ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก
造作时光
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
Hanza แปล
— โปรย —
รัชทายาทรูปโฉมหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียม เก่งทั้งบุ๋นและบู๊
แต่ถึงเขาหน้าตาดีเพียงใด้ก่งกาจเพียงใด
ก็หักล้างกับนิสัยไม่ดีและปากร้ายไม่ได้
หญิงผู้ดีมีชาติตระกูล มีหรือจะอดทนกับความปากร้าย
ที่สามารถฆ่าคนอย่างไร้รูปเช่นนั้น
ว่ากันว่าแม้แต่สนมในวังหลวงทั้งหลายก็ยังมิอาจต่อกรกับรัชทายาท
นับประสาอันใดกับพวกนางที่เป็นสาวน้อยที่มีพลังในการชิงดีชิงเด่นไม่เข้มแข็งพอ
คิดดูอีกที เมื่อรัชทายาทถูกตาจ้องใจสตรีอ่อนแอขี้โรค
นับว่านางเป็นเนื้อสมันที่เดินเข้าปากเสือ น่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี
แม้ภายนอก ฮวาหลิวหลี อ่อนแอขี้โรค
ทว่าแท้จริงนางเป็นสตรีที่น่าครั่นคร้ามยิ่ง
ไม่ว่าฝ่ายใดที่พยายามลอบสังหารนาง
กลับต้องแพ้ภัยตัวเอง
จีหยวนซู่ บุรุษรูปงาม สูงศักดิ์ เป็นถึงรัชทายาทแคว้นจิ้น
เขาถูกตาต้องใจนาง คอยปกป้องเอาใจนางเสมอ
ต่อให้นางเข้มแข็งเพียงใดก็ยังพ่ายต่อเขา
และที่สำคัญคือพ่ายต่อรูปโฉมบุรุษที่เป็นจุดอ่อนของนาง
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
เถียนรุ่ยต้งมองฮวาหลิวหลีที่เดินเข้ามาในห้องโถงอย่างตะลึงงัน กระทั่งได้ยินเสียงกระแอมกระไอของฮวาฉางคงถึงตั้งสติได้ จึงคำนับฮวาหลิวหลี
ฮวาหลิวหลีทำท่าจะคำนับตอบ เถียนรุ่ยต้งโบกมือพัลวัน “ข้ามิกล้ารับการคำนับของท่านหญิง ท่านหญิงนั่งก่อนเถิด”
เขารู้สึกว่าตนเองสมควรถูกอสนีบาต หากให้สตรีอ่อนแอต้องเหน็ดเหนื่อยคำนับตอบ
ได้ยินเถียนรุ่ยต้งบอกว่าไม่ต้องคำนับตอบ ฮวาหลิวหลีก็หมุนตัวนั่งลงอย่างไม่ลังเล นางยกมือกดทรวงอกเป็นระยะพลางส่งเสียงไอโขลกๆ ทำเถียนรุ่ยต้งตกใจจนแทบมิกล้าหายใจแรง ด้วยเกรงว่าอาจทำให้นางปลิวหายไปพร้อมกับลมหายใจ
ยามมายังมาพร้อมกับความเดือดดาล ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านหญิงฮวายามนี้ก็ไม่เหลือโทสะใดๆ อีกแล้ว มีเพียงกิริยาที่ทำอันใดไม่ถูกเท่านั้น “หลายวันก่อนข้าทำท่านหญิงตกใจ ข้ารู้สึกไม่สบายใจ วันนี้จึงตั้งใจมาขอขมาท่าน”
“คุณชายเถียนเกรงใจแล้ว” ฮวาหลิวหลีเอ่ยเสียงอ่อนระโหย “เป็นความผิดที่ข้าใจเสาะเกินไป ไม่เกี่ยวกับท่าน คุณชายเถียนอย่าได้ตำหนิตนเองเลย”
ได้ยินเช่นนี้เถียนรุ่ยต้งก็รู้สึกหวั่นไหว ท่านปู่ท่านพ่อล้วนบอกว่าเป็นความผิดของเขา แต่กลายเป็นผู้รับเคราะห์อย่างท่านหญิงฮวากลับบอกว่ามิใช่ความผิดของเขา นางช่างเป็นเทพธิดาผู้ที่มีจิตใจดีงามนัก!
ยิ่งฮวาหลิวหลีกล่าวเช่นนี้ยิ่งทำเขาไม่สบายใจ คิดถึงว่าเมื่อครู่เขามาด้วยความไม่เต็มใจก็ยิ่งละอายใจทบทวี
เด็กสาวผู้อ่อนโยนและมากเมตตาเช่นนี้จะต้องเป็นเทพธิดาจากแดนสวรรค์เป็นแน่แท้
ฮวาหลิวหลีฟังเถียนรุ่ยต้งกล่าวคำสำนึกผิดมามากมายยิ้มๆ ทั้งยังเอาใจใส่ด้วยการสั่งให้หญิงรับใช้เปลี่ยนถ้วยน้ำชาถ้วยใหม่ให้เถียนรุ่ยต้ง
เห็นว่าอีกฝ่ายพูดพอประมาณแล้ว ฮวาหลิวหลีหลุบตาลง ดวงตาและเรียวคิ้วดูอ่อนโยนและอบอุ่นประหนึ่งแสงจันทร์ ชวนให้ผู้พบเห็นหลงใหล “คุณชายเถียนอย่าใส่ใจเลย ข้ามิได้มีเจตนาจะกล่าวโทษท่าน”
ได้ยินว่าท่านหญิงฮวามิได้คิดกล่าวโทษตนเอง เถียนรุ่ยต้งซาบซึ้งใจยิ่งนัก เขาส่งรายการของกำนัลขอขมาให้นาง
นางข้าหลวงที่ติดตามมาพร้อมกับเถียนรุ่ยต้งเป็นนางข้าหลวงที่คอยดูแลตำหนักของสนมเสียน นับแต่ตามเถียนรุ่ยต้งเข้าจวนสกุลฮวา นางข้าหลวงผู้นี้ไม่เอ่ยเลยสักคำ
นางหลุบตาลงเล็กน้อย ยืนนิ่งด้วยท่าทางของผู้ที่มีฐานะต่ำกว่า เพียงแค่ใช้หางตาประเมินฮวาหลิวหลีตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าหนึ่งรอบ นางรอจนกระทั่งฮวาหลิวหลีรับรายการสิ่งของจากสกุลเถียนแล้วจึงได้ล้วงเทียบเชิญที่เตรียมไว้ออกมา
นี่เป็นเทียบเชิญที่สนมเสียนเขียนเองกับมือ ลายบุปผาที่ประดับบนกระดาษส่งกลิ่นหอมรวยริน
“ดอกเหมยในวังบานแล้ว พระสนมกังวลว่าท่านหญิงเพิ่งเข้าเมืองหลวงเป็นครั้งแรกจะไม่คุ้นเคย จึงเชิญท่านเข้าวังเพื่อชมหมู่มวลผกาเจ้าค่ะ” นางข้าหลวงคำนับฮวาหลิวหลีอย่างเต็มพิธีการ “ขอท่านหญิงเห็นแก่หน้าพระสนมเข้าร่วมงานนี้ด้วยเจ้าค่ะ”
ฮวาหลิวหลีมิได้ประหลาดใจกับการเชื้อเชิญให้นางเข้าร่วมงานเลี้ยงกลุ่มเล็กของสนมเสียน ข่าวลือเรื่องอิงอ๋องที่แพร่สะพัดทั่วเมืองหลวงนั้นมีต้นเหตุมาจากนางเพียงคนเดียว
หากนางยังปฏิเสธคำเชิญของสนมเสียน เกรงว่าข่าวลือในเมืองหลวงที่เกี่ยวกับอิงอ๋องนั้นจะยิ่งดุเดือดกว่านี้ และจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของอิงอ๋องอย่างยิ่งในภายหลัง
สำหรับสนมเสียนที่มีใจทะเยอทะยานแล้วย่อมมิอาจยอมรับได้
แหม
ผู้ใดใช้ให้นางเป็นคนจิตใจดี หนำซ้ำยังใจอ่อนเล่า
ฮวาหลิวหลีปิดเทียบเชิญเข้าหากัน แล้วส่งยิ้มน้อยๆ ให้นางข้าหลวงที่ยืนรอด้วยความคาดหวัง “ขอบคุณพระสนมที่เชื้อเชิญ ข้าจะต้องไปร่วมงานแน่ เพียงแต่ร่างกายข้าไม่ค่อยแข็งแรง มีของที่กินไม่ได้ ของที่ใช้ไม่ได้มากมาย ไม่รู้ว่าจะสร้างความยุ่งยากให้พระสนมเกินไปหรือไม่”
“จะยุ่งยากได้อย่างไรเจ้าคะ ก่อนบ่าวจะมาที่นี่ พระสนมกล่าวว่า สมัยยังสาว พระสนมกับท่านแม่ทัพเว่ยเป็นสหายสนิทกันมาก่อน แม้พระสนมไม่เคยเห็นหน้าท่านหญิง แต่ก็คิดเสมอว่าท่านหญิงเป็นเสมือนหลานสาวแท้ๆ” นางข้าหลวงโล่งอกที่ท่านหญิงฮวารับปาก ยอมมาร่วมงานเลี้ยงนับเป็นเรื่องดี แม้วุ่นวายเรื่องอาหารการกินสักหน่อยก็ไม่เป็นไร ถึงนางอยากดื่มน้ำค้างเดือนสาม คิดว่าสนมเสียนก็ต้องหาวิธีจนได้
“อย่างนั้น…รบกวนสนมเสียนแล้ว” ฮวาหลิวหลียกมุมปาก
นางคิดว่ามีแต่บุรุษผู้ยึดติดกับเกียรติยศและหน้าตาเท่านั้นที่มักจะอ้างถึงผู้ที่ได้พูดคุยกันแค่ไม่กี่ประโยคว่าเป็นพี่เป็นน้อง คิดไม่ถึงว่าแม้แต่สนมในวังหลวงก็ยังมีพฤติกรรมเช่นนี้
มารดาของนางเคยบอกนางไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ตอนที่มารดานางอายุยังน้อยมีอุปนิสัยแข็งกร้าว จึงแทบไม่มีสหายรู้ใจเป็นดรุณีวัยเดียวกัน หากมาถึงเมืองหลวงแล้วมีผู้ใดแอบอ้างว่าเป็นพี่น้องที่ดีกับท่านแม่ จงอย่าได้หลงเชื่อเป็นอันขาด นั่นเป็นคำพูดหลอกลวงนางและพี่สามเท่านั้น
ก่อนจากไป เถียนรุ่ยต้งยังหันกลับมามองท่านหญิงฮวาที่อ่อนแอแบบบางหลายหน เห็นนางเงยหน้า ส่งยิ้มให้น้อยๆ จึงรีบเอ่ยว่า “ขอท่านหญิงวางใจ ต่อไปข้าจะไม่ขี่ม้ากลางเมืองอีกแล้ว”
พอออกจากประตูใหญ่จวนสกุลฮวา ลมหนาวพัดกรูมาโดนตัวคราหนึ่ง เถียนรุ่ยต้งได้สติ เมื่อครู่เขาพูดอันใดออกไป
จะไม่ขี่ม้ากลางเมืองอีกแล้วรึ!
คำที่พูดออกไปแล้วจะแสร้งไม่รู้ไม่ชี้เก็บคืนมาได้หรือไม่
“รัชทายาท สนมเสียนจะจัดงานสังสรรค์ชมดอกเหมยในวัง จึงส่งเทียบเชิญมาถวายพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีส่งเทียบเชิญที่ทาบลายสีทองมาเบื้องหน้ารัชทายาท
“อากาศหนาวเพียงนี้ยังจะชมดอกเหมยอันใดอีก” รัชทายาทไม่รับเทียบเชิญ เอ่ยเพียงว่า “ไม่ไป”
ขันทีดึงเทียบเชิญกลับมา
“สนมเสียนรีบร้อนจัดงานชมดอกเหมยเพราะต้องการเชิญธิดาของแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดินมาร่วมงาน” รัชทายาทเคาะนิ้วมือขาวสะอาดเคาะกับโต๊ะเป็นจังหวะ ก่อนหัวเราะเยาะ “ไม่ต้องการรับอีกฝ่ายเป็นชายาอ๋อง แต่ยังอยากยืมฐานะของอีกฝ่ายมาสยบข่าวลือ สองแม่ลูกนี่ไม่ไหวเลย”
ขันทีมิกล้าต่อบทสนทนา
“ช่างเถิด” รัชทายาทลุกขึ้น “สนมเสียนมีบุตรชายโง่เขลาคนหนึ่งก็น่าสงสารพอแล้ว เราพูดถึงนางให้น้อยหน่อยจะดีกว่า”
พี่ชายคนดีผู้นี้วันทั้งวันไม่ทำอันใด ได้แต่หวังว่าจะให้บิดาปลดรัชทายาทอย่างเขา เขาเห็นวิธีการโง่เขลาที่พี่ชายใช้แล้วยังอดปวดใจแทนไม่ได้ เป็นบุตรหลานกษัตริย์เหมือนกัน ไม่ทันได้ทำอันใดก็กลายเป็นคนโง่งมไปเสียแล้ว
“เตรียมของกำนัลมีค่าแล้วส่งไปที่ตำหนักสนมเสียนในระหว่างที่นางจัดงานเลี้ยงชมดอกเหมย”
“มอบให้พระสนมหรือพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีประหลาดใจไม่น้อย รัชทายาทกลายเป็นคนที่เอาใจใส่ผู้อื่นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร แม้เขาจะไม่ได้ไปร่วมงานด้วยตนเอง แต่ก็ยังรู้จักเตรียมของกำนัลให้สนมเสียน ถือว่าให้เกียรติอีกฝ่าย
“มอบให้ธิดาของแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน”
ขันทีถึงกับโล่งอก รัชทายาทยังคงปกติดีอยู่
“ทูลรัชทายาท องค์ชายห้ามาขอเข้าเฝ้าเพคะ” นางข้าหลวงประจำตำหนักบูรพาเข้ามารายงานเสียงแผ่ว “จะให้เข้าเฝ้าหรือไม่เพคะ”
“ให้เขาเข้ามา” สีหน้ารัชทายาทเฉยเมย ราวกับไม่มีความใกล้ชิดกับผู้ที่ขอเข้าพบสักเท่าไร
ไม่นานนักบุรุษหนุ่มรูปงามประหนึ่งหยกเนื้อดีเดินเข้ามา เขาคำนับรัชทายาทด้วยท่วงท่างามสง่า “คำนับรัชทายาท”
รัชทายาทนั่งตัวเอียงบนเก้าอี้มีพนักพลางมองน้องชายที่งดงามโดดเด่นผู้นี้สีหน้าเรียบเฉย “อืม นั่งสิ”
ท่าทางเฉยเมยของเขามิได้ส่งผลใดๆ ต่อองค์ชายห้า หลังทำความเคารพอย่างนอบน้อมแล้ว ทั้งสองคนก็นั่งคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ไม่ได้หยิบยกเรื่องใดขึ้นมาสนทนากันเป็นพิเศษ จากนั้นองค์ชายห้าก็ขอตัวกลับอย่างสุภาพเรียบร้อย
พี่น้องทั้งหลายยามอยู่ต่อหน้าเขา บางคนเคารพนบนอบ บางคนแข็งกระด้างใส่ บางคนประจบเอาใจเขาก็มี แต่ไม่เคยมีผู้ใดทำได้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างที่เจ้าห้าทำเลยสักคน เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบจนเขายังหาข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
เสียดายว่าถึงแม้คนพวกนั้นจะทำทุกวิถีทาง หากรัชทายาทอย่างเขายังไม่หลุดจากตำแหน่ง คนเหล่านั้นก็ยังคงเป็นได้แค่องค์ชายธรรมดา
ช่างน่าสงสารเป็นที่สุด
ฮวาหลิวหลีที่เข้าวังหลวงวันนี้มิได้ตรงไปยังตำหนักหลินชุ่ยของสนมเสียน แต่มุ่งหน้าไปตำหนักโซ่วคังเพื่อเข้าเฝ้าไทเฮาเป็นคนแรก
ไทเฮาเป็นหญิงชราที่ดูใจดีมีเมตตา นางให้ความเป็นกันเองกับฮวาหลิวหลียิ่งนัก ครั้นได้ยินว่าฮวาหลิวหลีจะไปชมดอกเหมยที่ตำหนักหลินชุ่ย ไทเฮาจึงตั้งใจมอบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกแดงให้ฮวาหลิวหลีตัวหนึ่ง
“เสื้อคลุมตัวนี้สีสันสดใสเกินไป ข้าอายุมากแล้วจะใส่ก็ไม่เหมาะ แต่พอเป็นเจ้ากลับดูเข้ากันมากทีเดียว” ฮวาหลิวหลีสวมเสื้อคลุมตัวใหม่ ขณะที่ไทเฮาพูดอย่างสำราญใจ “ข้าว่าแล้วว่าเสื้อคลุมตัวนี้จะต้องให้ดรุณีน้อยหน้าตางดงามใส่ถึงจะดูดี”
นางข้าหลวงได้ยินไทเฮาเอ่ยเช่นนี้ แม้อยากหัวเราะเพียงใดก็มิกล้าส่งเสียง
หลายวันก่อน มีเด็กรุ่นหลังในตระกูลเดิมของไทเฮาอยากได้เสื้อคลุมตัวนี้ ทว่าไทเฮาไม่ได้มอบให้ ที่แท้เป็นเพราะไทเฮาเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าตาไม่ดีพอนั่นเอง
ฮวาหลิวหลียกมือปิดปากหัวเราะเบาๆ นัยน์ตาของนางโค้งน้อยๆ อย่างน่าเอ็นดู จนผู้พบเห็นอาจลืมไปว่านางขี้โรคเพียงใด “ขอบพระทัยไทเฮาที่ตรัสชมเพคะ”
“ข้าชอบเด็กสาวอย่างเจ้าที่สุด รอให้เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว เจ้ามาหาข้าที่ตำหนักบ่อยๆ นะ” ไทเฮาบีบมือฮวาหลิวหลี ก่อนตบหลังมือนางเบาๆ “ในคลังส่วนตัวของข้ามีผ้าเนื้อดีมากมาย วันพรุ่งข้าจะให้ช่างตัดเสื้อมาตัดเสื้อผ้าตามขนาดตัวของเจ้า”
ฮวาหลิวหลียิ้มก่อนพยักหน้า นางเห็นความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในดวงตาของไทเฮา
พอฮวาหลิวหลีจากไป ไทเฮากล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ข้าไม่ได้พบยอดพธูที่งามเลิศเช่นนี้มานานแล้ว ผ้าเนื้อดีที่ข้าเก็บไว้ในคลังจะได้นำออกมาใช้สักที”
งานอดิเรกของไทเฮายามปกติก็คือมองดรุณีหน้าตาสะสวยสวมเสื้อผ้างดงาม หากนางไม่ได้เข้าวังเป็นฮองเฮายามนั้น ไม่แน่ว่านางอาจได้เป็นช่างออกแบบเครื่องแต่งกายสตรีที่ยอดเยี่ยมที่สุดของต้าจิ้นยามนี้ก็เป็นได้
เฮ้อ เสียดายที่ความฝันอันยิ่งใหญ่ของนางต้องถูกกลบฝังอยู่ในวังหลัง
เมื่อออกจากตำหนักโซ่วคัง ฮวาหลิวหลีไอโขลกๆ สองสามครั้ง และยังหายใจแผ่วเบา มีท่าทางอ่อนแรง คนในวังเชิญนางขึ้นเสลี่ยง ถึงนางจะพร่ำพูดว่า “ไม่ถูกระเบียบ” แต่นางกลับหย่อนก้นนั่งเสลี่ยงอย่างไม่รีรอ
แม้ทางเดินในวังหลวงจะมีขันทีคอยทำความสะอาดอยู่เสมอ แต่ก็ยังมีหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าไม่ขาดสาย เด็กสาวอ่อนแออย่างนางจะเดินเท้าท่ามกลางสภาพอากาศย่ำแย่เช่นนี้ได้อย่างไร
ขณะที่นั่งอยู่บนเสลี่ยง นางยังไม่ลืมที่จะจัดท่านั่งให้ดูไร้เรี่ยวแรงอย่างหาใดเปรียบไม่ได้ นางกล้ารับรองว่าแม้แต่บุปผาดอกเล็กๆ ที่ไหวเอนตามแรงลมก็ยังดูไม่น่าสงสารน่าเห็นใจเท่ากับสภาพของนางยามนี้
การเดินทางจากตำหนักโซ่วคังไปตำหนักหลินชุ่ยจำต้องผ่านด้านหลังตำหนักเฉินหยาง นางเห็นทางกว้างขวางที่ทอดผ่านหลังตำหนักเฉินหยางแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ภายในวังหลวงมีผู้คนอาศัยอยู่จำนวนมาก ทว่ากลับดูเงียบเหงากว่าจวนสกุลฮวาที่มีคนไม่มากเสียอีก
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ฮวาหลิวหลีเห็นขันทีในวังหามเกี้ยวที่มีผ้าม่านด้านหน้าปักดิ้นทองมุ่งหน้าตรงมาทางนี้จากที่ไกลๆ
“รัช…รัชทายาทรึ” ขันทีที่คุมเสลี่ยงอุทานอย่างคาดไม่ถึง เขาเอ่ยเตือนฮวาหลิวหลีเบาๆ “ท่านหญิงฮวา นี่เป็นเกี้ยวของรัชทายาทขอรับ”
ข้ารับใช้ข้างกายฮวาหลิวหลีต่างหยุดเดิน ค้อมกายถอยไปยืนข้างกำแพง ฮวาหลิวหลีจับมือยวนเหว่ยแล้วเดินลงจากเสลี่ยง ก่อนมองขบวนจากตำหนักบูรพาที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ขบวนมาถึงเบื้องหน้า ฮวาหลิวหลีเลิกหมวกที่ติดกับผ้าคลุมออกแล้วก้มหน้ายอบกายคำนับ
ลมหนาวพัดละอองหิมะมาตกต้องผิวหน้าของนางจนรู้สึกหนาวเย็น
ลมพัดผ้าม่านข้างเกี้ยวสะบัดขึ้นทำให้รัชทายาทเห็นสีแดงสดที่ตัดกับหิมะขาวยามที่ผ้าม่านทิ้งตัวลง เขายื่นมือขาวสะอาดออกไปปัดผ้าม่านขึ้นอีกครา
“ถวายพระพรรัชทายาทเพคะ” ฮวาหลิวหลีเงยหน้า เห็นใบหน้าหล่อเหลาน่าดูหลังผ้าม่าน
มิน่าถึงมีคำเล่าลือว่าฮ่องเต้รักใคร่เอ็นดูรัชทายาทค่อนข้างมาก ก็เพราะมีหน้าตาเช่นนี้ แล้วผู้ใดจะไม่ลำเอียงบ้างเล่า
“แค็กๆ” ฮวาหลิวหลียกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดมุมปากพลางส่งเสียงไอ ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด นางไม่มีทางลืมว่าตนเองเป็นสตรีอ่อนแอแบบบาง มิอาจช่วยเหลือตนเองได้
นางเพิ่งหยุดไอ เห็นรัชทายาททิ้งผ้าม่านลง นางจึงถอยหลังอย่างรู้จังหวะ
จู่ๆ ก็มีมือยื่นออกมาจากหลังผ้าม่าน ในมือมีเตาอุ่นมือที่ประดิษฐ์อย่างวิจิตรงดงามใบหนึ่ง
“รับไปสิ” ผ้าม่านด้านหน้าถูกเลิกขึ้น รัชทายาทมองนางด้วยสายตาเฉยชา “เจ้าก็คือ…คุณหนูสกุลฮวาหรือ”
“ขอบพระทัยรัชทายาท หม่อมฉันคือบุตรสาวสกุลฮวาเพคะ” ฮวาหลิวหลีรับเตาอุ่นมือมาถือ แค่ประคองไว้ มือสองข้างก็อบอุ่นยิ่งนัก
“หิมะตกหนัก ระหว่างทางระวังด้วย” รัชทายาทมองแววตาเจือยิ้มนิดๆ ของนาง ก่อนทิ้งผ้าม่านลง สีหน้าไร้อารมณ์
ยังดีที่พี่ใหญ่ไม่คิดจะรับบุตรีสกุลฮวาเป็นภรรยา มิฉะนั้นอาศัยแค่รูปลักษณ์ภายนอกและสมองของเขา เกรงว่าจะสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้สตรีนางนี้
สนมเสียนอยู่ในวังหลวงมานานหลายปี เขาเพิ่งเคยเห็นนางทำเรื่องดีๆ เรื่องหนึ่ง ดีตรงที่ไม่ทำให้บุปผางามต้องปักบนกองขี้วัวอย่างบุตรชายของนาง
นับว่าเป็นการสร้างบุญกุศลอย่างแท้จริง