君有疾否
ปฏิปักษ์คู่บัลลังก์
如似我闻 หรูซื่อหว่อเหวิน เขียน
เจ้าเจิน แปล
LadyVanila วาด
— โปรย —
คนหนึ่งกุมอำนาจทางการทหาร คนหนึ่งกุมอำนาจผู้ตรวจการแผ่นดิน
คนหนึ่งแสร้งเป็นพวกตัดแขนเสื้อเพื่อเข้าหา
คนหนึ่งหลีกลี้หนีหน้าพวกตัดแขนเสื้อ ทว่ากลับตัดแขนเสื้อเสียเอง
เมื่อสติปัญญาปะทะร้อยเล่ห์ในเกมชิงอำนาจแห่งราชสำนัก
ฉู่หมิงอวิ่น ที่เอาแต่รุกไล่ตามจีบ ซูซื่ออวี้
เจอหน้าอีกฝ่ายเป็นต้องหยอดคำหวานด้วยมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ
เขาจะทำให้จิตใจของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเฉยชาและมั่นคงนี้
มีอันต้องสั่นคลอนเพราะคำพร่ำพลอดทุกคราที่เจอหน้า
จนทลายฉายาบุรุษไร้ใจได้หรือไม่
หรือแผนโค่นล่ม จะกลับกลายเป็นแผนพิชิตรัก
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 3.2
ด้านฉู่หมิงอวิ่นเมื่อออกจากคลังสินค้าแล้ว ยามเลี้ยวผ่านหัวมุมก็ไม่ลืมหันกลับไปมองแวบหนึ่งก่อนจะหัวเราะเบา จากนั้นเขาก็มองทางเบื้องหน้า ผ่อนความเร็วฝีเท้า เดินเอ้อระเหยออกข้างนอก
คลังเก็บสินค้านี้เพื่ออำพรางให้มิดชิด ทุกบริเวณจึงล้วนสร้างขึ้นด้วยก้อนหิน ทางเดินก็ปิดสนิทไร้หน้าต่าง ไม่ต้องพูดถึงความมืดเลือนราง ยังเกิดเสียงสะท้อนได้ง่าย เผยเสียงฝีเท้าของผู้ที่เข้ามาดังมาแต่ไกล
ไม่เหนือจากการคาดเดา เลี้ยวสองสามครั้งก็เห็นทหารคุ้มกันกลุ่มใหญ่ขวางทางด้านหน้าไว้แน่นหนา คนด้านหน้าสุดคำนับให้ฉู่หมิงอวิ่น “ข้าน้อยไม่รู้ว่าใต้เท้าจะมา ไม่ทันได้ต้อนรับให้ทันท่วงที หวังว่าใต้เท้าฉู่จะไม่ถือโทษ”
“อืม” ฉู่หมิงอวิ่นพยักหน้าเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้ต้อนรับแล้วก็ถอยไปเถิด”
“ตำแหน่งข้าน้อยต่ำต้อย ยามปกติยากจะมีโอกาสได้พบใต้เท้า…”
“เจ้าพาคนมาขวางข้าเพื่อพูดคำไร้สาระเหล่านี้หรือ” ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ย
ถานจิ้งชะงัก มองฉู่หมิงอวิ่นตรง ๆ จึงเปิดปากอีกครั้ง “ในเมื่อใต้เท้าทราบแล้ว ข้าน้อยก็จะไม่อ้อมค้อม
“กิจการนั้นของข้า ใต้เท้าเองก็เคยข้องแวะเช่นกัน ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ อีกทั้งจู่ ๆ ใต้เท้าปรากฏตัวขึ้นที่นี่กะทันหัน ข้าย่อมอดมาพบใต้เท้าไม่ได้”
ฉู่หมิงอวิ่นหัวเราะเสียงเบาแล้วจึงเอ่ย “เจ้าคิดว่าข้ามาเผาทำลายหลักฐานหรือ”
“มิกล้า” ถานจิ้งเอ่ย “ผู้บัญชาการจะเป็นคนซ้ำเติมผู้อื่น เห็นแก่ตนเองเช่นนั้นได้อย่างไร”
รอยยิ้มของฉู่หมิงอวิ่นค่อย ๆ ฉายชัดขึ้น เขายกมือล้วงกระดาษสองแผ่นที่ซ้อนไว้ด้วยกันออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นไปยังตะเกียงน้ำมันที่ส่องสว่างบนผนังด้านข้าง เปลวไฟลุกติดกระดาษเกิดกลิ่นน้ำหมึกทันที เพียงเขาปล่อยมือก็ปลิวร่วงก่อนค่อย ๆ กลายเป็นเศษเถ้า
“ทว่าข้าเป็นคนเช่นนั้น” ความเย็นเยือกบนใบหน้าของเขาปรากฏภายใต้แสงไฟอบอุ่น “ดังนั้นอย่าได้คิดเพ้อฝันข่มขู่ข้าด้วยสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นใคร”
ถานจิ้งตกตะลึง พวกผู้คุ้มกันด้านหลังล้วนจับอาวุธแน่น เตรียมพร้อมโจมตีโดยสัญชาตญาณ ดวงตาของถานจิ้งเผยความโหดเหี้ยมออกมา เขายกมือกำลังจะเอ่ยปากกลับถูกฉู่หมิงอวิ่นกล่าวตัดหน้าอีกครั้ง
“แต่ว่าข้าก็ไม่ได้ไร้น้ำใจเพียงนั้น” ฉู่หมิงอวิ่นเป่าเศษเถ้าที่ติดบนปลายนิ้ว “เมื่อครู่ซูซื่ออวี้ยังอยู่ในคลังดินระเบิดของเจ้า ตอนนี้ยังไปได้ไม่ไกลนัก คนที่ตรวจสอบเจ้าคือผู้ตรวจการ คนที่เจ้าควรขวางก็คือเขา”
“ซูซื่ออวี้หรือ” ถานจิ้งจ้องเขาอย่างสงสัย “ใต้เท้ายอมเผยเบาะแสของเขาให้ข้างั้นรึ”
“ซูซื่ออวี้จะเป็นหรือตายเกี่ยวข้องอันใดกับข้า” ฉู่หมิงอวิ่นเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง “คนที่หวังให้เขาตายมีมากนัก”
ถานจิ้งทำความเข้าใจคำพูดนี้โดยละเอียดในใจรอบหนึ่ง ก่อนยิ้มเอ่ยอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าน้อยยินดีทำงานเพื่อใต้เท้า”
ฉู่หมิงอวิ่นกระตุกมุมปากไม่ยี่หระ ยกมือเป็นสัญญาณให้เขาออกไป
ซูซื่ออวี้เลี้ยวออกจากมุม ก่อนหยุดฝีเท้าฉับพลัน เขากวาดมองรอบด้าน สุดท้ายสายตาก็กลับมาหยุดอยู่ที่ตัวถานจิ้ง ยิ้มเอ่ย “ท่าทางเช่นนี้ของใต้เท้าถาน ไม่เหมือนมาเพื่อต้อนรับข้านะ”
“หากไม่ใช่ว่าไร้หนทาง ข้าก็ไม่ยินดีที่จะล่วงเกินใต้เท้า” ถานจิ้งเอ่ย ทหารคุ้มกันด้านหลังเขาล้วนชักอาวุธออกมาแล้ว ปลายแหลมคมในทางเดินมืดสลัวค่อนข้างทิ่มแทงตา
“ล่วงเกินหรือ ข้านึกว่าปลาตายตาข่ายขาด[1]น่าจะเหมาะกับสภาพในตอนนี้ของใต้เท้าถานมากกว่า” ซูซื่ออวี้มองทางที่เขามาแวบหนึ่ง “จะว่าไปแล้ว เจ้ามาจากทางนั้นไม่ได้พบกับใต้เท้าฉู่หรือ”
ถานจิ้งมองท่าทางสุภาพของซูซื่ออวี้ เข้าใจคำถามง่าย ๆ ประโยคนี้ผิดไปโดยไม่รู้ตัว นึกว่าเป็นการเตือนจึงหัวเราะเย้ยหยันออกมา “ใต้เท้าฉู่ไม่กลับมาช่วยท่านหรอก ท่านผู้ตรวจการต้องผิดหวังแล้ว” หยุดครู่หนึ่งก็เอ่ยอีกครั้ง “ไม่ขอปิดบัง ถานจิ้งตอนนี้ ลงมือเพราะได้รับคำสั่งจากใต้เท้าท่านนั้น”
ซูซื่ออวี้อดมองเขาอย่างประหลาดใจไม่ได้ “…ข้าจนปัญญาถึงขนาดไหนกันเชียว จึงจะต้องรอเขาช่วย”
ถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความอีก ถานจิ้งโบกมือ เหล่าทหารคุ้มกันเบียดกรูเข้ามา ซูซื่ออวี้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มองผ่านเงาคนจำนวนมาก แล้วยิ้มบาง ๆ ให้กับถานจิ้ง ก่อนจะมีแสงเย็นเยือกสายหนึ่งจากปลายนิ้วพุ่งตรงเข้าสู่สายตาของเขา
“นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร” เขาถาม
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้” บุรุษผู้หนึ่งยืนข้างหน้าต่าง มองท้องฟ้าและสายธารคดเคี้ยวเชื่อมจรดหากัน
“นำเข้าดินระเบิดจำนวนมากเพียงนั้น เก็บไว้แค่ในคลังสินค้า ไม่ขายออกทั้งไม่เคลื่อนย้าย ต้องการรอคนมาตรวจสอบข้างั้นหรือ” เขากัดฟันเล็กน้อยเอ่ย “ท่านต้องการใช้ข้าเป็นเบี้ยรึ”
บุรุษผู้นั้นพลันหัวเราะขึ้น ก่อนจะหมุนกายมามองเขา “แม้ไม่ทำเช่นนี้ เจ้าจะทนได้อีกนานเท่าไร ภรรยาของเจ้ายังจะทนได้อีกนานเท่าไร”
ถานจิ้งสะดุ้งตื่นขึ้นทันที เขานั่งเหยียดตัวตรงยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก รู้สึกเพียงข้อมือหนักอึ้ง เสียงโซ่ดังเคร้งคร้างตามการเคลื่อนไหวของเขา ใต้ร่างคือหญ้าที่ค่อนข้างชื้นแฉะ ถานจิ้งมองชุดนักโทษสีขาวซีดบนตัว พลันตกตะลึงครู่หนึ่ง ภาพฉากก่อนหมดสติผุดขึ้นมาในหัวช้า ๆ
ทุกอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้ตอบโต้ ในความเลือนรางจำได้เพียงซูซื่ออวี้ยิ้มให้เขา พริบตาต่อมาตนเองก็หมดสติ เหลือเพียงท้ายทอยที่ยังปวดจนกระทั่งตอนนี้
เหตุการณ์เบื้องหน้าเพียงมองก็รู้ทันที อีกทั้งจากความสามารถของผู้ตรวจการ ใช้เวลาไม่นานการกระทำด่างพร้อยในอดีตของเขาต้องถูกตรวจสอบจนหมดแล้วเป็นแน่ เขาก้มหน้า ฝืนหัวเราะขึ้นด้วยความโศกเศร้า
“เจ้าตื่นแล้วหรือ” เสียงนุ่มนวลดังขึ้น
หัวใจของถานจิ้งสั่นกลัว เขาเงยหน้ามอง คนผู้หนึ่งยืนพิงผนังร่างสูงราวกับกระเรียน มองเขาผ่านประตูกรงเหล็ก
“ท่านผู้ตรวจการฝีมือยอดเยี่ยมนัก ช่างเก็บซ่อนได้มิดชิดจริง ๆ” ถานจิ้งเอ่ยเสียงเย็นเยือก
“ชมเกินไปแล้ว”
“จับคนทำผิดและของกลางได้พร้อมกัน ท่านผู้ตรวจการไม่ไปปิดคดี กลับมายังสถานที่อับโชคเช่นนี้เพราะเหตุใด” ถานจิ้งเอ่ย
“ข้ามาเยี่ยมเจ้า” ซูซื่ออวี้เอ่ย
ถานจิ้งหัวเราะเยาะ “ข้าไม่คิดว่าตนเองมีค่าขนาดให้ท่านต้องมาเยี่ยมเยียน”
“ข้ายังจำตอนที่เจ้าเข้าสู่ราชสำนักปีนั้นได้ ว่าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ หวังพลีชีพเพื่อราษฎร์บ้านเมือง” ซูซื่ออวี้มองคนที่ท่าทางจนตรอกภายในคุกมืด “ยามนี้คาดไม่ถึงว่าจะตกอยู่ในสภาพนี้”
“เกรงว่าท่านผู้ตรวจการต้องผิดหวังแล้ว” ถานจิ้งนั่งลงบนพื้นลวก ๆ เอ่ยอย่างไม่หวาดหวั่น “เมื่อก่อนใช่ ยามนี้ใช่ เกรงว่าช่วงเวลาใกล้ตายก็ยังคงใช่ ข้าไม่เสียใจกับทุกอย่างที่ทำ รวมถึงการเข้าสู่ราชสำนักเพื่อแว่นแคว้น รวมถึงการลักลอบค้าขาย ทำลายชีวิตสังหารคน”
“ฟังแล้วดูขัดแย้ง” ซูซื่ออวี้เอ่ยอย่างราบเรียบ
“และง่ายดายอย่างยิ่ง” ถานจิ้งหลุบตาลง เอ่ยว่า “ท่านผู้ตรวจการน่าจะรู้เช่นกัน ภรรยาของข้าเคยตกลงไปในโพรงน้ำแข็ง หลังจากช่วยขึ้นมาก็ไข้ขึ้นสูงไม่ลด สุดท้ายป่วยจนเลอะเลือน เป็นเรื้อรังมานับจากนั้น ยามกำเริบจะทำลายข้าวของ ทำร้ายคน ถึงขั้นทำร้ายตนเองอย่างควบคุมไม่อยู่ อาการป่วยนั้นไร้ทางรักษา ทำได้เพียงใช้ยาบรรเทาความเจ็บปวดให้นางมาตลอด”
“นี่คือเหตุผลที่เจ้าใช้เรือหลวงลักลอบทำการค้าเพื่อเก็บสะสมเงินทองงั้นหรือ”
“ข้าอยู่ในนครหลวงมีตำแหน่งสำคัญใหญ่โต มองดูแล้วรุ่งโรจน์ คนไม่น้อยอิจฉา ทว่าการซื้อยานั่นกลับเป็นดั่งน้ำหนึ่งจอกดับไฟทั้งเกวียน[2] แต่ข้าจะมองนางเจ็บปวดจนสิ้นใจได้อย่างไร” ถานจิ้งฝืนหัวเราะแล้วเอ่ย “หากข้ายังรักษากระทั่งนางไว้ไม่ได้ ไหนเลยจะยังดูแลความเป็นความตายของประชาชนได้”
“หากภรรยาเจ้ารู้ว่าเจ้าทำเช่นนี้เพื่อนาง เกรงว่าคงยอมตายแต่ไม่ยอมให้เจ้าหลงเดินบนทางสายนี้แน่” ซูซื่ออวี้เอ่ย
“นางไม่อาจเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว” ถานจิ้งจ้องมองรอยฟันบนข้อมือ น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นสองสามส่วนโดยไม่รู้ตัว “ข้าใช้เวลาหนึ่งปีจึงทำให้นางจำข้าได้อีกครั้ง ทั้งใช้เวลาอีกสองปีสอนให้นางรู้จักชื่อของนางและข้า จากนั้นยามอาการป่วยกำเริบหนึ่งครั้ง เพื่อขวางนางแล้วข้าถูกกัดจนข้อมือชุ่มเลือด หลังจากนางได้สติก็กอบกุมมือของข้าร้องห่มร้องไห้ ก่อนจะเลอะเลือนพูดอะไรไม่ได้ รู้เพียงเช็ดน้ำตาพร้อมเรียก ‘อาจิ้ง’ ‘อาจิ้ง’” ถานจิ้งหยุดกะทันหัน ข่มอาการสะอื้นในลำคอ เงยหน้ามองซูซื่ออวี้ “หากเปลี่ยนเป็นท่าน ท่านจะแข็งใจให้นางได้รับความทุกข์ทนได้หรือ”
ซูซื่ออวี้เงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นโรคที่ไร้ทางรักษา เจ้าฝืนยื้อนางไว้บนโลกนี้ นั่นต่างหากคือการได้รับความทุกข์ทน”
“ซูซื่ออวี้” จู่ ๆ ถานจิ้งก็หัวเราะราวกับได้ยินเรื่องน่าขันบางอย่าง “ท่านไม่มีหัวใจงั้นหรือ”
ซูซื่ออวี้มองเขาเงียบ ๆ “เกี่ยวอันใดกับข้า”
“ท่านผู้ตรวจการคงไม่เคยรักใครมาก่อนสินะ” ถานจิ้งโคลงศีรษะ เอ่ยถากถาง “เมื่อก่อนได้ยินผู้คนแอบพูดกันว่าท่านไร้หัวใจขาดความรัก ข้ายังนึกว่าพวกเขาบ่นโทษที่บุตรสาวถูกปฏิเสธ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้จริง ๆ” เขามองเข้าไปในดวงตาของซูซื่ออวี้ เหน็บแนมอย่างถึงที่สุด “ช่างน่าเศร้าทั้งยังน่าสงสารจริง ๆ”
ซูซื่ออวี้มองเขานิ่ง ๆ รอจนเสียงหัวเราะเหน็บแนมของถานจิ้งแผ่วลง เขาจึงเอ่ยเบา ๆ “งานของข้ามีหน้าที่ตรวจตราและตัดสินคดี แม้จะไร้ใจดังที่เจ้ากล่าว ก็ทำได้เพียงบอกว่าเห็นพ้อง”
ถานจิ้งหัวเราะเยาะ ไม่พูดอะไร
ซูซื่ออวี้ค่อย ๆ เคลื่อนเท้าไปหยุดตรงหน้าเขา ห่างกับเขาเพียงประตูคุกกั้น “ความหมายในคำพูดของเจ้าล้วนเพื่อภรรยา แต่เจ้าจำได้หรือไม่ว่า ตามความผิดที่เจ้ากระทำ นางต้องพลอยรับโทษด้วยเช่นกัน”
สีหน้าของถานจิ้งแปรเปลี่ยนทันที
“คดีนี้ของเจ้าล้วนอยู่ในกำมือข้า เจ้ากล่าวสิ่งเหล่านี้กับข้าเพื่อยั่วยุให้ข้าโมโห ยังคิดให้ข้าปล่อยภรรยาเจ้าไปหรือ” ซูซื่ออวี้มองเขาเงียบ ๆ พลางเอ่ย
ถานจิ้งอ้าปากทว่าพูดสิ่งใดไม่ออก เงียบเชียบครู่ใหญ่จึงเอ่ย “ท่านผู้ตรวจการมาที่นี่ แท้จริงแล้วเพื่อเรื่องใดกันแน่”
ซูซื่ออวี้ถอนสายตา ยกมือปัดฝุ่นที่ติดอยู่บนชายแขนเสื้อ “ผู้ซื้อดินระเบิดเหล่านั้นคือใคร”
“ท่านไปตรวจสอบบัญชีสักหน่อยก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”
ซูซื่ออวี้มองเขาปราดหนึ่ง หัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ย “บัญชีนั้นเป็นของจริงหรือปลอม ข้าย่อมแยกแยะออก”
ถานจิ้งก้มหน้าไม่มองเขา ความคิดหมุนวนสับเปลี่ยนไม่หยุด
ชายผู้ยืนพิงหน้าต่างในความทรงจำเอ่ยกับเขาว่า “เจ้าทำตามที่ข้าบอก ข้ารับรองว่าภรรยาของเจ้าจะไม่เป็นอะไร”
ส่วนบุรุษเบื้องหน้าเอ่ยกับเขาว่า “แต่ไหนแต่ไรมาข้านึกว่าเจ้าจะเป็นคนรู้จักสถานการณ์”
ทำให้หัวใจจมดิ่งลงถึงก้นบึ้ง ถานจิ้งหลับตาเอ่ยทีละคำ “หวยหนานอ๋อง”
คิมหันต์เล็ก[3]เดือนหก หลิวใบอ่อนสายลมเจือกลิ่นบัวหอม แมกไม้เขียวขจีดุจผ้าแพรไหม นางแอ่นตัวน้อยกระจิบตัวจ้อยร่วมโบยบิน คนหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งค้ำคางเหล่ดูหนังสือที่กางอยู่บนโต๊ะหินอย่างไม่ใส่ใจ ฝูงปลากลางบ่อมรกตกระโดดหาฝั่ง หวังไล่ตามปทุมาแดงบนชายชุดคลุมของเขา
ตอนที่ซูซื่ออวี้ตามสาวใช้มาถึงก็เห็นภาพฉากนี้พอดี สาวใช้ค้อมกายล่าถอยไป ฉู่หมิงอวิ่นเหลือบตาขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อย เห็นว่าเป็นเขาก็ยิ้มบาง ๆ “โอ้ เป็นแขกที่พบได้ยากโดยแท้ เหตุใดใต้เท้าซูถึงมาที่นี่ได้”
ซูซื่ออวี้ยกเท้าเดินถึงเบื้องหน้าเขา ยิ้มเอ่ย “ย่อมมาด้วยธุระ”
หลังกลับจากคุกเขาก็ตรวจสอบบัญชี ไม่ผิดจากคำพูดของถานจิ้ง อักษรสีดำบนกระดาษขาวเขียนชื่อหวยหนานอ๋องชัดเจน กระนั้นซูซื่ออวี้กลับยังคงสงสัยอยู่ในใจ เมื่อย้อนทบทวนจึงพบว่าบัญชีขาดไปสองหน้า ถูกฉีกออกหมดจดเหลือเพียงเศษชิ้นกระดาษไม่กี่จุด หากเขาไม่ดูอย่างละเอียด เกรงว่าคงไม่มีทางพบเห็น
“หากเจ้าบอกว่าคิดถึงข้า ข้าคงมีความสุขมาก” ฉู่หมิงอวิ่นอมยิ้มมองเขา ชี้นิ้วไปยังจานอิงเถา[4]บนโต๊ะ “กินหรือไม่”
“ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไร ข้าถามธุระเสร็จก็จะไปแล้ว” ซูซื่ออวี้มองเขาแล้วเอ่ย “ใต้เท้าฉู่จำบัญชีที่เจ้าฉวยไปในคลังสินค้าเมื่อสองวันก่อนได้หรือไม่”
“จำได้สิ”
“บัญชีนั้นมีสองหน้าถูกคนฉีกทำลายไปแล้ว ใต้เท้าฉู่รู้อะไรหรือไม่”
“ขาดไปสองแผ่นหรือ” ฉู่หมิงอวิ่นเท้าศอกบนโต๊ะหิน เอียงหน้ายิ้มมองซูซื่ออวี้ “เช่นนั้นใต้เท้าซูคิดว่าข้าเอาไปหรือ จึงมาถามหากับข้าโดยเฉพาะ”
“ล้อเล่นแล้ว ใต้เท้าฉู่จะเป็นคนต่ำช้ามากเล่ห์กลเช่นนั้นได้อย่างไร” ซูซื่ออวี้สบสายตากับเขา รอยยิ้มอ่อนโยน กล่าวกลบเกลื่อน “เพียงต้องการมาถามเบาะแสเล็กน้อยเท่านั้น ข้าจะได้ตามหาสะดวก”
ฉู่หมิงอวิ่นที่ถูกด่าทางอ้อมยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เอ่ยอย่างไม่สะท้าน “ข้าไม่มีเบาะแสอะไร”
“ตอนใต้เท้าฉู่พลิกเปิดบัญชี ไม่ได้เห็นว่ามีสองหน้าที่หายไปหรือ” ซูซื่ออวี้ถาม
“ไม่เห็น” ฉู่หมิงอวิ่นตอบตรงไปตรงมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าฉู่ยังพบคนอื่นในคลังสินค้าอีกหรือไม่”
“ไม่พบ”
“ใต้เท้าฉู่ลองคิดทบทวนให้ดีก่อน ไม่ต้องรีบตอบ ข้ายังอดทนรอสักประเดี๋ยวได้” ซูซื่ออวี้ยิ้มเอ่ย
“หากใต้เท้าซูไม่เชื่อ ต้องการลงมือหาด้วยตนเองหรือไม่” ฉู่หมิงอวิ่นกางแขนออกให้เขา แย้มยิ้มเอ่ย “เพียงใต้เท้าซูกล่าวว่าต้องการ ให้ข้าเปลือยกายปล่อยท่านลูบคลำค้นหาอย่างละเอียดก็ย่อมได้”
ซูซื่ออวี้ขมวดคิ้วเงียบ ไร้ซึ่งคำพูดโต้ตอบชั่วขณะ
“อายที่จะเอ่ยปากหรือ” ฉู่หมิงอวิ่นกะพริบตา นัยน์ตาดั่งมีกระแสน้ำฤดูใบไม้ผลิทอประกายแสงระยิบระยับ ยกมือขึ้นก็จับที่คอเสื้อตนเอง “เช่นนั้นข้าถอดเองเป็นอย่างไร”
พูดไม่ทันจบเขาก็คลายชุดออก เผยไหปลาร้าขาวนวล ซูซื่ออวี้เคลื่อนสายตาหลบทันที ยกมือขึ้นห้ามเขา “…ข้าเข้าใจผิดไป ส่วนที่ขาดหายข้าหาจากที่อื่นได้ รบกวนใต้เท้าฉู่แล้ว”
เขาย่อมรู้ดีว่าซูซื่ออวี้จะรู้สึกจนปัญญาจึงกล้าทำตัวไร้ยางอายอย่างโจ่งแจ้ง ไม่พูดถึงสิ่งที่ไม่ควรดู เขาเข้าใจยิ่งกว่าว่าซูซื่ออวี้ไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขามากเกินไป ไม่ใช่แค่เพราะรักในชื่อเสียง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นเพราะฝ่ายฉู่และฝ่ายซูต่อสู้ขับเคี่ยวกันมาหลายปี หากซูซื่ออวี้ใกล้ชิดเขามากเกินไป เกรงว่าฮ่องเต้เองก็อาจเกิดความสงสัยอีกฝ่าย
เวลานี้เขารู้สึกจริง ๆ ว่าศัตรูผู้นี้ของตนน่าสนใจยิ่งนัก
รอยยิ้มที่มุมปากของฉู่หมิงอวิ่นฉายชัดขึ้น พิจารณาสีหน้าของซูซื่ออวี้อย่างสนอกสนใจ “ไม่เป็นไร ได้พบใต้เท้าซูมากขึ้นหนึ่งครั้งข้ามีความสุขยิ่งนัก ต้องการให้ข้าส่งเจ้ากลับไปหรือไม่”
“ไม่รบกวนแล้ว” ซูซื่ออวี้ยังคงไม่มองเขา หลังจากพยักหน้ากล่าวลาก็หมุนกายจะจากไป
“จริงสิ ใต้เท้าซู” จู่ ๆ ฉู่หมิงอวิ่นก็เรียกเขาไว้ จัดระเบียบเสื้อผ้าของตนพร้อมยิ้มเอ่ยไม่ช้าไม่เร็ว “ลืมพูดไป ใต้เท้าซูไม่เพียงมีรูปลักษณ์งามสง่า คิดไม่ถึงว่ารูปร่างจะดีถึงเพียงนั้น กระทั่งท่าทางไม่พอใจก็ยังน่ารักกว่ายามปกติอยู่มาก”
“…” ดวงตาของซูซื่ออวี้ที่หันหลังให้เขาฉายแววครึ้มเข้ม น้ำเสียงยังคงราบเรียบ “ขอบคุณเจ้าที่ชื่นชม ขอตัวลา”
เพิ่งย่างเท้าออกจากจวนผู้บัญชาการ ซูไป๋ก็ก้าวเข้ามารับ “คุณชาย เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ปกติ” ซูซื่ออวี้เอ่ย “บัญชีสองหน้านั้นคิดไว้แล้วว่าคงเอาคืนมาไม่ได้ ข้ามาครั้งนี้เพียงเพื่อดูท่าทีของเขา ตอนนี้สามารถยืนยันได้แล้วว่าคนที่อยู่บนสองหน้านั้นคือใคร”
“แต่ไม่มีหลักฐานนะขอรับ หรือจะปล่อยเขาไปเช่นนี้” ฉับพลันซูไป๋ก็นึกอะไรได้ “จริงสิคุณชาย ไม่งั้นกล่าวโทษเขาข้อหาจงใจทำลายหลักฐานไม่ได้หรือขอรับ ดีร้ายอย่างไรก็ต้องสั่งสอน!”
ซูซื่ออวี้ถอนหายใจยาว เอ่ยอย่างค่อนข้างปวดหัว “ข้ายังไม่มีอารมณ์จะให้คนรู้ว่าบัญชีนั้นไปอยู่ในมือเขาได้อย่างไร”
ซูไป๋นิ่งค้างครู่หนึ่ง “มะ…ไม่ใช่ว่าเขาแย่งไปหรือ”
ซูซื่ออวี้มองซูไป๋อย่างลึกซึ้งปราดหนึ่ง ไม่ตอบคำถาม
สุดท้ายยามที่ถวายรายงานต่อหน้าพระพักตร์ ซูซื่ออวี้ไม่ได้เอ่ยถึงฉู่หมิงอวิ่น ทั้งไม่ได้เขียนถึงหวยหนานอ๋อง
หวยหนานอ๋องคือผู้มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาเจ้าครองรัฐ ผืนดินแถบเจียงหนาน[5]อุดมสมบูรณ์ ความหรูหราฟุ้งเฟ้อของเขาภายในรัฐใต้อาณัติเกือบจะเทียบเคียงราชวงศ์ วางอำนาจบาตรใหญ่กับผู้คน มีทหารฝีมือเยี่ยมอยู่ภายใต้ปกครอง ไม่พูดถึงว่าคำกล่าวของถานจิ้งจะเป็นจริงหรือเท็จ ต่อให้ความจริงเป็นเช่นนั้น แต่มีเพียงคำให้การฝ่ายเดียวของถานจิ้งก็ไร้ทางจะดึงเขาล้มลง แทนที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่นตอนนี้มิสู้วางแผนช้า ๆ
ครั้นเลิกประชุมเช้า หลี่เหยียนเจินกลับเรียกตัวซูซื่ออวี้ไปยังห้องทรงพระอักษร
ตอนที่เขามาถึงฉู่หมิงอวิ่นก็อยู่ด้วยเช่นกัน เพิ่งทูลถวายแผนที่ม้วนหนึ่ง เมื่อถอนสายตากลับมามองเห็นเขาก็เผยยิ้ม ซูซื่ออวี้สบสายตากับอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน พยักหน้าทักทาย
“เราได้อ่านรายงานแล้ว แต่การลงโทษถานจิ้งรุนแรงไปหรือไม่” หลี่เหยียนเจินเอ่ย
“ตามกฎหมายแล้วนอกจากการตัดศีรษะริบทรัพย์สินทั้งตระกูลยังควรรวมถึงครอบครัวต้องถูกเนรเทศเป็นสามัญชนเก้าชั่วอายุคน ไม่อาจเข้าเป็นขุนนางในราชสำนักสามรุ่น กระหม่อมพิจารณาจัดการตามความเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ” ซูซื่ออวี้ตอบอย่างไม่ช้าไม่เร็ว
“เรื่องถานจิ้งและภรรยาของเขาสองสามวันนี้เราก็ได้ยินเช่นกัน รักใคร่กันถึงเพียงนี้ มิสู้เปลี่ยนเป็นถอดจากตำแหน่งขุนนางแล้วเนรเทศ เว้นชีวิตไว้ไม่ดีกว่าหรือ” หลี่เหยียนเจินเอ่ย
“ถานจิ้งทำผิดร้ายแรง การจัดการอย่างผ่อนหนักเป็นเบาจะเพียงพอให้คนรุ่นหลังหวาดกลัวได้อย่างไร” ซูซื่ออวี้เหลือบตาขึ้นมองเขา
“อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนน่าสงสารผู้หนึ่ง” หลี่เหยียนเจินทอดถอนใจ
“ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่ตายภายใต้น้ำมือของถานจิ้ง มีผู้ใดไม่น่าสงสารหรือพ่ะย่ะค่ะ” ซูซื่ออวี้เอ่ยอย่างสงบ “ต่อให้ทำคนสะเทือนใจเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วก็คือการกระทำผิด สำนักตรวจการตัดสินผู้กระทำผิดนับไม่ถ้วน ต่างคนต่างมีความลำบากและเหตุผลของตน หากล้วนสงสารทุกคน จะหาความน่าเกรงขามจากที่ใด ทั้งจะทำให้แคว้นสงบสุขอย่างไร”
“…ขุนนางซูที่รักยังคงดื้อรั้นเหมือนเคย” หลี่เหยียนเจินเอ่ยอย่างจนปัญญา
“ฝ่าบาท” ซูซื่ออวี้เอ่ย “พระองค์กำลังขอความเมตตาให้ขุนนางผู้กระทำผิดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“…นี่เป็นจุดเดียวของเจ้าที่เรารับไม่ได้” หลี่เหยียนเจินเบือนหน้าหนีเขาอย่างพูดไม่ออก ฉวยโอกาสหยุดสายตาบนตัวฉู่หมิงอวิ่นที่ยืนอยู่ด้านข้างตั้งแต่ต้นจนจบด้วยท่าทางของคนนอก “จริงสิ ขุนนางฉู่ที่รัก เจ้ามีความเห็นอย่างไร”
ฉู่หมิงอวิ่นประสานมือค้อมคำนับได้พอเหมาะพอดี ไม่สนสีหน้าท่าทางบอกใบ้ของหลี่เหยียนเจิน เอ่ยตามใจตนว่า “กระหม่อมเห็นด้วยกับคำพูดของใต้เท้าซูอย่างยิ่ง”
ซูซื่ออวี้มองเขาอย่างประหลาดใจ
ฉู่หมิงอวิ่นเอ่ยต่อด้วยท่าทีสบาย ๆ “ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ขึ้นอยู่กับการกระทำพ่ะย่ะค่ะ”
คดีของถานจิ้งไร้พื้นที่ให้พูดถึงอีก วันรุ่งขึ้นเขาก็ถูกแห่ประจาน ตัดศีรษะที่ลานประหารนครหลวง
ถานจิ้งคุกเข่าอยู่กลางแท่นประหาร เหลือบตาทอดมองทั่วบริเวณ ทิวทัศน์กำลังดี สรรพสิ่งมีชีวิตชีวา เขากวาดมองใบหน้าโกรธเกลียดของชาวบ้านด้านล่างแท่นประหารทีละคน ในใจสงบไม่สะทกสะท้านเหนือคาด รอบด้านวุ่นวาย มีเสียงก่นด่าสาปแช่งลอยตามสายลมผ่านตัวเขาขนาดนั้น เขากลับไม่ได้ยินแม้แต่น้อย ยามย่ำเหยียบบนทางที่ไม่อาจหวนกลับ เขาก็คิดถึงวันนี้แล้ว
