爱你怎么说
คุณชายซูเปอร์สตาร์แห่งวงการบันเทิง
风流书呆 เฟิงหลิวซูไต เขียน
ศีตกาล แปล
MOON วาด
— โปรย —
เซียวจยาซู่ เกิดมาในตระกูลใหญ่ผู้กุมบังเหียนด้านกลุ่มธุรกิจเภสัชกรรม
ทว่าด้วยพื้นเพทางมารดา ทำให้เขาเป็นที่ขวางหูขวางตาและเดียดฉันท์ของคนในตระกูล
เขาที่เสมือนคนไร้ประโยชน์ ได้แต่ใช้ชีวิตเหมือนซากศพไปวัน ๆ
ถูกแม่ตัวเองที่ทนดูสภาพของลูกชายไม่ไหว ลากเข้าไปทำงานในวงการบันเทิง
จนได้รู้จักกับราชาจอเงินอย่าง จี้เหมี่ยน ที่ขึ้นชื่อว่าอ่อนโยนและใจดี
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าตัวกลับบ้าอำนาจและเผด็จการต่อคนรอบข้างอย่างที่สุด
ซ้ำยังดูไม่ชอบคุณชายอย่างเซียวจยาซู่เอามาก ๆ
ทว่าโชคชะตายากคาดเดา หลังจากจี้เหมี่ยนประสบอุบัติเหตุเจ้าตัวก็เปลี่ยนไป
ดูจะเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นคิด และดีกับคุณชายเซียวมากขึ้น…
โดยที่ทุกคนหารู้ไม่ว่า ดาราใหญ่แห่งวงการบันเทิงอย่างเขาได้ความสามารถในการอ่านใจผู้อื่นมา
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 2
เต่าทะเล[1]กบฏ
บรรยากาศการรับประทานอาหารเย็นกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก สำหรับหลานคนเล็กที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ เซียวจยาซู่ควรจะเป็นที่สนใจและได้รับการดูแลมากที่สุด แต่เขากลับถูกเหล่าเหยียจื่อละเลยโดยสิ้นเชิง หลาน ๆ คนอื่นห้อมล้อมเอาอกเอาใจเหล่าเหยียจื่ออยู่ข้าง ๆ พูดคุยหัวเราะกันสนุกสนาน คุณอาสองคนกับพ่อคุยกันเรื่องธุรกิจ อาสะใภ้สองคนพูดคุยกันแต่เรื่องของตนเอง ไม่ได้สนใจเซวียเหมี่ยวแม้แต่น้อย ต่อหน้าเหล่าเหยียจื่อพวกเธอจะไม่แสดงอาการเกลียดชังใด ๆ ต่อเซวียเหมี่ยว แต่ก็ไม่ได้ปิดบังความละเลยไม่สนใจของตนเองเช่นกัน อย่างไรเสียพวกเธอก็มีเบื้องหลังเป็นตระกูลใหญ่โต ไม่ใช่คนในโลกใบเดียวกับเซวียเหมี่ยวโดยสิ้นเชิง
สองแม่ลูกเคยชินกับการปฏิบัติเช่นนี้แล้วจึงได้แต่กินข้าวกันไปเงียบ ๆ ไม่แสดงความผิดปกติใด ๆ ออกมา สามชั่วโมงต่อมาครอบครัวอันประกอบด้วยสมาชิกสี่คนก็กลับมานั่งในรถคันเดียวกันอีกครั้ง บ้านใหญ่หายไปจากสายตาท่ามกลางสีเขียวชอุ่ม เซวียเหมี่ยวลอบผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก เซียวจยาซู่กลับทำตัวเหมือนแมว เขายืดพุงนอนพิงเบาะรถอย่างไร้เรี่ยวแรง ขายาวทั้งคู่ฝืนขดอยู่ในช่องวางเท้าแคบ ๆ
เซียวฉี่เจี๋ยจ้องกางเกงยีนที่เต็มไปด้วยรอยขาดเป็นรูของเขาแล้วตำหนิ “แกใส่อะไรของแก ฉันไม่ได้ให้ค่าขนมแกหรือไง ขนาดเสื้อผ้าที่ดูเป็นผู้เป็นคนสักตัวยังซื้อไม่ได้เลยเหรอ ต่อไปห้ามใส่ของขาด ๆ เน่า ๆ แบบนี้อีก ทำฉันขายหน้าหมด!”
