผิดอันใดถึงถูกส่งมาอยู่ในนี้”

อวิ๋นหานมองบุรุษหนวดเครารุงรัง อ้วนเผละจนเหนียงยานแล้ว ก็จับแขนเสื้อกว้างและยาวของตนเองทีหนึ่ง ไม่สนใจอีกฝ่าย

“เป็นใบ้รึ”

อวิ๋นหานไม่ตอบ

“หูหนวกรึ”

อวิ๋นหานไม่แยแส

“ปัญญาอ่อนรึ”

อวิ๋นหานหมดความอดทนในที่สุด “หุบปาก”

“เจ้าเป็นนักโทษต่ำต้อย กล้าไร้มารยาทกับข้าหรือ” แม้อาหว่าจะมิกล้าหาเรื่องกับคนของศาลต้าหลี่ แต่สำหรับนักโทษอื่นๆ เขายังรู้สึกเหนือกว่า เขาเป็นฝ่ายชวนอวิ๋นหานคุยก่อน นั่นก็เป็นเพราะความถือดีที่ไม่รู้จะระบายออกทางใดเป็นตัวกระตุ้น

เป็นคนก็ต้องกดหัวผู้อื่นถึงจะสบายใจ

อวิ๋นหานมองอาหว่าด้วยสายตาที่มองคนปัญญาอ่อน เป็นนักโทษเหมือนกันยังจะมีใครสูงส่งกว่าใคร

“รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร” อาหว่าควานหาหมั่นโถวที่ไม่รู้ว่าถูกวางไว้นานเท่าไรจนราขึ้นเต็มก้อนได้ที่มุมห้องขัง แล้วโยนข้ามรั้วห้องขังใส่อวิ๋นหาน “ระวังสายตาของเจ้าด้วย”

หมั่นโถวขึ้นราขว้างมาโดนหน้าแล้วหล่นใส่เสื้อผ้า อวิ๋นหานหน้าบึ้งฉับพลัน “ออกไปให้ห่างๆ ข้าหน่อย”

แปะ

หมั่นโถวขึ้นราถูกโยนใส่หน้าอวิ๋นหานอีกก้อนหนึ่ง

“ผู้มาใหม่ไม่รู้จักกฎระเบียบหรือ ผู้อาวุโสกว่าพูดด้วยก็ต้องรับฟังดีๆ หากไม่รู้จักกฎระเบียบ ถึงเวลาปล่อยไปปลดทุกข์ พี่น้องทั้งหลายจะช่วยสั่งสอนเจ้าเอง” มีนักโทษนั่งขัดสมาธิบนพื้นด้วยท่าทางสูงศักดิ์

“ใช่ๆๆ พวกเจ้าจะต้องสั่งสอนเขาให้ดีๆ” อาหว่าตบหัวเข่าพลางหัวเราะเสียงดัง “ข้าไม่ชอบเห็นไอ้หน้าขาววางท่าอย่างนี้ที่สุด”

“หุบปาก” นักโทษมองข้ามห้องขังมาที่อาหว่า สีหน้าดูแคลนเต็มเปี่ยม “สุนัขเชลยของแคว้นจินพั่วไม่คู่ควรจะพูดกับชาวแคว้นจิ้นอย่างพวกเรา”

อาหว่า “…”

แคว้นจิ้นไม่มีคนดีสักคน ไม่เพียงขุนนางพวกนั้นจะน่ารังเกียจ แม้แต่นักโทษในห้องขังก็ยังเป็นตัวอันใดก็ไม่รู้

ด้วยความขุ่นเคือง เขาขยุ้มดินขว้างใส่นักโทษคนนั้น ทว่ายังมีห้องขังอีกห้องขวางอยู่ มีหรือจะขว้างถูกนักโทษคนนั้น สุดท้ายดินตกใส่หัวของอวิ๋นหาน

“พี่น้องเรา สุนัขจินพั่วคนนี้เหิมเกริมนัก จัดการมันเลย!”

“ขว้างไป!”

พริบตาเดียวทั้งหมั่นโถวเหม็นๆ หนูตาย รองเท้าเก่าๆ ลอยละลิ่วมาจากห้องขังห้องอื่นๆ กันอย่างพร้อมเพรียง แต่น่าเสียดายที่ห้องของอาหว่าอยู่ห่างเกินไป ของส่วนใหญ่จึงไปตกอยู่ในห้องของอวิ๋นหาน

อวิ๋นหานมองของสกปรกน่าสะอิดสะเอียดเหล่านั้น แล้วมองตนเอง เห็นเสื้อผ้าที่สวมอยู่สกปรกจนดูไม่ได้ก็แทบเสียสติ

ผู้ที่อัปลักษณ์ไร้รสนิยมอย่างที่สุดกล้าทำกับเขาเช่นนี้

รอให้เขาออกไปก่อนเถิด จะต้องจัดการกับคนพวกนี้ให้ได้ ถึงตายก็ตายศพไม่สวย!

