幼崽护养协会
ผมจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่อนุบาลสัตว์ เล่ม 1
酒矣 (Jiu Yi)
เขียน
ชาเย็น Lover
แปล
— โปรย —
คืนที่มีฝนดาวตก อุกกาบาตพุ่งชนสวนหลังบ้านของเซี่ยหลวน
เหตุการณ์ดังกล่าวนำพาเขาไปพบเจอโลกอีกแห่ง
การขอความช่วยเหลือทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่กำลังจะกอบกู้จักรวาล
ทว่า…ทำไมถึงส่งเขามาเป็นพี่เลี้ยงในสมาคมอนุบาลสัตว์สภาพซอมซ่อแบบนี้ล่ะ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 3 วันที่สามในฐานะพี่เลี้ยง
“เบากว่านี้อีกหน่อยก็โอเคแล้ว” เมื่อลุกขึ้นยืน เซี่ยหลวนจึงสอนลูกสัตว์ตัวนี้อย่างใจเย็นว่าควรซบเขาอย่างไร เขากางแขนสองข้างออก เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมจะถูกซบจนล้มอีกครั้ง
นี่ไม่ใช่การปฏิเสธ แต่เป็นการชี้แนะ หลังจากนั้นเซี่ยหลวนก็เห็นลูกมูกะตรงหน้าก้มหัวต่ำลงอีก แล้วเอนตัวเข้าใกล้หน้าอกเขาทีละนิด สุดท้ายก็ซบลงเบา ๆ ด้วยความระมัดระวัง
ชายหนุ่มไม่มีพลังต่อสู้ แต่เพราะลูกมูกะเป็นเผ่าพันธุ์นักสู้มาแต่กำเนิด เลยตัดสินความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอของสิ่งมีชีวิตออกมาอย่างได้ง่ายดาย
ดังนั้นเมื่อสามคนที่อยู่ไกลออกไปเดินเข้ามาใกล้ เซี่ยหลวนจึงเห็นลูกมูกะตัวนี้ขวางหน้าเขาไว้ทันที นัยน์ตาเรียวรีคู่นั้นหดลง ส่งเสียงร้องขู่คำรามใส่สองสามคนนั่น โดยไม่วายพุ่งเป้าไปที่คนสุดท้ายเป็นพิเศษ
ถึงจะเผยท่าทีขู่ขวัญ แต่ครั้งนี้ลูกมูกะไม่ได้พุ่งเข้าโจมตีแต่อย่างใด แค่เลือกซ่อนชายหนุ่มไว้ข้างหลังมัน
เซี่ยหลวนพลันรู้สึกได้ว่านี่เป็นอากัปกิริยาของการปกป้อง
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเก็บลูกมูกะมาเลี้ยง ประธานก็ไม่ฟังผม ลูกสัตว์เผ่าพันธุ์ระดับต่ำแบบนี้ไม่จำเป็นต้องอนุบาลแต่แรกแล้ว…เลี้ยงไปจะยุ่งยากมากขึ้นเปล่า ๆ” ชายคนนั้นมองออกว่าลูกมูกะจะไม่จู่โจมในตอนนี้ เมื่อครู่เพิ่งหวาดกลัวหัวหดอยู่หลังสุดแท้ ๆ กลับชักสีหน้าไม่พอใจอีกครั้งทันที
เผ่าพันธุ์ระดับต่ำที่ไม่มีสติปัญญาเท่าไหร่นักประเภทนี้ ขนาดภาษาที่ซับซ้อนนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ยังไม่เข้าใจ เกิดมามีแค่พลังต่อสู้ เมื่อเติบใหญ่จนถึงช่วงโตเต็มวัย ปกติก็จะรับจ้างไปสนามรบ ใช้การรบแลกทรัพยากรดำรงชีพ
ฉะนั้นมีอะไรให้น่าดูแลกัน ถึงอย่างไรความสามารถในการเอาตัวรอดของเผ่าพันธุ์นี้ก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ลูกสัตว์ที่พอฟักออกมาก็มีพลังสู้รบ ปล่อยไว้ไม่ต้องสนใจให้พวกมันเติบโตอยู่ข้างนอกก็ดีอยู่แล้ว การอนุบาลดูแลเป็นพิเศษ เรียกว่าว่างมากจนหาเรื่องใส่ตัวชัด ๆ
“ประธานครับ คุณเองก็เห็นแล้ว ลูกมูกะตัวนี้ก้าวร้าวขนาดนี้ เป็นอันตรายกับทุกคนในสมาคมมาก ครั้งนี้โชคดีที่ไม่เกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ แต่ครั้งหน้าก็พูดยากแล้วนะครับ ถ้าให้ผมพูด พวกเราต้องรีบส่งลูกสัตว์ตัวนี้ไปให้เร็วที่สุด” แม้อยากพูดว่าไล่ออกไปมากกว่า แต่ตอนจะพูดความคิดนี้ออกมา เขาก็เปลี่ยนคำเล็กน้อย
อยากให้ส่งลูกสัตว์ตัวนี้ออกไป ทั้งยังพูดตรง ๆ ต่อหน้าลูกสัตว์ ลูกมูกะที่ใช้ร่างกายบดบังชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรอยู่ มันเพียงซ่อนชายหนุ่มไว้ข้างหลังตัวเองไม่ขยับไปไหนอีก แต่เซี่ยหลวนฟังออกเลยก้าวออกมายืนข้างๆทันที
ข้อเสียเพียงสองข้อของเซี่ยหลวนคนนี้คือ นอกจากยามปกติที่ออกจะเกียจคร้านหน่อย ๆ แล้ว อีกข้อก็คือรักพวกพ้องยิ่งชีพ
“ลูกสัตว์ไม่มีทางแสดงอาการก้าวร้าวโดยไร้สาเหตุ” เซี่ยหลวนกดองศามุมปากให้ราบเรียบ น้ำเสียงหนักแน่น ขณะเอ่ยคำพูดนี้ก็ตั้งใจปราดตามองชายผู้สวมชุดพนักงานแวบหนึ่ง
ตอนเซี่ยหลวนถูกลูกมูกะกระโจนใส่จนล้มลงก็รู้แล้ว เมื่อคนคนนี้อยู่ใกล้ อาการก้าวร้าวของลูกมูกะถึงจะสำแดงชัดเจนเสมือนมองอีกฝ่ายเป็นศัตรู
หากบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีต้นสายปลายเหตุ อย่างไรเซี่ยหลวนก็ไม่มีทางเชื่อ
ชายหนุ่มที่ชื่อจ้าวชวนเป็นพี่เลี้ยงของสาขานี้ และเป็นชาวเซบิยาเช่นเดียวกัน เขาทำงานอยู่ในสมาคมมาสองปีแล้ว
หลังถูกชายหนุ่มมองมาปราดหนึ่งก็เกิดอาการร้อนตัวเล็กน้อย จ้าวชวนจึงปิดปากไม่สานต่อคำพูด เขาไม่ได้ทำเรื่องที่เป็นการทำร้ายลูกมูกะตัวนั้นเป็นจริงเป็นจังอะไรสักหน่อย แต่เขาหยิบของโยนใส่ลูกสัตว์ตัวนั้นจริง ๆ นั่นแหละ เพราะเขารู้ว่าร่างกายที่มีเกราะอันแข็งแกร่งของเผ่ามูกะนั้นไม่มีทางเจ็บปวดได้
แต่ใครจะรู้ว่าจู่ ๆ ลูกมูกะตัวนี้จะอาละวาดขึ้นมา ไร้เหตุผลสิ้นดี!
และเวลานั้นเองเซี่ยฉีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ประธานสมาคมก็ชักสีหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจนัก แม้ว่าในใจของเธอจะยังแอบรู้สึกหวาดกลัวลูกมูกะตัวนี้อยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมทอดทิ้งลูกสัตว์ “ในเมื่อรับเลี้ยงแล้ว สาขาพวกเราก็มีหน้าที่รับผิดชอบอนุบาลลูกสัตว์ตัวนี้จนถึงช่วงโตเต็มวัย ถ้าส่งลูกมูกะตัวนี้ไปเหมือนที่นายพูด รอให้เรื่องลูกสัตว์ถูกทอดทิ้งแพร่ออกไป นายคิดว่า…”
“ก็บอกแล้วไงว่าเผ่ามูกะเป็นแค่เผ่าพันธุ์ระดับต่ำ” จ้าวชวนเอ่ยขัดคำพูดของอีกฝ่าย “ตอนนั้นหลาย ๆ สาขาก็ไม่ยอมรับไข่ใบนี้ไว้ แต่เป็นเพราะประธานสมาคมของพวกเราเป็นคนพูดง่ายเกินไปถึงได้รับไข่ใบนี้เอาไว้ เดิมทีสมาคมก็ไม่ได้มีหน้าที่อนุบาลลูกสัตว์เผ่าพันธุ์ระดับต่ำนี้ด้วยซ้ำ ส่งมันไปก็ไม่ได้เรียกว่าทิ้งมันเสียหน่อย”
สภาพกิจการสาขาของพวกเขาตอนนี้ก็ค่อนข้างร่อแร่อยู่แล้ว ส่งลูกมูกะตัวนี้ไปก็เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายได้พอดีเลยไม่ใช่เหรอ ทั้งยังประหยัดกำลังคนด้วย จ้าวชวนรู้สึกว่าวิธีนี้ดีเสียยิ่งกว่าดี
ลูกมูกะฟังไม่ออกว่าสองคนนี้กำลังถกเรื่องอะไรกันอยู่ แต่เมื่อพบว่าชายหนุ่มเดินออกมาจากด้านหลังของมันก็ครางต่ำร้องครืดคราดออกมาเบา ๆ ทันที มันเริ่มกังวลใจเล็กน้อย อยากซ่อนชายหนุ่มกลับไปไว้ด้านหลัง เพราะตัวมันสามารถเป็นเกราะป้องกันการโจมตี ไม่ให้อีกฝ่ายตกอยู่ในอันตรายได้
แต่เซี่ยหลวนไม่ได้ถอยหลังกลับ หลังจากยื่นมือไปตบปลอบโยนลูกสัตว์ขนาดใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ ทีหนึ่ง เขาก็คร้านจะพูดเหตุผลแล้ว เซี่ยหลวนหยิบสกิลการถากถางที่ตัวเองไม่ได้ใช้มานานหลายปีออกมา “อ้าปากแต่ละครั้งก็เอาแต่บอกว่าเป็นเผ่าพันธุ์ระดับต่ำ ตอนโดนไล่บี้ยังร้องโวยวายวิ่งหนีหางจุกตูดอยู่เลยไม่ใช่หรือไง”
ก็ไม่รู้ว่าเมื่อกี้นี้ใครกันที่ถูกวิ่งไล่ตามแล้วแจ้นหนีเร็วรี่อย่างกับหนีตาย ทั้งยังตะโกนแหกปากปาว ๆ ขอให้ช่วยอีก
ทั้งที่พูดเสียงเบาหวิว และชายหนุ่มก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากนัก แต่น้ำเสียงกลับเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยัน
คำพูดนี้ของเซี่ยหลวนตอกหน้าจ้าวชวนจนเปลี่ยนสี เขากลั้นลมหายใจไม่พูดอะไรออกมาชั่วขณะ ก่อนเปลี่ยนเรื่องในที่สุด “นี่เป็นเรื่องภายในของพวกเรา”
เซี่ยหลวนพยักหน้าเห็นด้วย “ลืมแนะนำตัวไป ฉันชื่อเซี่ยหลวน พี่เลี้ยงคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการว่าจ้างมาหมาด ๆ”
จ้าวชวนตะลึงงัน จุกจนพูดไม่ออกอีกรอบ
ประธานสมาคมที่เงียบมาโดยตลอด ในที่สุดก็เอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวหลวนเป็นเพื่อนร่วมงานคนใหม่ และเป็นคนในเหมือนกัน เรื่องส่งลูกสัตว์ไปเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เธออย่าพูดถึงอีก”
เมื่อประธานสมาคมออกคำสั่ง จ้าวชวนจึงจำเป็นต้องฟัง เขามองชายหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่ยืนอยู่กับลูกมูกะตัวนั้น แล้วก็กดเสียงต่ำเอ่ยด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรนัก “ไอ้คนยืนพูดไม่ปวดเอว[1]เอ๊ย…”
เจ้าตัวไม่เคยดูแลลูกมูกะเลยด้วยซ้ำ ย่อมไม่มีทางรู้เด็ดขาดว่าเรื่องนี้มันยุ่งยากมากขนาดไหน
“คนยืนพูดแล้วปวดเอวแสดงว่าไตบกพร่อง” น้ำเสียงของเซี่ยหลวนมีความจริงใจ ขณะพูดยังใช้สายตาห่วงใยมองอีกฝ่ายแวบหนึ่งด้วย วินาทีต่อมาก็เห็นว่าอีกฝ่ายโมโหจนหน้าแดงแล้ว
สู้ไม่ได้เลย เซี่ยหลวนไม่มองฝ่ายตรงข้ามอีก หันหน้าไปยื่นมือตบแหลมคมของลูกมูกะที่อยู่ด้านข้างเบา ๆ ทีหนึ่ง รอกระทั่งลูกสัตว์ตัวนี้ยอบตัวลงครางครืดคราดเสียงต่ำให้เขา เซี่ยหลวนค่อยๆเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนหันหลังกวักมือเรียกลูกสัตว์ขนาดใหญ่ตัวนี้พร้อมเอ่ยเสียงนุ่ม “เด็กน้อย มานี่มา”
แม้จะฟังไม่เข้าใจ แต่ลูกมูกะที่รูปลักษณ์ภายนอกดุจสิ่งมีชีวิตอันตรายก็ตามหลังมาเร็วไว ยามถูกชายหนุ่มเรียกว่า ‘เด็กน้อย’ มันว่าง่ายกว่าเดิมนิดหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
ด้วยการนำทางของเซี่ยฉี เซี่ยหลวนก็พาลูกมูกะที่ไม่ได้แสดงท่าทีก้าวร้าวอีกกลับไปยังอาคารที่เขายังไม่ทันได้เข้าก่อนหน้านี้ แล้วเริ่มสำรวจสถานที่ทำงานต่อจากนี้ของเขาอย่างจริงจัง
สไตล์การตกแต่งใกล้เคียงกับโรงเรียนอนุบาลในความทรงจำของเซี่ยหลวนอยู่มาก ให้อารมณ์แบบเด็ก ๆ อบอุ่นมีชีวิตชีวาสดใสไปทั่วทุกที่ บนผนังยังมีของตกแต่งและภาพวาดติดอยู่จำนวนไม่น้อย แต่มัน…คงมีประวัติมายาวนาน และด้วยเหตุผลนานาประการ ผิวของผนังอาคารหลายส่วนจึงหลุดลอก ของแต่งผนังกับภาพวาดติดผนังเลยดูเก่าพอสมควร
อาคารนี้มีเพียงชั้นเดียว ภายในห้องกว้างขวางแบ่งพื้นที่ออกเป็นหลายส่วน มีทั้งสถานที่ให้ลูกสัตว์กินอาหาร ที่หลับที่นอน ห้องเก็บของที่ไว้เก็บของจำเป็นทุกประเภทในการอนุบาลลูกสัตว์ และห้องอาบน้ำ