เขาก้มหน้าลง นึกถึงการร่ำเรียนที่แสนลำบากยากเข็ญ นึกถึงการสวมชุดขุนนาง นึกถึงการร่ำสุราพูดคุยกับสหาย นึกถึงตนเองที่พึงพอใจในตน นึกถึง…ดวงตาที่เปล่งประกายของสตรีริมสระบัวผู้นั้น
“อาซิ่ว” เขากำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงที่แหบพร่าแล้วเอ่ยขึ้นเบา ๆ “…มิต้องกลัว”
เหลือเพียงเจ้าใช้ชีวิตเพียงลำพัง อย่าได้กลัว
ยามนี้เจ้าเลอะเลือนเช่นนี้ ไม่กี่วันก็ลืมข้าแล้วแน่นอน
มิต้องกลัว
ภายในจวน สาวใช้นำฮูหยินของถานจิ้งที่นอนสลบไปสองวันนั่งประจำที่ อาหารจัดวางเต็มโต๊ะ สาวใช้ตักน้ำแกงวางตรงหน้าของนาง “ฮูหยิน กินข้าวเถอะเจ้าค่ะ”
อาซิ่วทำเพียงจ้องที่ว่างตรงข้าม เอียงหน้ามองสาวใช้ “อาจิ้งเล่า”
“ไม่ใช่ว่าบอกท่านแล้วหรือ ใต้เท้าไม่กลับมาแล้ว ฮูหยินกินข้าวเถิดเจ้าค่ะ” สาวใช้เอ่ย
“อาจิ้ง…” อาซิ่วจ้องที่ว่างนั้นอย่างเหม่อลอย
สาวใช้ผลักถ้วยน้ำแกงไปด้านหน้า มองนางพร้อมเอ่ย “หากฮูหยินต้องการพบใต้เท้า ก็รีบดื่มเสียเถิดเจ้าค่ะ”
นางดูราวกับไม่ได้ยินก็มิปาน เอ่ยพึมพำเพียง “อาจิ้ง”
สาวใช้มองท้องฟ้าด้านนอกครู่หนึ่ง คำนวณเวลาในใจแล้วก็อดใจร้อนขึ้นมาไม่ได้ หันศีรษะมองคนโง่งมผู้นี้ที่ดื้อรั้นไม่ยอมขยับเขยื้อน มือหนึ่งก็กดที่ไหล่ของนาง ใช้อีกมือยกชามขึ้น
“อาจิ้ง อาจิ้ง…” คนโง่งมผู้นี้หันหน้ามองนาง จู่ ๆ ก็ยื่นมือจับชายแขนเสื้อของนางไว้ สาวใช้มองเห็นความโศกเศร้าในแววตาของอีกฝ่ายที่เจืออยู่ท่ามกลางความเหม่อลอยก็ชะงักไปชั่วขณะ อาซิ่วปล่อยนางแล้วกุมหน้าอกตัวเองแน่น ก่อนจะหอบหายใจสองหน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งดวงตาใสสะอาดคู่นั้นก็มีประกายน้ำรื้นขึ้น ค่อย ๆ รวมเป็นหยดน้ำตาไหลลงมาตามแก้ม “อาจิ้ง…
“…อาจิ้ง อาจิ้ง!” คำพูดของนางขาดห้วงตามการสะอึกสะอื้น เรียกชื่อของถานจิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า อารมณ์รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ในใจของสาวใช้ทนไม่ไหวเล็กน้อย ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแต่ยังใช้น้ำเสียงอ่อนโยน “ฮูหยินอยากพบใต้เท้าหรือไม่”
ร่างกายของอาซิ่วสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ นางจ้องมองสาวใช้ สาวใช้ส่งถ้วยถึงมือของนาง “ดื่มเถิด ดื่มลงไปก็ได้พบเขาแล้ว”
อาซิ่วค่อย ๆ เคลื่อนสายตาไปยังถ้วยที่ถูกประคองด้วยสองมือ หยาดน้ำตาไหลตกลงในน้ำแกงเสียงดัง ‘ติ๋ง’
“ถึงยามอู่[6]แล้ว!” ขุนนางดูแลการประหารตะโกนเสียงดัง “ประหาร!”
หลังโบกมือออกคำสั่ง มีดประหารส่องแสงแวววับก็สับลง ศพตกสู่พื้นดินอย่างแรง เลือดสีแดงชาดเปรอะเปื้อนทั่วแท่นไม้สีน้ำตาล ก่อนไหลสู่ธุลีดิน
ซูซื่ออวี้ถอนสายตาจากขอบฟ้า หันมองตู้เย่ว์ที่วิ่งเข้ามา
ตู้เย่ว์ค่อย ๆ หยุดฝีเท้าอยู่ด้านหน้าเขา หายใจหอบพร้อมเอ่ย “ท่านพี่…ท่านตามหาข้าเพราะมีเรื่องหรือ”
“อืม” ซูซื่ออวี้เอ่ย แหวกม่านแล้วขึ้นรถม้า หลังจากเห็นตู้เย่ว์ตามขึ้นมาแล้วก็เอ่ยต่อ “มีคนไข้คนหนึ่งต้องการพบเจ้า วันนี้เจ้าตามข้าไปดูสถานการณ์ที่จวนถานจิ้งสักหน่อย จากนั้นค่อยมาตรวจอาการของนางที่จวนข้า”
“ถานจิ้งรึ” ตู้เย่ว์คิดอย่างยากลำบาก “คนที่โดนโทษประหารวันนี้ผู้นั้นน่ะหรือ”
“ถูกต้อง”
“ท่านพี่ กระทั่งยึดทรัพย์สินท่านก็ต้องไปด้วยตนเองหรือ” ตู้เย่ว์มองซูซื่ออวี้อย่างเลื่อมใส “มิน่าเล่าฉินเจาจึงบอกว่าท่านยุ่งตลอดทั้งวัน ไม่ยอมให้ข้ามาเล่นกับท่าน”
“วันนี้มีเวลาว่างพอดีเท่านั้น” ซูซื่ออวี้คิดก็เอ่ยอีกครั้ง “ยามปกติก็ไม่ได้ยุ่งมาก เจ้าอยากมาเมื่อไรย่อมได้ ไม่จำเป็นต้องฟังเขา”
ไม่นานรถม้าก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ทหารหลวงล้อมที่นี่ไว้แต่เนิ่นแล้ว ซูซื่ออวี้เพิ่งลงจากรถม้า ขุนนางกรมอาญาที่รับผิดชอบยึดทรัพย์สินก็รีบร้อนรุดหน้าเข้ามาต้อนรับ
“มีอะไร”
“เอ่อ…” ขุนนางผู้นั้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ฮูหยินของถานจิ้งเสียชีวิตแล้วขอรับ”
ภายในห้องไม่มีผู้ใด หญิงสาวฟุบอยู่บนโต๊ะ ริมฝีปากมีเลือดแดงเข้มซึมออกมา ศพเย็นเฉียบแล้ว
สีหน้าของซูซื่ออวี้แข็งทื่อเล็กน้อย พิจารณารอบห้องโดยไม่พูดอะไร ขุนนางผู้นั้นเอ่ยชำระความผิดให้พ้นตัวอยู่ด้านข้างไม่หยุด บอกว่าพอมาถึงก็เป็นเช่นนี้แล้ว
ตู้เย่ว์ขมวดคิ้วแน่น สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่ที่ถ้วยเปล่าข้างมือของอาซิ่ว เขาก้าวไปด้านหน้าใช้ปลายนิ้วแตะน้ำแกงที่เหลือขึ้นมาดมเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจในทันที ขณะกำลังจะเรียกซูซื่ออวี้ สายตาบังเอิญกวาดผ่านใบหน้าของอาซิ่ว พลันหยุดชะงัก ตู้เย่ว์โน้มตัวลงใกล้ มองสำรวจอย่างละเอียด
สีหน้าของนางขาวซีด ปรากฏสีคล้ำจาง ๆ มือที่วางอยู่บนโต๊ะผอมแห้งจนเห็นกระดูก
“ท่านพี่” ตู้เย่ว์โน้มเข้าไป
“นางถูกสังหารด้วยพิษหรือ” ซูซื่ออวี้เอ่ยถาม
ตู้เย่ว์พยักหน้า ก่อนจะเอ่ย “ท่านพี่ ท่านถามได้หรือไม่ว่าปกติยาที่นางกินเก็บไว้ที่ไหน ข้าอยากดูสักหน่อย”
บ่าวในจวนนำพวกเขาไปยังชั้นยา ภายในชั้นไม้เต็มไปด้วยขวดลายคราม แต่ทั้งหมดกลับว่างเปล่า ตู้เย่ว์เปิดออกดูทีละขวดรอบหนึ่ง ในที่สุดก็เทเศษผงสีดำจากขวดเล็ก ๆ ที่อยู่ในมุมออกมา เขาตั้งใจตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าค่อย ๆ ปรากฏแววจริงจัง
“ยานี้มีปัญหาหรือ” ซูซื่ออวี้เอ่ยถาม
ตู้เย่ว์มองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง ซูซื่ออวี้หันหน้าไปสั่งผู้ติดตามด้านหลังให้ถอยออกไปทั้งหมด แล้วจึงเอ่ยต่อ “มีสิ่งใดก็พูดมาได้ตามตรง”
“สิ่งนี้…นับว่าเป็นยา แต่หากสิ่งที่บรรจุภายในขวดล้วนเป็นสิ่งนี้ ตามปริมาณแล้วก็คือพิษ”
“…” ซูซื่ออวี้พยายามทำความเข้าใจคำพูดของเขา
“เฮ้อ ความจริงแล้วก็คือฝิ่น แถบนี้ของพวกเรามีน้อยมาก ข้าเองเคยเห็นตอนอยู่กับอาจารย์เพียงไม่กี่ครั้ง ได้ยินมาว่าแพงยิ่งนัก!” ตู้เย่ว์เอ่ย “ค่อนข้างคล้ายกับผงห้าศิลา[7] ใช้ในปริมาณมากแล้วจะทำให้คนเคลิบเคลิ้ม อีกทั้งอาจเสพติด ไม่กินก็จะคลุ้มคลั่งสูญเสียการควบคุม อาการกำเริบเหล่านั้นของฮูหยินที่ท่านพูดกับข้าระหว่างทาง คาดว่าไม่ใช่เพราะมีโรคเรื้อรังอะไร แต่เพราะสิ่งนี้”
แววตาของซูซื่ออวี้ฉายชัดขึ้น เอ่ยด้วยเสียงผ่อนคลาย “เจ้าหมายความว่า นางไม่ได้มีโรคเรื้อรังอะไร แต่มีคนอาศัยการที่นางเลอะเลือนจนไม่อาจแสดงความรู้สึก บอกว่าพิษคือยา ใช้เรื่องนี้ควบคุมถานจิ้งหรือ”
“เอ” ตู้เย่ว์ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้คิดมากเพียงนั้น แต่ท่านพี่พูดเช่นนี้แล้ว ก็ต้องเป็นตามนั้น”
“ฝิ่นที่เจ้าว่า ปลูกที่หวยหนานได้ใช่หรือไม่” ซูซื่ออวี้ถาม
“ทางใต้มีพิษหลายชนิด โดยพื้นฐานแล้วสิ่งนี้ก็คงอยู่ทางนั้น”
ซูซื่ออวี้ได้ยินแล้วก็เงียบอยู่เนิ่นนาน คิดถึงท่าทางที่ถานจิ้งเอ่ยถึงภรรยาขณะอยู่ในคุกแล้ว ก็พลันหัวเราะขึ้นเบา ๆ ถอนหายใจเล็กน้อย
“ช่างโง่เขลาหาผู้ใดเปรียบได้”
[1] หมายถึง ต่อสู้กันจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ไป
[2] อุปมาถึงเรื่องใหญ่โตแต่มีกำลังเพียงน้อยนิด ไม่อาจแก้ปัญหาได้
[3] คือหนึ่งในยี่สิบสี่ช่วงอากาศของจีน แบ่งตามการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ เริ่มต้นประมาณวันที่ 6-8 กรกฎาคม อากาศเริ่มร้อนเล็กน้อย เข้าสู่ช่วงฝนฟ้าคะนอง
[4] หมายถึง เชอร์รี่
[5] ดินแดนฝั่งใต้แม่น้ำแยงซีของจีน
[6] คือเวลา 11.00 – 12.59 น.
[7] เป็นยาที่ใช้รักษาโรคที่เกิดจากความเย็นในสมัยโบราณ หากใช้ในปริมาณมากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย