[ทดลองอ่าน] คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน เล่ม 3 ตอนที่ 78

《古代吃货生存指南》
คู่มือการเอาตัวรอดของนักกิน

 

เข่อเล่อเจียงทัง เขียน
เสี่ยวหวา แปล

 

— โปรย —
ด้วยฝีมือการปรุงอาหารเลิศรสของ เจียงซูเหย่า
นอกจากจะมัดใจ เซี่ยสวิน ผู้เป็นสามีแล้ว
ยังผูกใจคนในครอบครัวสามีไว้ได้ด้วย

ไม่ว่าปัญหาใดล้วนแก้ไขได้ด้วยอาหารแสนโอชะ
ทั้งคนสูงศักดิ์และคนธรรมดา เมื่อได้ลิ้มลองแล้ว
ไม่มีใครที่จะเพิกเฉย

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

78

 

ความร้อนระอุในฤดูร้อนค่อยๆ ลดลง ไม่กี่วันก่อนรัชทายาทถ่ายทอดคำพูดไปยังเจ้าหน้าที่ทางการให้พวกเขาจัดการกับผู้ก่อกวนอย่างเป็นกลาง เจ้าของร้านค้าที่เดิมต้องการก่อปัญหาต่างพากันหดตัวกลับเข้ากระดอง มีเพียงเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังหอสุราหอจุ้ยเซียวที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงที่ไม่พอใจ

พอย่านอาหารข้างทางมีชื่อเสียง ไม่ว่าขุนนางใหญ่ ผู้สูงศักดิ์ หรือชาวบ้านธรรมดาล้วนเคยไปที่ย่านนั้น การค้าของหอสุราเริ่มขาดทุน แต่ไม่ร้ายแรงมากนัก ถึงอย่างไรคนทั่วไปที่พูดคุยธุระ จัดงานเลี้ยงยังคงไปที่หอสุรา ถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการแสวงหาผลกำไร กลับเป็นการตบหน้ากันอย่างโจ่งแจ้ง

อำนาจที่อยู่เบื้องหลังหอสุราอื่นๆ อาจจะเกรงกลัวรัชทายาท แต่หอจุ้ยเซียวหาได้กลัวไม่ เถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาคือคังอ๋อง อนุชาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ไยจะต้องกริ่งเกรงรัชทายาทด้วย

เดิมพวกเขาไม่มีเจตนาจะตั้งตนเป็นศัตรูกับสกุลหลิน แต่ทันทีที่รัชทายาทออกหน้า คังอ๋องก็รู้สึกว่ารัชทายาทไม่ไว้หน้าเขา จึงจำต้องกู้หน้ากลับคืนมา

เพื่อลดความนิยมของสกุลหลินลง คนของเขาไม่มีทางใช้วิธีการต่ำช้าเหล่านั้น มีแต่จะโจมตีจุดสำคัญโดยตรง โดยลงมือจากอาหาร หลังตรวจสอบและหารือกัน ในที่สุดก็พบโอกาสที่เหมาะสม

หลินซื่อผ่านช่วงแพ้ท้องแล้ว ก็กลับมามีท่าทางกระฉับกระเฉงอีกครา ประจวบเหมาะกับย่านอาหารริมทางจำเป็นต้องเพิ่มร้านค้าและรายการอาหารใหม่ๆ นางจึงกระโจนเข้าสู่การทำงานอีกครั้ง และยุ่งตัวเป็นเกลียว โดยลงมือทำด้วยตนเอง แม้กระทั่งบางครั้งถึงกับต้องพำนักในโรงเตี๊ยมที่หัวถนน

แม้หลินซื่อบอกว่าจะดูแลใส่ใจสุขภาพร่างกาย แต่เจียงซูเหย่ายังเป็นห่วงว่านางจะไม่สนใจครรภ์เพราะยุ่งทั้งวัน จนกินแล้วไม่ย่อย จึงตัดสินใจแอบไปดูมารดาที่ย่านอาหารริมทางเงียบๆ

เจียงซูเหย่ารีบมาที่ย่านนี้ก่อนพลบค่ำ โดยพาโจวซื่อที่อุดอู้อยู่แต่ในจวนออกมาด้วย

เวลานี้ยังไม่ถึงเวลากินอาหาร ย่านอาหารยังไม่คึกคัก มีคนไม่มาก เจียงซูเหย่ากับโจวซื่อเดินวนรอบถนนรอบหนึ่ง

อากาศเย็นลงแล้ว เครื่องดื่มเย็นๆ กับของกินเย็นๆ บางส่วนหยุดขาย และเปลี่ยนรายการอาหารใหม่ เช่น หลูจู่[1] อาหารต้มเสียบไม้ เป็นต้น

เจียงซูเหย่ากับโจวซื่อไล่ซื้อมาชิมทีละอย่าง หลังจากปรับรสชาติครั้งสุดท้าย รสชาติของอาหารก็ถูกปากคนโบราณมากขึ้น ขณะกิน โจวซื่อกล่าวชมไม่ขาดปาก

พวกนางไม่ได้บอกหลินซื่อว่าจะมา ย่อมเข้าใจว่าหลินซื่อไม่รู้ แต่ผู้ดูแลร้านค้าจำเจียงซูเหย่าได้ ก็หันไปบอกพ่อบ้าน แล้วพ่อบ้านไปรายงานหลินซื่อที่พักผ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยมอีกที

หลินซื่อชอบบรรยากาศของย่านอาหารริมทาง ทุกคืนจะต้องออกมาเดินเล่น เพื่อคลายความเหนื่อยล้า ยามนี้ได้ยินว่บุตรีมาแล้ว นางจึงล้มเลิกความคิดที่จะออกไปเดินเล่น และยอมพักผ่อนอยู่ในโรงเตี๊ยมแต่โดยดี

ขณะที่ย่านอาหารข้างทางคึกคัก หลินซื่อยังคงไม่ออกมา

เจียงซูเหย่าไปดูที่โรงเตี๊ยม เมื่อเห็นมารดาคลายมวยผมออกแล้วและนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง ไม่มีทีท่าว่าจะออกไปด้านนอก ก็รู้สึกวางใจ

โรงเตี๊ยมตกแต่งอย่างประณีต สภาพไม่ได้ด้อยไปกว่าเรือนปีกข้างของจวนเซียงหยางปั๋วมากนัก หากกลับจวนแล้วไม่มีความสุข เจียงซูเหย่าไม่เคยเกลี้ยกล่อมให้มารดากลับไปพักผ่อนที่จวนเพราะเรื่องนี้

หลังบอกลาหลินซื่อแล้ว เจียงซูเหย่าก็ออกจากโรงเตี๊ยม ครั้นกินอาหารกับโจวซื่ออย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว ขณะเตรียมจะกลับจวน ยังไม่ทันเดินออกจากย่านนี้ พลันนั้นก็ได้ยินเสียงดังเอะอะ

เจียงซูเหย่าขมวดคิ้ว ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี

คล้ายนางดวงไม่ดี ยามไม่มาย่านนี้ คลื่นลมสงบเงียบ แต่พอมาแล้วกลับมีคนก่อเรื่อง

ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เหมือนครั้งก่อน วันนี้บังเอิญเพิ่มอาหารใหม่พอดี คังอ๋องส่งผู้ช่วยที่มีความสามารถมาที่นี่ ไม่มีอุบายใดๆ แต่ซื้อตัวพ่อครัวของร้านหลูจู่ไปโดยตรง และตะโกนอยู่หน้าร้านอาหาร โดยแจกแจงวัตถุดิบที่ขายอยู่ในร้านอาหาร

คราแรกลูกค้าตั้งใจจะชิมของแปลกใหม่ด้วยความสนใจ เพิ่งเดินไปถึงหน้าประตูร้านก็เจอเรื่องนี้เข้าพอดี

“วัตถุดิบที่ขายที่นี่ล้วนเป็นของสกปรก เช่น ไส้หมู ปอดหมู และยังมีหัวใจด้วย!” พ่อครัวของร้านหลูจู่ถือจานใบใหญ่ในมือ แล้วเททิ้งบนถนน หัวใจ ปอด ลำไส้ที่เปื้อนเลือดพลันร่วงตกพื้น ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง

หากใช้ไส้หมู ปอดหมูมาประกอบอาหาร ต้องจัดการวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน ไส้หมูจำเป็นต้องดึงไขมันออก ขัดถูอย่างต่อเนื่อง จากนั้นนำไปลวกเพื่อขจัดกลิ่นแปลกๆ ออก ปอดหมูก็ทำอย่างเดียวกัน น้ำในหม้อที่ผ่านการลวกแล้วขุ่นสกปรก แค่คิดก็รู้แล้วว่าวัตถุดิบที่ยังไม่ได้ถูกจัดการให้เรียบร้อย หากปรากฏอยู่ตรงหน้าลูกค้า จะส่งผลรุนแรงมากเพียงใด

“ของเหล่านี้หากเอาไปเลี้ยงสุนัข สุนัขยังรังเกียจ แต่พวกเขากลับเอามาทำอาหารขาย นี่เป็นการหลอกลวงทุกคน” พ่อครัวที่มีกลิ่นเหม็นติดอยู่ร่างยกหลูจู่ที่ทำเสร็จแล้วออกมา และยื่นไปด้านหน้า “ทุกคนดู พวกเจ้ามองออกหรือไม่ว่าของเหล่านี้ทำมาจากอันใด”