แปะ

รองเท้าเก่าเหม็นข้างหนึ่งตกลงจากกระหม่อมของอวิ๋นหาน นั่นเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เขาทนไม่ไหวต้องยกมือปิดปากอาเจียนออกมา

“ห้ามทะเลาะกัน ถ้าทะเลาะกันอีก จะลดข้าวเที่ยงวันนี้เหลือครึ่งเดียว” ทันทีที่ผู้คุมพูดประโยคนี้ ทั่วทั้งห้องขังเงียบกริบทันใด นักโทษที่เมื่อครู่ยังด่าทอหยาบคาย ยามนี้กลับนั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเสียยิ่งกว่าใคร

คนที่ถูกขังในคุกของศาลต้าหลี่นั้นเป็นคนที่เกี่ยวพันกับคดีใหญ่ทั้งสิ้น ยามนี้จึงยังตายไม่ได้ พวกเขารู้หลักการนี้ดี ลงมือกันพอประมาณแล้วก็หยุด เพราะรู้จักหนักเบากว่าคนทั่วไป

“เจ้านั่นยังจะยืนบื้ออยู่ไย ทำความสะอาดห้องของตนเองสิ” หัวหน้าผู้คุมใช้กระบองเคาะประตูห้องขังของอวิ๋นหานก่อนหันไปถามผู้คุมเรือนจำข้างหลัง “คนคนนั้นเพิ่งถูกส่งเข้ามา ใครเป็นคนรับ แล้วทำผิดอันใด”

“คนผู้นี้เป็นคนที่ใต้เท้าเผยคนนำตัวเข้ามาเอง ฐานะตัวตนมีปัญหา อาจเกี่ยวพันกับคดีใหญ่ก่อนหน้านี้หลายคดีขอรับ” ผู้คุมรีบรายงาน “ใต้เท้าเผยบอกด้วยว่าก่อนที่จะคดีนี้จะกระจ่าง จะต้องจับตาดูเขาอย่างเข้มงวด”

ในฐานะคนของศาลต้าหลี่ หัวหน้าผู้คุมย่อมรู้ว่าคดีใหญ่หลายคดีก่อนหน้านี้คือคดีใด เขามองอวิ๋นหานอย่างจับผิด “สะดีดสะดิ้งอย่างนี้ดูแล้วไม่ใช่ผู้ชายดีอันใด โรงหินทางโน้นยังขาดคนไม่ใช่หรือ พาเขาไปก็แล้วกัน”

“จำไว้ว่าต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เขาใส่ให้เป็นเสื้อผ้าเนื้อหยาบ” หัวหน้าผู้คุมมองหน้าอวิ๋นหาน “วันพรุ่งตอนที่พาเขาไปโรงหินจำไว้ว่าจะให้เขามีโอกาสพูดคุยกับสตรีชนชั้นสูงไม่ได้ หากเขาแสร้งทำตัวน่าสงสาร จนสตรีชนชั้นสูงคนใดเห็นใจร้องขอความเป็นธรรมให้เขา พวกเราจะพลอยวุ่นวายไปด้วย”

หัวหน้าผู้คุมทำงานมานาน ไม่ว่านักโทษประเภทใดก็เคยเจอมาแล้วทั้งสิ้น เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากโทษทัณฑ์ พวกนักโทษล้วนใช้สารพัดวิธี ทั้งแผนชายงาม แผนสาวงาม แผนอันใดก็งัดออกมาใช้ทั้งหมด

หากอย่างไรป้องกันเอาไว้ล่วงหน้าย่อมดีกว่าตามแก้ในภายหลัง

 

เที่ยงวันผ่านไป รัชทายาทนั่งหน้าโต๊ะหนังสือ ใช้พู่กันหอมเขียนเทียบเชิญหลายแผ่น แต่ไม่มีแผ่นใดที่พอใจ บางแผ่นใช้คำคลุมเครือเกินไป บางแผ่นใช้คำโจ่งแจ้งเกินไป มักรู้สึกว่าขาดอันใดบางอย่าง

แม้แต่คำเรียกขานก็ยังเปลี่ยนไปมา

เรียกนางหนูสกุลฮวา ดูคล้ายพี่ชายเรียกน้องสาว ถ้าเรียกองค์หญิงตรงๆ ก็เหมือนจะเป็นทางการเกินไป หากเรียกว่าหลิวหลีเฉยๆ ก็ออกจะถือวิสาสะเกินไป

“ช่างเถิด” รัชทายาทวางพู่กันแล้วหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก

“รัชทายาท ฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขันทีวิ่งไล่ตามออกมา

ออกจากวังแล้ว รัชทายาทตรงไปยังจวนสกุลฮวาทันที รัชทายาทนั่งอยู่บนหลังม้าจ้องสิงโตหินที่หมอบหน้าประตูเนิ่นนานถึงหนึ่งก้านธูป

ทหารยามที่เฝ้าหน้าจวนสกุลฮวามาใหม่จึงไม่รู้จักรัชทายาท เห็นเขาแต่งกายหรูหรา ยังมีผู้ติดตามแต่งกายคล้ายขันทีอยู่ข้างหลัง จึงรีบเข้ามาถามอย่างระมัดรวังว่า “ขอถามท่านผู้สูงศักดิ์ว่าต้องการพบผู้ใดหรืขอรับ”

“เราได้ยินว่าคุณชายสามสอบเสร็จแล้ว จึงมาเยี่ยม”

“ที่แท้ก็เป็นรัชทายาทนี่เอง” ทหารยามทยอยทำความเคารพ “เชิญเสด็จรัชทายาทด้านในพ่ะย่ะค่ะ คุณชายสามอยู่ในจวน” ทหารยามไปรายงานฮวาฉางคงพร้อมเชิญรัชทายาทเดินเข้าจวนด้วยความนอบน้อม

ฮวาฉางคงได้ยินว่ารัชทายาทตั้งใจมาหาก็ให้ประหลาดใจ เขากับรัชทายาทมีมิตรภาพลึกซึ้งต่อกันเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร เขาแค่เข้าร่วมการสอบเข้ารับราชการเท่านั้น รัชทายาทถึงกับต้องมาเยี่ยมเชียวหรือ

วันนี้บิดามารดาออกไปข้างนอก ฮวาฉางคงจึงออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ทั้งสองฝ่ายทักทายกันตามมารยาทครู่หนึ่ง ฮวาฉางคงเห็นรัชทายาทมองไปด้านนอกเป็นระยะ จึงคิดว่าเขารอบิดามารดาของตน รีบชี้แจงว่า “สองชั่วยามก่อน ท่านพ่อได้ยินว่าราชครูตู้ป่วยหนักจึงชวนท่านแม่ไปเยี่ยม ไม่ทราบว่ารัชทายาทจะเสด็จ จึงมิได้อยู่รอรับเสด็จ ขอรัชทายาทโปรดพระราชอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“เรามาเยี่ยมกะทันหัน ฉางคงจะมีความผิดใดเล่า” รัชทายาทหมุนถ้วยชาในมือไปมา “องค์หญิงอยู่หรือไม่ เรามาครานี้นำของกินที่นางชอบติดมาด้วย”

“ขอรัชทายาทประทับรอสักครู่ กระหม่อมจะให้คนไปเรียกน้องสาวออกมาพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ต้องวุ่นวายขนาดนั้น หากรบกวนการพักผ่อนขององค์หญิงจะไม่ดี” รัชทายาทแสร้งทำเป็นเกรงใจ

“รัชทายาทเสด็จมาด้วยพระองค์เอง น้องสาวของกระหม่อมก็สมควรจะออกมารับเสด็จ” ฮวาฉางคงสั่งให้เด็กรับใช้ไปเรียกฮวาหลิวหลี “แม้รัชทายาทจะทรงสนิทสนมกับน้องสาวของกระหม่อม แต่จะตามใจนางเช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

สะ…สนิทสนมรึ

รัชทายาทคล้ายวัวสันหลังหวะ หรือฮวาฉางคงมองจุดประสงค์ของเขาออก

“น้องสาวของกระหม่อมมีนิสัยเหมือนเด็ก ยิ่งตามใจยิ่งเอาใหญ่ แม้รัชทายาทจะเห็นนางเหมือนน้องสาว แต่สิ่งที่ต้องทำตามกฎเกณฑ์ก็ยังต้องทำ”

รัชทายาทลอบถอนหายใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุจำใจ ผู้ใดจะอยากเป็นพี่ชายของคนที่ตนถูกใจกันเล่า

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า