幼崽护养协会
ผมจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่อนุบาลสัตว์ เล่ม 1
酒矣 (Jiu Yi)
เขียน
ชาเย็น Lover
แปล
— โปรย —
คืนที่มีฝนดาวตก อุกกาบาตพุ่งชนสวนหลังบ้านของเซี่ยหลวน
เหตุการณ์ดังกล่าวนำพาเขาไปพบเจอโลกอีกแห่ง
การขอความช่วยเหลือทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่กำลังจะกอบกู้จักรวาล
ทว่า…ทำไมถึงส่งเขามาเป็นพี่เลี้ยงในสมาคมอนุบาลสัตว์สภาพซอมซ่อแบบนี้ล่ะ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 2 วันที่สองในฐานะพี่เลี้ยง
เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาแล้ว เซี่ยหลวนก็มองเห็นสภาพด้านในได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
แม้เนื้อที่ของสมาคมอนุบาลสัตว์แห่งนี้จะกว้างขวางมาก ทว่าก็โล่งมากเช่นกัน มีเพียงอาคารหลักไม่กี่หลัง ส่วนพื้นที่ว่างอื่น ๆ ราวกับถูกปล่อยทิ้งร้างไว้อย่างนั้น
ประตูเหล็กตรงทางเข้าขึ้นสนิมไปกว่าครึ่งบานแล้วก็ยังไม่เปลี่ยน ทั้งยังไม่มียามคอยเฝ้าหน้าประตูใหญ่ แปลงดอกไม้และสนามหญ้าข้างทางดูเหมือนไม่มีคนคอยตัดแต่งดูแลเป็นเวลานานแล้ว…เซี่ยหลวนเดินตรงไปทางที่คาดว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน ยิ่งเขาเดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่ในใจก็ยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นเท่านั้น
เขาไม่ได้คิดไปเอง สมาคมอนุบาลสัตว์แห่งนี้แค่มองก็เดาได้ว่ากิจการไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ถึงการให้เขามาเป็นพี่เลี้ยงที่นี่จะเป็นวิธีการกอบกู้โลกที่ถูกต้อง แต่ทำไมเซี่ยหลวนถึงรู้สึกว่าที่แห่งนี้มันเข้าขั้นวิกฤตจนจะปิดตัวลงได้ทุกเมื่อกันนะ
ไม่รู้ละ ยังไงก็สมัครไปก่อนแล้วกัน
เซี่ยหลวนสลัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวออก เขาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม้ที่ติดป้ายว่าห้องสำนักงาน จากนั้นจึงยกมือขวาเคาะประตูสองทีด้วยแรงที่พอดิบพอดี
ก๊อก ๆ
หลังจากเสียงเคาะประตูดังขึ้น ใช้เวลาประมาณสามสี่วินาทีจึงมีเสียงตอบรับแฝงความลังเลเล็กน้อยดังออกมาจากในห้องทำงาน “เชิญเข้ามาค่ะ”
เซี่ยหลวนจึงบิดลูกบิดประตูแล้วเปิดเดินเข้าไป
มนุษย์งั้นเหรอ…
ครั้นเห็นชายหนุ่มที่เป็นมนุษย์เดินเข้ามา เด็กสาวที่นั่งทำบัญชีรายรับรายจ่ายของเดือนนี้อยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงานก็ตะลึงงันอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการยืนขึ้นสอบถามอย่างสุภาพว่า “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณมาที่นี่มีอะไรหรือเปล่า…”
เด็กสาววัยรุ่นที่เอ่ยถามชายหนุ่มจัดว่าหน้าตาอ่อนเยาว์สะสวยทีเดียว บนหัวของเธอมีหนวดเล็ก ๆ สองเส้น บางครั้งตอนที่เธอพูดหนวดเล็ก ๆ นี้ก็จะแกว่งไปมาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านัยน์ตาของเด็กสาวเป็นรูม่านตาแนวตั้ง[1]
แม้เซี่ยหลวนจะได้เห็นเผ่าพันธุ์อมนุษย์ระหว่างที่ลูกไฟสีทองนำทางมาถึงที่แห่งนี้มากมาย แต่การได้สัมผัสพูดคุยกับเผ่าพันธุ์จากนอกโลกอย่างใกล้ชิดเช่นนี้ยังเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่เกินไป ทำให้ในตอนนี้อารมณ์ของเขาออกจะปั่นป่วนอยู่บ้าง
