不要物种歧视
อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันสิ เล่ม 2
月下蝶影
เย่ว์เซี่ยเตี๋ยอิ่ง
เขียน
นกแก้ว
แปล
— โปรย —
‘พยับเมฆบนท้องนภาหมุนแปรปรวนคล้ายจะบังเกิดอสนีบาต
ฝูหลีมองมังกรทองที่ขวางด้านหน้าตนก่อนแหงนหน้ามองฟ้า’
เขาไม่เคยคาดคิดและก็ไม่เคยคาดหวังมาก่อนว่าวันหนึ่งจะมีใครเอาชีวิตทั้งชีวิตมาปกป้องเขา
หลังจากตัดสินใจเข้าทำงานใน ‘กรมควบคุม’ ความสัมพันธ์ของฝูหลีกับจวงชิงก็รุดหน้า
ทว่าจะอย่างไรก็คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะปกป้องเขาถึงเพียงนี้
การมีใครสักคนร่วมต่อสู้ไปด้วยกันก็ดีเช่นนี้เอง
ไม่ว่าต้องเจอกับปีศาจตนใด หรือเรื่องราวในอดีตที่เลวร้ายสักแค่ไหน
ขอแค่มีใครสักคนยอมเดิน ‘จับมือ’ กันไปก็ใช้ได้แล้ว
ว่าแต่ ‘จับมือ’ เลยเหรอ ปีศาจน้อยใหญ่ในกรมควบคุมจะไม่ว่าอะไรใช่ไหม
แต่ความจริงจะว่าอะไรก็ช่างเถอะ แค่อย่าเหยียดเผ่าพันธุ์กันก็พอแล้ว
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 54
นาทีที่สายฟ้าฟาดลงมา ทุกคนต่างตะลึงพรึงเพริดประหนึ่งเห็นวันสิ้นโลก
จวงชิงเขวี้ยงกระบี่วิเศษในมือพยายามหยุดยั้งสายฟ้า อย่างไรก็ตาม กระบี่กลับขวางได้เพียงสายแรก แต่ต้านสายที่สองไม่อยู่ ด้วยอารามรีบร้อนเขาจึงจับเจ้ากระต่ายโชกเลือดยัดเข้าอกเสื้อคลุมทันที
อสนีบาตใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จังหวะที่กำลังจะโดนจวงชิง สายฟ้าพลันแบ่งเป็นสองสาย ครึ่งหนึ่งผ่าลงบนตัวจวงชิง อีกครึ่งผ่าใส่ชิงเหยี่ยนที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น
ตอนที่โดนฟ้าผ่าใส่ จวงชิงร้องอึกและงอตัวปกป้องกระต่ายในอกที่แทบจับไว้ไม่อยู่
“คุณอย่าดิ้น ผมเป็นลูกรักของสวรรค์ คุณไม่ใช่” จวงชิงกักตัวฝูหลีไว้แน่น พลางรวบรวมพลังวิญญาณตรงดวงตา มองทะลุผ่านมหาสมุทรมืดมิดไปยังผืนนภาด้านบน
ยามนี้พยับเมฆหมุนปั่นป่วนสว่างวูบวาบจากฟ้าแลบ ดูเหมือนมีอสนีสวรรค์สายใหม่กำลังก่อตัว
“ไว้กลับไปไม่ใช่แค่เงินเดือนเดือนนี้คุณจะไม่เหลือ ปีนี้ทั้งปีก็ไม่มีแล้ว” จวงชิงกำหูกระต่ายสองข้าง ส่งเสียงหึก่อนจะพูด “เลิกถีบขาแล้วรอผมดี ๆ ไม่งั้นผมจะกรอกแบบประเมินบรรจุเป็นข้าราชการ[1]ของคุณว่าไม่เหมาะสม”
ห่างจากจุดที่ทั้งสองอยู่ไม่ไกล ชิงเหยี่ยนกำลังดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดทรมาน กระนั้นมังกรเขียวตนอื่น ๆ รอบข้างต่างก็ไม่กล้าเข้าใกล้ด้วยกลัวอสนีสวรรค์
สายฟ้าสายที่สามดูเหมือนจะเล็กกว่าเมื่อครู่มาก อานุภาพก็เบาลงเช่นกัน เทียบกับอสนีที่ผ่าอวี๋เจียงแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงราวท่อนขากับปลายเข็ม แต่ถึงอย่างนั้นพลานุภาพที่แฝงมากับอสนีสวรรค์ก็ยังทำให้ทุกชีวิตตรงนั้นหวาดกลัวอยู่ดี
อสนีสวรรค์ผ่าติดต่อกันจนครบเก้าสาย ทุกสายแยกเป็นสอง โดยสายหนึ่งผ่าจวงชิง อีกสายผ่าชิงเหยี่ยน ช่วงท่อนล่างของชิงเหยี่ยนถูกผ่าจนไหม้แทบหมด แม้แต่เสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวดยังเปล่งไม่ออกแล้ว
จวงชิงล้วงฝูหลีออกมาจากอกเสื้อโยนไปข้าง ๆ ใบหน้าของเขาซีดขาว เหงื่อไหลโซม ร่างกายโงนเงน ก่อนที่เขาจะหัวเราะเสียงเย็นใส่ฝูหลี “ชาติที่แล้วผมคงติดหนี้คุณ”
ไม่อย่างนั้นเขาจะสมองเลอะเลือนจับอีกฝ่ายยัดใส่อกเสื้อเพื่อปกป้องทำไม
ประมุขเผ่ามังกรเขียวมองชิงเหยี่ยนที่นอนกระตุก หายใจพะงาบ ๆ บนพื้น แล้วแหงนหน้ามองฟ้า สายตาฉายความขยาดกลัว เขาเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์เดินไปตรงหน้าฝูหลี ยื่นมือสั่นเทาประสานคำนับพลางเอ่ย “เรื่องในวันนี้เผ่ามังกรเขียวเราเป็นต้นเหตุ ไหน ๆ ชิงเหยี่ยนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ อีกทั้งสวรรค์เองก็พิโรธแล้ว หากสหายธรรมฝูสู้รบตบมือกับพวกเราต่อไปต่างก็ไม่เป็นผลดีแก่ทั้งสองฝ่าย ขอสหายธรรมฝูโปรดเมตตารามือด้วยเถิด”
“ท่านประมุข!” มังกรเขียวตนอื่น ๆ เห็นประมุขเผ่าตนถึงกับก้มหัวให้จวงชิงกับฝูหลีก็พากันทำหน้าไม่ยินยอม
“หุบปากให้หมด!”
ผู้ที่ตำหนิหาใช่ประมุขเผ่า หากแต่เป็นผู้อาวุโสใหญ่ที่เก็บตัวไม่ออกมาหนึ่งพันเก้าร้อยกว่าปีแล้ว ผมผู้เฒ่าหงอกขาวไปทั้งหัว ร่างกายแก่ชราอย่างเห็นได้ชัด เดินงก ๆ เงิ่น ๆ โดยไม่ต้องการให้มังกรตนอื่นประคองมายังเบื้องหน้ากระต่ายที่ขนยังเป็นสีแดง ก่อนประสานมือโค้งคารวะสุดตัว ความหวาดกลัวฉายบนใบหน้าอย่างปิดแทบไม่มิด “ผู้น้อยเสียมารยาทล่วงเกินทำให้ผู้อาวุโสขัดเคืองแล้ว ขอผู้อาวุโสโปรดอภัยด้วย”
“ผู้อาวุโสใหญ่?” ประมุขเผ่ามังกรเขียวทำหน้าตกใจอย่างปิดบังไม่ทัน ด้วยไม่คาดคิดว่าผู้อาวุโสใหญ่จะออกมา “เหตุใดท่านถึงออกมาได้”
ปีนั้นเผ่ามังกรเขียวของพวกเขาซึ่งกำลังวิวาทกับกลุ่มปีศาจในแม่น้ำเว่ยได้ส่งเสียงพันลี้แจ้งว่าสู้กับศัตรูไม่ไหว ดังนั้นทางเผ่าจึงส่งคนในเผ่าหลายคนไปสนับสนุน ทว่าเมื่อไปแล้วไม่เพียงช่วยใครกลับมาไม่ได้ กำลังเสริมที่ส่งไปก็ทั้งบาดเจ็บทั้งล้มตาย คนที่ผ่านเหตุการณ์นั้นและยังรอดชีวิตมาจนบัดนี้เหลือเพียงผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้น
ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ยอมพูดเรื่องนี้ต่อหน้าพวกตน ทำเพียงเพิ่มคำสั่งสอนของเผ่าขึ้นมาข้อหนึ่ง ว่าอย่าได้หาเรื่องปีศาจที่ดูภายนอกอ่อนแอ แต่ใจกล้ามาก ส่งเดชเป็นอันขาด ประมุขเผ่าหันมองกระต่ายที่นอนหมอบบนพื้นอย่างไม่แน่ใจ
“เจ้าเป็นใคร” ฝูหลีเปลี่ยนกลับเป็นร่างคนเข้าไปประคองจวงชิง พอถูกอีกฝ่ายผลักออกอย่างรังเกียจก็ยื่นมือเข้าไปประคองใหม่ จวงชิงเหล่ตามองเขาเงียบ ๆ แต่ก็ไม่ได้ผลักออกอีก
ผู้อาวุโสใหญ่มองเด็กหนุ่มเบื้องหน้าพลางหวนนึกถึงเรื่องเมื่อหนึ่งพันเก้าร้อยกว่าปีก่อน ตอนนั้นตนกำลังหยิ่งทะนง แม้จะยังไม่ผ่านการลอกคราบครั้งสุดท้าย แต่ด้วยอาศัยความเป็นมังกรที่โดดเด่นที่สุดในหมู่รุ่นเยาว์ จึงตามมังกรตนอื่นออกไป ‘ป้องกันศัตรูนอก’ ด้วย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่พวกเขาถึงที่หมายก็ถูกตีเสียยับเยินโดยไม่ทันเห็นรูปร่างศัตรูชัด ๆ ด้วยซ้ำ หลังผ่านสมรภูมิอสนีบาต ศัตรูก็หายตัวไป ส่วนพวกเขานั้นทั้งเจ็บทั้งเหนื่อย ในตอนที่นึกว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว ก็มีปีศาจกระต่ายตัวหนึ่งกระโดดออกมาจากกอหญ้า มังกรเขียวตนหนึ่งอารมณ์ไม่ดีเลยพูดจาเยาะเย้ยปีศาจกระต่าย ที่ไหนได้ เจ้าปีศาจกระต่ายตนนั้นกลับดุร้ายเหลือคณา ลงมืออย่างเหี้ยมโหดราวกับหมายจะตกตายไปพร้อมกัน
เผ่ามังกรอันเกรียงไกรไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะมีวันพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือกระต่ายตัวหนึ่ง ได้ยินเสียงร้องอย่างน่าเวทนาของเพื่อนร่วมเผ่าแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่ในวัยเยาว์ก็ตกใจกลัวตัวสั่นงันงก มีเพียงยามความตายมาอยู่ตรงหน้าเท่านั้นถึงเพิ่งตระหนักว่าตัวเองกลัวตายแค่ไหน
“เจ้า…” คมกระบี่เย็นเฉียบพาดบนคอเขา เด็กหนุ่มที่ยืนตรงหน้าดูแล้วอายุประมาณสิบแปดปี สวมชุดแพรขาว รอยเลือดมังกรที่เปื้อนบนผืนผ้าสีขาวช่างราวกับลายดอกเหมยแดงงดงามจับตา
“ข้าไม่ฆ่าเด็ก” ชายหนุ่มถอนกระบี่กลับ แต่โบกฝ่ามือตีเขามังกรเขาจนแหลกแทน “ไสหัวไปเสีย”
เมื่อได้สติ ศพของมังกรเขียวก็ลอยเต็มแม่น้ำเว่ยเรียบร้อยแล้ว เขาลนลานบินขึ้นฟ้า ก่อนจะพบว่าแม่น้ำเว่ยด้านล่างมีศพมนุษย์และสัตว์ลอยเกลื่อน เด็กน้อยร้องไห้จ้าในอ่างไม้ มารดาที่นอนลอยกลางน้ำในมือยังอุ้มเด็ก
เสียงร่ำไห้และก่นด่าสาปแช่งดังขึ้นไปถึงบนฟ้า เขาหลบอยู่ในชั้นเมฆ มองหญิงชราชี้ฟ้าอย่างเคียดแค้นอาฆาต
“สวรรค์ช่างไม่มีตานัก!” ว่าจบหญิงชราก็กระโดดลงแม่น้ำที่เต็มไปด้วยศพ ดวงตาฉายความเคียดแค้นชิงชังจนกระทั่งน้ำท่วมหัวถึงค่อยหลับตาลง
“เรื่องเมื่อปีนั้นเผ่ามังกรเขียวทำผิดมหันต์ ดังนั้นถึงเผ่าของเราจะสูญเสียไปยี่สิบหกชีวิตกลางแม่น้ำเว่ยก็ไม่กล้าแค้นเคืองใด ๆ” ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะขื่น “วันนั้นหากผู้อาวุโสไม่เมตตาละเว้น ผู้น้อยก็คงสิ้นชีพ ณ แม่น้ำเว่ยเช่นกัน”
ภายใต้สถานการณ์เมื่อตอนนั้น หนี้ชีวิตหรือบุญคุณความแค้นใด ๆ เขาล้วนแยกแยะไม่ออกแล้ว หลังจากกลับถึงวังมังกร พอคิดถึงศพที่ลอยเกลื่อนแม่น้ำและสายตาพยาบาทของหญิงชรา จากนั้นเขาก็ไม่ออกจากวังมังกรอีกเลย
“เจ้านี่เอง” ฝูหลีจำมังกรวัยเยาว์ที่ตัวสั่นงันงกตนนั้นได้แล้ว เขามองผู้อาวุโสใหญ่ร่างกายแก่หง่อมตรงหน้า “ทำชั่วให้มันน้อย ๆ จะได้ไม่แก่เร็ว”
“เจ้า!” มังกรเขียวตนหนึ่งอยากจะโต้ แต่ถูกผู้อาวุโสใหญ่ห้าม
“ผู้อาวุโส” ผู้อาวุโสใหญ่ประสานมือโค้งตัวต่ำคำนับฝูหลี “ผู้น้อยดูแลลูกหลานไม่ดี เป็นความผิดของผู้น้อย เรื่องเมื่อวันวานผ่านมาสองพันปีแล้ว ขอผู้อาวุโสโปรดปล่อยวางเถิด”
ศอกจวงชิงที่ถูกฝูหลีจับไว้เจ็บขึ้นมานิด ๆ แต่เจ้าตัวก็ไม่ร้องประท้วงสักคำ
“ที่ชิงเหยี่ยนได้รับการสั่งสอนจากสวรรค์ในวันนี้เป็นเพราะเขาหาเรื่องใส่ตัวเอง อีกอย่าง ทุกวันนี้สวรรค์ก็เข้าข้างมนุษย์ จะยอมปล่อยให้ผู้อาวุโสกระทำการเข่นฆ่าได้อย่างไร” ใบหน้าแก่ชราเผยอารมณ์ขื่นขม “วันนี้ผู้น้อยขอสาบานว่าจะดำรงตนอยู่ในกฎแห่งสวรรค์ หากมังกรเผ่าผู้น้อยทำร้ายผู้อาวุโสอีก ไม่ต้องให้ผู้อาวุโสลงมือ ผู้น้อยก็จะลงโทษเขาเอง หากผิดคำสาบาน ขอให้ข้ารับเคราะห์อสนีเก้าสายไหม้เป็นจุณ”
ฝูหลีหัวเราะหยัน “เผ่ามังกรพวกเจ้าก็แค่ตายไปยี่สิบหกตน แล้วชีวิตนับแสนนับล้านในลุ่มแม่น้ำเว่ย ใครเล่าจะชดใช้”
“ผู้อาวุโส…”
“เก็บมาดนักบุญของเจ้ากลับคืนไปเถอะ” ฝูหลียกพัดสีชาดชี้ใส่ผู้อาวุโสใหญ่ “อย่าได้ให้ข้าเห็นเผ่ามังกรเขียวของพวกเจ้าอีกแม้แต่ตนเดียว”
พอฝูหลีก้มหน้ามองดวงหน้าซีดขาวของจวงชิงแล้ว เขาก็ไม่มีแก่ใจเปลืองน้ำลายกับเผ่ามังกรเขียวอีก จึงพูดกับจวงชิง “คุณรอผมหน่อย”
เขาเดินไปข้าง ๆ ชิงเหยี่ยนที่นอนหายใจรวยริน เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขา ร่างมังกรใหญ่โตก็สั่นเป็นเจ้าเข้า
“หึ” ฝูหลีเดินข้ามตัวมังกรไปเก็บกระบี่ที่ถูกฟ้าผ่าดำไหม้ จากนั้นหมุนตัวเดินกลับไปข้างกายจวงชิง “พวกเรากลับ”
เขาดึงแขนจวงชิงพาเหาะออกจากวังมังกรทันใด
“ผู้อาวุโสใหญ่จะปล่อยให้มันไปง่าย ๆ แบบนี้หรือขอรับ” มังกรเขียวตนหนึ่งพูดอย่างไม่ยอมจำนน “หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เผ่ามังกรเขียวเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“เรื่องในวันนี้ใครก็พูดออกไปไม่ได้” ผู้อาวุโสใหญ่ก้มหน้ามองชิงเหยี่ยนที่นอนอยู่บนพื้น “พวกเจ้าพาเขาไปรักษา ต่อไปหากไม่มีคำสั่งข้า ห้ามชิงเหยี่ยนก้าวเท้าออกจากวังมังกรแม้แต่ก้าวเดียว”
“ผู้อาวุโสใหญ่” ประมุขเผ่าเรียกผู้อาวุโสใหญ่ “ปีศาจที่ชื่อฝูหลีนั่นเป็นมาอย่างไรกันแน่”
“ตบะของเขาข้ามองไม่ออก” ผู้อาวุโสใหญ่เริ่มเล่าเรื่องน่าอาย “ปีนั้น ณ ริมแม่น้ำเว่ย เดิมข้าควรสิ้นชีพใต้คมกระบี่ของเขาแล้ว แต่เขาละเว้นชีวิตข้าไว้ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเผ่ามังกรเขียวเราสูญเสียไปเท่าไหร่ ทุกวันนี้พวกเรายังเหลือกันอยู่เท่าไหร่ ยังรับความสูญเสียแบบนั้นได้อีกหรือ”
ประมุขเผ่าเงียบลงพักหนึ่ง เขามองชิงเหยี่ยนที่ยามนี้สลบไสลไปแล้วพลางส่ายหน้าถอนหายใจ “ตอนนั้นพวกเราไม่ควรยัดเยียดความคิดที่จะเป็นมังกรประจำชะตาเมืองให้กับชิงเหยี่ยนเลย ถ้าไม่มีเรื่องเมื่อปีนั้น ก็คงไม่เกิดเรื่องมากมายเช่นนี้”
ผู้อาวุโสใหญ่เงียบไปสักพัก สีหน้าครุ่นคิดมากขึ้น
“คุณไหวไหม” ฝูหลีลากจวงชิงขึ้นจากทะเล เขาเห็นแผลทั่วตัวชายหนุ่ม เสื้อเชิ้ตและสูทด้านหลังขาดวิ่น ผิวบริเวณหลังปริแตกเห็นเนื้อ บางจุดโดนฟ้าผ่าจนไหม้ดำ
“ยังไม่ตายหรอก” จวงชิงก้มมองเสื้อสูทกะรุ่งกะริ่งบนตัว “สูทตัวนี้เป็นคอลเล็กชั่นโอตกูตูร์ฤดูใบไม้ร่วงใหม่ล่าสุด ตอนแรกผมกะจะใส่ไปงานเลี้ยงการกุศลในอีกไม่กี่วันนี้”
“แผลเต็มตัวขนาดนี้ยังจะห่วงเสื้อผ้าอะไรอีก” ฝูหลีหยิบเรือทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากถุงเฉียนคุน พอโยนไปในทะเลมันก็ขยายเป็นเรือแบบมีห้องโดยสารรูปลักษณ์วิจิตรสวยงาม ด้านในมีทั้งโต๊ะ เก้าอี้ แม้กระทั่งเตียงตั่งนุ่ม ๆ ก็ยังมี
ฝูหลีพาจวงชิงกระโดดขึ้นเรือโดยสาร “ไปนอนบนตั่ง”
ชายหนุ่มมองฝูหลีอย่างระแวง “คุณคิดจะทำอะไร”
“จะทำอะไรได้อีกล่ะ” ฝูหลีกดจวงชิงลงบนเตียง ก่อนจะฉีกเปิดเสื้อของเขาจนเผยแผ่นอกและแผ่นหลังเปลือยเปล่า
“ฝูหลี!” จวงชิงผลักฝูหลีออกแล้วลุกขึ้นนั่ง “คุณบ้าไปแล้วเหรอ!”
“อย่าดื้อ นอนลงดี ๆ” ฝูหลีตบหัวจวงชิงแปะ ๆ จับมังกรหนุ่มนอนกลับลงไปอีกครั้ง จากนั้นหยิบยาขวดหนึ่งจากในถุงเฉียนคุน “แผลคุณสาหัสมาก”
เพราะยาที่อีกฝ่ายทาลงบนแผลให้ความรู้สึกเย็นกำลังดี จวงชิงจึงนอนคว่ำลงบนเตียงแต่โดยดีและไม่ดิ้นอีก
เนื่องจากแผลลึกและเยอะเกินไป ยาขวดเดียวไม่พอ ฝูหลีจึงเอาออกมาอีกขวด “เมื่อกี้ต้องขอบคุณคุณมาก”
เขาเป็นปีศาจอายุสี่พันกว่าปีกลับถูกมังกรผู้เยาว์เอาตัวเข้าปกป้อง ทำให้เขารู้สึกทั้งตื้นตันและรู้สึกไม่ดีในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าถ้อยคำขอบคุณซาบซึ้งใด ๆ ล้วนเทียบไม่ได้กับความรู้สึกในใจเขาตอนนี้
“ผมก็ไม่ได้อยากช่วยคุณ” จวงชิงส่งเสียงหึ “แต่ถ้าคนอื่นรู้ว่าเจ้าหน้าที่กรมควบคุมของผมถูกอสนีสวรรค์ผ่าตาย ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
แผ่นหลัง ลำคอ และแขนถูกทายาจนหมด ไม่รู้ว่ายาวิเศษนี้ทำจากสมุนไพรอะไรกันแน่ เพราะทาไม่นานปากแผลก็เริ่มสมาน
ฝูหลีตบก้นจวงชิงเบา ๆ “มา ถอดกางเกง”
จวงชิงหันขวับไปจ้องอีกฝ่าย
“ทำไมล่ะ” ฝูหลีโดนจ้องจนรู้สึกแปลก ๆ “ตอนคุณเปลี่ยนเป็นมังกรก็ไม่ใส่เสื้อผ้าสักหน่อย มีอะไรน่าอายกัน”
“ปีศาจเฒ่าฝู คุณลืมแล้วหรือไงว่าในตัวผมมีสายเลือดมนุษย์ครึ่งหนึ่งน่ะ” จวงชิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “พวกมนุษย์อย่างเราไม่มีนิสัยชอบเปลือยกายต่อหน้าคนภายนอกหรอกนะ!”
“อย่างนั้นคุณก็ปิดข้างหน้าไว้ ผมช่วยทาก้นให้” ฝูหลีหยิบยาทาขวดที่สาม “ส่วนข้างหน้าคุณก็ทาเอง”
“ออกไปเลย!” จวงชิงสุดจะทน ยื่นมือแย่งขวดยาจากมือฝูหลี “ผมทาเอง!”
“ได้ ๆๆ คุณเป็นทั้งเจ้านายทั้งผู้มีพระคุณช่วยชีวิตนี่ ว่าอย่างไรก็อย่างนั้น” ฝูหลีวางขวดยาใส่มือจวงชิงเพิ่มอีกขวดแล้วลุกขึ้นปลดม่านลง มายืนรอด้านนอกม่านพลางพูด “ผมรออยู่ข้างนอกแล้วกัน”
จวงชิงมองเงาคนด้านหลังม่านแล้วค่อย ๆ ถอดกางเกง ร่างกายส่วนล่างเป็นแผลเหวอะหวะอวลกลิ่นคาวเลือด เขาโบกมือชำระเลือดบนขาหน้านิ่ง และทายาลงบนแผลทีละน้อย “ฝูหลี คุณพูดถูก”
เงาด้านนอกขยับ “อะไรหรือ”
“คุณน่าจะไม่ใช่กระต่ายธรรมดาจริง ๆ” นึกถึงลวดลายอสูรสีทองบนใบหน้าตอนฝูหลีเกือบธาตุไฟเข้าแทรกและความดุร้ายยามกัดกินเนื้อชิงเหยี่ยนแล้ว จวงชิงพลันขมวดคิ้วมุ่น รีบทายาตัวเองให้เสร็จ จากนั้นเปลี่ยนเกล็ดมังกรบนร่างเป็นเสื้อผ้าชุดหนึ่ง แล้วแหวกผ้าม่านเดินออกไป
“ผมลืมเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งด้วย” จวงชิงเสกแปรงสีฟันและยาสีฟันจากอากาศ “แปรงฟัน!”
ฝูหลีหน้ามุ่ย ก่อนจะรับแปรงสีฟันและยาสีฟันมาแปรงอย่างว่าง่าย
“รู้หรือเปล่าว่าเนื้อดิบมีเชื้อโรคกับพยาธิเยอะแค่ไหน” จวงชิงยื่นน้ำแก้วหนึ่งให้อีก “อะไรก็ไม่รู้ยังกล้ากินส่งเดช โรงอาหารในกรมควบคุมยักยอกอาหารคุณไปหรือไง”
ฝูหลีเกาะกราบเรือถุยฟองทิ้งแล้วบ้วนปาก ก่อนหันไปมองจวงชิงด้วยดวงตาวาว ๆ “รู้สึกว่าเนื้อมังกรอร่อยดีทีเดียวนะ”
จวงชิงลูบแขนตัวเอง “เนื้อกระต่ายก็อร่อยมากเหมือนกัน”
“คุณบอกว่าผมไม่ใช่กระต่ายไม่ใช่เหรอ” ฝูหลีบ้วนปากต่อ
“ไม่ใช่กระต่ายธรรมดาไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่กระต่าย” จวงชิงเห็นฝูหลีเตรียมจะเก็บแปรงสีฟันแล้วก็ขมวดคิ้วว่า “แปรงอีกรอบ”
ฝูหลีเบ้ปากทันที
จวงชิงถกแขนเสื้อโชว์แผลบนข้อมือที่ยังไม่หายดี
ฝูหลี…ด้วยความรู้สึกผิดจึงบีบยาสีฟัน แปรงฟันอีกรอบแต่โดยดี
ในทะเลห่างออกไปไกล โจรสลัดคนหนึ่งวางกล้องส่องทางไกลลงแล้วขยี้ ๆ ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่ กระนั้นก็ยังหยิบกล้องส่องทางไกลมาดูอีกรอบ “ระ…เรือผี?”
น่านน้ำแถบนี้มีตำนานเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่ เนื่องจากช่วงนี้เรือสินค้าสูญหายในบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก นานวันเข้าจึงเริ่มมีข่าวลือเรื่องผีแพร่กระจาย อันที่จริงไม่มีเรื่องเหนือธรรมชาติอะไรหรอก เป็นพวกเขาเองที่ปล้นเรือสินค้าเหล่านั้นแล้วจงใจแพร่ข่าวลือต่างหาก
“เรือผีอะไร นี่มันยุควิทยาศาสตร์แล้ว มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่เชื่อเรื่องพรรค์นี้” กัปตันเรือตบหัวอีกฝ่าย “จับตามองน่านน้ำให้ดี ดูซิว่ามีปลาตัวอ้วนให้จับหรือเปล่า”
“ไม่ใช่นะกัปตัน มีเรือผีจริง ๆ” โจรสลัดชี้ไปข้างหน้า “กัปตันดูเร็ว!”
กัปตันหยิบกล้องส่องทางไกลที่ห้อยอยู่ตรงอกขึ้นมาดู แล้วก็พบเรือแปลกพิสดารลอยลำอยู่ในทะเลอย่างที่ว่า เทียบกับเรือโจรสลัดซึ่งพรางตัวเป็นเรือสินค้าแล้ว เรือที่ตกแต่งเหมือนห้องใต้หลังคาไม้ลำนั้นดูเล็กและเปราะบางมากจริง ๆ แล้วเรือแบบนี้แล่นมาไกลจนมาลอยอยู่กลางทะเลขนาดนี้ได้อย่างไร ลำพังแค่คลื่นหรือลมกระโชกหน่อยก็สามารถซัดเรือนี่ให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้แล้ว
อีกอย่าง ทำไมเรดาร์ถึงจับสัญญาณใด ๆ ไม่ได้
หรือว่าจะเป็นเรือผีจริงๆ
“หือ?” ฝูหลีหันขวับ ก่อนกางเขตอาคมรอบตัวเรือ
“มีอะไร”
“มีมนุษย์ลอบมอง” ฝูหลีมองไกล ๆ “ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนดีด้วย”
“หะ…หายไปแล้ว?” โจรสลัดผู้น่าสงสารตกใจกลัวจนพูดตะกุกตะกักไม่เป็นภาษา เขาวางกล้องส่องทางไกลลง “ระ…รีบเปลี่ยนเส้นทางเรือเร็ว”
“กัปตัน เรือเสียการควบคุมไปแล้วครับ” นายท้ายเรืออยากจะร้องไห้แต่น้ำตาไม่ออก เห็นเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ขยับไปมาเองอย่างบ้าคลั่งก็กุมหัวด้วยอาการสติหลุด “จบเห่ จบเห่แล้ว!” เขายังไม่ได้ดื่มเหล้าที่แพงที่สุด กอดสาวที่สวยที่สุด กินอาหารที่อร่อยที่สุดเลย จะมาตายกลางมหาสมุทรอย่างนี้ได้ยังไง
กระนั้นต่อให้พวกเขาสติแตกหรือหวาดกลัวแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ เรือลำนี้แล่นไปยังทิศทางหนึ่งอย่างต่อเนื่องราวกับมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น จนกระทั่งปะเข้ากับเรือรบของกองทัพ
เดี๋ยวนี้ถึงเป็นผีในทะเลก็รู้จักดำเนินการตามกฎหมายเหมือนกันหรือเนี่ย
โจรสลัดเจอเรือรบแบบนี้จะยังมีจุดจบแบบไหนได้อีกล่ะ
“กัปตันครับ” นายท้ายเรือนั่งนิ่งเป็นอัมพาตบนดาดฟ้าเรืออย่างสิ้นหวัง “พวกเราฝึกร้องเพลงน้ำตาข้างลูกกรงเหล็กดีไหมครับ เข้าคุกไปดีไม่ดีได้เข้าร่วมการแสดงของนักโทษในเรือนจำแน่”
“แสดงให้แม่แกดูสิ ข้าเสียงเพี้ยนจะไปร้องให้ใครฟังได้ ยังไม่รีบหนีอีก!” กัปตันลากตัวนายท้ายออกมา เตรียมจะบังคับเรือเอง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะกดอะไร ปุ่มทั้งหมดในห้องบังคับเรือก็ราวกับพร้อมใจกันขัดข้อง ไร้การตอบสนองอย่างสิ้นเชิง
“ปัดโธ่โว้ย!” กัปตันเรือเตะประตูห้องบังคับเรือแรง ๆ คิดไม่ถึงว่าโลดแล่นในทะเลมาสิบปีจะมาซวยด้วยเรื่องเหนือธรรมชาติ รู้อย่างนี้ตอนแรกตัวเองไม่น่าปากพล่อยให้คนไปโพนทะนาว่าแถบนั้นมีผีเสียก็ดี ตอนนี้ผีโผล่มาจริง ๆ เลย
โชคดีที่เรือรบเห็นเรือสินค้าแต่ไกล พอส่งสัญญาณหาแต่ไม่ได้รับการตอบกลับจึงรีบลดความเร็วแล้วเลียบเคียงเข้าไปดู เรือลำดังกล่าวลอยนิ่งในทะเล บรรดากะลาสีที่ถูกล้อมบนดาดฟ้าพอเห็นเรือพวกเขาค่อย ๆ เข้าใกล้ ไม่เพียงไม่แสดงความดีใจที่ถูกช่วยเหลือ แต่กลับทำหน้าตื่นตระหนกหวาดกลัว ทำให้คนบนเรือรบรู้ทันทีว่าเรือสินค้าลำนี้มีปัญหา
สุดท้ายพอจับมาสอบสวนก็พบว่านี่คือกลุ่มโจรสลัดใจเหี้ยมชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่เมื่อไม่นานนี้หลายประเทศร่วมมือกันตามจับในน่านน้ำสากล
ตอนนี้กลับจับมาได้ง่าย ๆ ทำเอารู้สึกเหมือนจับเสือมือเปล่าอย่างไรไม่รู้
ได้ยินโจรสลัดพวกนี้เพ้อเจ้อเรื่องผี ทหารเรือบุคลิกจริงจังทุกกระเบียดนายหนึ่งก็พูดขึ้น “ฉันว่าพวกนายทำชั่วมากเกินไปเลยมีผีอยู่ในใจ[2]มากกว่า” คนเราหากตัวตรงก็ไม่ต้องกลัวเงาเฉียง[3] บนโลกนี้ที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ผี หากแต่เป็นจิตใจมนุษย์ที่ไร้ความยับยั้งชั่งใจต่างหาก
จวงชิงมองฝูหลีใช้อิทธิฤทธิ์บังคับเรือโจรสลัดให้เข้าไปติดแหเองด้วยใบหน้าเย็นชา ก่อนหันกลับมาเกาะรั้วมองเมฆบนฟ้าไกล ๆ ราตรีกาลใกล้จะคืบคลานเข้ามาแล้ว ก่อนหน้านี้เขานึกว่าส่วนที่ไม่เหมือนกระต่ายตัวอื่น ๆ ของฝูหลีเกิดจากการกลายพันธุ์ธรรมดา แต่ ณ เวลานี้เขาเปลี่ยนความคิดใหม่แล้ว
ธรรมชาติของกระต่ายควรจะมีความหวาดกลัวต่อมังกร ต่อให้ตบะสูงจนไม่เกรงพลังอำนาจมังกรก็ตาม อย่างไรก็ไม่มีทางถึงขั้นกินเนื้อมังกรตอนขาดสติสัมปชัญญะเด็ดขาด
ดังนั้นแล้ว…ฝูหลีเป็นอะไรล่ะ
จากตำราโบราณและข้อมูลมากมายที่เคยอ่านในวังหลวงของมนุษย์ก็ไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตไหนที่ลักษณะตรงกับฝูหลี
“คุณมองผมทำไม” ฝูหลีมองโจรสลัดถูกคุมตัวไปอย่างพออกพอใจ พอหันมาเห็นจวงชิงกำลังจ้องตนก็นึกว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บภายใน จึงเอื้อมมือไปจับชีพจรที่ข้อมืออีกฝ่ายก่อนจะหน้าขรึมลงทันที “บาดเจ็บภายในทำไมไม่พูด บอกแล้วไงว่าคุณอยู่ในช่วงเวลาสำคัญก่อนจะลอกคราบครั้งสุดท้ายนะ!”
เขาบ่นพลางล้วงหายาฟื้นฟูลมปราณดั้งเดิมในถุงเฉียนคุนออกมายัดใส่ปากจวงชิง “ผมให้ยาฟื้นฟูลมปราณดั้งเดิมคุณไปขวดหนึ่งไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่กิน”
มุมปากจวงชิงกระตุกยิก ๆ แต่ไม่พูดอะไร
แผลแค่เล็กน้อยกลับกินยาราคาหลายล้าน ช้ำในไม่พอ เขายังจะช้ำใจตามอีกต่างหาก
พอโดนบังคับให้กลืนยาไปสามเม็ด จวงชิงคิดเงียบ ๆ กินยามูลค่าหกเจ็ดล้านในทีเดียว ถ้าเปลี่ยนเป็นข้าวสารทิพย์จะพอให้เขากินนานแค่ไหนนะ
“ฟ้ามืดแล้ว” หลังจากกลืนยาลูกกลอนเข้าไป ใบหน้านิ่งของจวงชิงก็ยิ่งทวีความเย็นเยียบ “พวกเราจะนั่งเรือนี่กันทั้งคืนเหรอ”
นิสัยเดิมเขาไม่มีคำว่าเป็นห่วงเป็นใยนี่หรอก แต่เห็นท่าทางเหมือนไม่มีอะไรของฝูหลีแล้ว เขาก็พานถามเรื่องบุญคุณความแค้นเก่าในอดีตระหว่างฝูหลีกับเผ่ามังกรเขียวพวกนั้นไม่ออก
ในฐานะหัวหน้ากรมควบคุม เมื่อเจอว่าลูกน้องเคยมีเรื่องพิพาทกับปีศาจอื่น เขาก็ควรสอบถามให้กระจ่าง ทำตามกฎระเบียบของเจ้าหน้าที่
แต่ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานแล้ว ต่อให้เป็นหัวหน้าก็ไม่ควรเบียดเบียนเวลาพักผ่อนของลูกน้อง
เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็…เลื่อนไปก่อน เลื่อนออกไปก่อนแล้วกัน
“ตกปลากันไหม” ฝูหลียื่นเบ็ดตกปลาให้คันหนึ่ง แล้วหยิบกล่องใส่เหยื่อตกปลาจากลิ้นชักด้านล่างออกมากล่องหนึ่ง “ฝีมือการตกปลาผมไม่เลวทีเดียวนะ”
จวงชิงมองฝูหลีหยิบเบ็ดกับเหยื่อออกมาตามสบายก็หันมองเรือลำนี้ ดูท่าแต่ก่อนฝูหลีก็เคยทำอย่างนี้เช่นกัน เขาเปิดลิ้นชักดู ข้างในยังมีเบ็ดอีกหลายคัน บางทีตอนนั้นปีศาจที่ตกปลาเป็นเพื่อนฝูหลีคงมีไม่น้อย
ด้วยความเป็นมังกร นึกอยากกินปลาก็แค่อ้าปากเท่านั้น จำเป็นต้องใช้วิธีจับปลาที่ทั้งประสิทธิผลต่ำและน่าเบื่อแบบนี้ด้วยเหรอ
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง จวงชิงเหลือบมองถังของฝูหลีที่มีปลาเต็มถังแล้วก้มหน้ามองถังว่างเปล่าของตัวเอง ใบหน้าพลันบึ้งตึงขึ้นทันที
“ไม่ต้องใจร้อน เพิ่งตกปลาใหม่ ๆ ก็แบบนี้” ฝูหลียกถังเทปลาใส่ถังของจวงชิงให้ครึ่งหนึ่ง “มีปลาของผมนำร่องให้แบบนี้ ไม่นานก็ตกได้แล้ว”
จวงชิงก้มหน้ามองปลาที่ดิ้นกระแด่ว ๆ ในถัง หางปลาตีน้ำกระเซ็นใส่หน้าเขา
จวงชิงเช็ดน้ำบนหน้าออก “รีบอะไร ตกได้หรือไม่ได้ไม่ใช่เรื่องสำคัญสักหน่อย”
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง จวงชิงดึงสายเบ็ดขึ้นมา บนนั้นมีปลาที่ทั้งอ้วนทั้งใหญ่ห้อยอยู่
เขาเหล่มองปลาทั้งสองถังแล้วเลิกคิ้ว
จนถึงตอนนี้ ปลาตัวนี้ที่เขาตกได้ตัวใหญ่ที่สุดแล้ว
[1] การสอบรับราชการของจีน เมื่อสอบผ่านแล้วจะมีการตรวจสอบสถานภาพทางการเมือง ประวัติอาชญากรรม และความประพฤติจากที่ทำงานเก่าหรือคนรอบข้างของผู้สอบ
[2] สำนวน หมายถึง มีเรื่องลับลมคมในที่บอกใครไม่ได้หรือมีแผนร้ายอยู่ในใจ
[3] สำนวน หมายถึง หากกระทำอย่างตรงไปตรงมา ซื่อตรงสุจริต ย่อมไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร