ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก
造作时光
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
Hanza แปล
— โปรย —
รัชทายาทรูปโฉมหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียม เก่งทั้งบุ๋นและบู๊
แต่ถึงเขาหน้าตาดีเพียงใด้ก่งกาจเพียงใด
ก็หักล้างกับนิสัยไม่ดีและปากร้ายไม่ได้
หญิงผู้ดีมีชาติตระกูล มีหรือจะอดทนกับความปากร้าย
ที่สามารถฆ่าคนอย่างไร้รูปเช่นนั้น
ว่ากันว่าแม้แต่สนมในวังหลวงทั้งหลายก็ยังมิอาจต่อกรกับรัชทายาท
นับประสาอันใดกับพวกนางที่เป็นสาวน้อยที่มีพลังในการชิงดีชิงเด่นไม่เข้มแข็งพอ
คิดดูอีกที เมื่อรัชทายาทถูกตาจ้องใจสตรีอ่อนแอขี้โรค
นับว่านางเป็นเนื้อสมันที่เดินเข้าปากเสือ น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี
แม้ภายนอก ฮวาหลิวหลี อ่อนแอขี้โรค
ทว่าแท้จริงนางเป็นสตรีที่น่าครั่นคร้ามยิ่ง
ไม่ว่าฝ่ายใดที่พยายามลอบสังหารนาง
กลับต้องแพ้ภัยตัวเอง
จีหยวนซู่ บุรุษรูปงาม สูงศักดิ์ เป็นถึงรัชทายาทแคว้นจิ้น
เขาถูกตาต้องใจนาง คอยปกป้องเอาใจนางเสมอ
ต่อให้นางเข้มแข็งเพียงใดก็ยังพ่ายต่อเขา
และที่สำคัญคือพ่ายต่อรูปโฉมบุรุษที่เป็นจุดอ่อนของนาง
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
40
ฮวาหลิวหลีหุบปากที่อ้าออกครึ่งหนึ่งลง แล้วถอยหลังก้าวหนึ่งเงียบๆ
“นั่นสิ แม้คุณหนูหลินไม่ทาแป้งก็ยังเป็นหญิงงามที่หาได้ยากยิ่ง ไม่เหมือนพวกเรา แม้ตั้งใจแต่งตัวอย่างไรก็ยังดูสามัญ” เจียหมิ่นพูดเสียงเล็กเสียงน้อย “คุณหนูหลินเป็นสตรีสะคราญโฉมที่ไม่แปดเปื้อนโลกีย์ พวกเราเอื้อมไม่ถึง”
พูดจบ เจียหมิ่นค้อนหลินหวั่นวงใหญ่ จากนั้นก้าวยาวๆ ผ่านฮวาหลิวหลีไป
เหยาเหวินอินและเถียนซานเป็นสหายสนิทกับเจียหมิ่นมาตั้งแต่เล็ก เมื่อเห็นเจียหมิ่นกรุ่นโกรธจึงรีบเดินตามไป
แต่ไหนแต่ไรเจียหมิ่นพูดจาไม่รู้จักคิด ส่วนหลินหวั่นเป็นหญิงสาวหน้าตาหมดจด มิใช่หญิงงามบาดตา แต่นางกลับกล่าวว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงงามที่หาได้ยาก ไม่ใช่พูดประชดแล้วคืออันใด
สีหน้าของหลินหวั่นย่ำแย่ยิ่งนัก นางมองตามแผ่นหลังของเจียหมิ่น หน้าตาบึ้งตึง
“แค็กๆๆ” ฮวาหลิวหลีหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดปาก ไอเบาๆ ท่าทางคล้ายหมดเรี่ยวแรงจนขยับตัวไปที่ใดไม่ได้จึงต้องยืนอยู่กับที่
ยวนเหว่ย อวี้หรง และหญิงรับใช้คนอื่นเห็นแล้วรีบเข้ามาห้อมล้อมซักถามอย่างเป็นห่วง คนที่หยิบยาก็หยิบยา คนที่เทน้ำผึ้งก็เทน้ำผึ้ง ปรนนิบัติพัดวีกันโกลาหล
“องค์หญิง” เถียนซานที่เดินไปข้างหน้าเห็นเหตุการณ์ ก็รีบวิ่งเหยาะๆ กลับมา สั่งให้หญิงรับใช้ข้างกายช่วยหญิงรับใช้สกุลฮวาดูแลฮวาหลิวหลี “เป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่เป็นไรๆ เหมือนจะแน่นหน้าอก หายใจไม่ค่อยออกเท่านั้น” ฮวาหลิวหลียิ้มซาบซึ้งใจให้เถียนซาน แล้วพยักหน้าเล็กน้อยให้หลินหวั่นที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง ก่อนเดินต่อท่ามกลางวงล้อมของหญิงรับใช้ทั้งหลาย
เจียหมิ่นยืนหน้าตึง รอให้ฮวาหลิวหลีเดินมาสมทบอยู่ที่เดิม นางมองอย่างกังขา หรือนางคิดผิด ฮวาหลิวหลีร่างกายไม่แข็งแรงจริงๆ
“พี่เจียหมิ่น พี่มองข้าเพราะเหตุใดรึ” ฮวาหลิวหลียิ้มเอียงอาย ซ้ำยังกะพริบตาปริบๆ อย่างขัดเขิน
เจียหมิ่นตัวสั่นเทาด้วยความรังเกียจท่าทางเสแสร้งออดอ้อนฉอเลาะของฮวาหลิวหลี นางถอยหลังสองก้าว “มีอันใดก็พูดดีๆ”
“อ้อ” ฮวาหลิวหลีหลุบตาลงคล้ายผิดหวัง
“แค็ก” เหยาเหวินอินไอแห้งๆ คราหนึ่ง “เจียหมิ่น องค์ญิงรองยังรอพวกเราอยู่บนเขา”
องค์หญิงรองเป็นผู้จัดงานเทศกาลบุปผาประจำปีนี้ นางมิได้เป็นพี่น้องร่วมมารดาของอิงอ๋อง แต่เพราะนางเคยอยู่ในความดูแลของสนมเสียนสองปี จึงใกล้ชิดกับสนมเสียนยิ่งนัก
ต้องเห็นแก่หน้าสนมเสียนและอิงอ๋อง พวกนางจะไปถึงสถานที่จัดงานสายเกินไปไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นท่าทางก้มหน้าก้มตาของฮวาหลิวหลีดูแล้วน่าสงสารจนนางมิอาจทำใจแข็ง
เมื่อมีเรื่องของฮวาหลิวหลีแทรกกลาง เจียหมิ่นและคนอื่นๆ จึงลืมสิ่งที่หลินหวั่นพูดเมื่อครู่ เมื่อขึ้นเขาแล้วก็รวมตัวกับองค์หญิงรอง ตอนนั้นจึงพบหลินหวั่นอีกครั้ง ทว่าไม่มีผู้ใดจงใจหาเรื่องนางอีก
ดอกสาลี่ดอกซิ่งในหุบเขาบานสะพรั่ง สายลมพัดเอื่อยพากลิ่นหอมอ่อนๆ ของมวลผกาโชยมา แม้ฮวาหลิวหลีไม่คุ้นเคยกับสตรีชนชั้นสูงในเมืองหลวง แต่ก็ยังมีคนทักทายนางเป็นระยะ
สนุกสนานกันเกือบครึ่งชั่วยาม ดูคล้ายทุกคนจะรู้ว่าร่างกายฮวาหลิวหลีไม่แข็งแรง จึงมิกล้ารบกวนนางมากนัก ทุกคนนั่งประจำที่ ดื่มด่ำกับการร่ายรำของนางรำจากตำหนักองค์หญิง
“องค์หญิง” ยวนเหว่ยก้มลงกระซิบข้างหูฮวาหลิวหลี “ดูเหมือนคุณหนูสกุลหลินมองท่านหลายครั้งแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหวั่นเป็นว่าที่ชายาอิงอ๋อง ดังนั้นที่นั่งของนางจึงถูกจัดอย่างพิถีพิถัน อยู่เยื้องไปทางขวาของฮวาหลิวหลีพอดี หลินหวั่นแต่งกายเรียบง่าย ดูไม่เข้าพวกกับสตรีชนชั้นสูงที่สวมเครื่องประดับเต็มยศที่นั่งอยู่ทั้งสองฝั่ง
“ใครใช้ให้องค์หญิงของเจ้าหน้าตาดี ผู้อื่นมองข้าเพราะห้ามใจไม่ไหว ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว” ฮวาหลิวหลีส่งผลไม้ให้ยวนเหว่ยหลายลูก “จะห้ามไม่ให้ใครมองก็ไม่ได้”
ยวนเหว่ยรับผลไม้หน้าตายิ้มแย้ม แบ่งให้หญิงรับใช้คนอื่นๆ แล้วกระซิบต่อว่า “แววตาคุณหนูหลินที่มองท่านเหมือนไม่ค่อยเป็นมิตรนัก เหตุใดเมื่อครู่ท่านจึงได้ช่วยแก้หน้าให้นางเจ้าคะ”
“ใต้เท้าหลินเป็นคนเที่ยงตรงและเป็นขุนนางตงฉิน ได้รับการยกย่องจากราษฎรมากมาย หลินหวั่นเป็นบุตรีคนโปรดของเขา วันนี้มีหญิงสาวอยู่ที่นี่มากมาย หากเขารู้ว่าบุตรีต้องเสียหน้าแล้วมีข่าวเล่าลือออกไป ใต้เท้าหลินคงจะเสียใจ” ฮวาหลิวหลียกผ้าเช็ดหน้าปิดปาก กระซิบตอบ “คุณหนูเหยาคนนั้นไม่ใช่คนไม่ดี แค่เป็นคนที่ไม่มีวาทศิลป์ ถ้านางมีวาทศิลป์สักหน่อย ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะโต้กลับอย่างเจ็บแสบเช่นนี้ อย่างไรพวกเราก็ไม่ได้ผูกแค้นกัน จะมีปากเสียงรุนแรงเกินไปก็ไม่ดีกับทั้งสองฝ่าย”
อีกประการหนึ่ง ด้วยสติปัญญาของพวกเจียหมิ่นสามคนนี้ หากคิดจะด่าทอกันจริงๆ ยังไม่แน่ว่าใครจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถึงตอนนั้นจะให้นางยืนดูทั้งสองฝ่ายด่าทอกันได้อย่างไร
ถึงจะชมเพื่อความสนุก ก็ต้องดูว่ายืนอยู่ที่ใดด้วย
“ลายปักที่ชายกระโปรงของคุณหนูหลินช่างงดงามราวกับมีชีวิตจริงๆ”
“ที่ไหนกัน” หลินหวั่นยิ้มน้อยๆ “ยังเทียบกับชุดผ้าไหมที่ท่านหญิงใส่ไม่ได้แม้แต่น้อย”
“ของข้ามีอันใดน่าดู ของคุณหนูหลินสิงามวิไลนัก…”
ฟังคนข้างๆ กล่าวชื่นชม หลินหวั่นรู้สึกพึงใจขึ้นทีละนิดอย่างบรรยายเป็นถ้อยคำไม่ได้ นางรู้ดีว่าเหตุใดคนเหล่านี้จึงพูดจาเอาใจนาง เพราะนางคือชายาอิงอ๋องในอนาคต เป็นบุคคลที่คนเหล่านี้จะล่วงเกินมิได้
ฐานะและอำนาจ
ในใจนางรู้สึกดูแคลน บรรดาสตรีชนชั้นสูงที่ถูกเลี้ยงดูอย่างดีเวลาประจบเอาใจใครก็ไม่ต่างจากหญิงชาวบ้าน
หลินหวั่นดูแคลนคนเหล่านั้น แต่ยามนี้ก็มีความสุขกับท่าทีของพวกนาง
นางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอึกหนึ่งพลางมองฝั่งตรงข้ามของเวที สตรีที่สามารถนั่งชมการร่ายรำในที่นี้ล้วนมีฐานะไม่ธรรมดา ฮวาหลิวหลีเป็นคนประเภทที่ได้รับความสนใจจากผู้อื่นค่อนข้างมาก
แม้ร่างกายนางไม่แข็งแรง มิอาจเข้าร่วมกิจกรรมแต่งโคลงกลอน แต่ผู้อื่นยังอดมองนางโดยไม่รู้ตัวไม่ได้
ทางด้านหลังของฮวาหลิวหลีมีหญิงรับใช้ยืนรับใช้อยู่สี่คน ไม่รู้ว่านางกล่าวอะไรกับพวกหญิงรับใช้ หญิงรับใช้หัวเราะ ก่อนเปิดถุงผ้า แล้วหยิบผลไม้แห้งหลายชิ้นวางใส่มือของนาง
แต่ดูคล้ายนางจะรู้สึกว่าไม่เพียงพอ ดึงแขนหญิงรับใช้ที่อยู่ใกล้นางที่สุด ปลดถุงผ้าที่ห้อยข้างเอวของอีกฝ่ายออก ทำให้หญิงรับใช้ที่เหลือต้องรีบห้ามปราม
เสื้อผ้าที่นางใส่งามนัก ได้ยินว่าไทเฮาสั่งให้คนตัดเย็บให้นางเป็นพิเศษ เครื่องแต่งกายขับผิวขาวละเอียดของนางจนดูผุดผ่อง เรือนผมดำขลับประดุจน้ำหมึก ประดับด้วยเครื่องประดับวิจิตรอย่างหาที่เปรียบมิได้ ปิ่นปักผมที่ดูธรรมดาที่สุดก็ยังมีราคามากกว่าเครื่องแต่งกายของนางทั้งตัวเสียอีก
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดก็คือรองเท้าปักฝีมือประณีตงดงามคู่นั้น ไม่รู้ว่าต้องผ่านขั้นตอนมากมายเพียงใด จึงจะปักออกมาได้น่าชมเช่นนี้
“คุณหนู” หญิงรับใช้เห็นหลินหวั่นมองฮวาหลิวหลีจึงกระซิบว่า “บ่าวได้ยินว่ายามที่องค์หญิงฝูโซ่วอายุหนึ่งขวบได้รับบรรดาศักดิ์เป็นท่านหญิง ไม่เพียงมีศักดินา ยังมีที่นาของตนเอง แต่ละปียังได้รับสิ่งของพระราชทาน ก่อนหน้านี้พอฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงแล้ว ยังพระราชทานตำหนัก เรือนพักตากอากาศ และที่นาให้ด้วย คนข้างนอกต่างพูดกันว่าฮ่องเต้ทรงพระเมตตามากถึงเพียงนี้ แม้องค์หญิงฝูโซ่วจะมิใช่ธิดาอ๋อง แต่ก็ไม่ต่างจากธิดาอ๋องเจ้าค่ะ”
“นั่นสิ แต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับสกุลฮวา” หลินหวั่นดึงสายตากลับมาพูดเสียงเรียบ “ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายนางไม่แข็งแรง ไม่แน่ว่าอาจได้เป็นชายาอ๋องไปแล้ว”
หญิงรับใช้ตกใจรีบกระซิบเตือนว่า “คุณหนู ท่านจะพูดเรื่องนี้ที่นี่ไม่ได้เจ้าค่ะ”
หากใครได้ยินเข้าแล้วคิดว่าคุณหนูของนางเยาะเย้ยที่องค์หญิงฝูโซ่วร่างกายไม่แข็งแรง เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว
หลินหวั่นเม้มปาก มิได้เอื้อนเอ่ยอีก
ภายในศาลาวั่งชิง คุณชายผู้มีความรู้ทั้งหลายนั่งแต่งกลอนถึงหนึ่งชั่วยามแล้ว จึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ไม่รู่ว่าเหตุใดรัชทายาทที่ปีก่อนขึ้นเขามาพูดคุยกับพวกเขาไม่กี่คำก็จากไปนั้น ปีนี้กลับกระตือรือร้นยิ่ง ไม่เพียงนั่งติดที่ตั้งแต่ต้นจนถึงยามนี้ แต่ยังช่วยวิจารณ์บทกลอนของทุกคนอีกด้วย
คุณชายที่มีความสามารถธรรมดาๆ ถูกรัชทายาทวิจารณ์จนเหงื่อชุ่มกาย นึกเสียใจว่าไฉนตนแสดงตนว่ามีรสนิยมวิไลด้วยการเข้าร่วมงานชุมนุมกลอนในวันงานเทศกาลบุปผา นับเป็นการทำให้ตนเองขายหน้าแท้ๆ
ยิ่งกว่านั้นก็คือหากรัชทายาทยังไม่จากไป องค์ชาย อ๋องคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครกล้าลุกไปที่ใด ทำให้ศาลาแห่งนี้ไม่ว่าจะนอกหรือในมีคนเบียดเสียดกันอยู่เต็มไปหมด
“แต่งกลอนกันมาหนึ่งชั่วยาม คิดว่าทุกคนคงเหนื่อยแล้ว” องค์ชายห้าคล้ายได้ยินเสียงร่ำร้องในใจของคุณชายทั้งหลายจึงยืนขึ้นอย่างกล้าหาญ
เหล่าคุณชายแววตาเป็นประกายเจิดจ้า รอดแล้ว
บัณฑิตผู้มีความรู้ที่มาจากครอบครัวยากจนที่เข้าร่วมการสอบรับราชการครานี้ และยังไม่รู้ว่าตนจะสอบได้ลำดับที่เท่าไรนั้นรู้สึกผิดหวังไม่น้อย พวกเขาคิดจะหาโอกาสแสดงความสามารถของตนเองต่อหน้ารัชทายาทให้มากสักหน่อย
ความดีใจเสียใจ ชอบใจไม่ชอบใจของคนเรานั้นแตกต่างกัน ดังนั้นบางคนยิ้มแย้ม บางคนเสียดาย
รัชทายาทคิดไม่ถึงว่าน้องห้าที่มักทำตัวสำรวมต่อหน้าเขาจะลุกขึ้นมาพูดเช่นนี้ เขามองทางสายเล็กที่ทอดมาถึงศาลาแห่งนี้แล้วพูดอย่างคนั้ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “น้องหามีคำแนะนำดีๆ อันใดหรือ”
“โคลงกลอนก็มีแล้ว ไม่สู้ให้ทุกคนวาดรูปกัน” องค์ชายห้าพูด แววตาทอประกาย “งานเทศกาลบุปผาเป็นช่วงเวลาดอกไม้นานาพรรณผลิบาน หญิงงามบุรุษเก่งล้วนมีมากมาย ถ้าไม่วาดภาพเก็บไว้สักหน่อยเท่ากับขาดสีสันไปหลายส่วน”
อิงอ๋อง หนิงอ๋อง และองค์ชายสี่มองสายตาที่แทบจะมีลำแสงพุ่งออกมาขององค์ชายห้าแล้ว สีหน้าพวกเขาพิลึกพิลั่น
“คำแนะนำของน้องห้าน่าสนใจ” รัชทายาทพยักหน้ารับนิดๆ “อย่างนั้นต่อไปก็ให้เป็นหน้าที่ของน้องห้า”
อิงอ๋อง หนิงอ๋อง องค์ชายสี่ “…”
พูดจบเขาลุกขึ้นเชื่องช้า “ทุกคนวาดภาพกันไปก่อน เราจะไปเดินชมทิวทัศน์รอบๆ”
“น้อมส่งเสด็จรัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” ได้ยินว่ารัชทายาทจะจากไป บัณฑิตทั้งหลายรู้สึกเสียดาย แต่ไม่มีผู้ใดกล้ารั้งรัชทายาทไว้ ได้แต่ส่งรัชทายาทจากไปอย่างนอบน้อม
อิงอ๋องเห็นรัชทายาทลุกเดินจากไปก็หาข้ออ้างตามออกไปอย่างไม่ลังเล เขาเดินไปข้างหน้าระยะหนึ่ง เห็นรัชทายาทยืนนิ่งตรงทางแยก คิดว่าที่ตรงนั้นคงมีทิวทัศน์น่าชมเป็นพิเศษ จึงเดินเข้ามาดู ก็ไม่เห็นมีอันใดพิเศษอย่างที่คิด
“พี่ใหญ่ดูอันใดหรือ” รัชทายาทยืนเอาพมือไพล่หลัง คนในชุดผ้าไหมที่พลิ้วไหวน้อยๆ ตามแรงลมดูงามสง่าอย่างไร้ขีดจำกัด
“ไม่มีอันใด แค่มาชมทิวทัศน์เท่นั้น” อิงอ๋องรู้สึกว่าวันนี้รัชทายาทผิดแปลก ปกติเขาไม่ชอบเบียดเสียดกับคนหมู่มาก แต่วันนี้กลับนั่งราวกับรากงอก มาถึงที่นี่แล้วก็ไม่ได้ไปที่ใดอีก
ยามนี้เขายังยืนอยู่ตรงทางแยกด้วยท่าทางกลัดกลุ้มกังวลใจ คล้ายนกยูงตัวผู้ที่รำแพนหางเพื่อดึงดูดความสนใจของนกยูงตัวเมีย
มีปัญหา ต้องมีปัญหาแน่ๆ
“พี่ใหญ่ไม่มีธุระอื่นหรือ” รัชทายาทเห็นอิงอ๋องยืนอยู่ข้างกายไม่ยอมไปที่ใดก็เลิกคิ้วถาม
“รัชทายาททรงเป็นผู้สูงศักดิ์ จะให้ทรงยืนอยู่ที่นี่ตามลำพังได้อย่างไร กระหม่อมไม่วางใจ” อิงอ๋องหัวเราะเหอะเหอะ “กระหม่อมจะยืนเป็นเพื่อน”
เหล่าราชองครักษ์และขันทีทางด้านหลังของรัชทายาท “…”
เอาเถิด คนที่ฐานะต่ำกว่าอย่างพวกเขาสามารถอยู่อย่างไม่เป็นที่สนใจได้ ก็ว่าตามที่อิงอ๋องประสงค์
“อ้อ” รัชทายาทเชิดคางเล็กน้อย “อย่างนั้นรบกวนพี่ใหญ่แล้ว”
“ยวนเหว่ย นี่ยามใดแล้ว” ฮวาหลิวหลีถาม
“ปลายยามซื่อแล้วเจ้าค่ะ” ยวนเหว่ยตอบ “จะเตรียมตัวไปเข้าเฝ้ารัชทายาทหรือเจ้าคะ”
“บอกแล้วว่าจะไปเข้าเฝ้าก่อนเที่ยง ข้าจะเสียสัตย์ได้อย่างไรไ ฮวาหลิวหลีเงยหน้ามองสีท้องฟ้า มีเมฆดำปกคลุม อีกครู่อาจจะมีฝนตก
นางลุกขึ้นเดินมาข้างกายองค์หญิงรอง “องค์หญิง ข้ามาร่วมงานเทศกาลบุปผาเป็นครั้งแรก อยากเดินชมทิวทัศน์รอบๆ เจ้าค่ะ”
“บนเขาลมแรง องค์หญิงระวังเป็นหวัด” เผชิญหน้ากับฮวาหลิวหลี องค์หญิงรองดูระมัดระวังตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางกำชับด้วยความเป็นห่วงสองสามคำ ก่อนให้นางกำนัลคนสนิทส่งฮวาหลิวหลีออกจากสถานที่ชุมนุม
“คุณหนูหลิน” องค์หญิงรองพบว่าหลินหวั่นจ้องทิศทางที่ฮวาหลิวหลีเดินจากไปอย่างเหม่อลอยจึงเอ่ยว่า “หากคุณหนูหลินอยากไปเดินชมรอบๆ ก็ให้นางกำนัลคนสนิทของข้าพาไป นางคุ้นเคยกับเส้นทางบนเขาชิงซานนี้ค่อนข้างมาก”
แม้วันนี้ภูเขาชิงซานจะมีทหารรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด แต่ก็มีชายหญิงขึ้นมาเที่ยวเล่นมากมาย หลินหวั่นพาหญิงรับใช้มาด้วยเพียงคนเดียว เกรงว่าคงจะไม่ค่อยสะดวกนัก
ได้ยินองค์หญิงพูดเช่นนี้ หลินหวั่นมิกล้าบอกว่าความจริงนางแค่มองตามฮวาหลิวหลีเท่านั้น จึงจำต้องตอบรับ
องค์หญิงรองให้นางกำนัลสองคนตามหลินหวั่นไป ยังเตือนด้วยความห่วงใยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหลายประโยค นี่เป็นพี่สะใภ้ในอนาคตของนาง ถึงจะสานสัมพันธ์อันดีด้วยไม่ได้ แต่ก็จะล่วงเกินไม่ได้เช่นกัน
ออกจากสถานที่ชุมนุม หลินหวั่นมีสีหน้าเลื่อนลอย นางจะไปที่ใดได้
“คุณหนูหลิน บนเขานี้มีศาลาวั่งชิง บัณฑิตผู้มีความรู้มากมายมักนั่งแต่งกลอนชมทิวทัศน์ที่นั่น หากคุณหนูไม่ทราบว่าจะไปที่ใดดี ก็ไปที่นั่นได้” นางกำนัลข้างกายองค์หญิงรองล้วนมีความสามารถในการสังเกตสีหน้าผู้อื่น เมื่อเห็นสีหน้าของหลินหวั่นก็รู้ว่านางลำบากใจเรื่องใด จึงรีบให้คำแนะนำ
“ไปที่นั่นก็ได้” บิดาของหลินหวั่นเป็นผู้สอบเข้ารับราชการที่ได้ตำแหน่งจ้วงหยวน นางเองก็สนใจบทกลอน เมื่อได้ยินนางกำนัลแนะนำเช่นนี้จึงตกปากรับคำ
พวกนางเดินไปได้ระยะหนึ่ง เห็นฮวาหลิวหลีและคนอื่นเดินอยู่ข้างหน้า นางกำนัลเอ่ยว่า “บังเอิญจริง ที่แท้องค์หญิงฝูโซ่วก็ไปที่ศาลาวั่งชิงเหมือนกัน”
หลินหวั่นยิ้มน้อยๆ “คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงฝูโซ่วก็สนใจโคลงกลอนเช่นกัน”
“บ่าวได้ยินว่าคุณชายสามสกุลฮวาสอบรับราชการปีนี้ด้วย บางทีองค์หญิงอาจไปหาคุณชายฮวาก็เป็นได้เจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ของหลินหวั่นเอ่ย “ไม่แน่ว่าคุณชายของเราก็อยู่ที่นั่นเชนกัน
นางกำนัลฟังแล้วก็ไม่ได้กล่าวคำ ปีนี้มีคุณชายตระกูลใหญ่ไม่น้อยที่สอบรับราชการ พวกนางดูไม่ออกว่าใครที่มีความสามารถเป็นเลิศ แต่พวกนางรู้ว่าจะพูดจาไม่เข้าหูผู้ใดไม่ได้ มิเช่นนั้นจะกลายเป็นการหาความยุ่งยากให้เจ้านาย
หลินหวั่นพูดยิ้มๆ “พี่ใหญ่เอาแต่เก็บตัวอยู่เรือนอ่านตจำรา ออกมาเที่ยวเล่นบ้างก็ดี”
นางมองรูปร่างอ้อนแอ้นของฮวาหลิวหลีที่เดินนำหน้า สีหน้าแววตาพลันแปรเปลี่ยน
ผู้ที่ยืนอยู่ตรงทางแยกก็คือรัชทายาทและอิงอ๋องไม่ใช่หรือ หลินหวั่นตั้งใจออกมาหาพวกเขาหรือ
ฮวาหลิวหลีรู้แล้วว่าหลินหวั่นเดินตามนางมา แต่นางมิได้สนใจมากนัก เห็นรัชทายาทยืนรอก็รีบก้าวเร็วๆ ไปคำนับรัชทายาทและอิงอ๋อง “หม่อมฉันถวายบังคมรัชทายาทเพคะ คำนับอิงอ๋องเจ้าค่ะ”
รัชทายาทแสร้งชำเลืองมองเท้าฮวาหลิวหลีผาดหนึ่ง เขายิ้มกล่าว “องค์หญิงไม่ต้องมากพิธี”
“หม่อมฉันมาช้า ทำให้รัชทายาททรงยืนรอนาน” ฮวาหลิวหลีพลอยยิ้มไปด้วย “ต้องโทษที่ดอกสาลี่บนเขานี้งดงามเกินไป หม่อมฉันเลยชมเพลินเพคะ”
“ตกลงกันว่าก่อนยามอู่[1] นี่ยังเพิ่งยามซื่อ องค์หญิงมิได้มาสาย แต่มาเร็วเกินไป” มีหยาดฝนเม็ดเล็กโปรยปรายลงมา ขันทีถือร่มเดินตรงมา
รัชทายาทรับร่มเอาไว้ แล้วโบกมือให้ขันทีล่าถอยออกไป เขาชูร่มเหนือศีรษะฮวาหลิวหลี “ชมดอกสาลี่ท่ามกลางฝนโปรย นับเป็นความสนุกอย่างหนึ่ง องค์หญิงสนใจหรือไม่”
ฮวาหลิวหลีมองใบหน้าหล่อเหลาของรัชทายาทแล้วพยักหน้ารับคำ
คนงามมักทำให้คนเราละทิ้งจุดยืน
“ช้าก่อน” รัชทายาทเห็นฮวาหลิวหลีมิได้สวมเสื้อคลุม จึงให้ขันทีไปหยิบเสื้อคลุมปักลายแบบสตรีมา “องค์หญิงช่วยเราถือร่มสักครู่”
ฮวาหลิวหลีรับร่มมาถือ ก้มลงมองรัชทายาทที่ช่วยผูกสายเสื้อคลุมให้นางอย่างตั้งใจ นางอดมองนิ้วมือขาวสะอาดเห็นข้อนิ้วชัดเจนอย่างเหม่อลอยไม่ได้
“องค์หญิง” รัชทายาทดึงร่มจากฮวาหลิวหลีแต่กลับไม่ขยับเขยื้อนใดๆ เขาอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ ก่อนรับร่มอีกคันจากขันที กล่าวว่า “พวกเราไปกันเถิด”
น่าเสียดายจริงๆ ด้วยความสัมพันธ์ของระหว่างพวกเขายามนี้ ถึงฝนจะตกก็อยู่ใต้ร่มคันเดียวกันไม่ได้
“เพคะ” ฮวาหลิวหลีพยักหน้า
ยามที่รัชทายาทเดินผ่านอิงอ๋องนั้นเขาหยุดเล็กน้อย ถามว่า “พี่ใหญ่ เราจะเดินชมทิวทัศน์กับองค์หญิงแถวนี้ เชิญพี่ใหญ่ตามสบาย”
อิงอ๋อง “…”
ก็แค่ป่าสาลี่ มีอันใดน่าดู
อิงอ๋องปัดมือขันทีกางร่มให้ตน แล้วจ้องรัชทายาทที่เดินเคียงข้างฮวาหลิวหลีห่างออกไปเรื่อยๆ เขาหยิบร่มมากาง เตรียมจะตามไป
“ท่านอ๋อง”
อิงอ๋องหันหน้ากลับมาอย่างไม่ค่อยพอใจ ผู้ใดเรียกเขา
ดูคุ้นหน้าไม่น้อย
อ้อ เหมือนจะเป็นคู่หมายของเขานั่นเอง
อิงอ๋องนิ่วหน้าเล็กน้อย หยุดเดิน แล้วถามว่า “มีเรื่องใดหรือ”
“ท่านอ๋อง ตอนที่หม่อมฉันออกมามิได้นำร่มติดตัวมาด้วยเจ้าค่ะ” หลินหวั่นซับน้ำฝนบนใบหน้าเบาๆ มิกล้าออกแรงมากนัก ด้วยกลัวจะลบเครื่องประทินโฉมออก
“อ้อ” อิงอ๋องมองร่มในมือ “ข้ามีแค่คันเดียว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินหวั่นค้างเกร็ง
“เจ้า” อิงอ๋องมองขันทีคนสนิท “ไปหาร่มให้คุณหนูหลินคันหนึ่ง”
“ท่านอ๋องจะไปที่ใดเจ้าคะ” เห็นอิงอ๋องเฉยชากับตนเช่นนี้หลินหวั่นเริ่มทำหน้าไม่ถูก ครั้นคิดถึงนางกำนัลขององค์หญิงรองอีกสองคนที่ติดตามมา หลินหวั่นไม่ต้องการให้ใครรู้ว่านางและอิงอ๋องมีความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน “หากไม่ติดขัดสิ่งใด ข้าขอเดินไปกับท่านอ๋องด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
อิงอ๋องจะบอกว่าไม่ต้อง แต่พอคิดอีกที บุรุษอย่างเขาจะวิ่งไปดูดอกสาลี่คนเดียวก็ไม่ค่อยเข้าท่า แต่ถ้าพาคู่หมายไปชมด้วย ดูจะเหมาะสมกว่า
เขาพยักหน้า “ได้ เจ้าตามมาก็แล้วกัน”
หากตามไม่ทัน รัชทายาทกับฮวาหลิวหลีคงเดินไปไม่เห็นเงาแล้ว
“ทุกปีรัชทายาทจะเสด็จมาที่เขาชิงซานหรือเพคะ” ฮวาหลิวหลีถือกิ่งซิ่งหลายกิ่งขณะเดินลงบันไดหิน รัชทายาทถือร่มด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วยื่นมืออีกข้างหนึ่งมาตรงหน้าฮวาหลิวหลี “มีตะไคร่เกาะตามขั้นบันได เวลาฝนตกจะลื่น องค์หญิงระวังด้วย”
ฮวาหลิวหลีส่งมือให้รัชทายาท เดินเหยียบขั้นบันไดที่มีกลีบผการ่วงหล่นเกลื่อนไปหมด “ขอบพระทัยเพคะ”
“เราให้คนไปปัดกวาดศาลาข้างหน้านั้นแล้ว เราจะกินอาหารกลางวันกันที่นั่น” รัชทายาทจับมือฮวาหลิวหลีเอาไว้ “โอกาสที่เราจะได้ออกนอกวังนั้นมีไม่มาก เทศกาลบุปผาก่อนหน้านี้ก็แค่ออกมาให้เหล่าบัณฑิตผู้มีความรู้เห็นหน้าบ้างก็กลับวังแล้ว แต่ปีนี้แตกต่าง” รัชทายาทยิ้มอ่อนโยน “เรารับปากว่าจะร่วมฉลองเทศกาลบุปผากับองค์หญิง เราจะผิดถ้อยคำมิได้”
ฮวาหลิวหลียิ้มจนตาเป็นเสี้ยวจันทร์ “ขอบพระทัยเพคะ”
“ถ้าเจ้าคิดจะขอบใจเราจริงๆ รอให้ถึงเวลากินอาหารกลางวัน เจ้าก็กินให้มากสักหน่อย” รัชทายาทเดินไปพลางหันกลับมามองฮวาหลิวหลีที่ถูกเขาจูงไปพลาง “เราไม่อยากให้เจ้าถูกคุณชายสามตำหนิเพราะเลือกกิน”
ฮวาหลิวหลีขบขันกับคำพูดของรัชทายาท นางกล่าวว่า “การเลือกกินอาหารเป็นแค่นิสัยที่ไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น รัชทายาทไม่ต้องสนพระทัยมากนักหรอกเพคะ”
“เราจะบอกความลับอย่างหนึ่งให้รู้” รัชทายาทหยุดเดิน สีหน้าแววตาลึกลับ
ฮวาหลิวหลีมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว พบว่ามีคนเดินผ่านไปมาเป็นระยะ นางคิดจะกดเสียงต่ำ เตือนรัชทายาทว่าอย่าเพิ่งพูด “รัชทายาท…”
รัชทายาททำหน้าขึงขัง “ความจริงเราก็เลือกกินเหมือนกัน”
ฮวาหลิวหลี “หา”
หากว่ากันตามหลักการแล้ว ยามนี้นางสมควรออกปากห้ามรัชทายาทว่าอย่าได้เลือกกิน หรือสมควรบอกว่าดีจริง พวกเราเหมือนกันเลย
“องค์หญิงพูดถูก นิสัยเลือกกินนั้นเป็นนิสัยที่ไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ” รัชทายาทหัวเราะในลำคอ “พวกเรามีข้อบกพร่องเหมือนกัน ไม่มีใครรังเกียจใครใช่หรือไม่”
ฮวาหลิวหลีครุ่นคิด ก่อนพยักหน้ารับ “ตรัสได้ดี มีเหตุผล พวกเรานับว่าเป็น…คนกันเองแล้วหรือเพคะ”
…
ด้านหน้ามีเสียงพูดคุยหัวเราะดังเป็นระยะ หากบรรยากาศระหว่างอิงอ๋องกับหลินหวั่นที่เดินตามหลังกลับมึนตึงกัน หลินหวั่นชวนอิงอ๋องคุยได้ไม่กี่หน อิงอ๋องก็ตอบ “อือๆ อาๆ” ทำให้นางไม่คิดจะหาเรื่องใส่ตัวอีกต่อไป
ไม่รู้ว่าเหยียบสิ่งใดทำให้หลินหวั่นทรงตัวไม่อยู่ คะมำไปข้างหน้า
อิงอ๋องที่เดินนำได้ยินเสียงดังก็รีบหลบไปด้านข้าง ได้แต่ยืนมองหลินหวั่นล้มหน้าคะมำไปเฉยๆ ยังดีที่ขันทีคนสนิทของอิงอ๋องมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว เขาช่วยหญิงรับใช้ของหลินหวั่นประคองนางไว้ได้ทัน
อิงอ๋องมองหลินหวั่น สีหน้าหลากหลาย “คุณหนูหลินเดินระวังด้วย”
นับแต่เขาอายุสิบห้าปีเป็นต้นมา จะต้องมีนางกำนัลแสร้งหกล้มตรงหน้าเขาคนสองคนเป็นประจำทุกปี ส่งผลให้พอเขาเห็นหญิงสาวคนใดหกล้ม จะต้องรีบหนีไปให้ไกล
คิดไม่ถึงว่าหลินโจวที่มีชื่อเสียงเที่ยงตรงมือสะอาด กลับอบรมเลี้ยงดูบุตรสาวที่รู้จักใช้เล่ห์นี้ แล้วเขาจะต้องรับสตรีนางนี้เป็นชายา ต่อไปจะไม่ส่งผลต่อสติปัญญาของลูกๆ หรอกหรือ
หลินหวั่นคิดไม่ถึงว่านางเกือบหกล้มหน้าคว่ำ โดยที่อิงอ๋องไม่เพียงไม่ยื่นมือช่วย กลับเบี่ยงตัวหลบ นางน่ารังเกียจถึงขนาดนั้นเลยหรือ
นางฝืนยิ้ม ใบหน้าซีดขาว “ขอบคุณท่านอ๋องที่ตักเตือน ข้าจะระวังให้มากกว่านี้เจ้าค่ะ”
นางมองรัชทายาทที่พูดคุยเป็นกันเองกับฮวาหลิวหลีด้านหน้า แล้วพลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา หากคนที่ยืนตรงนี้เป็นฮวาหลิวหลี อิงอ๋องจะมีท่าทีเช่นนี้หรือไม่
แม้รู้ดีว่าไม่สมควรคิดเช่นนี้ แต่นางมิอาจควบคุมความคิดตนเองได้ นางพยายามเตือนสติตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะแสดงท่าทีไม่พอใจให้อิงอ๋องเห็นไม่ได้ ยิ่งมิอาจให้บิดารู้ว่าอิงอ๋องเฉยชาต่อนางเช่นนี้
ด้วยนิสัยของท่านพ่อ หากรู้ว่าอิงอ๋องมีท่าทีเช่นนี้ ไม่แน่ว่าคงขอพบอิงอ๋องแล้วหาทางยกเลิกการแต่งงานครานี้
แต่นางอยากเป็นชายาอ๋องที่มีคนยกย่องเอาใจ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
นางอยากมีเครื่องแต่งกายงดงาม เครื่องประดับที่มีราคามากมาย มีบ่าวไพร่ติดตามเป็นขบวนอย่างสตรีชนชั้นสูงที่เกิดในตระกูลเก่าแก่
…
“ดอกสาลี่ดอกซิ่งมากมายถึงเพียงนี้ไม่รู้ว่าจะติดผลมากน้อยเพียงใด” ฮวาหลิวหลีปรารภ “หม่อมฉันได้ยินคุณหนูเถียนกล่าวว่าทางเหนือของเขาลูกนี้ยังมีป่าท้ออีกแห่งหนึ่ง ทว่าน่าเสียดายที่ยังไม่ออกดอก”
“รอให้ถึงเวลาที่ป่าท้อออกดอก เราพาเจ้าไปดูเอง” รัชทายาทส่งร่มให้ขันที แล้วชี้มือไปยังศาลาด้านหน้า “อีกสักครู่พวกเราจะกินอาหารกลางวันกันที่นั่น องค์หญิงคิดเห็นอย่างไร”
รอบด้านของศาลามีแต่ต้นไม้ที่ออกดอกสะพรั่งดูคล้ายกับวิมานสวรรค์
“หากได้นั่งกินอาหารในที่แบบนี้จะเจริญอาหารเพคะ” ฮวาหลิวหลีเดินลงบันไดขั้นสุดท้ายแล้วจะปล่อยมือจากรัชทายาท มีสองสามีภรรยาสูงวัยที่พาข้ารับใช้มาด้วยเดินจูงมือกันมาทางนี้ นางจึงดึงรัชทายาทให้หลบเข้าข้างทาง
“รองเท้าของแม่นางน้อยช่างงดงามจริงๆ” หญิงชราเห็นฮวาหลิวหลีให้ทาง จึงยิ้มกล่าว ก่อนมองเลยไปยังรัชทายาทพลางยิ้มแฝงนัย “ดีจริงๆ”
รัชทายาทยิ้มตอบ ฮวาหลิวหลียิ้มพูด “ขอบคุณท่านยายที่ชม”
ผู้เฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ยายเฒ่า ข้าตั้งใจให้คนทำรองเท้าใหม่ให้เจ้า ไม่งามหรือไร”
“งามๆๆ” หญิงชราหันมาเอาใจสามี “ท่านจะเทียบอันใดกับหนุ่มๆ สาวๆ กันเล่า”
ผู้เฒ่าฟังแล้วมองรัชทายาท ลูบหนวดเครากล่าวว่า “ดูไปก็มีบุคลิกคล้ายข้าตอนยังหนุ่มเหมือนกันนะ”
รัชทายาทยิ้มให้อย่างอารมณ์ดี มิได้ถือสาคำของผู้เฒ่าที่ฟังแล้วเหมือนเป็นการล่วงเกิน
ผู้สูงวัยทั้งสองเดินเถียงกันไปบ่นกันมาจนห่างออกไปเรื่อยๆ ดูเป็นคู่ที่รักใคร่กันดี
ฮวาหลิวหลียกเท้าขึ้นมอง แล้วเอ่ยว่า “รัชทายาท วันนี้มีคนชมรองเท้าคู่นี้ว่างามไม่น้อยเลยเพคะ”
“เจ้าชอบก็ดีแล้ว”
รัชทายาทยิ้มอ่อนโยน ก่อนยื่นมือไปหยิบกลีบดอกสาลี่ที่ตกลงข้างศีรษะของนางออก แล้วโยนไปไกลๆ
ดอกสาลี่[2]มีความหมายไม่ค่อยดี จะปล่อยให้ติดตัวหลิวหลีไม่ได้
[1] เวลา 11.00-13.00 นาฬิกา
[2] ในภาษาจีนอ่านว่าหลีฮวา (梨花) พ้องเสียงกับคำว่าหลี (离) แปลว่า แยกจาก เมื่อรวมกับคำว่าฮวาที่แปลว่าดอกไม้ ในที่นี้จึงมีความหมายว่าแยกจากฮวาหลิวหลี