หากไม่นับเรื่องที่ถูกบังคับให้ข้ามมิติมาแล้วละก็ จากมุมมองของศิลปินอย่างเซี่ยหลวน อันที่จริงเขาก็รู้สึกว่าการได้รับประสบการณ์แบบนี้น่าสนใจมากทีเดียว ประสบการณ์อันแปลกใหม่กระตุ้นแรงบันดาลใจในตัวเขาให้ลุกโชนขึ้นได้ไม่น้อย
“มาสมัครงานครับ” เซี่ยหลวนตอบ พร้อมกับนำกระดาษที่เขาแกะมาจากบานประตูเหล็กวางลงบนโต๊ะทำงานด้านหน้า “ผมเห็นประกาศรับสมัครแผ่นนี้แปะอยู่ที่หน้าประตู”
เด็กสาวไม่คาดว่าจะได้รับคำตอบนี้จากอีกฝ่าย หนวดบนหัวของเธอจึงพลันสั่นไหว สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ประกาศรับสมัครแผ่นนี้แปะอยู่หน้าประตูมาหลายเดือนแล้ว และแน่นอนว่ามันก็ถูกติดไว้ตามท้องถนนด้วยเช่นกัน แต่สองสามเดือนมานี้ไม่มีใครมาสมัครแม้แต่คนเดียว ความจริงแล้วเธอกับประธานสมาคมก็ไม่ได้คาดหวังเรื่องคนมาสมัครอะไรมากอยู่แล้ว
หากเงินเดือนสูงย่อมไม่ต้องกังวลเรื่องหาคนมาสมัครไม่ได้ แต่ปัญหาคือสมาคมของพวกเธอไม่มีเงิน! ค่าจ้างเดือนละหนึ่งพันแปดร้อยหน่วยเครดิต ส่วนเงินพิเศษอย่างโบนัสปลายปีพวกนั้น…ไม่มีให้หรอก ข้อดีเพียงอย่างเดียวก็คงมีแค่กินอยู่ฟรีเท่านั้น
คนทั่วไปสุ่ม ๆ หางานอื่นยังได้เงินเดือนมากกว่าที่นี่อีก แล้วการเป็นพี่เลี้ยงเป็นงานที่หนักเอาเรื่อง อยากจะหาพนักงานใหม่สักคนจึงยากเสียยิ่งกว่ายาก
ในที่สุดตอนนี้ก็มีคนมาสมัครเสียที เซี่ยฉีย่อมดีใจมากอยู่แล้ว ทว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นมนุษย์…เท่าที่เธอรู้มา ทั้งอวกาศคงไม่มีสมาคมอนุบาลสัตว์สาขาไหนจ้างมนุษย์เป็นพี่เลี้ยงหรอก
นี่ไม่ใช่ว่าอคติอะไรกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เป็นการมองความจริงตามหลักเหตุผลต่างหาก
เมื่อปลดอาวุธพิเศษออก มนุษย์ล้วนเป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอ แทบทุกเผ่าพันธุ์ในอวกาศยกเว้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างมีความเห็นตรงกันในเรื่องนี้
ต่อให้เผชิญหน้ากับลูกสัตว์จากเผ่าพันธุ์อื่น แต่สำหรับมนุษย์แล้วเรื่องนี้ก็ยังค่อนข้างอันตรายอยู่ดี ดังนั้นโดยปกติสมาคมอนุบาลสัตว์จะไม่รับมนุษย์มาเป็นพี่เลี้ยง และปกติก็ไม่มีมนุษย์คนไหนคิดมาสมัครเป็นพี่เลี้ยงที่สมาคมอนุบาลสัตว์ด้วย
“ฉันขอไปเรียกประธานสมาคมก่อน รบกวนรอที่นี่สักครู่นะคะ” เซี่ยฉีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบกลับอย่างหนักแน่น เธอเป็นเพียงพนักงานธรรมดาคนหนึ่งของที่นี่ เรื่องการรับสมัครพนักงานใหม่ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะตัดสินใจได้
“ครับ” เซี่ยหลวนพยักหน้า
หลังจากเธอเดินไปแล้ว เซี่ยหลวนก็ยกมือจิ้มลูกไฟสีทองที่ลอยอยู่ข้าง ๆ ตัวเขา คนอื่น ๆ มองไม่เห็นลูกไฟดวงนี้ เซี่ยหลวนยืนยันในข้อนี้ได้ระหว่างทางก่อนหน้านี้
เซี่ยฉีไม่ปล่อยให้เซี่ยหลวนต้องรอนาน เธอกลับมาพร้อมกับพาคุณปู่ผมขาวโพลนท่านหนึ่งมาด้วย ชายชราท่านนี้มีหนวดอยู่บนหัวเหมือนกับเซี่ยฉี ซึ่งนี่เป็นลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์เซบิยา
นอกจากหนวดกับรูม่านตาแนวตั้ง รูปลักษณ์ภายนอกของเผ่าพันธุ์เซบิยาเรียกได้ว่าคล้ายคลึงกับมนุษย์มาก แถมหน้าตายังค่อนไปทางชาวตะวันออก แม้แต่รูปแบบการตั้งชื่อยังใกล้เคียงกัน…ทว่าในด้านสมรรถภาพร่างกาย ทั้งสองเผ่าพันธุ์นี้ต่างกันลิบลับ
“ได้ยินเสี่ยวฉีบอกว่า เธออยากมาสมัครเป็นพี่เลี้ยงที่นี่ คิดดีแล้วเหรอ” ประธานสมาคมประเมินมนุษย์หนุ่มตรงหน้าแวบหนึ่งค่อยเอ่ยว่า “รายละเอียดเงินเดือนก็คือตัวเลขที่เขียนอยู่บนประกาศรับสมัคร ไม่มีสวัสดิการพิเศษอื่นนะ”
ที่ทำการของสหพันธ์ดาวโลกอยู่ไกลจากดาวเคราะห์ดวงนี้มาก จึงไม่ค่อยพบเห็นมนุษย์ที่เดินทางมาไกลถึงดาวไกอา ปกติแล้วมนุษย์ที่มายังดาวดวงนี้ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ แต่ในเมื่อชายหนุ่มตรงหน้ามาสมัครเป็นพี่เลี้ยง เห็นได้ชัดว่าคงไม่ใช่อย่างที่กล่าวมา
เซี่ยหลวนพยักหน้าตอบรับแล้วเอ่ยเสริมว่า “แค่กินฟรีอยู่ฟรีก็ดีมากแล้วครับ ผมจะตั้งใจทำงาน”
เซี่ยหลวนไม่ได้ฝืนใจพูดประโยคนี้เลยสักนิด เขาถูกไล่ขึ้นคอนข้ามมิติมายังโลกฝั่งนี้ ตอนนี้สถานการณ์คือเขาไม่มีเงินติดตัวเลยสักแดงเดียว ยากจนข้นแค้นอย่างที่สุด
ถ้างานนี้ไม่กินฟรีอยู่ฟรีละก็ เซี่ยหลวนคิดว่าวันนี้ตัวเองคงได้นอนข้างถนนแน่ พานให้ผู้ที่ได้ยินเศร้าใจ ผู้ที่พบเห็นน้ำตาไหลได้ง่าย ๆ…
คำพูดนี้ของเซี่ยหลวนเท่ากับบอกให้ทั้งสองคนรับรู้ถึงสถานการณ์ตอนนี้ของเขา ทั้งสองต่างเข้าใจความหมายในคำพูดของเขาตามคาด สีหน้าของทั้งคู่จึงแฝงความเข้าใจขึ้นมาหลายส่วนทันที
ประธานสมาคมพอจะเข้าใจสถานการณ์ของชายหนุ่มคร่าว ๆ แล้ว เนื่องจากทางสมาคมอนุบาลสัตว์ขาดแคลนคนจริง ๆ ประธานสมาคมจึงไม่ได้ถามอะไรมาก หลังจากสอบถามชื่อแซ่แบบง่าย ๆ แล้วก็นำสัญญามาให้เซี่ยหลวนเซ็น
เมื่อเซี่ยหลวนเซ็นสัญญาเรียบร้อย เด็กสาววัยรุ่นที่นั่งมองอยู่เงียบ ๆ ทางด้านข้างมาโดยตลอดก็เผยยิ้มกว้าง “งั้นต่อไปพวกเราก็เป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้วนะ นายเรียกฉันว่าเสี่ยวฉีเหมือนที่ประธานสมาคมเรียกก็ได้ ห้องพักพนักงานคือห้องซ้ายสุด เดี๋ยวฉันพานายไปหาห้องว่างแล้วเก็บกวาดกันสักหน่อย วันนี้นายก็เข้าอยู่ได้เลย”
“อืม ขอบคุณนะ” ดวงตาของเซี่ยหลวนหยักโค้งเล็กน้อย เอ่ยขอบคุณด้วยความจริงใจ
ชายหนุ่มเป็นคนหน้าตาดี ยามดวงตาของเขาหยักโค้งจึงมักให้ความรู้สึกอ่อนโยนที่เข้าไปถึงข้างในจิตใจคนได้ คำขอบคุณเลยยิ่งดูจริงใจขึ้น
ก่อนไปห้องพักพนักงาน เซี่ยฉีกับประธานสมาคมพาชายหนุ่มไปทำความคุ้นเคยกับสถานที่ทำงานเสียก่อน และถือโอกาสบอกรายละเอียดงานในแต่ละวันให้อีกฝ่ายฟังไปด้วย สถานที่ทำงานประจำวันของพี่เลี้ยงอยู่ติดกับห้องพักพนักงาน เดินผ่านไปอย่างนี้ก็เป็นทางผ่านพอดี
สถานที่ทำงานที่ตั้งอยู่ด้านข้างเป็นอาคารหลังใหญ่สุดตรงกลางซึ่งก็คือสถานที่ที่ต้องดูแลลูกสัตว์ ด้านหน้าอาคารมีลานขนาดใหญ่ ลานนี้เป็นสถานที่ทำกิจกรรมกลางแจ้งตามปกติของเหล่าลูกสัตว์
แม้ว่าจะไม่มีการจัดตกแต่งอะไรในลานมากนัก แค่ปลูกต้นไม้และดอกไม้เพียงเล็กน้อย ด้านข้างมีภูเขาจำลองสองสามลูก แม้ห่างไกลจากคำว่าแปลกใหม่อยู่มาก แต่ดูท่าว่าบริเวณนี้มีคนดูแลอยู่
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลากิจกรรมจึงไม่เห็นลูกสัตว์ในลาน ทว่าตอนที่กลุ่มของเซี่ยหลวนเพิ่งเดินเข้าไปในลานนั้น ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าหวาดกลัวดังขึ้น และในเวลาเดียวกันยังมีเสียงขู่คำรามแหบแห้งดังขึ้นระลอกหนึ่งด้วย
เสียงกรีดร้องนั้นดังมาจากพี่เลี้ยงรายหนึ่งซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเซี่ยฉี เขาคือชายโตเต็มวัย เวลานี้กำลังวิ่งโร่มาข้างหน้าสุดชีวิตด้วยความตกใจจนหน้าซีดเผือด พอเห็นกลุ่มของเซี่ยหลวนจากที่ไกล ๆ ก็พลันตะโกนเสียงดังราวกับได้เจอผู้ช่วยชีวิต “ชะ…ช่วยฉันด้วย…!”
ตัวที่ไล่หลังอีกฝ่ายมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ซึ่งมีรูปร่างใหญ่ยักษ์ ร่างกายเย็นเยียบและแข็งแรง กรงเล็บคมกริบยิ่งกว่าคมมีดซึ่งมีพลังโจมตีที่รุนแรงอย่างชัดเจน ปลายแหลมคมที่ยื่นออกมาจากลำตัวอีกฝ่ายแทงลึกลงไปที่พื้น ปลายแหลมคมเหล่านี้สามารถแทงร่างของเหยื่ออย่างง่ายดายจนจบชีวิตได้ในครั้งเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย
นัยน์ตาเรียวรีสีแดงฉานโหดเหี้ยมดุร้ายไร้ซึ่งความรู้สึก สิ่งมีชีวิตอันตรายที่รูปลักษณ์ภายนอกน่าสะพรึงกลัวตัวนี้กำลังไล่โจมตีคนที่วิ่งหนีด้วยความเร็วสูงสุด เสมือนเห็นชายคนนั้นเป็นเหยื่อที่ต้องฉีกทึ้งเป็นชิ้น ๆ นัยน์ตาเรียวรีที่จดจ้องร่างของชายเผ่าเซบิยาหรี่ลงจนแทบจะเป็นเส้นตรง
ชายคนนั้นไม่สนว่าคนอื่นจะโดนลูกหลงหรือไม่ หลังจากเห็นสองสามคนที่เดินเข้ามาในลานก็วิ่งมาทางพวกเขาทันที
“แย่แล้ว ลูกสัตว์ตัวนี้คือ…” ต่อให้เป็นพี่เลี้ยงมาเกือบห้าปีแล้ว เหตุการณ์ตรงหน้าก็ยังทำให้เซี่ยฉีรู้สึกลนลาน
นี่มันลูกสัตว์ของเผ่าพันธุ์มูกะ…เพราะมันค่อนข้างด้อยสติปัญญาจึงไม่เข้าใจอะไรเลยนอกจากการต่อสู้ และไม่อาจกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เผ่ามูกะจึงถูกเข้าใจว่าเป็นเผ่าพันธุ์ระดับต่ำในอวกาศ
ทว่าเผ่าพันธุ์นี้มีพลังต่อสู้และพลังการเอาตัวรอดที่แข็งแกร่งมาก ร่างกายของพวกมันเป็นอาวุธที่ทั้งแหลมคมและเย็นเยียบ ฉะนั้นเวลาต่อสู้จึงโหดเหี้ยมทารุณ หากเทียบเฉพาะความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิด เกรงว่าจะไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนในอวกาศเทียบเผ่ามูกะได้
และต่อให้เป็นเพียงลูกสัตว์ เบบี๋มูกะตัวเดียวก็มีพลังต่อสู้ล้นเหลือแล้ว
ลูกสัตว์? แม้จะผิดเวลา ทว่าตอนนี้เซี่ยหลวนอดหางตากระตุกเล็กน้อยไม่ได้
เพิ่งเป็นลูกสัตว์ก็โตขนาดนี้แล้ว??
แต่เพียงครู่เดียวเซี่ยหลวนก็ไม่มีเวลามาสงสัย
“รีบหนีเร็ว!” เซี่ยฉีหน้าถอดสีเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมงานพาเบบี๋มูกะที่คลุ้มคลั่งมาทางพวกตน
ตอนนี้ลูกมูกะตัวนี้อายุหกเดือนแล้ว และหกเดือนที่ผ่านมามันก็สงบนิ่งมาโดยตลอด เซี่ยฉีจึงไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ มันถึงได้แสดงท่าทีก้าวร้าว
แต่พวกเธอรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ไม่ไหว ตอนนี้จึงได้แต่วิ่งหนีก่อน รอให้อารมณ์ของลูกมูกะตัวนี้สงบลงสักหน่อยถึงค่อยคิดเข้าใกล้ ถ้าเผชิญหน้าในตอนนี้ละก็ได้เกิดเรื่องแน่
ในฐานะที่เป็นชาวเซบิยา เซี่ยฉีรู้เพียงว่าเมื่อมนุษย์ปราศจากอาวุธก็จะไม่มีพลังต่อสู้มากนัก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าแม้แต่ความสามารถในการวิ่งก็ยังเป็นศูนย์
ความจริงเซี่ยหลวนได้งัดความเร็วในการพุ่งสุดตัวร้อยเมตรที่ไม่ได้ใช้มาหลายปีออกมาใช้วิ่งตามอีกฝ่ายไปพร้อมกันแล้ว แต่ด้วยฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ความเร็วระดับนี้ถึงขีดจำกัดความพยายามของเขาแล้ว ดังนั้นเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์ต่างดาวที่สมรรถภาพทางกายสูงกว่าราวกับมีสูตรโกง เขาจึงช้ากว่าอย่างเห็นได้ชัดก็เท่านั้น
ไม่นานเขาจึงรั้งท้าย เซี่ยหลวนได้ยินเสียงคำรามต่ำๆจากทางด้านหลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เหงื่อซึมออกมาข้างขมับเขาเล็กน้อย หัวใจเต้นตึก ๆ ตัก ๆ อยู่ภายในทรวงอก ที่ใจเต้นแรงไม่ใช่แค่เพราะตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย แต่เป็นเพราะการออกกำลังอันหนักหน่วงอีกด้วย
เดิมทีเซี่ยหลวนก็วิ่งไม่ไหวอยู่แล้ว ไม่ทันไรเสียงลมก็พัดเฉียดมาสายหนึ่ง เขาล้มคะมำลงกับพื้นสนามหญ้าโดยไม่ทันระวัง จึงร้องด้วยความเจ็บปวดทันที
อีกหนึ่งวินาทีต่อมา เบบี๋มูกะที่ไล่หลังมาก็กระโจนใส่เขา กักขังไว้จนไม่เหลือหนทางหนี
แม้ว่าตอนแรกเป้าหมายที่ไล่ตามจะไม่ใช่ชายหนุ่ม แต่ลูกสัตว์ที่ถูกยั่วยุให้โมโห เมื่อไล่ตามชายหนุ่มที่อยู่รั้งท้ายทั้งยังล้มหน้าคะมำอีก มันจึงกระโจนเข้าใส่อย่างไม่ลังเลเลยสักนิดเดียว
เมื่อเซี่ยหลวนถูกกรงเล็บแหลมคมราวกับคมมีดตรึงกับพื้น เขาก็สบเข้ากับนัยน์ตาเรียวรีสีแดงฉานที่เยือกเย็นเหี้ยมเกรียมคู่นั้น วินาทีที่สบตากัน เซี่ยหลวนได้ยินเสียงขู่คำรามต่ำๆของสิ่งมีชีวิตที่ชวนให้หวาดกลัวได้ง่ายจากการเห็นรูปลักษณ์ภายนอก
เซี่ยหลวน “…” ตายแน่แล้ว
เห็นคอและศีรษะของชายหนุ่มที่ถูกตรึงไว้กับพื้นพร้อมจะหลุดออกจากกันในทุกนาที คนกลุ่มนั้นที่หันกลับมาเห็นภาพนี้เข้าหัวใจก็ตกลงไปถึงตาตุ่ม
ไม่จริงใช่ไหม เพิ่งจะเซ็นสัญญาไป เพื่อนร่วมงานใหม่คนนี้ก็ต้องจบชีวิตลงแล้วงั้นเหรอ…!
เซี่ยฉีร้อนใจเป็นที่สุด แต่ก็ไร้หนทางช่วย เธอเห็นชายหนุ่มถูกลูกมูกะตรึงคอไว้ก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ได้แต่พยายามแสดงให้ลูกมูกะเห็นว่าเธอไม่ได้ประสงค์ร้าย และพยายามสื่อสารให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าอย่าทำร้ายคน
แต่การกระทำนั้นราวกับไร้ผล ไม่ส่งผลใด ๆ กับลูกมูกะเลย มันยังคงส่งเสียงครืดคราดคำรามต่ำเป็นการขู่ขวัญ รูม่านตาเรียวรีหดเกร็ง โดยเฉพาะเมื่อเห็นร่างของใครบางคนที่กลัวหัวหดอยู่ด้านหลังสุด ความก้าวร้าวของลูกมูกะก็ยิ่งแสดงชัด
เซี่ยฉีคงสังเกตเห็นจุดนี้แล้ว เลยได้แต่กัดฟันเตรียมจะเข้าไปช่วยอย่างดึงดัน แต่ขณะที่เพิ่งก้าวมาด้านหน้าได้เพียงหนึ่งก้าว ก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
“อย่าเข้ามา”
เซี่ยหลวนกลืนน้ำลายอึก ๆ อยู่สองสามครั้ง หัวใจเต้นช้าลงแล้ว ลมหายใจที่ถี่กระชั้นจากการวิ่งอันหนักหน่วงเมื่อครู่นี้ก็ค่อยสม่ำเสมอขึ้นมานิดหน่อย จึงพูดว่า “พวกคุณถอยออกไปหน่อย…”
เซี่ยหลวนพูดอย่างนี้ใช่ว่าไม่มีเหตุผล เขาสังเกตเห็นแล้วว่าความจริงสายตาอาฆาตของลูกมูกะพุ่งเป้าไปทางพี่เลี้ยงที่หัวหดอยู่ด้านหลังคนนั้นมากกว่า แต่หากคนอื่น ๆ เข้ามาใกล้ในสถานการณ์ที่ลูกสัตว์กระโจนใส่เขาแบบนี้แล้ว ก็รังแต่จะเป็นการยั่วโมโหมันเข้าไปใหญ่
ในเมื่ออีกฝ่ายกระโจนใส่เขาแล้วไม่ได้หั่นคอเขาขาดสะบั้นในทันที เขาก็เริ่มใจเย็นลง เซี่ยหลวนคิดว่าเรื่องนี้ยังมีทางให้แก้ไขอยู่ไม่น้อย
รอจนคนอื่น ๆ ถอยไปแล้ว เซี่ยหลวนก็เผชิญหน้ากับนัยน์ตาเรียวรีสีแดงฉานที่จ้องมองตนอยู่ เซี่ยหลวนตั้งใจสบตาสิ่งมีชีวิตอันตรายที่รูปลักษณ์ภายนอกดูน่าพรั่นพรึง
การกระทำนี้ไม่ใช่การดวลความทรงพลังอะไร เซี่ยหลวนยกมือขวาที่ยังขยับได้อิสระขึ้นมาโดยไม่ละสายตาจากนัยน์ตาสีแดงฉานคู่นั้น สัมผัสกับความแหลมคมที่ตรึงอยู่ด้านข้างลำคอเขาด้วยความระมัดระวัง แล้วลูบไปที่ด้านบนแผ่วเบา “เด็กดี…”
แทนที่จะบอกว่าเป็นการปลอบโยน สู้เรียกว่าเป็นการกล่อมเสียยังจะดีกว่า ขณะทำเรื่องทั้งหมดนี้ เซี่ยหลวนก็ไม่ได้ละสายตาไปไหน ยังคงจ้องตากับลูกมูกะอยู่ตลอด
เมื่อถูกชายหนุ่มกล่อมแบบนี้ สิ่งมีชีวิตอันตรายคล้ายกับหยุดทุกการกระทำไปในชั่วพริบตา รูม่านตาในนัยน์ตาสีแดงฉานที่หดเกร็งผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ดูแล้วยังคงฉายแววดุดันอยู่มาก
“เด็กน้อย เป็นเด็กดีนะ” เซี่ยหลวนยังคงใช้น้ำเสียงอ่อนโยนกล่อมเบา ๆ ไปเรื่อย ๆ มือของเขาสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือก ความแหลมคมที่สัมผัสคล้ายคมมีดจริง แค่มองด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าอันตรายมาก แต่เซี่ยหลวนไม่กลัวที่จะสัมผัสมัน ยังคงปลอบโยนมันต่อไป
ไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะดูน่ากลัวหรือไม่ แต่มันก็เป็นเพียงลูกสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น
และยังเป็นเพียงลูกสัตว์อายุหกเดือน จะไม่รู้ภาษาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ต่อให้ไม่รู้ภาษา เมื่อได้รับการปฏิบัติด้วยความอ่อนโยนก็จะมีความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมาเช่นกัน
ลูกมูกะถูกกล่อมเบา ๆ อย่างนี้ครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือการกระทำล้วนแสดงถึงความอบอุ่นของชายหนุ่ม ทำให้ลูกสัตว์ที่เพิ่งกระโจนใส่ชายหนุ่มค่อย ๆ ลดอาการก้าวร้าวของตัวเองลง
มันไม่เข้าใจว่าคำว่า ‘เด็กน้อย เป็นเด็กดี’ หมายถึงอะไร และเพิ่งได้ยินคำเหล่านี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ลูกมูกะจึงเพียงส่งเสียงตอบรับจากลำคอตามสัญชาตญาณ
เสียงนี้ยังคงเป็นเสียงครืดคราดแหบแห้งดังเดิม แต่ไม่ได้แสดงถึงการข่มขู่ เป็นแค่การตอบรับอย่างใสซื่อเท่านั้น
แม้ลูกมูกะขยับขาหน้าแหลมคมออกจากข้างลำคอของชายหนุ่ม แต่ก็ไม่ได้ขยับไปไกลนัก ลูกมูกะยังจ้องมือขวาของชายหนุ่มไม่วางตา
เพราะตัวของมันเย็นเฉียบ แต่อุณหภูมิจากฝ่ามือของชายหนุ่มดูจะอบอุ่นเป็นพิเศษ ความจริงแล้วลูกมูกะชอบความรู้สึกอบอุ่นที่มันเคยสัมผัสมาไม่กี่ครั้งนับแต่จำความได้มาก ๆ
วัตถุแหลมคมที่ตรึงตรงซอกคอของเขาเคลื่อนออกไปในที่สุด เซี่ยหลวนที่ตัวแข็งเกร็งเล็กน้อยในตอนแรกผ่อนคลายลงอย่างเต็มที่ในเวลานี้
เขาอธิบายเหตุผลไม่ได้ว่าทำไม ทว่าตั้งแต่เริ่มอ้าปากกล่อมลูกสัตว์ตัวนี้เมื่อครู่ ลึก ๆ ในใจของเซี่ยหลวนไม่ได้หวาดกลัวลูกสัตว์ตัวนี้แล้ว และตอนนี้มือของเขาถูกจ้องมองอยู่ เซี่ยหลวนที่เรียนรู้เทคนิคการกล่อมลูกสัตว์ด้วยตัวเองเข้าใจแทบจะในทันที เขายกมือขึ้นลูบตัวของลูกมูกะอย่างเป็นธรรมชาติอีกหน
เซี่ยหลวนลูบไปไม่เท่าไหร่ก็เริ่มรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวก “แค็ก ๆ…”
ว่ากันตามจริง ลูกสัตว์ขนาดใหญ่ที่กระโจนใส่เขาตัวนี้… หนักมากจริง ๆ
เวลานี้ลูกสัตว์ตัวใหญ่ที่กดทับร่างของชายหนุ่มทั้งตัวราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง ไม่ต้องรอให้เซี่ยหลวนเอ่ยอะไรอีก มันก็ค่อย ๆ ขยับตัวออกขณะที่นัยน์ตาเรียวรียังคงจ้องมองชายหนุ่มอย่างไม่ลดละ
มันอยู่ในสภาวะพร้อมรบแล้ว แต่ดันยอมปล่อยเหยื่อที่ตัวเองกระโจนใส่เสียอย่างนั้น…พอเห็นว่าสถานการณ์กลับตาลปัตรไปหมด ทั้งสามคนที่กำลังปาดเหงื่อเย็น ๆ จากที่ไกลในเวลานี้ต่างยืนอึ้งอยู่กับที่ไปตาม ๆ กัน
และพอเห็นสถานการณ์ที่ดำเนินต่อไปอีก พวกเขาก็ปากอ้าตาค้างเข้าให้จริง ๆ
หลังจากลุกยืนขึ้นจากพื้นหญ้า เซี่ยหลวนไม่ได้มีทีท่าว่าจะหนีแต่อย่างใด เพียงแค่ยืนใช้มือควานในกระเป๋าเสื้อตัวเองอยู่ที่เดิม เขาจำได้ว่าในนั้นมีลูกอมรสนมอยู่เม็ดหนึ่ง
นี่เป็นนิสัยส่วนบุคคล เซี่ยหลวนรู้สึกว่าการกินของหวานระหว่างวาดรูปนั้นค่อนข้างจะช่วยเรื่องแรงบันดาลใจ ฉะนั้นจึงมักมีลูกอมติดตัวไว้สองสามเม็ดเสมอ
หลังจากแกะห่อลูกอมแล้วก็ไม่ได้เอาลูกอมเม็ดนั้นเข้าปากตัวเอง แต่เขย่งเท้าแล้วชูมือขึ้นสูงเพื่อป้อนลูกอมรสนมให้ลูกสัตว์ตัวใหญ่ตรงหน้า
เมื่อกล่อมสำเร็จก็ต้องให้รางวัลสักหน่อย แม้ลูกสัตว์ที่กล่อมในตอนนี้จะไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่เซี่ยหลวนรู้สึกว่าหลักการนี้คงใช้ได้เหมือนกัน
“นี่เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ฉันมีติดตัว” ครั้นเห็นว่าพอลูกสัตว์เห็นลูกอมแล้วฟันแหลมคมของมันยังคงสบกันอย่างแรงด้วยสีหน้าเช่นเดิม เซี่ยหลวนเลยป้อนลูกอมในมือใส่ปากลูกมูกะตรงหน้า เมื่อป้อนเสร็จยังเยาะเย้ยตัวเองไปหนึ่งประโยค
เซี่ยหลวนไม่ได้พูดโกหก ตอนนี้นอกจากลูกอมรสนมเม็ดนี้ที่ติดตัวเขามาแล้ว ก็ไม่ได้หยิบของอื่น ๆ มาด้วยเลยจริง ๆ ลูกอมรสนมเม็ดนี้มากสุดก็ขนาดเท่าปลายนิ้วหัวแม่มือ เซี่ยหลวนจึงรู้สึกผิดไม่น้อยที่เอามันมากล่อมลูกสัตว์
ขี้เหนียวเกินไปแล้วจริง ๆ…
ลูกอมรสนมเม็ดเดียวสำหรับลูกมูกะนั้นเล็กเกินไป แม้แต่จะยัดซอกฟันยังไม่พอ ทีแรกมันอยากจะกลืนลูกอมเข้าไปเลย แต่ด้วยรสชาติหวานๆที่ค่อย ๆ แผ่ซ่านออกมาช้าๆทำให้มันตัดใจกลืนไม่ลง
“ชอบเหรอ” เมื่อเห็นว่าเบบี๋มูกะไม่ได้แสดงท่าทีก้าวร้าวรุนแรงออกมาอีก กระทั่งเรียกได้ว่าค่อย ๆ ทำตัวนิ่งได้บ้างแล้ว เซี่ยหลวนจึงเผยรอยยิ้มบาง
คงไม่ใช่ว่าลูกสัตว์ตัวนี้เพิ่งกินลูกอมเป็นครั้งแรกหรอกนะ เซี่ยหลวนนึกไปถึงสภาพกิจการของสมาคมอนุบาลสัตว์แห่งนี้ที่เขาสังเกตเห็นตั้งแต่เดินเข้าประตูใหญ่มา ก็อดคิดแบบนี้ไม่ได้
เดิมทีลูกมูกะกำลังลิ้มรสความหวานอย่างละเมียดละไมโดยไม่ขยับเขยื้อน พอได้ยินเสียงชายหนุ่มก็ไล่สายตาไปมองอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
สิ่งใดงดงาม สิ่งใดอัปลักษณ์ เผ่าพันธุ์ระดับต่ำที่ด้อยสติปัญญาไม่สามารถแยกแยะได้
ทว่ารอยยิ้มอ่อนโยนละมุนละไมบนใบหน้าของชายหนุ่มกับประกายระยับในดวงตาของอีกฝ่ายในเวลานี้ที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตาเรียวรีสีแดงฉานของลูกสัตว์กลับดูระยิบระยับสวยงามมาก ดึงดูดให้มันเข้ามาใกล้
ลูกสัตว์ตัวใหญ่ไม่รู้ว่าต้องคลอเคลียใกล้ชิดชายหนุ่มแบบไหน แต่สุดท้ายก็ก้มหัวลงซบอกของอีกฝ่ายแผ่วเบา
อุณหภูมิร่างกายอันอบอุ่นของชายหนุ่มเหมือนตอนมันเพิ่งฟักออกมา ความอบอุ่นแบบที่หลงเหลืออยู่บนเปลือกไข่ทำให้ลูกมูกะรู้สึกปลอดภัย ดังนั้นยามซบในอ้อมอกของชายหนุ่ม มันจึงส่งเสียงครางต่ำออกมาเบา ๆ
เมื่อครู่ยังเป็นสิ่งมีชีวิตอันตรายท่าทางโหดเหี้ยมคลุ้มคลั่งอยู่เลย บัดนี้กลับก้มหัวให้กับชายหนุ่ม แสดงความใกล้ชิด เสมือนเด็กดีที่เชื่อฟังผู้ปกครองตัวหนึ่ง แม้รูปลักษณ์ภายนอกยังดูอันตรายน่าสะพรึงกลัว ทว่าลูกมูกะที่อยู่ข้างตัวชายหนุ่มกลับให้ความรู้สึกเชื่อง
สวรรค์ย่อมรู้ดี คำว่า ‘เชื่อง’ คำนี้จะเกี่ยวโยงกับลูกสัตว์ของเผ่ามูกะได้อย่างไร สามคนนั้นที่อยู่ไกลออกไปตกตะลึงอ้าปากค้างกันไปพักหนึ่ง จวบจนกระทั่งตอนนี้พวกเขาก็ยังคงไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ต่อให้เป็นพี่เลี้ยงเหรียญทองระดับเอสที่สมาคมอนุบาลสัตว์ของดาวเคราะห์ทุกดวงยื้อแย่งกัน อยากให้ลูกมูกะตัวหนึ่งที่เข้าสู่สภาวะพร้อมต่อสู้เชื่อฟังเช่นนี้ เกรงว่าคงจะทำได้ยาก มากสุดก็ใช้กำลังกำราบเอา
แต่ตอนนี้ลูกมูกะตรงหน้าพวกเขาตัวนี้เป็นฝ่ายก้มหัวคลอเคลียชายหนุ่มก่อน!
เซี่ยหลวนไม่รู้ตัวเลยว่าได้กระทำเรื่องเหลือเชื่อในสายตาคนอื่นไปแล้ว ด้วยความที่เป็นมนุษย์อ่อนแอคนหนึ่ง พอเซี่ยหลวนถูกลูกสัตว์ขนาดใหญ่ตรงหน้า…ซบเบา ๆ ทีหนึ่ง ก็ล้มลงนั่งจุ้มปุ๊กไปกับพื้น
อึก…เจ็บก้นจัง!
เซี่ยหลวนเจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน แต่เขาก็อดทนไม่ร้องออกมา เพียงยื่นมือไปลูบลูกมูกะที่ดูราวกับยังอยากจะซบเขาอีกรอบ
ตอนที่ซบเข้ามาที่อกของเขา เซี่ยหลวนเห็นลูกสัตว์ขนาดใหญ่ตรงหน้าซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตอันตรายแสดงท่าทีระแวดระวัง หดกรงเล็บแหลมคมเข้าไป ทั้งยังไม่กล้าใช้แรงซบมากเกินไป…
แม้รู้สึกว่าบทบาทเริ่มแรกที่ได้มาไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่เซี่ยหลวนก็คิดว่าเขาไม่ได้เกลียดบทนี้
[1] ลักษณะรูม่านตาแนวตั้งมักพบในสัตว์วงศ์นักล่า