《古代吃货生存指南》
คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน
เข่อเล่อเจียงทัง เขียน
เสี่ยวหวา แปล
— โปรย —
บล็อกเกอร์สาวด้านอาหารทะลุมิติมาเป็น เจียงซูเหย่า
ผู้เป็นดั่งถุงฟางข้าวใบหนึ่ง
นางวางแผนบีบบังคับให้ เซี่ยสวิน
บุรุษหนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครรับนางเป็นภริยา
นางผู้ไม่เหมือนใคร เพราะมองโลกตามหลักความเป็นจริง
ไม่เคยปรารถนาความรักจากสามี
ช่วงเวลาที่ออกเรือนกลับกลับกลายเป็นช่วงเวลาที่นางมีอิสรเสรีที่สุด
ขอเพียงได้ทำอาหารที่ชื่นชอบและกตัญญูต่อมารดา
เท่านี้นางก็พึงใจแล้วจริงๆ
สามีน่ะหรือ…
ที่แท้ก็หล่อเหลาสมดังคำเล่าลือ เขาเป็นดั่งหิมะบนยอดเขาที่ขาวโพลน
เป็นดั่งโสมที่ส่องแสงสุกสกาวท่ามกลางหมู่เมฆ
เป็นสิ่งที่คนธรรมดามิอาจจินตนาการถึง
บุรุษรูปงามระดับบนี้ไม่มีทางแตะต้องนาง
วันเวลาของนางหลังจากนี้ปลอดภัยแล้ว!
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
2
ก่อนแต่งเข้ามา เจียงซูเหย่าเข้าใจสถานการณ์ในจวนเซี่ยกั๋วกงแล้ว และระหว่างทางเซี่ยสวินได้บอกเล่าให้นางฟังอีกครั้ง
เมื่อเรียงตามลำดับอาวุโส เซี่ยสวินอยู่ลำดับสาม พี่ชายสองคนแรกล้วนเกิดจากภรรยาเอกของบิดาทั้งคู่และมีอายุค่อนข้างมาก บุตรธิดาของพวกเขาอายุไล่เลี่ยกับเจียงซูเหย่า นอกจากนี้เขายังมีน้องชายที่เป็นบุตรของอนุภรรยาของบิดาหนึ่งคนซึ่งอายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปี และน้องสาวร่วมอุทรอีกหนึ่งคน
พอคนทั้งสองก้าวเข้าห้อง และหญิงรับใช้เลิกม่านขึ้น ทุกคนก็หันมองพร้อมกัน
เจียงซูเหย่าตื่นเต้นเล็กน้อย เดินตามเซี่ยสวินเข้าไปยอบกายคารวะพ่อแม่สามี
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยพอใจลูกสะใภ้ผู้นี้ หลังหมั้นแล้ว นางส่งคนไปสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับเจียงซูเหย่า และคำบอกเล่าที่ได้ยินยิ่งไม่น่าฟังขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะความประพฤติหรือภูมิหลังของครอบครัว เจียงซูเหย่านั้นล้วนไม่คู่ควรกับเซี่ยสวิน
ทว่ามารยาทของเจียงซูเหย่าในเวลานี้มิอาจจับผิดได้แม้แต่นิด ฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย
เจียงซูเหย่ายกถ้วยน้ำชาคารวะผู้อาวุโสทั้งสองอย่างนอบน้อมตามมารยาทที่ได้รับการสั่งสอน ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีท่าทางจะยื่นมือออกมารับ
เซี่ยกั๋วกงเป็นคนสุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด เขารับถ้วยน้ำชา ฮูหยินผู้เฒ่าจึงมิกล้ากลั่นแกล้งเจียงซูเหย่าอีก
ด่านแรกผ่านไปได้อย่างสบายๆ การคารวะน้ำชาต่อจากนั้นก็ง่ายขึ้นมากแล้ว เจียงซูเหย่ารับซองแดงตามลำดับ และได้มอบของขวัญที่เตรียมไว้ก่อนแล้วให้รุ่นเยาว์
บุตรธิดาของเรือนใหญ่และเรือนรองค่อนข้างมาก อีกทั้งอายุไล่เลี่ยกับเจียงซูเหย่า ยามที่เรียกนางว่า “อาสะใภ้สาม” ทั้งดวงหน้าแดงก่ำ ทำให้นางเกิดภาพลวงตาว่านางเอาเปรียบคนที่อายุเท่ากันยามที่กลับเรือนไปฉลองปีใหม่
นางเม้มปากอมยิ้ม รอยยิ้มของนางส่งให้หน้าตางดงามสดใสยิ่งเปี่ยมพลัง มีชีวิตชีวามากขึ้น
เมื่อเซี่ยเพ่ยที่อยู่ด้านข้างเห็นฉากนี้ก็รู้สึกขัดหูขัดตาอย่างยิ่ง
นางเป็นบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกของจวนเซี่ยกั๋วกง มีคนรายล้อมเสมือนดาวล้อมเดือนตั้งแต่วัยเยาว์ เบื้องบนมีพี่ชายร่วมอุทรสามคนล้วนแต่มีความสามารถ โดยเฉพาะพี่สาม มีคุณหนูสูงศักดิ์ไม่รู้ตั้งเท่าไรประจบเอาใจนางเพื่อสอบถามเรื่องของเขา คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วพี่สามจะแต่งให้เจียงซูเหย่า เมื่อคิดว่าหลังจากนี้นางต้องเรียกเจียงซูเหย่าว่าพี่สะใภ้สาม นางก็รู้สึกว่าช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
พอถึงคราวของเซี่ยเพ่ย นางรับของขวัญแล้วส่งต่อให้หญิงรับใช้ และกล่าวขอบคุณอย่างขอไปที เห็นชัดว่าต้องการหักหน้าเจียงซูเหย่า
บรรยากาศกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เจียงซูเหย่าเตรียมรับมือกับการกลั่นแกล้งไว้นานแล้ว นึกไม่ถึงว่าแม้ผ่านด่านผู้อาวุโสด้านนั้นแล้ว แต่กลับมิอาจผ่านด่านยายเด็กน้อยด้านนี้ได้
รอยยิ้มของนางไม่แปรเปลี่ยน ราวกับไม่รู้สึกถึงการกลั่นแกล้งของเซี่ยเพ่ย “ไม่ต้องขอบคุณหรอก น้องเล็กชอบก็ดีแล้ว”
เซี่ยเพ่ยสะอึกไปครู่หนึ่ง นางไม่แม้แต่จะเปิดกล่องออกดู แล้วจะพูดว่าชอบได้อย่างไร เจียงซูเหย่าช่างหน้าหนาจริงๆ
นางคว้ากล่องจากมือของหญิงรับใช้อย่างขัดเคือง เปิดกล่องออกแล้วเหลือบมองแวบหนึ่ง ยิ้มกล่าว “พี่สะใภ้สามช่างมีน้ำใจ เพียงแต่เครื่องประดับศีรษะชุดนี้หรูหราไปสักหน่อย แต่ไหนแต่ไรข้าชอบเครื่องประดับที่ประณีต เรียบง่ายมากกว่า เกรงว่าคงจะไม่ได้ใช้มัน”
เจียงซูเหย่ามักถูกคนเยาะหยันว่ารูปร่างหน้าตาช่างสามัญและแต่งกายไร้รสนิยมมาโดยตลอด คำพูดที่ทั้งโจ่งแจ้งและแอบจิกกัดนี้หมายจะเล่นงานนาง
เจียงซูเหย่าที่ตกเป็นเป้าไม่เจ็บไม่คัน ขณะจะพูดต่อ ทว่าเซี่ยสวินกลับกล่าวว่า “เจ้าอายุยังน้อย วันหน้าคงมีโอกาสได้ใช้”
แม้เขาไม่ชอบเจียงซูเหย่า แต่ก็ไม่คิดจะรังแกนาง และไม่อยากให้วันนี้เกิดการโต้เถียงกัน
เขาพูดจบก็พาเจียงซูเหย่าเดินผ่านเซี่ยเพ่ยไป ทำให้เซี่ยเพ่ยตกตะลึงพรึงเพริด
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นไม่คิดว่าเซี่ยสวินจะช่วยพูดแทนเจียงซูเหย่า ถึงอย่างไรท่าทางของเขาเมื่อคืนก็แสดงออกอย่างชัดเจนมาก
เจียงซูเหย่าแอบมองเซี่ยเพ่ยผาดหนึ่ง พบว่านัยน์ตาของแม่นางน้อยแดงก่ำด้วยความน้อยใจ
เซี่ยสวิน เจ้าสมองหมูผู้นี้นี่
เห็นอยู่ว่าสามารถหลอกให้ผ่านๆ ไปได้ แต่กลับช่วยนางย้ำแค้น มิหนำซ้ำยังยั่วน้องสาวสามีหัวใจกระจก[1]ให้โมโห
หลังคารวะน้ำชาแล้ว คนทั้งหลายจึงแยกย้ายกัน เจียงซูเหย่าไม่คิดจะแสร้งทำตัวว่านอนสอนง่ายต่อหน้าแม่สามี เมื่อเห็นเซี่ยสวินเดินจากไป ก็รีบเดินตามเขาออกไป
ช่วงแต่งงานไม่กี่วันนี้ เซี่ยสวินไม่ต้องเข้าเวร แต่เพราะไม่อยากอยู่ในจวนพบหน้าเจียงซูเหย่า จึงนัดสหายไปขี่ม้านอกเมือง
เดินออกมาได้สักพัก เซี่ยสวินพบว่าเจียงซูเหย่าเดินตามหลังเขามาตลอดทาง ใจเขาไม่เป็นสุขอยู่บ้างอย่างบรรยายไม่ถูก
เขาหยุดฝีเท้า กระแอมกระไอ “ข้าจะออกจากจวนไปพบสหาย” กล่าวจบก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ของตนคล้ายกำลังคุยกับภริยา ก็ยิ่งว้าวุ่นใจ
เจียงซูเหย่าไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ เขาถึงรายงานตัวกับนาง นางพยักหน้าอย่างงุนงง “อ้อ”
เซี่ยสวินเดินหน้าต่อ แต่เจียงซูเหย่ายังคงเดินตามเขามา
เขาอดถามไม่ได้ว่า “เหตุใดเจ้ายังตามข้ามาอีก”
เจียงซูเหย่าไม่เข้าใจ “ข้าไม่ได้เดินตามท่านสักหน่อย” นางเอียงศีรษะครุ่นคิดพักหนึ่ง พลันเข้าใจ “ข้าจะไปห้องครัวใหญ่ บังเอิญไปทางเดียวกับท่านพอดี”
เซี่ยสวินคิดไม่ถึงว่าเมื่อครู่เขาจะคิดเข้าข้างตนเองฝ่ายเดียว หลังหูแดงอย่างรวดเร็ว
เจียงซูเหย่าเห็นเขาหลุบตานิ่งเงียบ ก็ถอยหลังก้าวหนึ่งเงียบๆ “อย่างนั้นท่านเดินไปก่อนดีหรือไม่”
เดิมเซี่ยสวินคิดจะพูดบางอย่าง เห็นเจียงซูเหย่าพูดเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่านางเหน็บแนมเขาที่เมื่อครู่คิดเข้าข้างตนเองฝ่ายเดียว เวลานี้จึงอับอายจนหลังหูแดง
เขาเงยหน้ามองเจียงซูเหย่า นางกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา มิหนำซ้ำยังผายมือทำท่าทาง “เชิญ”
เซี่ยสวินชะงัก ลอบกัดฟันด้วยความขุ่นเคือง
เขาเกิดมาหน้าตาดี ยามโกรธนัยน์ตาดำเปล่งประกาย รูปลักษณ์ที่ราวกับเซียนจุติลงมายังโลกมนุษย์ถูกอาบย้อมไปด้วยความมีชีวิตชีวาหลายส่วน ดูสดใสร่าเริง ในที่สุดก็ดูคล้ายบุรุษหนุ่มรูปงามที่เปี่ยมล้นด้วยพลังและความมีชีวิตชีวาแล้ว
เจียงซูเหย่าไม่รู้สึกว่านางทำอันใดผิดแม้แต่นิด เห็นเซี่ยสวินมองนาง ก็กล่าวต่อว่า “หรือให้ข้าเดินไปก่อนดี พอเลี้ยวโค้งหน้าก็ถึงห้องครัวใหญ่แล้ว”
“ไม่ต้อง!” เซี่ยสวินหันหลังขวับ สาวเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งว่าด้านหลังถูกไฟลน
เจียงซูเหย่ามองแผ่นหลังของเขา แล้วพรูลมหายใจเงียบๆ คนหนุ่มสาวต้องคึกคักร่าเริงสักหน่อยถึงจะดี ท่าทางคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉงช่างสบายตาจริงๆ
หลังระบายลมหายใจแล้ว นางพาเหล่าหญิงรับใช้ไปที่ห้องครัวใหญ่
เนื่องจากตื่นสายจึงยังไม่ได้กินอาหารเช้า เวลานี้นางหิวมาก
เหล่าบ่าวไพร่ในห้องครัวใหญ่เห็นเจียงซูเหย่าเดินเข้ามา ก็พากันคำนับอย่างลนลาน
เจียงซูเหย่าโบกมือ เดินตรงเข้าห้องครัว
คนตระกูลใหญ่พิถีพิถันกับการปรุงอาหารมาก โดยจะปรุงในปริมาณที่น้อยมาก หากอาหารเหลือ โดยปกติแล้วพวกบ่าวไพร่จะกินต่อ ดังนั้นเจียงซูเหย่าเดินวนรอบห้องครัวหนึ่งรอบ จึงเห็นเพียงน้ำแกงที่เคี่ยวให้เหล่าเจ้านายเท่านั้น
“ฮูหยินสาม ท่านคือ…” เมื่อหมัวมัว[2]ที่จัดการเรื่องทั่วไปเห็นนางมองซ้ายแลขวา ก็เดินเข้ามาถามอย่างกังวล
“ไม่มีอันใด ข้ามาหาของกินนิดหน่อย”
“ท่านต้องการอันใดเจ้าคะ”
หมัวมัวค้อมกาย ผงกศีรษะ และเดินตามเจียงซูเหย่าอย่างนอบน้อม เจียงซูเหย่าไม่คุ้นชิน “เจ้าไปทำงานของเจ้าต่อเถิด ข้าทำอันใดกินเล็กน้อยก็ใช้ได้แล้ว”
บ่าวไพร่ในจวนต่างรู้เรื่องที่เมื่อคืนเซี่ยสวินนอนในห้องหนังสือ พวกเขาอดดูแคลนเจียงซูเหย่าฮูหยินสามผู้นี้ไม่ได้ ในเมื่อนางพูดเช่นนี้ หมัวมัวก็ไม่ได้เดินตามนางอีก คำนับแล้วเดินออกจากห้องครัว
เจียงซูเหย่ายังไม่ได้กินอาหารเช้า หญิงรับใช้ทั้งสี่ก็หิวจนทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน ทุกคนหิวมาก นางจึงเลือกทำอาหารจานด่วนสองอย่าง
เมื่อนางพับแขนเสื้อขึ้นและเตรียมลงมือก็ตระหนักได้ว่าทั้งห้าคนในห้องครัวไม่มีผู้ใดก่อไฟเป็นแม้แต่คนเดียว จึงสั่งให้คนออกไปเรียกหญิงรับใช้รุ่นเล็กเข้ามาก่อไฟ
หญิงรับใช้รุ่นเล็กตัวไม่สูง ร่างกายผอมแห้ง แต่กลับทำงานคล่องแคล่ว
หลังก่อไฟแล้ว เจียงซูเหย่าเอาหม้อใบใหญ่วางบนเตา ต้มน้ำเตรียมต้มบะหมี่
นางเจอหูหลัวปัว[3] ชิงไช่[4] และต้นหอม หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เตรียมไว้ใช้ในภายหลัง
เหล่าหญิงรับใช้ตกใจกับทักษะการใช้มีดของเจียงซูเหย่า พวกนางส่งสายตาให้กันพลางหวนคิดว่าคุณหนูเคยเข้าครัวตั้งแต่เมื่อใด
พอน้ำเดือดแล้ว เจียงซูเหย่าโยนเส้นบะหมี่ลงในหม้อใบใหญ่
นางตีไข่ในชามใบใหญ่ ใส่ผักและต้นหอมซอยลงไป ตามด้วยเกลือและแป้งข้าวโพด จากนั้นคนให้เข้ากัน และให้หญิงรับใช้รุ่นเล็กก่อไฟตั้งเตาอีกเตาหนึ่ง เมื่อไฟกองเล็กๆ ติดแล้ว ก็เทน้ำมันลงกระทะ
น้ำมันร้อนแล้ว เทส่วนผสมไข่หนึ่งในสี่ส่วน แล้วหมุนกระทะจนไข่เป็นแผ่นแบน ขณะที่ไข่ยังไม่แข็งตัวโดยสมบูรณ์ก็ม้วนไข่โดยใช้ตะหลิวกดให้เป็นรูปทรง รอให้ด้านในสุกดีแล้วค่อยเทส่วนผสมไข่หนึ่งในสี่ส่วนลงไปใหม่
ทำเช่นนี้อีกครา สุดท้ายหลังเทส่วนผสมไข่ส่วนสุดท้ายใส่กระทะเหล็ก บะหมี่ก็สุกได้ที่แล้ว
เจียงซูเหย่าให้หญิงรับใช้ช้อนบะหมี่ขึ้นแล้วล้างน้ำเย็น ส่วนนางก็เทไข่ม้วนใส่จานแล้วหั่นแบ่งเป็นห้าส่วน
“รีบมาชิมเร็วเข้า” นางกวักมือเรียกเหล่าหญิงรับใช้
บรรดาหญิงรับใช้ตกตะลึงพรึงเพริด คิดไม่ถึงว่าเจียงซูเหย่าที่ปรนนิบัติยากมาโดยตลอดจะทำอาหารให้หญิงรับใช้อย่างพวกนางกิน ในใจของทุกคนครุ่นคิดหลายตลบ พวกนางเห็นพ้องต้องกันว่าเจียงซูเหย่าเกิดนึกสนุก จึงเข้าครัวทำอาหาร ภารกิจในการชิมอาหารนี้จะไม่ตกใส่หัวของพวกนางได้อย่างไร
ไป๋เสาสุขุมที่สุดในบรรดาหญิงรับใช้สี่คน เมื่อเห็นอีกสามคนนิ่งเฉยมิกล้าเดินเข้ามา จึงอาสาเดินออกมาเอง
ก็แค่ไม่อร่อยนิดหน่อยเท่านั้น อย่างมากก็ต้มไม่สุก จะมียาพิษได้อย่างไร
นางปลอบตนเองในใจ แล้วรับจานจากเจียงซูเหย่า
เมื่อขยับเข้าไปใกล้ กลิ่นหอมกรุ่นของไข่ก็โชยเตะจมูก ไป๋เสาอดกลืนน้ำลายไม่ได้
นางหยิบไข้ม้วนชิ้นหนาขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ตัวไข่เป็นสีทอง ด้านในนุ่มหยุ่นมาก และเด้งสั่นเล็กน้อย
ไป๋เสากัดหนึ่งคำท่ามกลางสายตาคาดหวังและเห็นใจของทุกคน ไข่ม้วนที่เพิ่งออกจากกระทะร้อนเล็กน้อย เมื่อกัดลงไป ความชุ่มฉ่ำที่แสนอร่อยในไข่ม้วนก็ระเบิดในโพรงปาก ไข่เนียนนุ่ม กลิ่นหอมกรุ่นของไข่ผสานกับกลิ่นหอมสดชื่นของผักที่หั่นซอย อุดมไปด้วยรสชาติ ทำให้ต่อมรับรสกลับมาทำงานอีกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้าง” เจียงซูเหย่าถาม การควบคุมความร้อนของเตาดินชนิดนี้ไม่ง่ายเลย นี่เป็นครั้งแรกที่นางเข้าครัวจึงประหม่าเล็กน้อย
“อืม!” ไป๋เสาพยักหน้าพลางพูดงึมงำ เมื่อกลืนไข่ม้วนแล้ว “อร่อยๆ พวกเจ้ารีบมาชิมเร็ว”
หัวใจของหญิงรับใช้อีกสามคนเต้นตึ้กตั้ก ไป๋เสาผู้สุขุมเยือกเย็น คาดไม่ถึงว่าฝีมือประจบประแจงจะล้ำเลิศ ซ้ำยังคิดลากพวกนางสามคนลงน้ำด้วย
พวกนางหยิบจานขึ้นมา แล้วกลั้นหายใจกินไข่ม้วนคำหนึ่ง จากนั้นก็คล้ายกับถูกตบหน้า
เดิมพวกนางหิวมากอยู่แล้ว ความคาดหวังต่ำ ย่อมรู้สึกว่าไข่ม้วนอร่อยมาก
รสชาติเข้มข้นแต่ไม่เลี่ยน ทั้งยังให้รสสด[5] เมื่อเทียบกับโจ๊กขาวและเครื่องเคียงที่เคยกินจนคุ้นเคยแล้วกลับให้ความรู้สึกที่น่าตกใจและชวนให้ดีใจอย่างยิ่ง
เจียงซูเหย่าลองชิมชิ้นหนึ่ง รู้สึกว่ารสชาติดีกว่าที่นางคิดไว้
นางกินรองท้องสองชิ้น แล้วกลับไปข้างเตา ใช้ซีอิ๊วและน้ำตาลทรายขาวทำน้ำปรุงรส ซอยต้นหอม และสับกระเทียม จากนั้นตั้งกระทะไฟแรง เทน้ำมันลงไป ตามด้วยต้นหอมซอยและกระเทียมสับ
เกิดเสียงดัง “ซู่” กลิ่นหอมเข้มข้นของต้นหอมโชยออกมา เทียบกับกลิ่นหอมกลมกล่อมของไข่เมื่อครู่แล้ว กลิ่นของน้ำมันต้นหอมกลับรุนแรงยิ่งกว่า
พอต้นหอมซอยเกรียมเล็กน้อย ก็เทน้ำปรุงรสที่เตรียมไว้ลงไป ผัดประมาณหนึ่งนาที น้ำมันต้นหอมก็เสร็จแล้ว
จากนั้นราดน้ำมันต้นหอมลงบนบะหมี่ที่ล้างด้วยน้ำเย็น คลุกเคล้าให้เข้ากัน บะหมี่น้ำมันต้นหอมง่ายๆ ก็ปรุงเสร็จแล้ว
พวกนางเพิ่งกินไข่ม้วนรองท้อง เมื่อได้กลิ่นน้ำมันต้นหอมก็เกิดความตะกละอีกครา กลิ่นหอมของต้นหอมอบอวลอยู่ในครัว ทำพวกนางอดกลืนน้ำลายไม่ได้
เมื่อชามบะหมี่น้ำมันต้นหอมถูกยกมาวาง ไม่รอให้เจียงซูเหย่าร้องเรียก คนทั้งสี่ก็ยกชามขึ้นมากินทันใด
เอาเข้าปากแล้ว ได้กลิ่นหอมฉุนของน้ำมันต้นหอม น้ำปรุงรสยิ่งช่วยชูรสเข้มข้นของต้นหอม เส้นบะหมี่ยืดหยุ่น และทิ้งความหอมไว้ในปากระหว่างเคี้ยว
ทุกคนไม่สนใจมารยาทอีกต่อไป ยืนพิงโต๊ะยาวจัดการกับอาหารรสเลิศคำโต
เจียงซูเหย่าเห็นหญิงรับใช้รุ่นเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ มองตาปริบๆ จึงตักให้นางชามหนึ่ง นางปฏิเสธสองครั้ง เมื่อมิอาจทนต่อความยั่วยวนของอาหารรสเลิศได้ ก็รับชามและเริ่มกินอย่างตะกละตะกลาม
ไข่ม้วนกับบะหมี่น้ำมันต้นหอมไม่ถือว่าเป็นอาหารรสโอชา ทว่าอย่างหนึ่งมีรสชาติสดใหม่ อีกอย่างมีรสชาติเข้มข้น เป็นรสชาติที่เข้ากันได้ดี เจียงซูเหย่าที่ถูกเซียงหยางปั๋วฮูหยินบังคับให้กินน้ำแกงใส อาหารมังสวิรัติ อาหารไขมันน้อยมาตลอดหนึ่งเดือนกว่าในที่สุดก็ได้ลิ้มรสอาหารอย่างเต็มที่สักที
[1] คำสแลง หมายถึง หัวใจเปราะบาง แตกสลายง่ายราวกับกระจก
[2] คำเรียกหญิงสูงวัย ทั้งย่า ยาย แม่นม ป้า ยังเป็นคำเรียกหญิงรับใช้อาวุโสในเชิงยกย่อง และนางกำนัลอาวุโสในวัง
[3] แครอต
[4] ผักกวางตุ้ง
[5] นอกจากรสชาติพื้นฐานของอาหารจีน ได้แก่ หวาน เปรี้ยว ขม เผ็ด และเค็ม ตามปรัชญาเต๋าที่อธิบายว่าโลกนี้ประกอบด้วยธาตุห้าชนิด คือ ไม้ น้ำ ไฟ ดิน และโลหะแล้ว ยังมีรสอื่นๆ ด้วย เช่น รสสด อย่างรสของเนื้อปลาสดที่ต้มหรือนึ่งโดยไม่ปรุงรสใดๆ