幼崽护养协会
ผมจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่อนุบาลสัตว์ เล่ม 1
酒矣 (Jiu Yi)
เขียน
ชาเย็น Lover
แปล
— โปรย —
คืนที่มีฝนดาวตก อุกกาบาตพุ่งชนสวนหลังบ้านของเซี่ยหลวน
เหตุการณ์ดังกล่าวนำพาเขาไปพบเจอโลกอีกแห่ง
การขอความช่วยเหลือทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่กำลังจะกอบกู้จักรวาล
ทว่า…ทำไมถึงส่งเขามาเป็นพี่เลี้ยงในสมาคมอนุบาลสัตว์สภาพซอมซ่อแบบนี้ล่ะ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 4 วันที่สี่ในฐานะพี่เลี้ยง
หลังจากเก็บกวาดห้องเรียบร้อยแล้ว เซี่ยหลวนก็ต้องเริ่มทำงานทันที พี่เลี้ยงในสาขานี้รวมเขาด้วยมีเพียงสี่คนเท่านั้น กำลังคนจึงไม่พอ
ตอนนี้เป็นเวลากินอาหารของลูกสัตว์
ทีแรกเซี่ยหลวนยังคิดอยู่ว่าลูกสัตว์เผ่าพันธุ์อื่นจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ผลคือเมื่อเดินเข้ามาที่ห้องกินอาหารของลูกสัตว์ เขาก็ได้เห็น…ก้อนขนปุกปุยกลุ่มหนึ่ง
มีเพียงสองตัวเท่านั้นที่ไม่มีขนปุกปุย นั่นก็คือลูกมูกะที่พอชายหนุ่มเข้ามาก็รี่มาประชิดตัวเขากับลูกเงือกที่อยู่ในถังไม้ขนาดเล็กซึ่งมีน้ำอยู่เต็มถัง
เงือก…เขาเพิ่งเคยเห็นสิ่งมีชีวิตน่าอัศจรรย์ที่มีอยู่เพียงในจินตนาการของเหล่ามนุษย์ด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรก เซี่ยหลวนจึงอดที่จะแอบมองให้มากขึ้นอีกแวบหนึ่งไม่ได้
ตัวเป็นคน หางเป็นปลา รูปร่างท่อนบนของลูกเงือกคล้ายกับลูกมนุษย์อายุประมาณสองขวบ บางทีความได้เปรียบของเผ่าพันธุ์นี้อาจเป็นหน้าตาที่น่าเอ็นดู แต่สีหน้ากลับเรียบเฉย ดูเงียบขรึมเอามาก ๆ และให้ความรู้สึกว่าเย็นชาเกินไป
เซี่ยหลวนเผลอมองนานไปหน่อย เมื่อสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าครามคู่นั้นกะทันหัน เขาก็ตอบสนองด้วยการยิ้มจนตาหยีให้ลูกสัตว์ตัวนั้นทันที
“ปกติลูกสัตว์ตัวนี้อยู่ในถังไม้ใบนี้เหรอ สาขาพวกเราไม่มีสระน้ำอะไรเลยเหรอ” เซี่ยหลวนเดินไปข้าง ๆ เพื่อนร่วมงานที่เคยเจอกันก่อนหน้า เขาขบคิดพลางถามออกไป
เมื่อพูดถึงเงือก ภาพที่ผู้คนมักจะนึกถึงได้ง่ายที่สุดคงเป็นทะเลสีฟ้าครามกว้างสุดลูกหูลูกตา แต่ลูกเงือกตรงหน้าเซี่ยหลวนนี้ได้แค่อยู่ในถังไม้ใบเล็กซึ่งมีน้ำอยู่เต็มถังเท่านั้น ไม่ว่ามองอย่างไรก็ทำให้เซี่ยหลวนที่มีความประทับใจลึกซึ้งในวัยเด็กกับเรื่องเดอะลิตเติ้ลเมอร์เมดรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“มีน่ะมี” หลินอี้ไม่ได้ปฏิเสธคำถามก่อนหน้าของเซี่ยหลวน เขาทำเพียงพยักหน้า “มีสระในลานด้านนอกอาคารสระหนึ่ง แต่สระนั้นแห้งไปนานแล้ว ตอนนี้ก้นสระมีแต่ใบไม้กับเศษฝุ่นเต็มไปหมด”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ หลินอี้ที่เห็นชายหนุ่มมนุษย์ซึ่งอยู่ด้านข้างราวกับตกอยู่ในห้วงความคิด ก็อดถามออกไปด้วยสีหน้าแปลกใจไม่ได้ว่า “นายคงไม่ได้คิดจะทำความสะอาดสระน้ำให้ลูกเงือกตัวนี้ใช่ไหม ไม่มีประโยชน์หรอก เครื่องเปลี่ยนถ่ายน้ำในสระพังแล้ว ต่อให้นายทำความสะอาดสระจนเอี่ยมอ่องแล้วเติมน้ำจนเต็ม หลังจากนั้นจะเปลี่ยนน้ำก็ทำไม่ได้อยู่ดี”
อีกอย่าง พวกเขาเงินเดือนแค่ 1,800 หน่วยเครดิต ทำงานของตัวเองทุกวันให้ดีก็พอ ทำไมจะต้องเพิ่มงานให้ตัวเองลำบากด้วย
เซี่ยหลวนไม่ได้บอกว่าใช่หรือไม่ แค่ขานตอบแบบไม่จริงจังนัก
ลูกสัตว์ในสมาคมสาขาที่ต้องอนุบาลมีทั้งหมดสิบสองตัว เรื่องนี้เซี่ยหลวนรู้จากเซี่ยฉีแล้ว ในจำนวนนั้นมีลูกสัตว์สามตัวที่ยังไม่ได้ฟักออกจากไข่ ตอนนี้ไข่ยังอยู่ในห้องควบคุมอุณหภูมิ
ส่วนพี่เลี้ยงในสมาคมสาขา เมื่อเพิ่มเซี่ยหลวนที่เพิ่งได้รับการว่าจ้างเข้ามาใหม่ก็มีเพียงสี่คนเท่านั้น ถ้าจะดูแลลูกสัตว์ในสาขาละก็ ต้องแบ่งงานที่มีอยู่มากมายตามลำดับก่อนหลัง ลูกสัตว์บางตัวต้องรอเป็นคิวสุดท้ายถึงจะได้กินอาหาร
เซี่ยฉียุ่งกับการชงนมผง ส่วนเพื่อนร่วมงานอีกสองคนดูเหมือนจะมีเจตนาเพิกเฉยลูกมูกะที่อยู่ข้าง ๆ เซี่ยหลวน เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร
ตอนนี้เซี่ยฉีไม่ว่างมาดูแลลูกมูกะตัวนี้ ส่วนอีกสองคนก็ไม่ยอมมาดูแล ตั้งใจคิดจะปัดภาระให้พ้นตัว
หากเป็นเมื่อก่อน สองคนนี้จะต่างฝ่ายต่างเกี่ยงกันไปมา จนสุดท้ายต้องมีคนหนึ่งจำทนฝืนใจเตรียมอาหารให้ลูกมูกะ แต่ตอนนี้เซี่ยหลวนเป็นคนรับงานนั้นมาไว้เอง
เมื่อก่อนลูกมูกะตัวนี้ต้องรอเป็นคิวสุดท้ายถึงจะได้กินอาหาร ความจริงแล้วมันไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย มันมักเห็นพี่เลี้ยงเตรียมอาหารหรือป้อนอาหารให้ลูกสัตว์ตัวอื่นก่อน คิวสุดท้ายถึงจะเป็นตามัน
ด้วยสถานภาพทางการเงิน อาหารที่สมาคมสาขาของพวกเขาให้ลูกสัตว์เป็นอาหารลูกสัตว์ที่ใช้กันทั่วไปซึ่งราคาค่อนข้างถูก นำมาผสมกับอาหารเสริมที่ใช้สำหรับลูกสัตว์โดยเฉพาะ จึงไม่ค่อยมีรสชาติเท่าไหร่ แต่ปริมาณมากพอให้อิ่มท้อง
เซี่ยหลวนทำตามอย่างเพื่อนร่วมงาน เมื่อเทอาหารลูกสัตว์ลงกะละมังใหญ่เสร็จก็ยกมันขึ้น หนักมากทีเดียว
ลูกมูกะยังคงรอคอยเหมือนเช่นปกติ แต่ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอันตรายและน่ากลัวของมัน แม้มันจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็ดูก้าวร้าวเป็นพิเศษอย่างชัดเจน นัยน์ตาเรียวรีสีแดงฉานดูดุร้ายและเย็นเยือก ทว่าเวลาสิ่งมีชีวิตอันตรายตัวนี้มองชายหนุ่มที่กำลังยกกะละมังมาวางตรงหน้ามัน สายตาของลูกมูกะตัวนี้ก็หยุดนิ่ง ก่อนส่งเสียงครางต่ำร้องครืดคราด
อาหารกะละมังนี้เอามาให้มันกิน เมื่อมั่นใจข้อนี้แล้ว ลูกมูกะถึงก้มหน้าเริ่มกินอาหาร
อาหารปริมาณเท่านี้ทำให้ลูกมูกะอิ่มท้องพอดี แต่หนนี้มันกินอาหารหมดไปไม่ถึงครึ่งก็ดันกะละมังไปทางชายหนุ่ม
ทรัพยากรในการดำรงชีพใด ๆ ล้วนมีค่ามากทั้งนั้น โดยเฉพาะอาหาร…นี่เป็นความตระหนักรู้ที่สลักลึกในสัญชาตญาณของเผ่ามูกะ
เพราะเป็นลูกสัตว์เผ่าพันธุ์มูกะที่อายุหกเดือน ลูกมูกะตัวนี้จึงไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์อื่นดำรงชีวิตอย่างไร มีเพียงสัญชาตญาณที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเท่านั้นที่บอกมัน หลังจากพวกมันโตเต็มวัยแล้วก็จะพึ่งพาการต่อสู้แลกกับทรัพยากรในการดำรงชีพที่จำเป็นสำหรับตัวมัน
แต่ชายหนุ่มเผ่ามนุษย์ตรงหน้ามันนี้ไม่มีพลังต่อสู้ แล้วจะทำอย่างไร
บางทีด้วยสติปัญญาของเผ่าพันธุ์ระดับต่ำทำให้ไม่อาจเข้าใจเรื่องที่ซับซ้อนเกินไปได้ แต่เพราะเป็นแบบนี้ความคิดของพวกมันจึงเรียบง่ายอย่างยิ่ง…
ขอแค่มันแบ่งทรัพยากรเพื่อการยังชีพที่ได้รับให้ชายหนุ่มครึ่งหนึ่งก็พอแล้ว ต่อไปมันโตขึ้น ขยันต่อสู้สักหน่อยก็ไม่มีปัญหา
เมื่อเห็นว่าลูกมูกะดันอาหารมาให้ตัวเอง เซี่ยหลวนก็ชะงักเล็กน้อย มันเห็นเขาไม่รับอาหาร ลูกสัตว์ขนาดใหญ่ตัวนี้เลยก้มหน้าลงอีกรอบ พลางส่งเสียงครืดคราดเบากว่าครั้งก่อนนิดหนึ่ง
“ฉันไม่กินหรอก…” จะบอกว่าก้นบึ้งของหัวใจไม่รู้สึกซาบซึ้งใจเลยก็เป็นไปไม่ได้ เซี่ยหลวนยอบตัวลงนั่งยอง ๆ แล้วดันกะละมังนั้นกลับไปอีกครั้ง จากนั้นยื่นมือออกไปลูบลูกสัตว์ขนาดใหญ่ที่ภายนอกดูอันตรายเป็นพิเศษพลางเอ่ยกล่อม “เด็กดี”
เมื่อเซี่ยหลวนกล่อมลูกมูกะเสร็จ เขาก็เลื่อนสายตาไปยังเซี่ยฉีที่กำลังกรอกของเหลวสีขาวข้นที่ชงเรียบร้อยแล้วใส่ขวดนมใบเล็กหลายขวด คิดว่าตัวเองควรจะไปช่วยด้วย
ทว่าเดินได้ไม่ถึงสองก้าวก็มีเจ้าขนปุยตัวหนึ่งเข้ามาเกาะขากางเกงเขากะทันหัน ทำให้เซี่ยหลวนเดินไม่ได้ชั่วคราว ไม่ใช่ว่าลูกสัตว์ตัวนี้มีน้ำหนักมาก เพียงแต่หากเขาขยับต้องเตะโดนลูกสัตว์แน่
ลูกสัตว์ตัวนี้มีหูเป็นวงรี หางสั้นหนา ขนที่ปุกปุยนั้นหนาแน่นจนทำให้ลูกสัตว์ตัวนี้ดูจ้ำม่ำอย่างเห็นได้ชัด…หน้าตาของมันคล้ายกับสิ่งมีชีวิตในความทรงจำของเซี่ยหลวนมาก สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่โลกเดิมของเขาเรียกว่า ‘ทู่ซุน’ [1]
แม้ชื่อจะมีคำว่าทู่[2] แต่ทู่ซุนกับกระต่ายไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันสักนิดเดียว ทู่ซุนเป็นสัตว์ในวงศ์เสือและแมว ทั้งยังเป็นสัตว์ป่าที่มีนิสัยดุร้ายอีกด้วย
ตอนที่ชายหนุ่มพูดว่า ‘เด็กดี’ นั้นทำให้เกิดความรู้สึกคลุมเครือเมื่อถูกเรียก เพราะเสียงที่ได้ยินช่างอ่อนโยนเหลือเกิน คล้ายกับกำลังกล่อมเบา ๆ ลูกสัตว์ตัวนี้ถึงได้เงยหน้าขึ้น และเมื่อชายหนุ่มเดินผ่าน มันเลยเกาะขากางเกงของอีกฝ่ายไว้
เซี่ยหลวนที่ไม่รู้สาเหตุ นึกว่าลูกสัตว์ตัวนี้ชอบกระโดดใส่วัตถุที่ขยับได้ และเขาบังเอิญเดินผ่านมาพอดี
“นี่เป็นลูกสัตว์เผ่าตาชีรา นายป้อนเขาหน่อยแล้วกันนะ” พอเซี่ยฉีหันกลับมาก็เห็นภาพนี้เข้า จึงเดินไปยัดขวดนมขวดเล็กไว้ในมือของเซี่ยหลวน
ที่จริงเมื่อครู่เซี่ยฉีตะลึงไปวินาทีหนึ่ง ในความทรงจำของเธอ ลูกตาชีราตัวนี้มีนิสัยไม่ชอบเข้าใกล้ใคร
นี่น่าจะเกี่ยวกับสัญชาตญาณตามธรรมชาติของเผ่าพันธุ์ ท่ามกลางเผ่าพันธุ์มากมายในอวกาศ โดยทั่วไปแล้ว ชาวตาชีรามีความสามารถในการต่อสู้เพียงลำพังที่โดดเด่นมาก ทำให้มักไปไหนมาไหนลำพัง ถึงกับพูดได้ว่ารักสันโดษ ขนาดอยู่ในช่วงวัยเด็กก็ไม่มีข้อยกเว้น
ดังนั้นภาพตรงหน้าเธอ ณ เวลานี้จึงสร้างความประหลาดใจมากเป็นพิเศษ
เซี่ยหลวนรับคำ ถือขวดนมพร้อมกับย่อตัวนั่งลง พยายามทำหน้าให้นิ่งมากที่สุดเพื่อไม่ให้ตัวเองดูลนลานจนเกินไป เขารู้ว่าใช้ขวดนมป้อน แต่มันต้องป้อนยังไงล่ะ…
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เซี่ยหลวนก็รวบอุ้งเท้าหน้าที่เกาะขากางเกงของเขาออกก่อน จากนั้นนั่งขัดสมาธิ ลองยื่นมือไปลูบขนปุกปุยที่หลังของลูกตาชีราตัวนี้
ขนของลูกสัตว์ตัวนี้หนาและปุกปุยมากจริง ๆ ปลายขนสีอ่อน มองแวบแรกให้ความรู้สึกหนาวเย็นราวกับน้ำค้างแข็ง แต่พอมือของเซี่ยหลวนลูบลงไปกลับรู้สึกถึงความนุ่มฟูเพียงอย่างเดียว
หางป้อมสั้นของลูกสัตว์กระดกขึ้นลง ขณะชายหนุ่มลูบไล้ ดวงตาของลูกตาชีราที่หน้าตาคล้ายกับลูกทู่ซุนตัวนี้ก็หรี่ลง ส่งเสียงงึมงำเบา ๆ ออกมาจากลำคอโดยไม่รู้ตัว
เวลานี้เซี่ยหลวนกำลังเขย่าขวดนมในมือที่ยังร้อนอยู่นิดหน่อย รอจนรู้สึกว่าอุณหภูมิได้ที่แล้วถึงเอานมเข้าปากลูกสัตว์ตัวนี้ ป้อนไปพลางลูบหลังของลูกตาชีราตัวนี้ไปพลาง
เสียงงึมงำของลูกตาชีราดึงดูดสายตาของลูกสัตว์ตัวอื่นที่อยู่โดยรอบได้ไม่มากก็น้อย ชายหนุ่มเป็นคนแปลกหน้าที่พวกมันไม่เคยเห็นมาก่อน แต่พอเห็นชายหนุ่มลูบลูกตาชีราด้วยความอ่อนโยนครั้งแล้วครั้งเล่า ลูกสัตว์พวกนั้นก็เริ่มเอาแต่จ้องมองภาพนั้น
เวลาพี่เลี้ยงคนอื่น ๆ ป้อนอาหารพวกมัน ก็ไม่ได้ทำเรื่องที่เกินกว่านั้น
ครั้นกินนมจนหมดแล้วลูกตาชีราตัวนี้กลับไม่ยอมไปไหน มันแลบลิ้นเลียฝ่ามือของชายหนุ่ม ทั้งยังย่อตัวลงดมกลิ่นของเขาด้วย เมื่อจดจำกลิ่นของอีกฝ่ายได้แล้ว มันก็ส่งเสียงงึมงำพลางหมอบลงบนขาที่ขัดสมาธิอยู่ หางสั้น ๆ ป้อม ๆ ด้านหลังของมันขยับไปมาเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา
น้ำหนักที่ทับลงมานี้ทำให้เซี่ยหลวนเผลอยิ้มออกมานิด ๆ เมื่อได้ยินเสียงงึมงำแผ่วเบาแบบนั้นของลูกสัตว์ เขาก็อดยื่นนิ้วมือไปลูบหูรีๆของลูกตาชีราตัวนี้ไม่ได้
หูของมันคงค่อนข้างไวต่อความรู้สึก เมื่อลูกสัตว์ตัวนี้โดนลูบใบหู ร่างกายก็ขยับไหวตามทันที แต่มันก็ไม่ได้หลบเลี่ยงสัมผัสของชายหนุ่ม แค่หรี่นัยน์ตาเรียวรีจ้องมองนิ้วมือเรียวยาวที่กำลังลูบใบหูของมัน
พูดกันตามหลักเหตุผลแล้ว ด้วยนิสัยรักสันโดษของเผ่าพันธุ์ตาชีราไม่น่าจะชอบให้ใครมาทำแบบนี้กับมัน แม้จะเป็นผู้ปกครองก็ไม่ได้ ถ้ามีคนดึงดันจะเข้าใกล้พวกมัน ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือถูกโจมตี และนับจากนั้นก็จะได้เข้าไปอยู่ในบัญชีดำที่ปฏิเสธการติดต่อกันทุกช่องทาง
ลูกสัตว์จากเผ่าพันธุ์ตาชีราก็มีอารมณ์โมโหเช่นกัน หากมีใครล้ำเส้นอาณาเขตส่วนตัวที่มันขีดไว้ ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าดีใจสำหรับพวกมัน
เซี่ยหลวนไม่รู้ข้อนี้ พอได้ยินเสียงงึมงำของลูกตาชีราตัวนี้จึงยื่นมือไปลูบหัวมัน ตามด้วยลูบหลังอีกครั้ง ตบท้ายด้วยการลูบแม้กระทั่งหางที่ดูปุกปุยเป็นพิเศษของมันไปด้วย
ลูกตาชีราไม่ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย ถ้าให้พี่เลี้ยงของสมาคมอนุบาลสัตว์สาขาอื่นมาเห็นภาพนี้เข้า คงนึกสงสัยทันทีว่าภาพตรงหน้าตัวเองเป็นภาพลวงตา…
นี่ไม่ใช่ลูกสัตว์เผ่าพันธุ์ตาชีรา นี่มันตัวปลอม!
[1]兔狲หมายถึง แมวพัลลัส กร่อนเสียงมาจากคำว่า Tursun (ทูรซุน) ซึ่งเป็นคำภาษาถิ่นในกลุ่มภาษาเตอร์กิก แปลว่า หยุด เนื่องจากแมวพัลลัสเป็นสัตว์ดุร้าย ปศุกรจึงพูดคำนี้เมื่อเจอมันขณะต้อนหรือล่าสัตว์
[2] แปลว่า กระต่าย