ทุกคนมองเข้าไปในชาม เห็นแค่ส่วนผสมสีน้ำตาลแดงที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ วางกองอยู่ ยกเว้นคนฆ่าสัตว์แล้ว มีไม่กี่คนที่รู้ว่าของเหล่านี้คืออันใด

คนที่มาที่ย่านอาหารริมทางส่วนมากไม่ใช่ชาวบ้านที่ยากจนข้นแค้น จึงไม่มีทางจะพิจารณาถึงการใช้เครื่องในหมูมาปรุงอาหาร ขณะที่ชาวบ้านยากจนที่คิดจะชิมรสชาติของเนื้อสัตว์ แต่ก็จะไม่ซื้อเครื่องในสัตว์มาปรุง เพราะไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร อาหารที่ทำออกมาไม่มีกลิ่นของเนื้อสัตว์ มีแต่กลิ่นเหม็นน่าขยะแขยง

ตอนนั้นเองหลงจู๊ร้านข้างๆ ร้านหลูจู่ก็เดินออกมา ถอนหายใจกล่าวว่า “ไม่เพียงร้านของเจ้าขายวัตถุดิบที่สกปรกเหล่านั้น ของข้าก็เช่นกัน เจ้าดูนี่สิ นี่คืออันใด ตีนไก่ ขาหมู ไม่รู้ว่ากรงเล็บและกีบเท้าสัตว์ไปเหยียบย่ำอันใดมาบ้าง ส่วนที่สกปรกที่สุดในตัวทั้งหมด เวลานี้นำมาทำเป็นอาหารแล้วเอาเข้าปาก”

เหล่าลูกค้ามองหน้ากันไปมา

“ไม่กี่วันก่อนตอนที่กินอาหารปิ้งย่างเสียบไม้และของทอดเสียบไม้ ข้าเหมือนจะได้กินของที่คล้ายเนื้อสัตว์แต่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ ทว่ารสชาติดี ข้าก็ไม่ได้ถามว่าเป็นอันใด หากเป็นของเหล่านี้…”

“แต่ผู้ดูแลร้านก็ไม่ได้ปิดบังพวกเรา ขอเพียงพวกเราถาม พวกเขาไม่มีทางที่จะไม่บอกวัตถุดิบให้พวกเรารู้ ไม่กี่วันที่ผ่านมาคนเขายังทำข้าวผัดต่อหน้าทุกคน ไม่กลัวว่าจะมีคนจะลอกเลียนฝีมือแม้แต่นิด”

มีบางคนที่ไม่ถือสา และบางคนที่พิถีพิถันกับเรื่องอาหารก็จะถือสาในเรื่องนี้

“เนื้อหมู เนื้อแพะ เนื้อไก่ เนื้อเป็ด เนื้อปลา เนื้อสัตว์มีตั้งมากมาย ไยต้องเลือกของที่คนคลื่นเหียนมาทำอาหาร”

“ถูกต้อง หรือวัตถุดิบเหล่านี้มีราคาถูก คนสกุลหลินคิดจะหาเงินสกปรก”

นี่เป็นเรื่องของแนวคิด คนที่คังอ๋องส่งมาได้ตรวจสอบที่นี่นานแล้ว ในที่สุดก็จับจุดอ่อนได้ สำหรับพวกเขาที่เย่อหยิ่ง เข้าใจว่าตนเองเหนือคนอื่น และเป็นคนที่กินอาหารราคาแพง การที่ใช้วัตถุดิบสกปรกมาปรุงอาหารถือเป็นการสบประมาทอย่างแท้จริง

คนกลุ่มหนึ่งโต้เถียงกันไม่รู้จบ คล้ายเกิดเรื่องคล้ายไม่เกิดเรื่อง

“เอาละ เจ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องกิน!” นี่เป็นครั้งแรกที่โจวซื่อเจอคนมาก่อกวน พอได้ยินว่ามีคนใส่ร้ายป้ายสีสกุลหลิน นางทนไม่ไหว จึงเบียดฝูงชนออกมา “ใส่ร้ายคนส่งเดช!”

