幼崽护养协会
ผมจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่อนุบาลสัตว์ เล่ม 1
酒矣 (Jiu Yi)
เขียน
ชาเย็น Lover
แปล
— โปรย —
คืนที่มีฝนดาวตก อุกกาบาตพุ่งชนสวนหลังบ้านของเซี่ยหลวน
เหตุการณ์ดังกล่าวนำพาเขาไปพบเจอโลกอีกแห่ง
การขอความช่วยเหลือทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่กำลังจะกอบกู้จักรวาล
ทว่า…ทำไมถึงส่งเขามาเป็นพี่เลี้ยงในสมาคมอนุบาลสัตว์สภาพซอมซ่อแบบนี้ล่ะ
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 6 วันที่หกในฐานะพี่เลี้ยง
เหตุการณ์เหนือความคาดหมายเกินไปทำให้ความคิดของเซี่ยหลวนสับสนเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขาไม่ว่างมาจัดลำดับความคิดเพราะคนตรงหน้ากำลังรอเขาตอบกลับ
ครั้นเห็นว่าชายหนุ่มตื่นแล้ว ลู่หย่วนซึ่งตกอกตกใจจนเส้นประสาทตึงเครียดก็ผ่อนคลายลง และกลับมาพูดจาแบบเดิมในท้ายที่สุด “เจ้าเซี่ยจอมขี้เกียจ บ้าเอ๊ย นายทำฉันตกใจหมด
“ทำอะไรของนายเนี่ย ฉันมาถึงก็เห็นนายนอนอยู่ตรงนี้ แถมสวนยังเละเทะแบบนี้อีก หรือมีคนบุกเข้ามาขโมยของในบ้าน” ไม่ใช่ว่าลู่หย่วนตื่นตระหนกเกินไป แต่ใครมาเห็นภาพบอนไซในสวนล้มลง ถัดไปไม่ไกลยังมีหลุมลึก และคนที่คุณรู้จักนอนแน่นิ่งอยู่ข้างหลุม ก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น
เหมือนอย่างลู่หย่วนที่เพิ่งเดินเข้ามาในสวนก็ตกใจจนเกือบควักโทรศัพท์มือถือโทร.แจ้งความและโทร.เรียกรถพยาบาลในทันที แต่ยังดีที่เขายั้งความหุนหันของตัวเองไว้ แล้ววิ่งไปดูอาการของชายหนุ่มก่อน
เมื่อคืนลู่หย่วนบอกว่าจะถ่ายรูปฝนดาวตกส่งมาให้สองสามรูป พอถ่ายเสร็จจู่ ๆ ก็อยากเอาภาพไปล้าง สุดท้ายก็ล้างอัดมาเผื่อเซี่ยหลวนอีกชุดหนึ่ง วันนี้เลยเอามาให้ถึงที่
ก่อนมาที่นี่เขาได้ส่งข้อความมาบอกอีกฝ่ายแล้ว เนื่องจากลู่หย่วนมีกุญแจบ้านของเซี่ยหลวนจึงเปิดประตูเข้ามาได้ และสาเหตุที่มีกุญแจนั้นก็ง่าย ๆ เลย บางครั้งเซี่ยหลวนก็ขี้เกียจจนชวนให้เขาโมโหเป็นที่สุด ขี้เกียจถึงขั้นไม่อยากเดินมาเปิดประตูให้เขา คราวก่อนตอนลู่หย่วนแวะมาเยี่ยม เซี่ยหลวนเลยยัดกุญแจสำรองให้เขาเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่ต้องเดินมาเปิด
“เปล่า มีอุกกาบาตพุ่งชนสวนหลังบ้านฉันน่ะ เลยออกมาเก็บกวาดสวน แล้วเหนื่อยไปหน่อยก็เลยนอนที่พื้น” เขาบอกไม่ได้ว่าเจอเรื่องน่าอัศจรรย์มา ต่อให้พูดแล้วอีกฝ่ายเชื่อ แต่พอจะอธิบายมันก็ยุ่งยากเกินไป ฉะนั้นเซี่ยหลวนจึงใช้น้ำเสียงติดตลกตอบกลับไปแบบทีเล่นทีจริง
ตื่นมาก็เล่นมุกขนาดนี้แล้ว ลู่หย่วนเห็นชายหนุ่มยังล้อเล่นกับเขาได้ พอมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรจริง ๆ ก็ถอนหายใจโล่งอก “ไอ้เวร ฉันห่วงนายฟรีสินะ เป็นนักเขียนนิยายหรือไง นักเขียนสังกัดฉันไม่เขียนพล็อตประเภทนี้หรอกนะ”
ลู่หย่วนไม่มีทางเชื่อเรื่องอุกกาบาตพุ่งชนสวนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเพื่อนบ้านละแวกนี้ก็ต้องตื่นตระหนกกับเสียงอึกทึกไปนานแล้ว ส่วนหลุมนี่…เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงเป็นคนขุดเอง แม้ว่าจะไม่เห็นเครื่องมือขุดหลุมแถวนั้นเลยก็ตาม
เขาที่ไม่รู้ว่าบอนไซล้มได้อย่างไร แต่เห็นชายหนุ่มดูท่าทางปกติดี เมื่อคืนคงไม่ได้เจออันตรายอะไรมาจริง ๆ
ลู่หย่วนรู้สึกว่าคำพูดทั้งหมดของเซี่ยหลวนมีเพียง ‘เหนื่อยไปหน่อยก็เลยนอนที่พื้น’ เท่านั้นที่พอจะเชื่อได้บ้าง แต่คิด ๆ ดูแล้วก็แอบพูดไม่ออกบอกไม่ถูกจริง ๆ
แต่ลู่หย่วนไม่ได้มีนิสัยชอบซักไซ้ เขาเลยพูดไปตามน้ำ “เอาเถอะ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ถ้านายเป็นอะไรขึ้นมา แม่ฉันได้มาถลกหนังฉันเอาน่ะสิ”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หางตาลู่หย่วนก็อดกระตุกไม่ได้
แม่เขากับแม่ของเซี่ยหลวนเป็นเพื่อนสนิทกัน ติดต่อกันมาตลอดสามสิบกว่าปี แม้อยู่ต่างที่ก็ยังโทร.คุยกันเป็นประจำ จะเห็นได้ว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากแค่ไหน
พวกเขาอยู่กันที่ปักกิ่ง บ้านของทั้งคู่อยู่ไม่ไกลกันนัก และด้วยความสนิทสนมของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายทำให้เขากับเซี่ยหลวนกลายเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ยังเล็ก ๆ
หลังจากนั้นเรื่องราวก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่แม่พาเขาไปเยี่ยมบ้านสกุลเซี่ยสองสามครั้ง ลู่หย่วนก็รู้สึกว่าจากที่ตัวเองเหมือนเป็นลูกชายในไส้ ต้องกลายมาเป็นของแถมจากการเติมเงินค่าโทร.[1] ซะงั้น ทั้งยังเป็นของแถมที่เติมเงินแค่ 10 หยวนก็ได้มาแล้วอะไรเทือก ๆ นั้น
แม่ของลู่หย่วนเข้มงวด ส่วนพ่อใจดี ในสายตาของเขา แม่เข้มงวดยิ่งกว่าครูฝ่ายปกครองเสียอีก แต่เมื่อพบกับเซี่ยหลวน แม่ของเขากลับกลายเป็นคนอัธยาศัยดี กลายเป็นแม่ผู้อ่อนโยนอย่างที่ลู่หย่วนใฝ่ฝันในวัยเด็ก
ยิ่งพักหลังพ่อแม่ของเซี่ยหลวนต้องย้ายไปทำงานมณฑลอื่น แต่เซี่ยหลวนต้องอยู่เมืองหลวงตัวคนเดียวเพื่อเรียนมหาวิทยาลัยต่อจนจบ แม่ของลู่หย่วนก็เริ่มเป็นห่วงเซี่ยหลวนมากขึ้น กำชับเขาอยู่หลายครั้งหลายคราว่าจะต้องช่วยอีกฝ่ายให้มาก ๆ เจอกันที่บ้านในวันเทศกาลก็จะพูดย้ำไม่หยุดอยู่บ่อย ๆ
แม้จะมีการเปรียบเทียบและรู้สึกว่าตัวเองอาจเป็นของแถมจากการเติมเงินค่าโทร. แต่ลู่หย่วนก็เกลียดเซี่ยหลวนไม่ลง เมื่อได้ไปมาหาสู่กันกับเซี่ยหลวนสักระยะหนึ่ง เขาก็มองอีกฝ่ายเป็นน้องชายแท้ ๆ ไปแล้ว
“อืม ตอนนายกลับบ้านฝากทักทายป้าหลินด้วยนะ” เซี่ยหลวนรู้สึกซาบซึ้งใจกับครอบครัวลู่หย่วนมาก แม้เขาจะใช้ชีวิตตัวคนเดียวก็ไม่ได้ลำบากอะไร เพราะการมีคนรอบข้างคอยห่วงใยย่อมแตกต่างกับไม่มีใครคอยห่วง
ลู่หย่วนพยักหน้ารับแล้วยัดถุงใส่มือเซี่ยหลวน “ภาพที่ถ่ายได้เมื่อคืน ฉันล้างอัดมาเพิ่มชุดหนึ่ง เลยเอามาให้
“นายอยู่คนเดียวก็ระวังหน่อย วันดีคืนดีฉันไม่อยากโทร.แจ้งตำรวจหรือโทร.เรียกรถพยาบาลหรอกนะ” ตอนพูดประโยคนี้ ลู่หย่วนไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้ใช้น้ำเสียงราวกับป้าแก่ ๆ พร่ำบ่น “เช้านี้ฉันยังมีธุระ ต้องไปแล้ว ยังไงนายก็อย่าก่อเรื่องอีกล่ะ”
เซี่ยหลวนรีบรับปากเป็นพัลวัน แถมรับประกันอีกหลายหน จนสุดท้ายก็ทำให้อีกฝ่ายพอใจยอมจากไป
กระทั่งลู่หย่วนไปแล้ว เซี่ยหลวนก็กลับมาเผชิญหน้ากับสวนที่เละตุ้มเป๊ะของตัวเอง แล้วตกอยู่ในห้วงความคิดอยู่เป็นนานสองนาน
อันดับแรก ทำไมเซี่ยหลวนถึงไม่เชื่อว่าเรื่องที่ตัวเองพบเจอก่อนหน้านี้เป็นแค่ความฝัน นั่นก็เพราะ ‘อุกกาบาต’ ที่พุ่งชนสวนบ้านเขาคือเรื่องจริง หลุมลึกในสวนนี้เป็นหลักฐานยืนยันได้ และเรื่องที่เพื่อนบ้านไม่รับรู้ถึงเสียงดังสนั่นและแรงสั่นสะเทือนตอนที่อุกกาบาตลูกนี้พุ่งตกลงมานั้นก็เป็นจริงอีกเช่นกัน
เสียงดังสนั่นในตอนนั้นทำให้เซี่ยหลวนรู้สึกว่าเยื่อแก้วหูตัวเองสั่น จู่ ๆ ก็เกิดเสียงดังลั่นขนาดนั้นในเขตชุมชน ทั้งยังทำให้พื้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย ควรเป็นข่าวครึกโครมไปแล้ว แต่ดูจากปฏิกิริยาของลู่หย่วน เห็นได้ชัดว่าโลกภายนอกสงบเงียบดี
แบบนี้จะอธิบายว่าอะไรได้ เซี่ยหลวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสรุปได้แค่ว่าตอนนั้นลูกไฟสีทองคงจะสร้างม่านกำบังให้กับบ้านของเขา ซึ่งเท่ากับบดบังเรื่องราวที่เกิดขึ้นทางฟากนี้จากโลกภายนอก
เวลานี้เขาทำจิตใจให้สงบพลางคิดถึงคำพูดสำคัญสองประโยคที่นึกขึ้นมาได้เมื่อครู่ จึงเริ่มจับต้นสายปลายเหตุได้ราง ๆ
หนึ่งคือ แค่สร้างการเชื่อมต่อ
‘การเชื่อมต่อ’ นี้คงหมายถึงการเชื่อมต่อโลกสองใบเข้าด้วยกัน ทว่าสร้างอย่างไรนั้น จากประสบการณ์ตอนนี้ เซี่ยหลวนจึงนำมันมาเชื่อมต่อเข้ากับความฝันไปก่อน
อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ถ้าตอนนี้เซี่ยหลวนหลับ เดาว่าพอลืมตาขึ้นก็คงพบว่าตัวเองเปลี่ยนไปอยู่โลกอื่นอีกครั้ง
สองคือ จะไม่มีผลกระทบกับชีวิตจริงของเขามากนัก
ตอนนึกถึงประโยคนี้ เซี่ยหลวนก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ลูกอมรสนมเม็ดนั้นที่เขาป้อนให้ลูกมูกะยังอยู่ในนั้นปกติดี
จุดนี้น่าสนใจ เขานำลูกอมเม็ดนี้ไปยังโลกนั้นจริง และป้อนลูกอมให้ลูกมูกะกินหมดจริง แต่เมื่อสติกลับมายังโลกใบเดิม ลูกอมรสนมเม็ดนี้ก็ยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเขาโดยไม่เปลี่ยนที่ไปเลยแม้แต่น้อย
อีกอย่าง ก่อนจะหลับในโลกฝั่งนั้น เซี่ยหลวนจำได้ว่าเขาเอาคริสตัลที่ลูกเงือกมอบให้เก็บไว้กับตัว แต่คริสตัลเหล่านั้นไม่ได้ถูกนำกลับมาในโลกเดิมของเขา
เมื่อแทนโลกฝั่งนั้นเป็นเอ เซี่ยหลวนก็วิเคราะห์กฎออกมาได้สองข้อ…
กฎข้อแรก : ดูเหมือนเขาจะเอาของจากโลกฝั่งนี้ไปที่โลกเอได้ แต่เอาของจากโลกเอมายังโลกฝั่งนี้ไม่ได้
กฎข้อสอง : แม้ของที่เขาพกติดตัวไปยังโลกเอจะหมดไป แต่ในโลกใบเดิมจะยังคงอยู่
ถ้าเป็นแบบนี้ก็หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำเลยไม่ใช่เหรอ แต่เขารู้สึกว่ายังมีกฎอื่นๆที่ยังจับจุดไม่ได้ เซี่ยหลวนจึงไม่ได้ด่วนดีใจจนเกินเหตุ
ข้อสรุปที่ขบคิดออกมาได้เหล่านี้ก็ต้องทำการพิสูจน์ เซี่ยหลวนกลับเข้าบ้านไปล้างหน้าล้างตาจัดการกับตัวเอง ก่อนจะกอดหนังสือเล่มหนึ่งไว้กับอกด้วยความอยากลอง ส่วนลูกอมรสนมก็ยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อ แล้วเอนตัวลงนอนหลับตาอยู่บนเตียง
แค่คิดว่าอยากนอน สติของเซี่ยหลวนก็หลุดลอยไปไกลอย่างรวดเร็ว มันคงเป็นผลจากการสร้างการเชื่อมต่อ
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่เซี่ยหลวนเห็นนอกจากฟูกและผนังห้องทั้งสี่ด้านแล้ว ยังเห็นห้องโทรม ๆ ที่ไม่มีอะไรเลยตามคาด ยกเว้นผ้าห่มที่ห่มอยู่ เซี่ยหลวนรับรู้ถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่งอย่างชัดเจน
เขาเลิกผ้าห่มออก เห็นหนังสือเล่มที่เขานอนกอดไว้ในโลกใบเดิม…เยี่ยม กฎข้อแรกได้รับการยืนยัน
เซี่ยหลวนควานกระเป๋าเสื้อตัวเองอีกครั้ง หนนี้เขาควานหาลูกอมรสนมเม็ดนั้นไม่เจอแล้ว เซี่ยหลวนไม่ค่อยแปลกใจนัก รีบจดกฎเพิ่มเติมลงไปอีกหนึ่งข้อ
กฎข้อสาม : ของชิ้นเดียวกันจากดาวโลกจะพกมายังโลกเอซ้ำอีกไม่ได้
เขาใช้ปลายนิ้วมือลูบปกหนังสือเล่มนี้ ตอนนี้เซี่ยหลวนเข้าใจเซี่ยจั่วอย่างถ่องแท้แล้ว นี่เป็นพลังของลูกไฟสีทองที่ลอยอยู่ข้าง ๆ เขา
พูดกันแบบจริงจัง หนังสือเล่มนี้ไม่ถือว่าเป็นหนังสือที่เขานำมาจากดาวโลก แต่เป็นการปรากฏขึ้นมาเองดื้อ ๆ กลางอากาศ เพราะถ้าเป็นการนำของมาด้วย เช่นนั้นแล้วของที่อยู่บนดาวโลกจะต้องหายไป แต่นี่ไม่ใช่แบบนั้น
หากใช้มุมมองของสสารนิยมคงไม่อาจอธิบายจุดนี้ได้ เซี่ยหลวนจึงได้แต่พยายามทำความเข้าใจจากมุมมองของจิตนิยม โลกใบนี้เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้มีอยู่ ฉะนั้นมันจึงปรากฏ
สาเหตุที่โลกใบนี้เชื่อว่ามีหนังสือเล่มนี้อยู่ ก็เพราะ ‘การเชื่อมต่อ’ ที่ตัวเซี่ยหลวนเป็นสื่อนำพา ทำให้ ‘การเชื่อมต่อ’ นี้ตบตากฎระนาบของโลกใบนี้ มันเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ประเภทหนึ่งที่เกินกว่าจะจินตนาการได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เซี่ยหลวนอดคิดไม่ได้ อีกฝ่ายมีพลังยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่กลับบอกว่าตัวเองไม่อาจกอบกู้โลกที่จะพินาศในอนาคตได้ และจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากเขา
แต่เขาจะทำอะไรได้ในโลกใบนี้
โจทย์การกอบกู้โลกที่ยิ่งใหญ่และยาวไกลขนาดนี้ ถ้าอีกฝ่ายเป็นตัวละครระดับบอสที่พลังต่อสู้ขั้นเทพยังทำไม่ได้ แล้วมนุษย์โลกจอมห่วยแตกอย่างเขา…
“หยุด” เซี่ยหลวนยกมือตบแก้มตัวเองเพื่อไล่ความคิดไร้สาระเหล่านี้ออกไป
ในอนาคตโลกใบนี้จะพังพินาศ ซึ่งอนาคตที่ว่านั้นจะอีกนานเท่าไหร่ และสาเหตุที่แท้จริงเป็นเพราะอะไร เซี่ยหลวนยังไม่รู้ แต่เมื่อเทียบกับการขบคิดเรื่องที่ต่อให้คิดจนหัวระเบิดก็หาคำตอบไม่ได้ เขารู้สึกว่าตัวเองควรหาแนวทางแห่งความพยายามที่มีความหมายมากกว่า
พวกที่สามารถ ‘พก’ สิ่งของจากดาวโลกมายังโลกฝั่งนี้ได้เป็นพวกนิ้วมือทองคำ[2]ที่ยิ่งใหญ่มากแค่ไหนกัน!
ในเมื่อมีพลังแบบนี้ แค่ทำความเข้าใจธุรกิจของโลกฝั่งนี้ เขาก็สามารถหาเงินมาปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ของสาขาพวกเขาได้แล้วไม่ใช่เหรอ
จะได้ซื้ออาหารที่ดีกว่านี้สักหน่อยให้เหล่าลูกสัตว์ในสาขา ซื้อที่นอนนุ่มนิ่มและสบายขึ้นอีกนิด เมื่อมีเงินเยอะยังปรับปรุงสภาพแวดล้อมด้านหน้าสาขาให้ดีได้ด้วย อย่างน้อยประตูใหญ่ตรงทางเข้าก็ต้องทำให้ผู้คนสะดุดตา!
เรื่องทั้งหมดนี้มีความหมายยิ่งกว่าการมานั่งคิดเรื่อง ‘กอบกู้โลก’…ต้องหาเป้าหมายให้ตรงจุด เซี่ยหลวนลุกขึ้นยืนแล้วออกจากห้องไป
เขาต้องไปถามวิธีทำการค้าของดาวเคราะห์ดวงนี้กับเซี่ยฉีเสียหน่อย เพื่อดูว่าจะใช้นิ้วทองคำของตัวเองหาเงินก้อนแรกอย่างไร
[1] เป็นคำพูดแกมประชดประชัน สื่อถึงสิ่งของที่ได้มาโดยง่าย ในที่นี้หมายถึงการล้อลู่หย่วนว่าเป็นเด็กที่ได้แถมมา เหมือนคำพูดที่ว่าเก็บมาจากถังขยะ
[2] ในที่นี้หมายถึง คนที่ข้ามเวลามาแล้วได้ความสามารถพิเศษหรือของวิเศษที่ทำให้เก่งกาจ