“โทรมกว่าสาขาอื่นหน่อย แต่ของที่ต้องมีก็มีครบครัน…” ตอนเซี่ยฉีพูดประโยคนี้กับเซี่ยหลวน สีหน้าเธอแฝงความรู้สึกขายหน้าและอิจฉาอยู่หลายส่วน
สาขาของพวกเขาไม่ได้สร้างห้องเรียนให้ลูกสัตว์โดยเฉพาะ ปกติพวกเขาจะสอนจำพวกภาษาสากลระหว่างดาวเคราะห์ให้ลูกสัตว์เท่านั้น ส่วนด้านอื่น ๆ พวกเขามีความสามารถไม่มากพอ
เซี่ยฉีเคยไปเยือนสาขาอันดับสิบแห่งอวกาศมา สาขานั้นถึงขั้นสร้างห้องจำลองการต่อสู้ผ่านฮอโลแกรมให้ลูกสัตว์ห้องหนึ่งด้วย…ต้องรู้ไว้ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกราคาสูงลิ่วแบบนั้น โดยทั่วไปจะพบเห็นได้ในโรงเรียนเตรียมทหารชั้นนำเท่านั้น อีกอย่าง ห้องที่ว่านั่นก็เป็นอะไรที่ผลาญเงินมาก
และแม้ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่เซี่ยฉีได้ยินมา สาขานี้จ้างทหารประจำการยศพลตรีในสหพันธ์ดวงดาวมาเป็นครูสอนการต่อสู้ขั้นพื้นฐานให้ลูกสัตว์ แค่ได้ยินก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่มีหน้ามีตาแล้ว
หากวันใดสาขาของพวกเธอมีหน้ามีตาได้ขนาดนี้ เซี่ยฉีก็รู้สึกว่าอย่าพูดถึงการฝันหวานตอนกลางคืนเลย แม้แต่ตอนกลางวันเธอก็จะยิ้มจนนอนไม่หลับกันไปข้างหนึ่ง โอเคไหม!
“อืม” เซี่ยหลวนพยักหน้ารับคำ น้ำเสียงไม่ได้มีความฝืนใจเลยสักนิดเดียว เขารักษาความรู้สึกอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
ตอนนี้ลูกสัตว์ที่อนุบาลในสาขามีทั้งหมดสิบสองตัว ทุกตัวเป็นสัตว์ที่ไร้คนดูแล ทางสาขาจึงรับเลี้ยงไว้ ขณะนี้ยังไม่มีผู้ปกครองที่ไหนยอมส่งลูกของตัวเองมายังสาขาพวกเขา
เซี่ยหลวนไม่ทันได้เจอลูกสัตว์ตัวอื่น หลังจากพาลูกมูกะกลับเข้าไปในห้องนี้แล้ว เขาก็ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในห้องเล็กน้อย จากนั้นเซี่ยฉีก็พาเขาไปยังห้องพักพนักงาน
เมื่อเซี่ยหลวนฝากให้เพื่อนร่วมงานดูแลลูกมูกะต่อ ลูกสัตว์ขนาดใหญ่ตัวนี้ยังคงจ้องมองเขาอยู่เงียบ ๆ ราวกับอยากจะตามเขาไปด้วย เซี่ยหลวนเลยต้องปลอบมันเรื่อย ๆ อยู่หลายประโยคถึงทำให้มันยอมรออยู่ในห้องอย่างว่าง่ายได้
เห็นลูกมูกะสนิทสนมกับเซี่ยหลวนมากขนาดนี้ เพื่อนร่วมงานก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งทันที เขาตกใจที่ลูกมูกะในเวลานี้ดูเชื่อฟัง และนับถือชายหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่คิดไม่ถึงว่าจะไม่หวาดกลัวลูกสัตว์เผ่าพันธุ์มูกะเลยแม้แต่น้อย…ปกติเขาไม่กล้าเข้าใกล้ลูกมูกะตัวนี้เกินไปด้วยซ้ำ เรื่องให้ลูกสัตว์ตัวนี้ซบตัวเองยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ถ้ารออยู่ที่นี่จะเป็น ‘เด็กดี’ ลูกมูกะตัวนี้ปะติดปะต่อคำพูดของชายหนุ่มได้เป็นข้อมูลคลุมเครือแบบนี้ มันจึงรออยู่ที่เดิมเงียบ ๆ ไม่ขยับไปไหน นัยน์ตาเรียวรีสีแดงฉานสะท้อนเงาแผ่นหลังของชายหนุ่มที่จากไป
ถ้ามันเป็น ‘เด็กดี’ ก็จะได้เห็นสิ่งสวยงาม…สว่างระยิบระยับแบบนั้นอีก สิ่งระยิบระยับนั่นจะปรากฏอยู่ในดวงตาของชายหนุ่ม ความแวววาวที่ไม่รู้ชื่อเรียกสำหรับลูกมูกะตัวนี้ อุณหภูมิอบอุ่นบนตัวชายหนุ่ม คล้ายจะเป็นระดับอุณหภูมิที่พร้อมทำให้มันอยากเข้าใกล้
“ห้องพวกนี้เป็นห้องว่างทั้งหมด” เซี่ยฉีพาเพื่อนร่วมงานคนใหม่มาถึงห้องพักพนักงาน แล้วรีบชี้ไปยังสามห้องนั้นให้อีกฝ่ายเป็นคนเลือก
“งั้นห้องนี้แล้วกัน” เซี่ยหลวนเลือกห้องซ้ายสุดและเป็นห้องที่ใกล้ที่สุดด้วย
เมื่อผลักประตูเข้าไป เซี่ยหลวนก็ได้เห็นถึงความหมายของคำว่าห้องว่างอย่างแท้จริง…ซึ่งก็คือผนังสี่ด้าน ไม่มีเครื่องเรือนอะไรเลย มีเพียงฝุ่นที่จะเป็นเพื่อนเขาเท่านั้น
“แค็ก นายอย่าเพิ่งร้อนใจไป ฉันจะช่วยนายทำความสะอาดเอง…ทำเสร็จก็ปูฟูกลงพื้นได้เลย” เป็นอีกครั้งที่รอยยิ้มของเธอแฝงความกระดากอายเล็กน้อย ด้วยกลัวว่าชายหนุ่มจะเข้าใจผิด เซี่ยฉียังอธิบายเป็นพิเศษด้วยว่า “ห้องของพนักงานคนอื่นก็ไม่มีเตียงเหมือนกัน แต่ฟูกหนามาก หลับสบายแน่นอน”
“อืม” เซี่ยหลวนครางตอบรับ ขอบคุณเธออย่างคนมองโลกในแง่ดี แม้เพิ่งจะเข้ามาทำงาน เขาก็ดูออกว่าเซี่ยฉีเป็นคนที่ค่อนข้างเข้ากับเขาได้ในสาขานี้ ทั้งยังน่าจะมีคุณวุฒิและประสบการณ์มากกว่าคนอื่น ๆ อยู่บ้าง
เซี่ยฉีเห็นสีหน้าเซี่ยหลวนไม่แสดงอาการหนักใจใด ๆ เลยสักนิดเดียว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาหลายส่วน ครั้นนึกถึงเมื่อก่อนที่เธอพาพนักงานสองคนมาเข้าทำงาน สองคนนั้นแทบจะเขียนคำว่า ‘ขยะแขยง’ ไว้บนใบหน้า
“ภาวะการเงินของสาขาเราค่อนข้างฝืดเคือง รอให้สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ประธานสมาคมต้องปรับเงินเดือนและเพิ่มสวัสดิการพนักงานแน่” เซี่ยฉีพูดพลางเริ่มช่วยเก็บกวาด ใจความสำคัญของประโยคที่เธอพูดคือ อยากบอกชายหนุ่ม ว่าไม่ใช่ว่าประธานสมาคมอยากปฏิบัติกับพนักงานอย่างพวกเขาด้วยความเลวร้าย เพียงแต่ตอนนี้สาขาพวกเขาไม่มีเงินจริง ๆ เท่านั้น
ระหว่างทั้งสองทำความสะอาดห้องด้วยกัน เซี่ยหลวนก็ถือโอกาสพูดคุยสัพเพเหระกับอีกฝ่าย จะได้เข้าใจสถานการณ์ของสาขานี้มากขึ้นไปด้วย
“ประธานสมาคมเป็นคนบริหารสมาคมอนุบาลสัตว์สาขาของพวกเราเพียงคนเดียว ด้านเงินลงทุนท่านก็เป็นคนรับผิดชอบคนเดียวเหมือนกัน” เซี่ยฉีเคารพในตัวประธานสมาคมมาก และในน้ำเสียงยังไม่ปิดบังความรู้สึกนี้เลยสักนิด “เมื่อก่อนตระกูลของประธานสมาคมเป็นตระกูลชั้นสูงที่มีชื่อเสียงมาก แต่ต่อมาตกต่ำลง ที่ดินผืนนี้ที่สาขาเราครอบครองอยู่ก็เป็นที่ดินที่เป็นสมบัติของประธานสมาคม ตอนแรกที่นี่เป็นบริษัทประมูล ประธานสมาคมสร้างมันขึ้นมาใหม่ให้กลายเป็นสมาคมอนุบาลสัตว์สาขาอย่างทุกวันนี้”
เซี่ยฉีไม่ได้บอกความจริงเรื่องที่ช่วงสองสามปีนี้เงินทุนในสาขาพวกเขามีแต่ไหลออกไม่มีเข้า ประธานสมาคมเคยพูดกับเธอว่า บางทีถ้าทำไปอีกสองสามปี สาขาพวกเขาคงไปไม่รอดแล้วจริง ๆ
เซี่ยฉีเป็นคนรับผิดชอบการเงินของสาขานี้ ถึงประธานสมาคมจะไม่พูดออกมา เธอก็รู้…แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ก่อนวันนั้นมาถึง เซี่ยฉีก็ยังอยากทำงานให้ดี และพยายามดูแลลูกสัตว์ที่อุปการะในสาขานี้อย่างสุดความสามารถ
เธอเป็นเด็กกำพร้า ดังนั้นเลยหวังว่าจะอนุบาลและดูแลลูกสัตว์ที่ไม่มีพ่อแม่พวกนี้ที่เหมือนกับเธอได้ และนี่เป็นเหตุผลที่เธอเริ่มมาเป็นพี่เลี้ยงของสาขานี้เช่นกัน
เมื่อทำความสะอาดห้องเรียบร้อยแล้วก็ปูฟูกลงบนพื้น แม้ห้องจะว่างเปล่า แต่ผู้อาศัยไม่ได้มีปัญหาอะไร เวลานี้เซี่ยหลวนสังเกตเห็นเพื่อนร่วมงานเหมือนจะอยู่ในอารมณ์เศร้าซึมเล็กน้อย เขาจึงเอ่ยปลอบใจว่า “หลังจากนี้จะต้องดีขึ้น”
“แน่นอน” เซี่ยฉีฉีกยิ้มกว้างพยักหน้าหงึก ๆ “เป้าหมายของสาขาพวกเราคือได้เป็นสมาคมอนุบาลสัตว์อันดับหนึ่งในอวกาศ! สาขาอื่นเชิญทหารประจำการยศพลตรีแห่งสหพันธ์ดวงดาวมาเป็นครูสอนการต่อสู้ให้ลูกสัตว์ได้ งั้นต่อไปสาขาพวกเราก็สามารถเชิญ…เชิญพลโทมาได้!”
แม้รู้ว่าเป็นเรื่องฝันเฟื่อง แต่จะไม่ให้ตัวเองมีสิทธิ์ฝันกลางวันบ้างเลยเหรอ
เพียงแต่เซี่ยฉีไม่คิดไม่ฝันเลยว่า…คำพูดในวันนี้ของเธอจะเป็นความจริงในอนาคต ไม่เพียงเท่านั้น ยังสำเร็จเกินกว่าที่ใครจะคาดถึงด้วย
…เป็นความหมายของคำว่า ฝันหวานเป็นจริงโดยแท้
และการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างล้วนมาจากชายหนุ่มเผ่ามนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าเธอ ณ เวลานี้
[1] หมายถึง คนที่ไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันย่อมไม่เข้าใจ