สายตาของนางเฉียบคม มองแวบเดียวก็จับตัวคนของคังอ๋องออกมาได้ กล่าวกับพวกเขาว่า “ข้าขอถามพวกเจ้าว่าสกุลหลินได้จับยัดใส่ปากพวกเจ้า หรือหลอกให้พวกเจ้ากินหรือ ชอบก็กิน ไม่ชอบก็อย่ากิน พูดราวกับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงมาก”

นางเรียนรู้การทำอาหารจากเจียงซูเหย่า และศึกษาค้นคว้าการจัดการวัตถุดิบด้วย นางชี้ไปที่วัตถุดิบที่ตกอยู่บนพื้นถนนพร้อมกล่าวว่า “วัตถุดิบเหล่านี้มองว่าสกปรก แต่ถ้าล้างให้สะอาดหลายครั้งก่อนนำไปประกอบอาหาร อาจต้องเสียเวลามากหน่อย แต่รสชาติที่ได้กลับไม่ด้อยไปกว่าเนื้อสัตว์เลย มีกลิ่นหอมที่น่ามหัศจรรย์ อีกทั้งราคาถูก บอกว่าสกุลหลินคิดหาเงินสกปรก ช่างพูดจาเหลวไหล!”

ตอนแรกโจวซื่อมิอาจยอมรับวัตถุดิบที่เอานำประกอบอาหารเหล่านี้ได้เช่นกัน แต่พอเจียงซูเหย่าสาธิตให้นางดูครั้งหนึ่ง ความสะอิดสะเอียนในใจนางก็สลายสิ้น เมื่อได้กินอาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว ก็ตกหลุมรักการใช้วัตถุดิบเหล่านี้มาทำอาหาร

“ข้าคิดว่าเจ้าไม่รู้เรื่องอาหารถึงได้พูดซี้ซั้ว สิ่งสำคัญที่สุดของอาหารคือรสชาติ ไม่ใช่เพราะวัตถุดิบดีหรือไม่ และวิธีทำมีความพิถีพิถันหรือไม่ หากเรื่องแค่นี้ยังไม่เข้าใจ ข้าคิดว่าหอสุราของพวกเจ้าเปิดไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว!”

คนของคังอ๋องตื่นตกใจ “เจ้าอย่าได้พาดพิงถึงคนอื่น เปิดหอสุราอันใดกัน เกี่ยวอันใดกับพวกเราด้วย”

โจวซื่อไม่สนใจ กล่าวต่อว่า “อีกอย่าง พวกเจ้าบอกว่าของเหล่านี้สกปรก ไม่ใช่เป็นเพราะราคาถูกหรอกหรือ ยามนี้ทำเป็นรังเกียจสะอิดสะเอียน เหตุใดตอนที่กินสมองลิง กินเขากวางอ่อน กินอวัยวะเพศแพะ ถึงไม่เอ่ยว่าสะอิดสะเอียนบ้างเล่า”

เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่โจวซื่อใส่ก็รู้ว่าเป็นสตรีสูงศักดิ์ แต่คำพูดกลับน่าเกรงขาม คนของคังอ๋องอดหลั่งเหงื่อเย็นออกมาไม่ได้ และเบื้อใบ้ชั่วขณะ

“หากให้ข้าพูด ไม่ต้องสนใจว่าอาหารเหล่านี้ทำมาจากอันใดและทำอย่างไร กล่าวถึงเหตุผลที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้จะมีความหมายใด พวกเราแค่ชิมรสชาติก็ใช้ได้แล้ว” นางแค่นเสียงทีหนึ่ง กล่าวเยาะหยันว่า “เจ้าเข้าใจว่าชาวบ้านกินเหมือนพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ สิ่งที่กินไม่ใช่ข้าว อย่าพิถีพิถันสุ่มสี่สุ่มห้า”

โจวซื่อวิ่งเข้ามากล่าวกับเจียงซูเหย่าว่า “น้องสะใภ้ พวกเราไม่ต้องเสียเวลาโต้เถียงกับพวกเขา หั่นหลูจู่และตุ๋นพะโล้เหล่านี้เป็นชิ้นเล็กๆ หากอยากรู้ก็ลองชิมดู ข้ารับรองว่าพวกเขากินคำหนึ่ง จะต้องอยากกินอีกคำเป็นแน่”

คนของคังอ๋องแค่นเสียงขึ้นจมูกกับวาจาของโจวซื่อ วัตถุดิบเหล่านี้สกปรกขนาดนี้ ถึงจะอร่อยเพียงใด เขาก็เชื่อว่าไม่มีผู้ใดอยากชิม

เจียงซูเหย่าก็คิดอย่างนี้เช่นกัน สิ้นเสียงของโจวซื่อ นางสั่งพ่อบ้าน พ่อบ้านให้เสี่ยวเอ้อร์ยกชามเล็กออกไปหลายใบ ชามเล็กแต่ละใบใส่หลูจู่เหมือนอย่างร้านพะโล้ แบ่งตีนไก่กับขาหมูชิ้นเล็กๆ ให้ลูกค้าลองชิม

ยกอาหารออกมาแล้ว โจวซื่อก็ก้าวขึ้นหน้าอีกครา หรี่ตามองคนของคังอ๋องอย่างเยาะหยัน

คนของคังอ๋องหาได้สนใจไม่ ไม่คิดว่าจะมีคนเต็มใจชิมอาหารเหล่านี้หลังจากเห็นวัตถุดิบเหล่านั้นแล้ว

เขาเป็นผู้ช่วยที่มีความสามารถของคังอ๋อง เคยชินกับการใช้ชีวิตที่ดี ย่อมไม่เข้าใจชีวิตของชาวบ้าน บรรดาผู้ที่มานี่ไม่ใช่คนตะกละ แต่เป็นเพราะยากจนต้องการหาของอร่อยราคาถูกและใส่ใจรสชาติของอาหารมากกว่า

หากสามารถซื้อของอร่อยอย่างเนื้อสัตว์ได้ด้วยเงินจำนวนน้อย มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะไม่เต็มใจ

มีคนเดินออกมาหยิบหลูจู่ขึ้นมาหนึ่งชาม

หลูจู่ยังร้อนอยู่ น้ำแกงใสไม่ข้น เครื่องเทศสมุนไพรของพะโล้ส่งกลิ่นหอมสดชื่น นำไส้หมู ปอดหมูมาต้มด้วยกัน ใส่เต้าหู้แผ่นทอด น้ำพะโล้ ราดน้ำกระเทียม น้ำเต้าหู้ยี้ แล้วโรยผักชีไว้ด้านบนชั้นหนึ่ง เมื่อสูดดมจะได้กลิ่นคล้ายเหม็นคล้ายไม่เหม็น มีกลิ่นหอมแปลกๆ

บรรดาผู้ที่ลองชิมอาหารต่างมองหน้ากัน ยื่นตะเกียบออกไปคีบชิมทีละอย่าง

แม้เครื่องในที่อยู่บนพื้นจะล้างแล้ว แต่ก็ยังมีกลิ่นเหม็นหลงเหลืออยู่ ฉะนั้นเมื่อเอาหลูจู่เข้าปาก ในใจพวกเขาย่อมหวาดระแวงและรังเกียจ

หลังเอาเข้าปาก ความคิดก็เปลี่ยนไป

เหนียวหนึบมาก ในไส้มีน้ำมันเล็กน้อย กินแล้วหอมน้ำมัน กลมกล่อม เข้มข้น ถึงจะบอกว่าเหม็น แต่กินแล้วกลับมิอาจบอกว่าเหม็น แต่กลับหอมละมุนแปลกๆ ต่อมาเป็นปอดหมูที่อ่อนนุ่มและหนา เคี้ยวแล้วได้กลิ่นหอมของเนื้อสัตว์อย่างชัดเจน ใสแต่ไม่เหนียว ขอบเกรียมนิดหน่อย ด้านในอุ้มน้ำและนุ่มมาก น้ำแกงเค็มนิดหน่อย หอมน้ำปรุงรสและเนื้อสัตว์ เผ็ดกระเทียม ผสมผสานกับกลิ่นเครื่องเทศและสมุนไพรนานาชนิด กินเข้าไปหนึ่งคำ กลิ่นหอมเข้มข้นพลุ่งไปที่หน้าผาก

พวกเขาวางตะเกียบลง ขมวดคิ้วครุ่นคิดว่าจะบรรยายรสชาตินี้อย่างไร

เห็นคนกินแล้ว คนของคังอ๋องก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาครามครัน สำหรับพวกเขาแล้ว อาหารที่ดีที่สุดคืออาหารราคาแพง หากวัตถุดิบราคาถูกเหล่านี้ทำได้อร่อยและน่าดึงดูด…เขามิกล้าคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา

ทางด้านนั้น ตีนไก่พะโล้กับขาหมูมีคนแย่งกันกินแล้ว รสชาติพะโล้นั้นบรรยายง่าย ไม่ว่าลูกค้าชมชอบรสชาติแบบใด เมื่อชิมแล้วก็มีแต่คำว่าโอชา

หัวหน้ากลุ่มคนของคังอ๋องไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะดำเนินไปจนเป็นเช่นนี้ ไฉนผลลัพธ์ที่ออกมาถึงไม่เป็นอย่างที่พวกเขาคาดการณ์ไว้

เหตุใดถึงได้มีคนอยากกินตีนไก่ มันน่าขยะแขยงอย่างน่าประหลาด

ผู้เป็นหัวหน้าไม่ยอมแพ้ เบียดเข้าฝูงชนแล้วหยิบตีนไก่ขึ้นมาหนึ่งชิ้น ตีนไก่ถูกต้มจนเปื่อยพร้อมขาหมูและหนังหมู ร่วมกับวัตถุดิบคล้ายวุ้นในน้ำพะโล้ หลังต้มในน้ำพะโล้จนละลายแล้ว น้ำพะโล้จะเปลี่ยนเป็นเหนียวข้น ง่ายต่อการเกาะอยู่บนวัตถุดิบ

เมื่อกินตีนไก่ เขาสั่นอยู่สักพัก ในสมองนึกถึงรูปลักษณ์แปลกประหลาดของตีนไก่ดิบ แต่ครู่ต่อมาในสมองของเขาก็ว่างเปล่า

ตีนไก่นุ่มมาก น้ำพะโล้ตุ๋นเนื้อหนังจนเปื่อย ละลายในปาก เพียงกัดเบาๆ เนื้อก็หลุดแล้ว พอผสมกับน้ำพะโล้ข้นเหนียวและเนื้อเปื่อย ทำให้กลิ่นหอมของเนื้อสัตว์และกลิ่นหอมของยาสมุนไพรอวลอยู่ในปาก เค็มเล็กน้อย มันแต่ไม่เลี่ยน พะโล้หอมจัด

นี่…นี่คือรสชาติของตีนไก่อย่างนั้นหรือ

เขาคีบขาหมูชิ้นหนึ่งใส่ปากอย่างไม่เต็มใจ

เมื่อเทียบกับตีนไก่แล้ว ขาหมูให้รสสัมผัสที่แน่นกว่า หนังหมูหยุ่น เนื้อสัมผัสนุ่มเหนียว เนื้อไม่ติดมันที่อยู่ตรงกลางบางนุ่ม หอมกลิ่นไขมันในปาก และเมื่อเทียบกับหมูสามชั้นแล้ว ขาหมูส่งกลิ่นหอมเนื้อสัตว์ที่รุนแรงกว่าหนึ่งส่วน ไม่ได้ด้อยไปกว่าเนื้อหมูเลย

เขาตื่นตะลึงเมื่อรู้สึกถึงความหอมของน้ำพะโล้และเนื้อสัตว์ในปาก พอจะขยับตะเกียบอีกครา หลงจู๊ก็ขวางไว้

“พวกเราแค่เชิญชวนให้ทุกคนชิมรสชาติ หากคิดจะกินอย่างถึงอกถึงใจ ก็เชิญเข้าไปในร้านขอรับ” หลงจู๊คลี่ยิ้ม “จะห่อกลับเรือนก็ทำได้ พวกเรายังมีขาหมูพะโล้ หมูสามชั้นพะโล้ เอากลับไปกินแกล้มสุราก็เข้ากันได้ดี”

แผนการที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของเขาจู่โจมเขาจนเวียนหัว ได้แต่พยักหน้าอย่างมึนงง พอจ่ายเงินแล้วก็เดินฝ่าฝูงชน กระทั่งพวกลูกน้องไล่ตามทัน เขาถึงค่อยรู้สึกตัว

โจวซื่อมองตามจากที่ไกลๆ รู้สึกสบายอารมณ์และอิ่มเอมใจมาก ขณะเตรียมจะกลับไปหาเจียงซูเหย่าที่เดิม ทันใดนั้นก็ถูกคนสะกิดไหล่เบาๆ นางหันมอง เห็นหญิงที่ออกเรือนแล้วงดงามผุดผาด มีเสน่ห์ และท้องค่อนข้างใหญ่

สตรีคนนั้นมองโจวซื่อขึ้นๆ ลงๆ และเผยยิ้มพึงใจ “ข้าคิดว่าเจ้ามีพรสวรรค์มาก มาเรียนทำการค้ากับข้าดีหรือไม่”

สตรีที่แต่งงานแล้วคนนี้คือหลินซื่อ

นับแต่ได้ซุนเหนียงจื่อมาเป็นแม่ครัว หลินซื่อค้นพบความสุขอีกอย่าง นอกจากการค้าด้านอาหารแล้ว…นั่นก็คือการสรรหาสตรีมาทำงานเป็นลูกน้องของตนเอง

ด้านการขนส่งทางน้ำจะมีคนของสกุลหลินจัดการ แต่ด้านอาหารนี้ไม่เหมือนกัน มีเพียงนางคนเดียวที่กังวล ระยะนี้นางจึงคอยมองหาคนทำงานอยู่ตลอด

วันนี้โจวซื่อออกมาข้างนอกไม่ได้เสียบปิ่นปักผม เพียงแต่สวมเสื้อผ้าราคาแพง ทว่ายามนี้มืดแล้ว หลินซื่อจึงมองฐานะของนางไม่ออก และเป็นเพราะหลินซื่อคอยหลบเจียงซูเหย่า จึงมิกล้าปรากฏตัวต่อหน้าบุตรี นางเข้าใจว่าโจวซื่อออกมาเถียงเพื่อความเป็นธรรมตามคำชี้แนะของเจียงซูเหย่า เมื่อฟังจากวาจาของโจวซื่อ ดูคล้ายว่านางมีความรู้ด้านวัตถุดิบประกอบอาหารอยู่มาก จึงคิดจะเชิญชวนคน

“ข้า…” โจวซื่อคิดจะอธิบาย หลินซื่อกลับขัดจังหวะโดยไม่สนใจ

“ไม่ต้องรีบให้คำตอบข้า” หลินซื่อดึงโจวซื่อเดินขึ้นไปบนที่สูง “เจ้าดูย่านอาหารริมทางนี้สิ ถนนที่ยาวเพียงนี้ มีร้านค้ามากเพียงนี้ ลูกค้าทยอยกันมาไม่ขาดสาย ข้าขอถามเจ้า ในเมืองหลวงยังจะสามารถหาที่แห่งอื่นที่เป็นแบบนี้ได้อีกหรือไม่”

โจวซื่อส่ายหน้า

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงถูกใจเจ้า”

โจวซื่อส่ายหน้าอีกครั้ง

“ข้าเห็นสีหน้าของเจ้าเมื่อครู่ ทำให้นึกถึงตัวข้าเองเมื่อปีนั้น เอ๊ะ ไม่ใช่ปีนั้นสิ ไม่กี่เดือนก่อน ข้ายังเซื่องซึม วันทั้งวันเอาแต่ขลุกอยู่ในจวนโดยปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ราวกับศพเดินได้ ยามนี้เมื่อข้ามองถนนเส้นนี้ ทำให้นึกถึงความรู้สึกของข้าเมื่อไม่กี่เดือนก่อนไม่ออกแล้ว มีแต่ความสบายใจและความภาคภูมิใจ ไม่รู้เพราะเหตุใด ข้าถึงรู้สึกว่าเห็นเงาในอดีตของข้าที่ตัวเจ้าและเห็นเงาของข้าในเวลานี้ด้วย”

“ฮูหยินท่านนี้…”

“ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องคิดว่าไร้สาระที่จู่ๆ ข้าก็ถูกใจเจ้า แต่ข้าเป็นเช่นนี้เสมอมา ข้าเชื่อลางสังหรณ์ของตนเอง กาลก่อนข้ากับพี่สาวเคยแย่งชิงอำนาจในตระกูล ซื้อขายที่ท่าเรือ ยึดอู่ต่อเรือ ล้วนแต่อาศัยความดุดันกับลางสังหรณ์ ยามนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน ยามที่บุตรีของข้าเขียนจดหมายมาหาข้าถึงแนวคิดเรื่องร้านค้าและย่านอาหารกินเล่นริมทาง ข้าก็เกิดลางสังหรณ์เช่นนั้นอีกครา เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ข้าทำสำเร็จอีกครั้ง เวลานี้ลางสังหรณ์ของข้าบอกข้าว่าข้าสามารถขยายกิจการอาหารให้ใหญ่โตและแข็งแกร่งขึ้นได้ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนรูปลักษณ์ของกิจการอาหาร ข้าเลือกที่จะทำตามลางสังหรณ์ของตนเอง”

ครั้งนี้โจวซื่อพูดไม่ออกอีกต่อไป ได้แต่ฟังเงียบๆ

“ตอนที่บุตรีของข้าเขียนจดหมายบอกข้าว่าสามารถใช้วัตถุดิบแปลกๆ เหล่านี้มาปรุงอาหารได้ ข้ารู้สึกว่ายากจะเชื่อ แต่ข้าเลือกที่จะเชื่อนาง และข้าคิดว่าหากประสบความสำเร็จจริงๆ ไม่ใช่ว่าสามารถเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้หรอกหรือ ชาวบ้านมิอาจซื้อเนื้อสัตว์กิน แต่ของเหล่านี้กลับสามารถกินได้ เช่นเดียวกับร้านอาหารที่ท่าเรือ อาหารของชาวบ้านยากจน มีแต่ขอให้อิ่มท้อง ไม่ได้ร้องขอความอร่อย ทว่าข้ากลับทำให้พวกเขาใช้เงินเหรียญทองแดงอย่างเดียวกันซื้ออาหารที่ทั้งอิ่มท้องทั้งอร่อยได้ เห็นพวกเขากินอย่างมีความสุขและกินอิ่ม ก็ทำให้ข้าอิ่มอกอิ่มใจและสบายใจ”

หลินซื่อมองชาวบ้านที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาเดินเข้าร้านอย่างลังเล พวกเขานับเหรียญทองแดงเพื่อจะซื้ออาหารมังสวิรัติที่มีกลิ่นเนื้อสัตว์กลับไปพลางยิ้มระบายเต็มหน้า “นี่เป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากการหาเงิน แม้ปีนั้นสกุลหลินจะเป็นผู้นำด้านการขนส่งทางน้ำ แต่ก็ไม่สุขใจเท่าตอนที่ข้าได้ยินคำชมจากผู้คนในวันเปิดร้าน”

นางตีโจวซื่อเบาๆ “เจ้ายินดีจะติดตามข้าหรือไม่ รับรองว่าข้าจะให้ค่าตอบแทนมากพอ เจ้าไม่ต้องลงนามสัญญา และไม่จำเป็นต้องมองสีหน้าของผู้อื่น ขอเพียงเจ้ารักษาหัวใจที่แช่มชื่น ตรงไปตรงมา และเปี่ยมด้วยความคาดหวังอย่างคืนนี้เอาไว้ แล้วมาทำอาหารของสกุลหลินร่วมกับข้าต่อไป”

โจวซื่อมองอีกฝ่าย จู่ๆ ความรู้สึกที่เหมือนตอนที่เหลือบเห็นจดหมายที่หลินซื่อเขียนมาหาเจียงซูเหย่าครั้งแรกพรั่งพรูออกมาอีกครา รู้สึกตื่นเต้นและโหยหาอยู่บ้าง ดั่งมีแสงอรุณส่องผ่านอดีตอันมืดมิดมาสู่โลกใบนี้

“ดี”

หลินซื่อดึงมือของโจวซื่อ และพูดประโยคเดียวกันว่า “ดี!”

ก่อนที่ทั้งสองจะคุยกันต่อ ก็มีคำถามดังมาจากด้านหลังพวกนางเบาๆ ประโยคหนึ่ง

“…อันใดดีเจ้าคะ”

เจียงซูเหย่ามองพวกนางทั้งสองจับจูงมือกัน หนำซ้ำยังมียิ้มสดใสฉายบนวงหน้า ก็พูดไม่ออกและสงสัยอยู่บ้าง “มารดา พี่สะใภ้รอง พวกท่านรู้จักกันด้วยหรือ”

หลินซื่อกะพริบตา ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ “พะ…พี่สะใภ้รอง!”

โจวซื่อเกาหัว กล่าวอย่างขัดเขินว่า “เมื่อครู่ท่านไม่ให้โอกาสข้าได้แนะนำตนเอง…”

เจียงซูเหย่าเดินเข้าไปใกล้ ทั้งสองรีบปล่อยมือ

“มารดา ครรภ์ของท่านโตแล้วยังวิ่งออกมาทำไมอีก มีคนเยอะขนาดนี้ หากชนท่านเข้าจะทำอย่างไรเล่าเจ้าคะ”

หลินซื่อหดคออย่างร้อนตัว

“พี่สะใภ้รองก็อีกคน เมื่อครู่ข้าได้ยินท่านแม่พูดเรื่องไม่ลงนามในสัญญาทำงาน ไฉนท่านจึงรับปากแล้ว”

โจวซื่อก็หดคออย่างร้อนตัวเช่นกัน

เจียงซูเหย่าไม่คิดจะรอคำอธิบาย “ดูท่าพวกท่านคงเข้าใจฐานะของกันและกันผิดไป ในเมื่อยามนี้รู้แล้ว ความเข้าใจผิดเมื่อครู่ก็ได้รับการแก้ไขแล้วสินะ”

คนทั้งสองพยักหน้า

เจียงซูเหย่าหันไปกล่าวกับโจวซื่อว่า “พี่สะใภ้รอง พวกเรากลับจวนกันเถิด” แล้วแสร้งกล่าวกับหลินซื่ออย่างดุดันว่า “มารดา หากยังทำงานหนักและวิ่งไปทั่วโดยไม่สนใจครรภ์เช่นนี้ ข้าจะโกรธแล้วนะเจ้าคะ”

หลินซื่อบ่นพึมพำว่า “ทราบแล้ว”

เจียงซูเหย่าบอกลานาง และจูงมือโจวซื่อจากไป

โจวซื่อเดินตามเจียงซูเหย่าอย่างเชื่อฟัง เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็เหลียวกลับมา บังเอิญประสานสายตากับหลินซื่อที่กำลังจ้องนางอยู่พอดี

ชั่วขณะนี้หญิงทั้งสองที่มีชะตากรรมคล้ายกันอ่านสายตาของอีกฝ่ายออก อดมองหน้าและส่งยิ้มให้กันไม่ได้

 

[1] หนึ่งในอาหารริมทางแบบดั้งเดิมของปักกิ่ง เป็นอาหารประเภทพะโล้ ส่วนประกอบหลักคือ หมูสามชั้นและเครื่องในหมู

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า