ช่วงเวลาดีๆ ที่มีแต่รัก
造作时光
เยว่เซี่ยเตี๋ยอิ่ง 月下蝶影 เขียน
Hanza แปล
— โปรย —
“ข้าไม่มีทางทิ้งให้คนที่ข้ารักต้องรอข้านานถึงเพียงนี้”
“เวลาสามปีเท่ากับสามสิบหกเดือน ชั่วชีวิตของคนเราจะมีสามปีได้สักกี่ครั้ง”
“ชีวิตคนเราสั้นนัก จะปล่อยให้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตเสียเปล่าไปได้อย่างไร”
ฮวาหลิวหลี สตรีอ่อนแอขี้โรค
แต่แท้จริงนางเข้มเเข็งจนน่าเกรงขามยิ่ง
จีหยวนซู่ รัชทายาทรูปงาม ปากร้าย เจ้าคิดเจ้าแค้น
เพื่อสตรีของตนแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดเขาก็ทำได้อย่างหน้าไม่อาย
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
73
ฮวาอิ้งถิงฉงนยิ่งนัก หากเขายังปฏิเสธเรื่องนี้อีก ในใจของฮ่องเต้คงเห็นเขาเป็นบิดาตัวร้ายที่ปฏิบัติต่อบุตรีอย่างเข้มงวดเป็นแน่
เขาถอนหายใจ ก่อนเอ่ยอย่างจนใจว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้…กระหม่อมคงตัดสินใจเพียงคนเดียวไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงที่ฮ่องเต้ชางหลงโน้มน้าวฮวาอิ้งถิงอย่างเมามันขาดห้วงกะทันหัน เขาเดินไปตรงหน้าแล้วตบไหล่ฮวาอิ้งถิงเบาๆ “อิ้งถิง เราเข้าใจความลำบากใจของเจ้า เพื่อความสุขของลูกเจ้าแล้ว ต้องพยายามหว่านล้อมแม่ทัพเว่ยให้ได้”
ฮวาอิ้งถิง “…”
เขายังไม่ได้กล่าวอันใดสักคำ
“เรารู้ว่าเจ้าคิดถึงความปลอดภัยของบุตรี เราไม่ต้องให้เจ้าเฝ้าที่นี่ รีบไปดูลูกเจ้าเถิด” ฮ่องเต้ชางหลงกล่าว “หมอหญิงในวังมีไม่น้อย รอให้องค์หญิงฝูโซ่วกลับเข้าเมืองหลวงแล้ว ให้นางพำนักที่ตำหนักโซ่วคังของเสด็จแม่ชั่วคราว ยามที่หมอหญิงเปลี่ยนยาทำแผลจะได้สะดวก”
เวลาสำคัญเช่นนี้ฮ่องเต้ชางหลงเกิดปัญญาขึ้นมาฉับพลัน เพื่อให้บุตรชายของเขาอยู่ตึกริมน้ำย่อมคว้าดวงจันทร์ได้ก่อน[1] เขาต้องทำอย่างเต็มกำลังโดยไม่เห็นแก่หน้าตาหรือศักดิ์ศรีใดๆ อย่างไรก็ต้องให้นางหนูสกุลฮวาเข้ามาอยู่ในวังให้ได้ก่อน
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” ฮวาอิ้งถิงละทิ้งความพยายามที่จะปฏิเสธ นี่คงเป็นชะตาลิขิต
อย่างไรก็ตามท่านเป็นฮ่องเต้ กล่าวอันใดก็ว่าตามนั้น ข้าพยายามแล้ว พวกท่านสองพ่อลูกดื้อรั้นถึงเพียงนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ช่วยไม่ได้
ฮวาอิ้งถิงเป็นห่วงความปลอดภัยของบุตรีอย่างยิ่ง หลังคำนับฮ่องเต้ชางหลงแล้วก็รีบร้อนออกจากวัง
ถนนในเมืองราบเรียบ เหล่าขันทีช่วยกันหามแคร่ไปวางในรถม้าที่กว้างขวาง ก่อนสั่งให้ทหารหน้าประตูเมืองเปิดประตู
ทหารเวรไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อย รีบเปิดประตูให้เร็วรี่ กระทั่งคนทั้งหมดเดินห่างไปไกลแล้ว ค่อยกระซิบวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้
“ที่เข้าไปเมื่อครู่คล้ายเป็นอิงอ๋อง”
“ได้ยินว่ารัชทายาทและบุตรีของแม่ทัพฮวาถูกคนลอบสังหาร”
“เกิดเรื่องกับรัชทายาท ผู้ที่ได้ประโยชน์ก็เป็นองค์ชายใหญ่คนนั้น…”
“ชู่” ทหารอีกคนรีบปิดปากคนพูด “อย่าพูดจาเหลวไหล เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่หรืออย่างไร”
ความเงียบเข้าปกคลุมแถวประตูเมืองอีกครั้ง ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวถึงเรื่องนี้อีก
…
อู๋ซานและอู๋ซือที่ซ่อนตัวที่มุมลับตาหันมองหน้ากันอย่างเคร่งเครียด พวกเขาเห็นความกังวลในดวงตาของอีกฝ่าย ในฐานะยอดมือสังหารในแวดวงนักฆ่า พวกเขาสามารถหลบหลีกการตรวจตราของทหารยามกลับไปที่ร้านบะหมี่ได้
“ได้ข่าวอันใดหรือไม่” มือสังหารหลายคนที่ทำงานในร้านรีบถาม
“เหมือนรัชทายาทจะไม่ทรงเป็นอันใด แต่องค์หญิงฝูโซ่วบาดเจ็บสาหัส” อู๋ซานตอบ “พวกเจ้ายังจำได้หรือไม่ ว่ามีผู้ติดต่อให้พวกเราสังหารองค์หญิงฝูโซ่ว”
คนทั้งหลายสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ผู้เฒ่าที่รับงานคนนั้นตายกะทันหันในคืนก่อนที่เขาจะไปจากเมืองหลวง แม้ในสายตาคนนอก ผู้เฒ่าอายุมากแล้ว จากไปเพราะอุบัติเหตุหกล้มหัวกระแทก แต่สำหรับพวกเขาแล้ว ย่อมรู้ดีแก่ใจว่าผู้เฒ่าไม่ได้เสียชีวิตเพราะเหตุไม่คาดฝันอย่างนั้น แต่ถูกฆ่าปิดปาก
“เป็นเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ รัชทายาทยังมีพระชนม์ชีพ ผู้บงการเบื้องหลังต้องปัดสวะให้พ้นตัว คงไม่ให้พวกเราต้องแบกหม้อดำใช่หรือไม่” นักฆ่าคนหนึ่งที่เป็นคนงานในร้านถาม “แม้พวกเราเคยใช้ชีวิตอยู่กับคมกระบี่คมดาบก็จริง แต่ไม่ใช่จะยอมรับการใส่ร้ายป้ายสีอย่างนี้”
“บางทีนักฆ่าพวกนี้อาจไม่เกี่ยวกับคนรับงานครั้งที่แล้วก็เป็นได้” อู๋ซือยังคงกล่าวอย่างมีความหวังแม้เพียงน้อยนิด
“ไม่ว่าเกี่ยวหรือไม่ พวกเราต้องเตรียมป้องกันไว้ก่อน” จะโทษพวกอู๋ซานที่เคร่งเครียดเช่นนี้ไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงนักฆ่าอย่างพวกเขาต้องรับบาปที่ตนเองไม่ได้ก่อมานักต่อนักแล้ว
มีหลายเหตุการณ์ที่ไม่ใช่ฝีมือของพวกเขา แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าพวกเขาเป็นคนลงมือ เพราะอย่างไรมือสังหารที่ถูกผู้อื่นรังแกอย่างพวกเขาก็ไม่กล้าออกมาโต้แย้งใดๆ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นโคลนหรือเป็นน้ำสกปรกล้วนสาดใส่พวกเขาอย่างหน้าตาเฉย
“อย่างนั้นพวกเราสมควรทำอย่างไรดี” ทุกคนหันมองอู๋ซาน อู๋ซานมองอู๋ซือ
“ได้ยินว่าหน้าประตูที่ว่าการเมืองหลวงมีหีบใบใหญ่มากใบหนึ่ง มีไว้เพื่อให้ชาวบ้านเขียนหนังสือร้องเรียน” อู๋ซือนิ่งเงียบเนิ่นนาน “ผู้เฒ่าเตือนพวกเราแล้วไม่ใช่หรือ คุณชายที่รู้เรื่องราวของพวกเราที่หย่งโจวถูกจับตัวแล้ว หากพวกเราอยู่เมืองหลวงต่อย่อมไม่ปลอดภัย”
“ความหมายของเจ้าก็คือให้พวกเราเขียนหนังสือร้องเรียนที่ว่าการเมืองหลวงหรือ” อู๋ซานพูดอย่างกลัดกลุ้ม “แต่พวกเราไม่รู้ว่านายจ้างเป็นใคร”
“พวกเราไม่รู้ แต่ถ้าราชสำนักคิดจะสืบหา จะต้องสืบจนรู้ตัวผู้บงการเบื้องหลังได้แน่” อู๋ซือตบโต๊ะคราหนึ่ง “ยามนี้พวกเรารีบเก็บเงินทองของมีค่ากันก่อน พอฟ้าสว่างก็ไปจากที่นี่ทันที”
ทุกคนขบคิดครู่หนึ่ง ล้วนรู้สึกว่าเมืองหลวงไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัย จำต้องหนีออกไปโดยเร็ว
ยามอยู่ในรถม้าที่แล่นโคลงเคลงไปมา หนำซ้ำยังมีรัชทายาทเป็นเพื่อนคุยอยู่ไม่ห่าง ทำให้ฮวาหลิวหลีเริ่มง่วงงุน นางฝืนลืมตา เห็นรัชทายาทจ้องนางด้วยแววตาทอประกายร้อนแรงก็ยิ้มให้ “รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันง่วงนอน”
“ง่วงก็นอนเถิด” แม้รัชทายาทอยากคุยกับฮวาหลิวหลีหัวข้อ “กระทำความผิด” แต่เมื่อเห็นท่าทางอ่อนเพลียของนางแล้วก็มิอาจรบกวนนาง
ฮวาหลิวหลีค่อยๆ หลับตาลง ภายในรถม้าเงียบสงบ
ขณะที่รัชทายาทคิดว่าฮวาหลิวหลีหลับแล้ว เสียงของนางก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“รอให้แผลของหม่อมฉันหายดีแล้ว พวกเราค่อยคุยหัวข้อกระทำความผิดกันอีกครั้งนะเพคะ”
รัชทายาทก้มหน้าลงอย่างปีติ แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นนัยน์ตาหลับพริ้มของฮวาหลิวหลี หากไม่ใช่เพราะเมื่อครู่เขาได้ยินเสียงนางอย่างชัดเจน คงจะสงสัยว่าตนเองหูเฝื่อนเป็นแน่
“ได้
“ข้าจะรอ”
รถม้าแล่นยังไม่ถึงประตูวังหลวง รัชทายาทได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นอย่างรีบร้อนด้านนอก เขาเลิกผ้าม่านขึ้นดู เห็นแม่ทัพเว่ยและแม่ทัพฮวาขี่ม้าทะยานมาอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ขี่ม้าไล่ตามมาติดๆ ก็คือฮวาฉางคงพี่สามของฮวาหลิวหลี
“ถวายบังคมรัชทายาท” คนสกุลฮวาทั้งสามลงจากหลังอาชา คำนับรัชทายาท หากสายตากลับมองเข้าไปในรถม้า
“องค์หญิงหลับแล้ว” รัชทายาทกระโดดลงจากรถม้า กดเสียงต่ำ “นางเจ็บแผลมาก หลับไปจะได้ไม่รู้สึก”
เว่ยหมิงเย่ว์เดินมาเลิกผ้าม่านขึ้นอย่างเบามือ นางเห็นบุตรีนอนหลับสบายบนพรมขนสุนัขจิ้งจอกที่อ่อนนุ่ม แม้ใบหน้าซีดขาวไปสักหน่อย แต่ก็ไม่เห็นกลิ่นอายแห่งความตาย จึงวางใจลง
“ขอบพระทัยรัชทายาทที่ทรงดูแลบุตรีของหม่อมฉันเพคะ” เว่ยหมิงเย่ว์ทิ้งผ้าม่านลง ก่อนเดินมาคำนับรัชทายาท
“แม่ทัพเว่ยพูดหนักเกินไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะองค์หญิงช่วยเราไว้ นางจะบาดเจ็บเพียงนี้หรือ” รัชทายาทประคองเว่ยหมิงเย่ว์ไว้ “ถ้าจะขอบใจ เราสมควรพูดมากกว่า แม่ทัพทั้งสอง องค์หญิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องได้รับการบำรุงร่างกายอย่างดี เราเตรียมให้นางพักรักษาตัวในวังหลวง พวกท่านสามารถเข้ามาเยี่ยมนางได้ตลอดเวลา ไม่ทราบว่าพวกท่านคิดเห็นอย่างไร”
ฮวาอิ้งถิงไม่เอื้อนเอ่ย ได้แต่ลอบมองเว่ยหมิงเย่ว์ผาดหนึ่ง
“ขอบพระทัยในพระเมตตาของรัชทายาท อย่างนั้นรบกวนแล้วเพคะ” เว่ยหมิงเย่ว์มองภายในรถม้าที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่น้อย นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “บุตรีหม่อมฉันอายุยังน้อย ไม่ค่อยรู้ความ หากล่วงเกินสิ่งใด ขออย่าได้ทรงถือสาเพคะ”
“นั่นเป็นสิ่งที่เราสมควรทำ” รัชทายาทโล่งอก คนสกุลฮวายินดีให้เขาพาหลิวหลีเข้าวังเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดสำหรับเขา
“อย่างนั้นเราขอตัวก่อน อย่างไรนอนในรถม้าก็ไม่สบายเหมือนเตียงในวัง เราเกรงว่าองค์หญิงจะไม่สบายตัว”
“เพคะ…” สีหน้าของเว่ยหมิงเย่ว์พิกลเล็กน้อย ปล่อยให้รัชทายาทพาฮวาหลิวหลีเข้าวังไปโดยมิได้โต้แย้ง
…
“ท่านแม่ น้องเล็กบาดเจ็บถึงเพียงนี้ จะให้นางอยู่ในวังตามลำพังได้อย่างไร” ฮวาฉางคงพูดด้วยความเป็นห่วง “ลูกคิดว่าพวกเราสมควรดูแลนางเอง จึงจะวางใจมากกว่า”
“เจ้าคิดว่าหมอข้างนอกกับหมอในวัง ผู้ใดเก่งกว่ากัน”
“ย่อมต้องเป็นหมอในวัง” ฮวาฉางคงยังไม่เข้าใจ “ไม่ใช่สิท่านแม่ ถึงน้องเล็กจะอยู่ที่จวน แต่หมอหลวงก็มาตรวจดูอาการให้นางได้ ไม่เห็นต้องอยู่ในวัง”
“เจ้ายังหนุ่มแน่น ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวอีกมากมาย” ทั้งสามคนขี่ม้ากลับจวน ฮวาอิ้งถิงสับสนวุ่นวายใจ “วันนี้ฮ่องเต้ตรัสถึงเรื่องการสู่ขอหลิวหลีกับพ่อ”
“ฮ่องเต้ทรงพระดำริจะเป็นพ่อสื่อให้น้องเล็กหรือขอรับ” ฮวาฉางคงนิ่วหน้า “ทรงเป็นพ่อสื่อให้ผู้ใด”
ยามนี้บุรุษที่น้องเล็กชอบที่สุดก็คือรัชทายาท ถึงฮ่องเต้จะเป็นพ่อสื่อ น้องเล็กก็คงไม่มีทางตกลงแต่งให้ผู้อื่น
“รัชทายาท”
เว่ยหมิงเย่ว์และฮวาฉางคงนิ่งเงียบเนิ่นนาน ก่อนถอนหายใจหนักหน่วงพร้อมกัน “ไยถึงคิดไม่ตกเพียงนี้…”
“แค็กๆ จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ หลิวหลีของพวกเราหน้าตาดี สติปัญญาปราดเปรื่อง มีข้อดีตั้งมาก” ฮวาอิ้งถิงเป็นบิดาที่เข้าข้างบุตรีค่อนข้างมาก ยามนี้เขายังไม่ลืมที่จะช่วยพูดแก้ต่างให้บุตรี
“แต่น้องเล็ก นางเจ้าชู้…”
ฮวาอิ้งถิงไม่พูดต่อ เขาหันมองเว่ยหมิงเย่ว์ “ฮูหยิน เรื่องนี้จะทำอย่างไรดี”
“จะทำอันใดได้เล่า” เว่ยหมิงเย่ว์เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมีแสงรำไร “หากคนหนึ่งคิดจะแต่ง คนหนึ่งก็อยากแต่ง ก็แล้วแต่พวกเขาแล้วกัน”
“หากวันใด…”
“คนหน้าตาดี แก่เฒ่าแล้วก็ยังหน้าตาดีกว่าผู้เฒ่าคนอื่น พวกเจ้าต้องเชื่อมั่นในพระสิริโฉมของรัชทายาท” เว่ยหมิงเย่ว์เลยตามเลย “พวกเราสมควรคิดในแง่ดีเข้าไว้ว่ารัชทายาทอาจทำให้หลิวหลีหลงใหลไปตลอดชีวิตก็เป็นได้”
ฮวาอิ้งถิงและฮวาฉางคงมิกล้าพูด
“อย่างไรก็ตาม เป็นฮ่องเต้เองที่มีพระประสงค์จะให้หลิวหลีสมรสกับรัชทายาท ไม่ใช่ว่าพวกเราหาวิธีส่งบุตรสาวเข้าวังเสียหน่อย” เว่ยหมิงเย่ว์พรูลมหายใจ “ในเมื่อฮ่องเต้ทอดพระเนตรท่าทางอ่อนแอของหลิวหลีแล้ว แต่ยังทรงยืนกรานจะให้พวกเราสองสกุลดองกัน พวกเจ้าคิดว่าการเสกสมรสครานี้จะปฏิเสธได้ง่ายๆ หรือ”
คำพูดที่ประสงค์ดีมักจะปรามได้ยาก ฮ่องเต้และรัชทายาทมุ่งมั่นเช่นนี้ พวกเขายังจะมีวิธีใดอีก
พอฮวาหลิวหลีฟื้นก็เห็นหัวเตียงที่คุ้นตา นี่ไม่ใช่ห้องนอนที่จวนของนาง
“องค์หญิง ฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ” เหล่านางกำนัลกรูเข้ามา ที่ม้วนผ้าม่านก็ม้วนไป ที่ยกน้ำก็ยกไป ความกระตือรือร้นเหล่านี้ทำนางรู้สึกเหมือนตนเองกลับไปอยู่ที่จวน
นางยังไม่ทันกล่าว ไทเฮาก็เดินเข้ามาเร็วรี่ ยังพูดถึงความปวดใจและความห่วงใยฮวาหลิวหลีอยู่นาน ไทเฮายังคอยดูนางกำนัลป้อนอาหารบำรุงร่างกายให้ฮวาหลิวหลีแล้ว ค่อยจากไปอย่างวางใจ
“ยวนเหว่ย” ฮวาหลิวหลีเรียกยวนเหว่ย “เกิดอันใดขึ้น ไฉนข้าถึงอยู่ในวัง”
“องค์หญิง รัชทายาททรงห่วงท่าน จึงทรงรั้งท่านไว้ในวังหลวงเพื่อดูแลเป็นพิเศษเจ้าค่ะ” ยวนเหว่ยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฮวาหลิวหลีฟัง “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงที่จวนนะเจ้าคะ เมื่อคืนท่านแม่ทัพทั้งสองและคุณชายสามมาดูอาการท่านแล้ว”
ฮวาหลิวหลีดื่มน้ำและบ้วนปากจากถ้วยที่ยวนเหว่ยถืออยู่ แค่ขยับตัว แขนนางก็เจ็บแปลบจนต้องพึมพำว่า “เจ็บจริง”
“ยามนี้รู้จักเจ็บแล้วหรือเจ้าคะ” ยวนเหว่ยทั้งสงสารทั้งโมโห “รู้อยู่ว่าตนเองได้รับบาดเจ็บยังจะยื่นมือไปดึงรัชทายาทไว้ บ่าวเห็นท่านตกลงไปก็หัวใจแทบวายเจ้าค่ะ”
“ยวนเหว่ยคนดี ข้ารู้ว่าไม่สมควรทำให้พวกเจ้าเป็นห่วง แต่เหตุการณ์ยามนั้น ข้าจะปล่อยให้รัชทายาททรงตกเขาได้อย่างไร หากเกิดเรื่องขึ้นกับเขา แล้วข้าจะทำอย่างไร” ฮวาหลิวหลีหัวเราะเสียงขื่น “อย่าว่าแต่ข้าจะได้รับบาดเจ็บที่แขนเลย ถึงตัวถูกแทงจนพรุน ข้าก็ต้องกระโดดตามลงไปด้วย”
ยวนเหว่ยนิ่งเงียบอย่างเคร่งเครียด
คนสกุลฮวาเป็นอย่างนี้ทุกคนไม่ใช่หรือ เพื่ออาณาประชาราษฎร์ใต้หล้า เพื่อผู้นำแผ่นดินที่ทรงคุณธรรม แม้ต้องสละชีพ พวกเขาก็ไม่เคยนึกเสียใจภายหลัง
แม้การกระทำขององค์หญิงไม่คล้ายคนอื่นในสกุลฮวา แต่นางก็มีเลือดของคนสกุลฮวาไหลเวียนในกาย ดังนั้นสิ่งที่ฝังลึกในร่างนางก็ไม่ต่างกัน
ฮ่องเต้ชางหลงยืนฟังอยู่นอกห้อง สีหน้าตื้นตัน
เพราะองค์หญิงฝูโซ่วใช้ชีวิตช่วยโอรสของเขาไว้ ฮ่องเต้อย่างเขาจึงตั้งใจมาเยี่ยมนางที่ตำหนักโซ่วคังเป็นกรณีพิเศษ แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินบทสนทนาที่ฟังแล้วชวนประทับใจเช่นนี้
ถูกต้อง นี่ถึงจะเป็นทายาทสกุลฮวาที่จงรักภักดีต่อคนสกุลจี แม้ต้องแลกด้วยชีวิต พวกเขาก็ไม่เคยนึกเสียใจ
ตระกูลที่จงรักภักดีเช่นนี้ กลับมีคนวางแผนคิดจะเล่นงานพวกเขา มีคนที่คาดหวังว่าจะเห็นพวกเขาโชคร้าย เบื้องหน้าคนเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่าห่วงราชการงานเมือง แต่ความจริงแล้วริษยาคนสกุลฮวา คิดจะไล่ขุนนางผู้ภักดีออกไป เพื่อให้ขุนนางถ่อยเรืองอำนาจ!
แต่เขาเป็นฮ่องเต้ที่ตกหลุมพรางง่ายๆ เช่นนั้นหรือ
คนสกุลฮวาเก่งกาจ พวกเขาเคยอวดดีหรือไม่
ไม่เลย!
คนสกุลฮวามีชื่อเสียงและเป็นที่ยกย่องในหมู่ราษฎรมากโข แล้วพวกเขาเคยแสดงตัว วางท่าอวดเบ่งต่อหน้าชาวบ้านหรือไม่
ไม่เคย!
เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าคนสกุลฮวามักป่าวประกาศกับประชาชนอยู่เสมอว่า ฮ่องเต้อย่างเขาคนนี้เป็นเทพจื่อเวยจุติลงมา เพราะมีเทพจื่อเวยอย่างเขาคอยปกป้องคุ้มครอง ทุกคราที่ทำศึก คนสกุลฮวาจึงสามารถเล่นงานแคว้นจินพั่วได้ทุกครั้ง
เป็นขุนนางที่ดีเยี่ยม เป็นดรุณีที่ดีงาม
เด็กสาวที่ดีถึงเพียงนี้ หากไม่แต่งเป็นชายารัชทายาท ก็เท่ากับสกุลจีของเขาเสียหายอย่างใหญ่หลวง
“แน่นอนว่าพระพักตร์ของรัชทายาท…” ฮวาหลิวหลีชะงักทันใด ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนระโหยโรยแรงว่า “รัชทายาทเป็นพระโอรสที่ฮ่องเต้ทรงทุ่มเท ทรงอภิบาลจนเจริญพระชันษา หากเกิดเรื่องขึ้นกับรัชทายาท ฮ่องเต้จะต้องทรงเสียพระทัยเพียงใด
“ท่านพ่อท่านแม่ต่างก็คำนึงถึงแต่ฮ่องเต้ หากฮ่องเต้ต้องทรงเสียพระทัย พวกท่านทั้งสองก็ต้องเสียใจตามไปด้วย” ฮวาหลิวหลีฝืนยิ้มเข้มแข็ง “ไม่ว่าเพื่อฮ่องเต้หรือเพื่อท่านพ่อท่านแม่ ข้าก็มิอาจทนเห็นรัชทายาททรงบาดเจ็บ”
[1] หมายถึง ใช้ความใกล้ชิดเข้าหาย่อมได้เปรียบ