ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก
造作时光
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
Hanza แปล
— โปรย —
“ข้าไม่มีทางทิ้งให้คนที่ข้ารักต้องรอข้านานถึงเพียงนี้”
“เวลาสามปีเท่ากับสามสิบหกเดือน ชั่วชีวิตของคนเราจะมีสามปีได้สักกี่ครั้ง”
“ชีวิตคนเราสั้นนัก จะปล่อยให้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตเสียเปล่าไปได้อย่างไร”
ฮวาหลิวหลี สตรีอ่อนแอขี้โรค
แต่แท้จริงนางเข้มเเข็งจนน่าเกรงขามยิ่ง
จีหยวนซู่ รัชทายาทรูปงาม ปากร้าย เจ้าคิดเจ้าแค้น
เพื่อสตรีของตนแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็ทำได้อย่างหน้าไม่อาย
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
71
ข่าวที่รัชทายาทถูกลอบสังหารจนต้องหนีเข้าป่าลึกนั้นแพร่เข้าหูคนบางคนในเวลาอันรวดเร็ว
“อันใดนะ รัชทายาทถูกลอบปลงพระชนม์หรือ” ครั้นสนมเสียนได้ยินข่าวนี้ก็ไม่ได้ดีใจ มีแต่ความกลัดกลุ้มกังวลใจ นางเรียกอิงอ๋องมาที่ตำหนัก ถอนหายใจเอ่ยว่า “พวกเราควรทำอย่างไรดี เสด็จพ่อของเจ้าโปรดรัชทายาทมากขนาดนั้น หากเกิดเรื่องกับเขาจริงๆ ในฐานะองค์ชายใหญ่อย่างเจ้าจะต้องเป็นตะปูตำตา เป็นหนามตำใจของเสด็จพ่อเจ้าเป็นแน่”
“ถ้ารัชทายาทสิ้นพระชนม์ จะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับลูกที่เป็นองค์ชายใหญ่หรือขอรับ”
“นั่นแหละ ทุกคนรู้ว่านี่เป็นเรื่องดีสำหรับเจ้า ดังนั้นจะต้องมีคนไม่น้อยที่คิดว่าเจ้าเป็นคนบงการพวกนักฆ่า” สนมเสียนมองบุตรชายโง่เขลาแวบหนึ่ง “หากรัชทายาทสิ้นพระชนม์ ผู้ที่จะโชคร้ายลำดับถัดไปก็คือพวกเราสองแม่ลูก”
“ท่านแม่พูดมีเหตุผลขอรับ” อิงอ๋องหยุดคิด “แล้วท่านแม่คิดว่าเป็นองค์หญิงเล่อหยางที่อาฆาตแค้นรัชทายาทที่ไม่ยอมรับบุตรีนางเป็นชายา และยังแค้นที่ท่านแม่ทำนางอับอาย จึงคิดจะล้างแค้นท่านหรือไม่ขอรับ”
“นางไม่ใช่คนเสียสติสักหน่อย ผู้ใดจะกล้าลอบปลงพระชนม์รัชทายาทกลางวันอย่างนี้ นั่นเป็นเรื่องร้ายแรงถึงแก่ชีวิตเชียว” สนมเสียนส่ายหน้า “แม้เล่อหยางจะโง่เขลาประดุจมุสิก แต่สติยังดีอยู่ ไม่มีทางทำเรื่องประเภทนี้แน่”
“ไม่แน่ว่านางอาจฟั่นเฟือนแล้วก็ได้ขอรับ” อิงอ๋องมองดวงสุริยาที่เริ่มคล้อยไปทางตะวันตก “ท่านแม่ไม่ต้องกังวลเกินไป ลูกจะไปตำหนักเฉินหยางเพื่อขออาสาพาทหารออกตามหารัชทายาท”
“รีบไปๆ ไม่ว่าเสด็จพ่อเจ้าทรงเชื่อหรือไม่ เจ้าต้องแสดงท่าทีพี่ชายที่รักน้องชายให้ทอดพระเนตรให้ได้” สนมเสียนพยักหน้ารับติดๆ กัน “รีบไป อย่าให้องค์ชายอื่นแย่งหน้าที่นี้ไปได้”
…
สนมเสียนเดาถูกเพียงครึ่งเดียว ยามนี้แม้ฮ่องเต้ชางหลงโกรธแค้นและกลัดกลุ้มยิ่งนัก แต่เขาไม่สงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์ชายทั้งสี่ เมื่อเห็นอิงอ๋องโอรสคนโต และหนิงอ๋องโอรสคนรอง ต่างวิ่งมารับอาสานำทหารออกตามหารัชทายาท เขาก็มิได้ปฏิเสธ อนุญาตให้พวกเขานำทหารใต้อาณัติออกไปช่วยค้นหารัชทายาทบนเขาทันควัน
“ฝ่าบาท อย่าทรงกังวลพระทัยเลย รัชทายาทจะต้องเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ” ฮวาอิ้งถิงห่วงบุตรีและรัชทายาท เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเขา และยังกลัวว่าฮ่องเต้ชางหลงจะห่วงรัชทายาทจนไม่สบาย เขาจำต้องแยกสมาธิมากล่าวปลอบใจฮ่องเต้ชางหลง
“อิ้งถิง รัชทายาทเป็นผู้สืบทอดที่เราอบรมเลี้ยงดูมากับมือ เขาไม่เพียงเป็นรัชทายาท แต่ยังเป็นลูกที่เราเลี้ยงตั้งแต่เล็ก หากเกิดเรื่องกับเขา…” ฮ่องเต้ชางหลงคิดถึงฮวาหลิวหลีที่อยู่กับรัชทายาทแล้วยิ่งกังวล นางหนูสกุลฮวาร่างกายอ่อนแอขนาดนั้น เจอเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ร่างกายนางมีหรือจะทนไหว
“ฮูหยินของกระหม่อมพาคนออกตามหาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฮวาอิ้งถิงมองสีท้องฟ้าที่เริ่มหม่นลงทุกขณะนอกหน้าต่าง หวังว่าฟ้าจะมืดช้าลงสักหน่อย หากเข้าสู่ยามราตรีจะยิ่งหาคนยากลำบากขึ้น
จากคำบอกเล่าของยวนเหว่ยที่ไล่ตามไป ก่อนที่รัชทายาทและหลิวหลีจะตกเขา หลิวหลีคล้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาเกรงว่าลูกคนนี้จะทนไม่ไหว อยู่ไม่พ้นคืนนี้
“เจ้าใช้ป้ายคำสั่งของพ่อเจ้าหรือ” ทันทีที่ได้ยินข่าวรัชทายาทถูกลอบสังหาร เล่อหยางรีบรุดมาดูที่เก็บป้ายคำสั่ง ปรากฏว่าไม่เห็นมันอย่างที่คิดไว้
นางก้าวยาวๆ ไปยังเรือนพักของบุตรีคนรอง เห็นเซี่ยเหยาสวมชุดแดงนั่งหน้าคันฉ่อง พอเดินมาถึง เล่อหยางก็ตบหน้านางอย่างแรง “เซี่ยเหยา เจ้าเสียสติแล้วหรือ”
“ใช่สิเจ้าคะ” เซี่ยเหยายกมือกุมหน้า เปล่งเสียงหัวเราะกึกก้อง “ข้าเสียสตินานแล้ว ท่านแม่อยากให้ข้าเป็นชายารัชทายาทไม่ใช่หรือเจ้าคะ ขอเพียงรัชทายาทสิ้นพระชนม์ ข้าก็จะแต่งให้ป้ายวิญญาณของเขา ท่านแม่น่าจะพอใจแล้ว”
“เจ้าบ้าไปแล้ว คิดหาเรื่องให้คนทั้งครอบครัวหรือ” เล่อหยางคิดไม่ถึงว่าบุตรีจะเสียสติเช่นนี้ นางชี้หน้าเซี่ยเหยา ตวาดว่า “เจ้าคิดจะตายก็ได้ แต่อย่าทำให้น้องชายเจ้าพลอยติดร่างแหไปด้วย”
“ในสายตาของท่านแม่ ข้าและพี่ใหญ่เป็นแค่เครื่องมือที่ไม่คู่ควร ทำให้น้องชายต้องย่ำแย่ไปด้วย” เซี่ยเหยากุมแก้มบวมแดงเพราะถูกตบ แววตาของนางเย็นชา “พี่ใหญ่เป็นเครื่องมือที่ท่านแม่พึงใจ ทว่าน่าเสียดายที่นางตายแล้ว ข้านี่สิยังอยู่ แต่ท่านแม่กลับรังเกียจหาว่าข้าเป็นเครื่องมือที่ใช้ไม่เหมาะมือ”
“พูดเหลวไหลอันใดของเจ้า” เล่อหยางโกรธจัด กล่าวอย่างไม่คิดว่า “หากพี่เจ้ายังอยู่ ข้ายังจะต้องใช้เจ้าอีกหรือ”
“ใช่สิ ถ้าพี่ใหญ่ยังอยู่ ท่านแม่จะต้องหาทางให้นางเป็นชายารัชทายาทให้ได้” เซี่ยเหยาทิ้งมือที่กุมแก้มลง หัวเราะในลำคอ “ท่านแม่ ท่านคงลืมไปแล้วว่าสามปีก่อนข้าเคยบอกท่านว่าข้าชอบรัชทายาท แต่ท่านไม่ยอมฟัง คิดจะให้พี่ใหญ่แต่งกับรัชทายาทให้ได้ ดังนั้น…”
นางยกมือปิดปากหัวเราะ “ดังนั้นพี่ใหญ่ก็เลยต้องตาย”
“เจ้ากล่าวอันใด…” เล่อหยางมองบุตรีที่คล้ายฟั่นเฟือนแล้ว “พี่ใหญ่ของเจ้าตายเพราะเจ้าหรือ”
“ท่านแม่ ท่านลืมไปแล้วหรือว่าพี่ใหญ่ตายเพราะท่าน” เซี่ยเหยากระเถิบเข้าใกล้มารดา “สามวันก่อนนางจะเสียชีวิต ท่านยังปรึกษากับท่านพ่อว่าจะให้พี่ใหญ่แต่งกับรัชทายาทอย่างไรดี
“หากไม่ใช่ท่าน มีหรือข้าจะอยากให้พี่ใหญ่ตาย” เซี่ยเหยามองมารดาอย่างคนไร้ความผิด นางยิ้มพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ดังนั้นนางตายเพราะท่านแม่ต่างหาก”
“เจ้าลูกบ้า เจ้าลูกเดรัจฉาน!” เล่อหยางผลักเซี่ยเหยาออกห่าง เซี่ยเหยาล้มลง ศีรษะชนขอบโต๊ะ เลือดไหลไม่หยุด
นางจับบาดแผลพลางหัวเราะอย่างสาแก่ใจ “รัชทายาทสิ้นพระชนม์ถึงจะดี สิ้นพระชนม์แล้วจึงจะโปรดสตรีอื่นไม่ได้ ท่านแม่พูดเองไม่ใช่หรือ โลกนี้ไม่มีบุรุษคนใดที่รักปักใจจนเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีแต่บุรุษที่ตายอย่างว่าง่ายเท่านั้น”
เล่อหยางตื่นตระหนกกับสภาพเสียสติของบุตรี นางถอยออกจากห้อง สั่งบ่าวรับใช้ว่า “เฝ้านางไว้ให้ดี อย่าให้ออกจากห้องเป็นอันขาด”
ยามนี้นางต้องหาวิธีทำลายหลักฐานทั้งหมดที่เชื่อมโยงระหว่างมือสังหารกับสกุลเซี่ยโดยเร็ว มิเช่นนั้นสกุลเซี่ยทั้งสกุล รวมถึงปัญญาชนแดนใต้ทั้งหมดจะต้องพลอยติดร่างแหไปด้วย
ขณะก้าวยาวๆ ออกจากเรือนพักของเซี่ยเหยา เล่อหยางพลันฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง นางถามหญิงรับใช้คนสนิทของเซี่ยเหยา “คุณหนูรองเคยติดต่อนักฆ่าในเมืองหลวงมาก่อนใช่หรือไม่”
“แต่…แต่พวกนักฆ่าไม่ได้รับงานเจ้าค่ะ”
“เจ้าจำผิดแล้ว นักฆ่าพวกนั้นรับงานแล้ว” เล่อหยางสีหน้าเฉยเมย “คุณหนูรองเสียสติ ด้วยความอิจฉาริษยาจึงจ้างวานคนร้ายให้สังหารคน ผู้ที่นางคิดจะฆ่าก็คือองค์หญิงฝูโซ่วของสกุลฮวาใช่หรือไม่”
กำลังคนที่สกุลเซี่ยส่งมาปะปนในละแวกใกล้เคียงเมืองหลวงจะถูกเปิดโปงไม่ได้เป็นอันขาด
หญิงรับใช้คนสนิทของเซี่ยเหยามองเล่อหยางที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ แล้วพูดไม่ออกไปชั่วขณะด้วยความตกใจ
องค์หญิงคิดจะให้คุณหนูรองตายอย่างนั้นหรือ
ชาวเมืองหลวงที่ห่วงความปลอดภัยของฮวาหลิวหลีนั้นมีไม่น้อย ในตำหนักองค์หญิงซุ่นอัน เหยาเหวินอินนั่งรอข่าวที่องครักษ์ออกไปสืบอย่างกระวนกระวาย ส่วนเจียหมิ่นที่ปกติมักจะรังเกียจฮวาหลิวหลียิ่งกังวลหนัก นางมีรายชื่อผู้ต้องสงสัยผุดขึ้นในหัวมากมาย รวมทั้งอิงอ๋องที่นางเคยตกหลุมรักมาก่อนด้วย
“บางทีองค์หญิงฝูโซ่วอาจไม่เป็นอันใดก็ได้ ในนิยายก็เขียนอย่างนี้ไม่ใช่หรือว่าตัวละครเอกตกเหว ตกแม่น้ำ ล้วนพลิกเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี สุดท้ายกลายเป็นยอดฝีมือระดับพระกาฬ” ใบหน้าของเถียนซานซีดขาว ไม่ได้ดีไปกว่าญาติทั้งสองสักเท่าไร “ไม่แน่ว่าพอฟ้าสาง พวกเขาก็กลับมาแล้ว”
เจียหมิ่นยกมือลูบถ้วยชา ก่อนพบว่ามือของนางสั่นเทาอย่างน่าตกใจ
ครานี้นางกับเหยาเหวินอินมิได้โต้แย้งถึงเนื้อหาในนิยายที่เถียนซานกล่าวถึง
ตอนที่ฮวาหลิวหลีฟื้นนั้น นางเห็นรัชทายาทนั่งพิงต้นไม้ สภาพมอมแมม ใบหน้าดำเมี่ยม ไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บที่ใดหรือไม่
“รัชทายาทเพคะ” นางกดบาดแผลที่หัวไหล่ พูดอย่างอ่อนระโหยว่า “ทรงบาดเจ็บที่ใดหรือไม่เพคะ”
“ฟื้นแล้วหรือ!” รัชทายาทโยนฟืนในมือทิ้ง ก่อนโถมตัวเข้าหาฮวาหลิวหลีเร็วรี่ “เจ้าอย่าเพิ่งขยับตัว แผลเจ้าลึกนัก กว่าข้าจะห้ามโลหิตให้เจ้าได้ พอเจ้าขยับตัวโลหิตก็ซึมออกมาอีก”
“หม่อมฉันไม่เป็นอะไร ไม่ถึงตายเพคะ” ฮวาหลิวหลีสังเกตว่าผ้าพันแผลทั้งสะอาดทั้งนุ่ม มองเลยไปที่เสื้อคลุมที่ไม่เป็นทรงของรัชทายาทแล้ว ก็รู้ว่าเขาคงฉีกเสื้อตัวในมาพันแผลให้นาง
“เดิมข้าคิดจะจุดไฟให้ความอบอุ่น แต่ในนี้มีใบไม้กิ่งไม้แห้งทับถมเยอะนัก พอลมพัดทีอาจเกิดไฟป่าลุกลามได้ ข้าเลยดับไฟไปแล้ว” รัชทายาทกุมมือฮวาหลิวหลีเบาๆ “หนาวหรือไม่”
“นิดหน่อยเพคะ” ฮวาหลิวหลีมองไปรอบๆ ยามนี้ดวงจันทร์ส่องสกาว พอจะมองเห็นสภาพรอบๆ ได้บ้าง “ราชองครักษ์ยังค้นหามาไม่ถึงที่นี่หรือเพคะ”
“หลังตกเขาแล้ว ทั้งข้าและเจ้าก็หมดสติไป พอข้าฟื้นก็พบว่าพวกเราตกลงบนกองใบไม้แห้งในร่องเขา” รัชทายาทจับมือฮวาหลิวหลียัดใส่สาบเสื้อของตน “แต่เจ้าไม่ต้องห่วงนะ ข้าแขวนเสื้อคลุมไว้บนต้นไม้แล้ว อีกไม่นานจะต้องมีคนเห็นแล้วตามหาพวกเราเจอ”
“อย่างนั้นก็ดีเพคะ” ฮวาหลิวหลีไม่ได้ถามว่ารัชทายาททำแผลให้นางอย่างไร นางมองชายหนุ่มที่ตั้งใจให้ความอบอุ่นนางตรงหน้า แม้ดวงหน้าของอีกฝ่ายยามนี้สกปรกมอมแมม แต่นางก็ยังรู้สึกว่าเขาน่ามองยิ่งนัก “รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันมีถุงผ้าห้อยเอวสามใบ ช่วยดูหน่อยว่ายังอยู่หรือไม่”
รัชทายาทดึงถุงผ้าออกมาใบหนึ่งแล้วเปิดออกดู ข้างในมีของขบเคี้ยวจำนวนหนึ่ง
“ก่อนที่ราชองครักษ์จะเจอพวกเรา กินของพวกนี้รองท้องก่อนเถิดเพคะ” ฮวาหลิวหลีรู้สึกว่าลำคอแห้งผากจนระคายไปหมด แต่นี่เป็นหุบเขาลึก นางไม่วางใจให้รัชทายาทออกไปเพียงลำพัง ดังนั้นจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้
เมื่อเปิดถุงผ้าสามใบออกดู รัชทายาทเห็นน้ำกุหลาบขวดหนึ่ง เขาเปิดจุกออก จ่อขวดชิดริมฝีปากของฮวาหลิวหลี “ดื่มสักหน่อย”
“รัชทายาท หม่อมฉันไม่กระหาย…”
“ไม่กระหายก็ต้องดื่ม นี่เป็นคำสั่งของข้า” รัชทายาทยกขวดป้อนฮวาหลิวหลี ขวดน้ำกุหลาบขวดเล็กๆ ปกติแล้วเป็นแค่ของกินเล่นของฮวาหลิวหลี ทว่ายามนี้กลับเป็นของที่ช่วยชีวิตนางไว้
น้ำกุหลาบแค่ขวดเล็กๆ มิอาจช่วยดับกระหาย แต่อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาอาการระคายคอของฮวาหลิวหลีได้บ้าง รัชทายาทใช้มือข้างจับมือสองข้างของฮวาหลิวหลีไว้ แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งหยิบเนื้อแห้งชิ้นหนึ่งออกมากิน คงจะพอรู้ว่ายามนี้สภาพของฮวาหลิวหลีมิอาจกินของแห้งแบบนี้ได้ จึงมิได้บังคับให้นางกินแต่อย่างใด
“รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันมีความฝันหนึ่งตั้งแต่เล็ก ความฝันนี้เกือบจะกลายเป็นจริงแล้ว” เมื่อเจ็บแผลจนนอนไม่หลับ ฮวาหลิวหลีได้แต่อาศัยการพูดคุยเพื่อดึงความสนใจไปอีกทาง “พระองค์จะช่วยทำให้ฝันของหม่อมฉันกลายเป็นจริงได้หรือไม่เพคะ”
“อันใดหรือ” รัชทายาทพยายามกลืนเนื้อแห้งลงไป แต่ลำคอที่แห้งผากยามนี้ทำเขาฝืนกินต่อไปไม่ไหว จึงเก็บถุงผ้ามัดไว้ข้างเอวของฮวาหลิวหลีดังเดิม
“หม่อมฉันอยากเป็นหญิงงามอ่อนแอขี้โรคที่ได้รับการจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์เพคะ” ฮวาหลิวหลีจับนิ้วของรัชทายาทโยกเบาๆ “ทรงช่วยหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ”
มาถึงขั้นนี้ นางเปิดเผยวิชายุทธ์ต่อหน้ารัชทายาทแล้ว หากนางยังอยากเป็นหญิงงามอ่อนแอขี้โรคต่อไป นางต้องได้รับความร่วมมือจากรัชทายาท
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเคยอ่านคำให้การเรื่องจับตัวองค์ชายรองของแคว้นจินพั่ว” รัชทายาทมองฮวาหลิวหลีด้วยแววตาอ่อนโยน “อาหว่าเล่าเรื่องที่เขาถูกจับอย่างละเอียด”
ฮวาหลิวหลีหัวเราะ “ที่แท้ก็ทรงทราบนานแล้ว”
“ข้าแค่เดาเท่านั้น” รัชทายาทยื่นมือไปปัดปอยผมที่ระแก้มนางอย่างเบามือ “นี่เป็นความฝันที่ทั้งน่ารักและน่าสนุกของหลิวหลี ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงสักหน่อย ขอเพียงเจ้าต้องการ จะต้องเป็นจริงสักวัน”
“แล้วไม่ทรงตำหนิหม่อมฉันหรือเพคะ”
“ไฉนต้องตำหนิเจ้า” รัชทายาทหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะของเขาอ่อนโยนนัก “เพื่อปกป้องชีวิตข้า แม้แต่ความฝันอันยิ่งใหญ่และงดงามของเจ้า เจ้าก็ยังยินดีวางลง นั่นทำให้ข้าดีใจมาก”
ฮวาหลิวหลีรู้สึกว่าคำพูดนี้มีบางอย่างที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก
“นี่แสดงให้เห็นว่าในใจของเจ้า ข้าสำคัญกว่าความฝันที่เจ้ามุ่งมั่นต้องการตั้งแต่เล็กใช่หรือไม่” รัชทายาทโน้มตัวมาใกล้ จนใบหน้าของเขาอยู่ห่างจากฮวาหลิวหลีเพียงเล็กน้อย
ฮวาหลิวหลีมองตาอีกฝ่าย ก่อนเบือนหน้าหนีอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก “เพคะ…”
“ดังนั้นเรื่องอื่นๆ ก็ไม่ควรค่าให้พูดถึง ขอเพียงในใจเจ้าเห็นข้าสำคัญมากก็พอแล้ว” รัชทายาทอยากขโมยจูบฮวาหลิวหลีสักครา แม้ยามนี้ฮวาหลิวหลีจะเหมือนลูกแมวน้อย แต่เขายังรู้สึกว่าถ้าได้จุมพิตนางสักทีก็คงดี
“รัชทายาทเพคะ…” ไม่เพียงหัวใจของฮวาหลิวหลีที่บรรเลงบทเพลงนางหงส์ขอความรักเท่านั้น แต่ยังร่ายรำแบบชายแดนในจังหวะที่เร่าร้อนที่สุดด้วย “อย่าเข้าใกล้ถึงเพียงนี้ หม่อมฉัน…หม่อมฉันไม่อยากทำผิดเพคะ”
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ยามนี้ถึงนางมีใจ แต่ก็ไร้เรี่ยวแรง
“ความจริงแล้ว…” รัชทายาทอยากยื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าของฮวาหลิวหลี แต่เกรงว่านางจะคิดว่าเขาฉวยโอกาสเอาเปรียบ จึงได้แต่แอบลูบไล้ปลายผมของนาง “ความจริงแล้วในใจของข้าก็อยากทำผิดกับเจ้า”
“ข้าอยากทำผิดกับเจ้า แต่ก็กลัวว่าจะรบกวนการใช้ชีวิตของเจ้า” รัชทายาทยิ้มแหย มองฮวาหลิวหลีด้วยแววตาหม่นหมอง “หลิวหลีคนดี เจ้าว่าข้าสมควรทำอย่างไรดี”
“หม่อมฉัน…” ฮวาหลิวหลีเบิกตากว้าง ยังไม่ทันพูด ก็ได้ยินเสียงเรียกด้วยความลิงโลดเป็นล้นพ้นของอิงอ๋องดังขึ้นไม่ไกลนัก
“รัชทายาทประทับที่นี่!” หลังอิงอ๋องเห็นเงาร่างของฮวาหลิวหลีก็แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เขาหลุดพ้นจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยแล้ว “หมอหลวงมาทางนี้เร็ว รัชทายาทและองค์หญิงฝูโซ่วได้รับบาดเจ็บ”
ทันทีที่สิ้นเสียง เขาเห็นแววตาของรัชทายาทเย็นชาประหนึ่งคมดาบตวัดมอง อิงอ๋องตกใจจนถอยหลังก้าวหนึ่ง
ไม่…ไม่ใช่ เขาไม่ใช่คนที่ส่งมือสังหารมาสักหน่อย รัชทายาทมองเขาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร