[ทดลองอ่าน] ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก เล่ม 1 บทที่ 5

ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก

造作时光 

 

เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน

Hanza แปล

 

— โปรย —

รัชทายาทรูปโฉมหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียม เก่งทั้งบุ๋นและบู๊

แต่ถึงเขาหน้าตาดีเพียงใด้ก่งกาจเพียงใด

ก็หักล้างกับนิสัยไม่ดีและปากร้ายไม่ได้

หญิงผู้ดีมีชาติตระกูล มีหรือจะอดทนกับความปากร้าย

ที่สามารถฆ่าคนอย่างไร้รูปเช่นนั้น

ว่ากันว่าแม้แต่สนมในวังหลวงทั้งหลายก็ยังมิอาจต่อกรกับรัชทายาท

นับประสาอันใดกับพวกนางที่เป็นสาวน้อยที่มีพลังในการชิงดีชิงเด่นไม่เข้มแข็งพอ

คิดดูอีกที เมื่อรัชทายาทถูกตาจ้องใจสตรีอ่อนแอขี้โรค

นับว่านางเป็นเนื้อสมันที่เดินเข้าปากเสือ น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี

แม้ภายนอก ฮวาหลิวหลี อ่อนแอขี้โรค

ทว่าแท้จริงนางเป็นสตรีที่น่าครั่นคร้ามยิ่ง

ไม่ว่าฝ่ายใดที่พยายามลอบสังหารนาง

กลับต้องแพ้ภัยตัวเอง

จีหยวนซู่ บุรุษรูปงาม สูงศักดิ์ เป็นถึงรัชทายาทแคว้นจิ้น

เขาถูกตาต้องใจนาง คอยปกป้องเอาใจนางเสมอ

ต่อให้นางเข้มแข็งเพียงใดก็ยังพ่ายต่อเขา

และที่สำคัญคือพ่ายต่อรูปโฉมบุรุษที่เป็นจุดอ่อนของนาง

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

เมื่อเทียบกับบรรยากาศที่ชวนกระอักกระอ่วนในตำหนักใน ฮ่องเต้ชางหลงอารมณ์ดีมากหลังพบฮวาฉางคง เขาไม่เหมือนเหล่าขุนพลที่พูดจาตรงไปตรงมาไม่รื่นหู และไม่เหมือนขุนนางบุ๋นที่พูดจาอ้อมค้อม เวลาชื่นชมก็ชมออกมาจากใจจริง ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความเคารพเทิดทูนและซาบซึ้งใจในตัวฮ่องเต้อย่างเขา

“ท่านพ่อได้รับบาดเจ็บขณะโจมตีเมืองเค่อเอ๋อ ขณะที่ทุกคนคิดว่าศึกครานี้คงต้องพ่ายแน่แล้ว ทั้งทหารกองหนุนและของพระราชทานที่ส่งไปช่วยเหลือก็มาถึงพอดีพ่ะย่ะค่ะ” ขอบตาของฮวาฉางคงแดงระเรื่อ “การจัดการของฝ่าบาทไม่เพียงจะตัดสินผลแพ้ชนะของสงครามระหว่างกองทัพเรากับแคว้นจินพั่ว แต่ยังทำให้บิดาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสของกระหม่อมอดทนอยู่ต่อไปอย่างมีความหวังพ่ะย่ะค่ะ”

กล่าวถึงตรงนี้ ฮวาฉางคงพูดแล้วน้ำตาแทบหยด เขาคำนับฮ่องเต้ชางหลงต่ำที่สุด แม้ไม่เอ่ยวจีใด ทว่าฮ่องเต้ชางหลงรับรู้ได้ถึงความซาบซึ้งใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ของเขา

“เรากับอิ้งถิงรู้จักกันตั้งแต่เยาว์วัย สนิทสนมกันประดุจพี่น้องแท้ๆ เขาปกปักรักษาชายแดนต้าจิ้น ช่วยเราปกป้องหน้าด่านของแผ่นดิน เมื่อรู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เราถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ ยังดีที่เขาปลอดภัยไร้กังวล เราถึงวางใจลงได้”

กล่าวถึงตรงนี้ฮ่องเต้ชางหลงยังนึกเสียดาย อิ้งถิงมีความสามารถในการนำทัพต่อสู้กับอริราชศัตรู ถึงกับเรียกได้ว่าเป็นคนเก่งที่ร้อยปีจะมีสักคน ทว่าน่าเสียดาย หลังได้รับบาดเจ็บจากการรบครั้งนั้นแล้วเขาก็มิอาจออกรบได้อีก

แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อิ้งถิงรักษาชายแดนให้ต้าจิ้นมานานหลายปี ได้รับบาดเจ็บนับครั้งไม่ถ้วน ยามนี้จะได้กลับมาเสวยสุขในเมืองหลวงสักที ยังดีที่บุตรชายคนโตของอิ้งถิงองอาจห้าวหาญไม่แพ้บิดา มีเขาช่วยปกป้องชายแดนแทนบิดา นับว่ายังวางใจได้อยู่

ฮ่องเต้ชางหลงรั้งฮวาฉางคงให้อยู่สนทนาเป็นเวลานาน ถึงกับเรียกให้เขากินข้าวด้วยกัน ฮ่องเต้ได้ฟังคำเยินยอที่ไม่ออกนอกหน้า แต่เต็มไปด้วยความจริงใจและความกระตือรือร้นอย่างพอเหมาะก็สบายใจ ยังชวนฮวาฉางคงคุยต่ออีกหนึ่งชั่วยามก่อนสั่งให้จ้าวซานไฉ ขันทีพ่อบ้านส่งฮวาฉางคงออกจากวัง

“คุณชายสาม ระวังขั้นบันไดขอรับ” จ้าวซานไฉค้อมกาย ส่งฮวาฉางคงออกจากตำหนักเฉินหยาง

ฮวาฉางคงคำนับอีกฝ่าย “จ้าวกงกงไม่ต้องส่งแล้ว”

“คุณชายสามเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้พบท่านแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินมาหลายปีแล้ว วันนี้ได้ออกมาส่งคุณชาย ขอคุณชายให้เกียรติข้าได้อยู่เป็นเพื่อนท่านอีกสักครู่เถิด” จ้าวซานไฉยิ้มพูด “หลายปีมานี้ฮ่องเต้ตรัสถึงท่านแม่ทัพใหญ่มาตลอด เมื่อคุณชายกลับมาอยู่ที่เมืองหลวง ประสงค์สิ่งใด หรือไม่คุ้นเคยกับสิ่งใดก็บอกข้าได้ตลอดเวลา”

ฮวาฉางคงรู้ว่าจ้าวซานไฉเป็นตัวแทนของฮ่องเต้ที่แสดงความเป็นกันเองกับเขา จึงรีบกล่าวขอบคุณ ระหว่างพูดคุยกัน ฮวาฉางคงแสดงออกว่าเห็นจ้าวซานไฉเป็นคนกันเอง

จีหมิงเฮ่าเห็นขันทีคนสนิทของบิดาเดินพูดคุยยิ้มแย้มกับคนผู้หนึ่งมาแต่ไกล พอเขาเดินเข้าไปใกล้ เห็นหน้าคนผู้นั้นแล้วก็นิ่งขึงทันใด

นี่เป็นผู้ที่เถียนรุ่ยต้งและสหายเสเพลอีกหลายคนกล่าวขอโทษเมื่อวานไม่ใช่หรือ

“อิงอ๋อง”

“ไม่ทราบว่าท่านผู้นี้คือ…”

“อิงอ๋อง” แม้จ้าวซานไฉเกรงใจอิงอ๋องก็จริง แต่มิได้รู้สึกใกล้ชิดสักเท่าไร “นี่เป็นบุตรชายคนที่สามของท่านแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แผ่นดิน ฮวาฉางคงขอรับ”

ผู้ใดนะ

เมื่อครู่ที่จ้าวกงกงพูดถึงคนผู้นี้ว่าเป็นผู้ใดนะ

บุตรชายของแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แผ่นดินหรือ!

เช่นนั้นท่านหญิงที่อาเจียนเป็นเลือดในรถม้าเมื่อวาน…น่าจะเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของสกุลฮวา

จีหมิงเฮ่านึกเสียใจอยู่บ้าง หากรู้ว่าผู้ที่เถียนรุ่ยต้งหาเรื่องเมื่อวานเป็นบุตรธิดาของแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แผ่นดิน เขายอมเดินอ้อมดีกว่าจะเข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตนเองเช่นนี้ ทว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็ดี เพราะมารดาเขาจะได้ไม่ต้องเปลืองสมอง คิดหาวิธีให้บิดายกเลิกความคิดจะให้เขาแต่งกับบุตรีสกุลฮวา เพราะคนสกุลฮวาเองก็คงไม่ยินดีเช่นกัน

ถึงเขาไม่ประสงค์จะเกี่ยวดองกับสกุลฮวาผ่านการสมรส ก็มิได้หมายความว่าเขากล้าพอที่จะล่วงเกินสกุลฮวายามนี้!

สภาพจิตใจของอิงอ๋องยามนี้มีแต่ความจนใจ สมองใกล้จะระเบิดเข้าไปทุกขณะ พอเขามองรอยยิ้มอบอุ่นราวกับถูกอาบย้อมด้วยลมวสันต์ของฮวาฉางคง อิงอ๋องยิ่งรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นแฝงเจตนาร้ายที่มิอาจค้นพบได้ง่ายนัก

หลังรู้ฐานะของพี่น้องสกุลฮวา อิงอ๋องสังหรณ์ว่าอาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น หลังจากนั้นความเป็นจริงก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ลางสังหรณ์ของเขานั้นถูกต้อง

เพียงวันเดียว ในเมืองหลวงก็มีข่าวลือเกี่ยวกับอิงอ๋องและญาติผู้น้องของเขาว่าทั้งสองคนสร้างความคับแค้นใจให้บุตรีแม่ทัพใหญ่พิทักษ์แผ่นดินจนนางกระอักเลือดสดๆ ยิ่งลือยิ่งบิดเบือนไปไกล สุดท้ายกลายเป็นว่าอิงอ๋องเห็นสองพี่น้องสกุลฮวาเข้าเมืองหลวงกันตามลำพัง จึงเกิดความคิดจะข่มพวกเขาเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนมีความสามารถในการนำทัพเหนือกว่าแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน

อิงอ๋องรู้สึกว่าตนเองถูกใส่ร้าย เขาเพียงชมชอบการล่าสัตว์เท่านั้น ไฉนจู่ๆ ถึงเล่าลือกันไปว่าเขาอิจฉาความสามารถของแม่ทัพใหญ่เล่า ถึงเขาจะริษยาจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องรังแกพี่น้องสกุลฮวา เขาไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญาสักหน่อย

ทว่าคนทั่วไปไหนเลยจะคิดถึงหลักเหตุและผล พวกเขาเพียงรู้สึกว่าแม่ทัพใหญ่ทุ่มเทกายใจกรำศึกปกป้องราษฎรต้าจิ้น ทว่าบุตรธิดากลับถูกคนกันเองรังแก หากแม่ทัพใหญ่รู้เข้าจะเสียใจเพียงใด

พริบตาเดียวข่าวลืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิงอ๋องก็แพร่สะพัดไปไม่น้อย อาทิ บอกว่าอิงอ๋องเห็นหญิงสาวหน้าตางดงามก็เดินตัวเซเสียแล้ว เครื่องใช้ภายในตำหนักล้วนทำจากทองคำมีค่า ยังมีนิสัยเลวร้ายถึงกับด่าทอยายเฒ่าอายุเจ็ดสิบ แย่งขนมของเด็กน้อยอายุสามขวบ เรียกได้ว่าเลวไม่มีที่ติ

ข่าวลือที่ว่านี้ยิ่งลือยิ่งดุเดือด กระทั่งคนในตำหนักอิงอ๋องออกไปทำธุระภายนอกยังมิกล้าบอกว่าตนเองมาจากที่ใด กลัวว่าจะเจอราษฎรที่ใจร้อนเข้ามาชกต่อยระบายอารมณ์

 

ฮวาหลิวหลีที่เข้าเมืองมาแล้วได้ยินข่าวลือของชาวเมืองหลวงอยู่ตลอด นางฟังข่าวลือพวกนี้พร้อมกับยื่นนิ้วมือเรียวขาวไปเปิดจดหมายที่บิดาและพี่ชายส่งมาออกอ่าน “คนในเมืองหลวงพวกนี้นี่แย่มาก จงใจกระพือข่าว ทำชาวบ้านไม่พอใจอิงอ๋องแทนสกุลฮวาเรา พอนึกว่าหลังจากนี้ข้าจะต้องพบเจอคนผู้นี้ ใจข้าก็กลัวจนไม่รู้ว่าจะกลัวอย่างไรแล้ว”

“ฮ่องเต้ยังมีพระวรกายแข็งแรง อ๋องทั้งหลายในเมืองหลวงย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อกดหัวคู่แข่งของตน” ฮวาฉางคงวางพู่กัน เขาเลื่อนจดหมายที่เพิ่งเขียนเสร็จและรอให้น้ำหมึกแห้งไปอีกด้านหนึ่ง “ดาบชั้นดีอย่างพวกเราถูกนำมาใช้กับองค์ชายใหญ่ที่รนหาที่พอดี”

“อ๋องพวกนี้มีเรื่องใดให้วุ่นวายกันนัก รัชทายาทยังประทับที่ตำหนักบูรพาดีๆ ตำแหน่งนี้จะตกมาถึงพวกเขาให้ส่งเสียงร้องโวยวายดุจฝูงเป็ดฝูงไก่ได้หรือ” ฮวาหลิวหลีมองนภาอย่างหมองหม่น “เพื่ออำนาจและความยิ่งใหญ่ถึงกับไม่สนใจสายใยพี่น้อง นับเป็นเรื่องที่ชวนปวดใจและน่าเสียดายนัก”

“การชิงดีชิงเด่นระหว่างเหล่าองค์ชายนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา” ฮวาฉางคงกล่าวเสริมอย่างตั้งใจ “ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เมื่ออยู่เมืองหลวงก็ไม่ต้องพยายามทำอันใดที่ตนเองไม่สบายใจ

“ถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นบุตรหลานตระกูลนักรบ ไม่ต้องสนใจเรื่องที่อ้อมไปอ้อมมาให้มากนักหรอก” ฮวาฉางคงหัวเราะอย่างมีนัย

“คิดจะเอาชนะศัตรู พวกเราต้องหลอกล่อให้ศัตรูเข้ามาอยู่ในวงล้อมกฎเกณฑ์ของพวกเรา แล้วใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาของพวกเราจัดการพวกนั้นให้ตายในคราเดียว” ฮวาหลิวหลีรำพัน “สตรีอ่อนแออย่างน้อง นอกจากจะใช้วิธีการนี้แล้ว ยังจะใช้วิธีอื่นได้อย่างไรเจ้าคะ”

“น้องพี่สมกับเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในจวน” ฮวาฉางคงเอ่ยชมจากใจจริง “ยังคงเดินไปตามทางของตนเองโดยไม่สนว่าผู้อื่นจะเดินทางใด”

ฮวาหลิวหลีคลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างถ่อมตน

“ต้องโทษสมองที่ปราดเปรื่อง ทำให้ร่างกายของเจ้าย่ำแย่และทำให้เจ้าอ่อนแอเช่นนี้” ฮวาฉางคงส่ายหน้ารำพึงรำพัน “คิดถึงร่างกายที่อ่อนแอของเจ้าแล้ว พี่สามปวดใจราวกับถูกมีดทิ่มแทง คืนนี้พวกเราย่างเนื้อกวางกินกันดีกว่า”

“ดีสิเจ้าคะ” ฮวาหลิวหลีพยักหน้า “เอาเนื้อหมูป่าที่มีมันสลับกับเนื้อแดงด้วย รสชาติจะได้ดีขึ้นอีก”

สองพี่น้องมองตากันแล้วคลี่ยิ้มพึงใจ

 

ข่าวเรื่องอิงอ๋องแสดงอำนาจข่มบุตรธิดาสกุลฮวาลือออกไปไม่ถึงสองวัน สนมเสียนมารดาบังเกิดเกล้าของอิงอ๋องก็ส่งคนนำของกำนัลมีค่ามามอบให้ถึงจวนสกุลฮวา ผู้มาพร้อมของกำนัลเหล่านี้ก็คือเถียนรุ่ยต้งที่แบกต้นขวากอยู่บนหลัง

เถียนรุ่ยต้งให้นึกเสียใจอย่างยิ่ง เสียใจอย่างที่สุด หากรู้ว่าเรื่องวันนั้นจะกลายเป็นเช่นนี้ เขาจะออกไปดื่มสุราทำไม ไม่สิ เขาไม่สมควรออกจากจวนด้วยซ้ำ!

เขาบอกท่านปู่ท่านพ่อว่าเขามิได้แตะต้องตัวท่านหญิงฮวาผู้นั้นแม้แต่น้อย แต่น่าสงสารที่ก่อนหน้านี้เขาโป้ปดเป็นประจำ จึงไม่มีผู้ใดในจวนเชื่อเขาสักคน ซ้ำยังบอกว่า เพราะเหตุใดท่านหญิงฮวาไม่ตกใจเพราะผู้อื่น ทว่ากลับตกใจจนล้มป่วยเพราะพวกเขา ดังนั้นจะต้องเป็นความผิดของคุณชายเสเพลอย่างพวกเขาเป็นแน่

เป็นคนเสเพลแล้วทำไมหรือ ถึงเขาจะเอาแต่เที่ยวเล่นไม่ทำงานทำการ รักสนุก ขี่ม้ากลางเมือง เตะแผงลอยของผู้อื่นเสียหายแล้วไม่ยอมชดใช้เงินก็จริง ทว่าก็เป็นคนเสเพลที่มีฐานะมีชาติตระกูล

คนเสเพลก็มีศักดิ์ศรี คนเสเพลก็มีหลักการ เขามิอาจยอมรับมลทินนี้ได้

ทว่า…ท่านปู่ท่านพ่อของคนเสเพลมีฐานะตำแหน่งสูงกว่าเขา อีกประการหนึ่ง เรื่องนี้ยังพลอยทำให้อิงอ๋องต้องลำบากไปด้วย นอกจากแบกต้นขวากที่มีหนามแหลมคมมาขอขมาที่จวนสกุลฮวาแล้ว เขายังมีวิธีใดที่ดีกว่านี้เล่า

ได้ยินมานานแล้วว่าฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับสกุลฮวาอักโข กลับคิดไม่ถึงว่าจะให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ นับแต่เถียนรุ่ยต้งก้าวเท้าเข้าประตูใหญ่หน้าจวนสกุลฮวา ลวดลายแกะสลักตามเสาไม้ก็สะกดสายตาของเขาเอาไว้ เรียกได้ว่าสามก้าวหนึ่งทิวทัศน์ ห้าก้าวหนึ่งภาพวาด หนำซ้ำยังงดงามกว่าจวนสกุลเถียนเสียอีก

สกุลเถียนของเขามิได้ขาดแคลนเงินทอง ท่านอาเป็นถึงสนมเอกในวังหลวง ทั้งยังให้กำเนิดองค์ชายใหญ่ จึงมีฐานะแตกต่างจากสนมอื่นๆ เขาในฐานะที่เป็นคนของตระกูลเดิมของสนมเสียน จะเป็นตัวถ่วงสนมเสียนและอิงอ๋องไม่ได้

เดินมาถึงห้องโถงใหญ่ เถียนรุ่ยต้งเห็นบุรุษที่เคยบอกว่าจะนำเรื่องไปฟ้องผู้ใหญ่ที่จวนก้าวยาวๆ เข้ามา ใบหน้าเกลื่อนยิ้มไร้พิษภัย

“พี่เถียน พี่ทำอันใดน่ะ” ฮวาฉางคงแกะต้นขวากที่เถียนรุ่ยต้งแบกไว้ทิ้งไปด้านข้าง แล้วประคองเขานั่งลง “เมื่อวานที่บอกว่าข้าจะไปเยี่ยมท่านที่จวนด้วยตนเอง นั่นเป็นแค่คำพูดล้อเล่น พี่เถียนจะทำเช่นนี้ไม่ได้”

เถียนรุ่ยต้งฉีกยิ้มแห้งๆ ในใจขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก เจ้าไม่เอาเรื่องไปฟ้องผู้ใหญ่ที่จวนข้า นี่ยังน่ากลัวยิ่งกว่า เพราะแม้แต่ฮ่องเต้และไทเฮาต่างก็รู้เรื่องหมดแล้ว

เขามิกล้าคิดว่าฮวาฉางคงพูดจริง จึงยังยืนกรานที่จะขอขมาท่านหญิงฮวา

วัฒนธรรมต้าจิ้นเปิดกว้าง มิได้มีกฎระเบียบระหว่างชายหญิงมากนัก มีฮวาฉางคงอยู่ด้วย เถียนรุ่ยต้งเอ่ยถึงการขอโทษดรุณีน้อยสกุลฮวานั้นนับว่าให้เกียรตินางแล้ว

“พี่เถียนเกรงใจเกินไปแล้ว” ฮวาฉางคงถอนหายใจ หันไปสั่งหญิงรับใช้ที่รออยู่หน้าประตู “ไปเชิญคุณหนูมา” เขาหลุบตามองเถียนรุ่ยต้งที่ร้อนรนกังวลใจพลางยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบให้ริมฝีปากชุ่มชื้น

ดีมาก หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป คงจะมีคุณชายเสเพลไม่น้อยที่มิกล้าขี่ม้ากลางเมือง หรือทำลายแผงค้าจนเสียหายอีก

เถียนรุ่ยต้งนั่งไม่เป็นสุขครู่ใหญ่ จึงได้ยินเสียงหญิงรับใช้ดังขึ้นนอกห้อง

“ท่านหญิงมาถึงแล้ว”

เถียนรุ่ยต้งบังเกิดความใคร่รู้โดยพลันว่าท่านหญิงผู้อ่อนแอขี้โรค แม้แต่ความตื่นตกใจก็ยังรับไม่ไหวจะมีรูปโฉมอย่างไร

เขาหันมองนอกประตู เห็นดรุณีสวมผ้าคลุมหน้าสีขาวเดินอยู่ท่ามกลางการห้อมล้อมของหญิงรับใช้จำนวนมาก ผิวกายของนางขาวสะอาดยิ่งกว่าหิมะที่ตกทับถมในลานด้านนอก เรือนผมดำขลับเกล้ามวยเป็นทรงเรียบง่าย จี้ห้อยหน้าผากสีแดงสดไหวเบาๆ กลางหว่างคิ้ว สร้างความหวั่นไหวให้ผู้พบเห็นจนรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง

ยังเดินไม่ถึงหน้าประตู สตรีผู้นี้กลับซวนเซไปมาหลายครั้ง นางยกมือปิดปากไอเบาๆ แม้แต่นัยน์ตายังดูคล้ายมีไอหมอกจางๆ บดบังอยู่ชั้นหนึ่ง

เถียนรุ่ยต้งมองสตรีอ่อนแอแบบบางตรงหน้าพลางคิดด้วยความแค้นใจว่าเดรัจฉานพวกนั้นขี่ม้าจนสร้างความตกใจให้เด็กสาวที่งดงามประหนึ่งเทพธิดาผู้นี้ นับว่าสติฟั่นเฟือน เลอะเลือนอย่างที่สุด!

ยามนี้เถียนรุ่ยต้งตัดสินใจที่จะลืมว่าตนเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเดรัจฉานเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า