ไม่ต้องรอให้เซียวจยาซู่ค้าน เซวียเหมี่ยวก็ชิงระเบิดขึ้นมาก่อน “คุณจะเข้าใจอะไรล่ะ นี่น่ะคอลเล็กชั่นใหม่ปีนี้ของแอคเน่สตูดิโอส์เลยนะ เป็นผลงานชิ้นเอกที่จอนนี่ โจแฮนส์สัน[2] ร่วมออกแบบด้วยตนเอง เสี่ยวซู่ใส่แล้วดูขาทั้งยาวทั้งตรง เท่กว่าพวกนายแบบแถวหน้าคนอื่น ๆ ตั้งมาก ดูน่าเกลียดตรงไหนกัน ในเมื่อคุณกับพ่อของคุณหัวโบราณกันซะขนาดนั้น ทำไมไม่ใส่ฉางเพ่าหม่ากว้า[3]เสียเลยล่ะ ตื่นเสียทีเถอะ พ่อคนหัวโบราณ! หรือว่าถ้าคุณไม่พอใจ หลังจากนี้ฉันจะไม่เรียกชื่อคุณอีก ฉันควรเรียกคุณว่าพี่ฉี่เจี๋ยไหม หรือว่าต้องเรียกว่าคุณผู้ชายไปเลย คุณนี่มันไร้ยางอายจริง ๆ!”
สีหน้าเซียวจยาซู่ไร้อารมณ์ ทว่าในใจกลับแอบกดไลก์ให้แม่ตัวเองเงียบ ๆ ก็บอกแล้วไงว่าเขาสวมกางเกงยีนตัวนี้แล้วดูเท่มาก ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยสักนิด
เซียวฉี่เจี๋ยโกรธจนรู้สึกแน่นหน้าอก “ต่อหน้าผมคุณก็แรง แต่เมื่อกี้ทำไมไม่เห็นคุณค้านอะไรคุณพ่อสักคำล่ะ ผมพูดแบบนี้เพราะหวังดีกับเสี่ยวซู่นะ คุณพ่อชอบคนอยู่ในกฎระเบียบ เสี่ยวซู่จะช่วยเข้าใจคนแก่อย่างคุณพ่อด้วยการทำตัวให้ท่านสบายหูสบายตาสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ”
“ชอบคนอยู่ในกฎระเบียบหรือคะ อย่ามาตลกหน่อยเลย ท่านน่ะเห็นเสี่ยวซู่แล้วขัดหูขัดตาตลอดเวลาต่างหากล่ะ! ไม่ว่าเสี่ยวซู่จะแต่งตัวแบบไหน พูดอะไร ทำอะไร ท่านก็สรรหาข้อผิดพลาดมากมายออกมาได้ทั้งนั้น เสี่ยวซู่แค่ใส่กางเกงยีนตัวเดียว กางเกงขาดแค่ตรงเข่า แต่หลานสาวสองคนของคุณ คนนึงใส่เสื้อโชว์นมไปครึ่งเต้า อีกคนแม้แต่ขอบกางเกงในยังปิดไม่มิด ทำไมไม่เห็นเหล่าเหยียจื่อพูดอะไรสักคำล่ะคะ ถ้าสิ่งที่พวกเธอใส่คือแฟชั่นนำสมัย แต่พอเสี่ยวซู่ใส่กลายเป็นเสื้อผ้าขาดวิ่นงั้นหรือ แบบนี้มันรังแกกันชัด ๆ!”
“คุณพูดพอหรือยัง ผมว่านับวันคุณยิ่งชวนทะเลาะไร้เหตุผลขึ้นทุกทีนะ…”
“ไม่พอ! วันนี้ฉันจะทะเลาะกับคุณเสียให้รู้เรื่องรู้ราวกันไปเลย พวกคุณทั้งบ้านน่ะทำเกินไปแล้ว…”
พ่อแม่ต่อปากต่อคำกันประโยคต่อประโยค ทำเอาเซียวจยาซู่ปวดศีรษะ เขาโน้มน้าวอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีใครฟัง จึงได้แต่บอกให้คนขับรถหยุดรถ รถของเซียวติ้งปังขับตามอยู่ด้านหลัง ตอนที่ขับผ่านคันของพวกเขาก็ลดความเร็วลงแต่ไม่ได้หยุด สุดท้ายก็ขับจากไปช้า ๆ
เซียวจยาซู่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมสองสามนาที ไม่รู้ว่าเพราะเขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นหรือรู้สึกเดียวดายเคว้งคว้างมากขึ้นกันแน่ เดิมเขาคิดว่าการสอบเข้าวิทยาลัยการค้าวอร์ตันได้จะทำให้ได้รับการยอมรับจากพ่อและปู่ แต่ที่จริงแล้วไม่เลย คิดว่าการที่ตนเองกลับบ้านอย่างภาคภูมิจะทำให้ได้รับการยอมรับจากพวกเขา แต่ความจริงแล้วก็เปล่าเลย เหมือนกับที่แม่ของเขาพูดนั่นละ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรทำอะไรก็ล้วนเปล่าประโยชน์ คนบางคนไม่มีวันเปลี่ยนใจใครอีกคนให้มาชื่นชอบได้เลย
ถ้าอย่างนั้นเขายังจะยึดมั่นอะไรได้อีก เซียวจยาซู่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและหมดแรงพยายาม เขาเดินอย่างไร้จุดหมายอยู่นาน แล้วก็เห็นสตูดิโอเสริมสวยแห่งหนึ่งเข้า เขาเหลือบตามองแล้วเดินเข้าไป
“ย้อมผมครับ ขอแอชเกรย์ สีเขียวหัวหอม สีเหลืองอึ สีอะไรก็ได้ที่คนส่วนใหญ่เขาไม่ทำกัน ผมจะย้อมสีนั้นแหละ” เขาคิด จากนั้นก็เอ่ยเสริม “อ้อ สักให้ผมด้วยนะ แล้วก็เจาะหูสักรู”
สีเขียวหัวหอมหรือ สีเหลืองอึหรือ แน่ใจนะว่าคุณไม่ได้มาทำให้ร้านเราเสียชื่อเสียงน่ะ ช่างเสริมสวยแอบร้องว่าแย่แล้วอยู่ในใจ แต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มรับคำ สีแบบที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำกันน่ะได้ แต่จะน่าเกลียดไม่ได้เด็ดขาด! เขาคิดเพื่อชื่อเสียงของร้าน ช่างเสริมสวยมองชายหนุ่มอย่างถี่ถ้วนแล้วก็หน้าแดง ลูกค้าคนนี้หน้าตาดีเกินไปหรือเปล่า แม้ไม่ได้ดูเป็นผู้ชายหน้าสวยอย่างที่กำลังนิยมกันในยุคนี้ แต่ก็ไม่ใช่แบบชายชาตรีแข็งกระด้าง ทว่าเป็นความงดงามที่รวมเอาทั้งสองแบบไว้ด้วยกัน เครื่องหน้าดูประณีตและหล่อเหลา มีความเกรี้ยวกราดปนอยู่ สันจมูกทั้งโด่งทั้งตรง ริมฝีปากทั้งบางทั้งแดง ดวงตาเหมือนดอกท้อชี้ขึ้นเล็กน้อย ดูดึงดูดวิญญาณอย่างแท้จริง!
ถ้าหน้าตางดงามเปล่งปลั่งขนาดนี้ ต่อให้ย้อมผมสีรุ้งก็ไม่น่าเกลียดหรอก! ช่างเสริมสวยเอ่ยด้วยความมั่นใจเต็มร้อย “งั้นผมทำแบบไล่สีให้แล้วกันครับ โคนผมสีดำ แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเทา สภาพเส้นผมของคุณดีมากเลย เรียบลื่นมาก ความยาวก็พอเหมาะ เวลาเซตผมขึ้นจะได้เห็นสีผมที่ถูกย้อมและค่อย ๆ ไล่เฉดไปด้วย ดูดีมาก” เขาพูดพลางเอาแท็บเล็ตมาให้ลูกค้าดู
เซียวจยาซู่พินิจดูอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างตัดสินใจได้ “เอาสีนี้แหละ!” ดูทันสมัยโดดเด่นดี และที่สำคัญที่สุดคือพ่อจะต้องรับไม่ได้อย่างแน่นอน
ช่างเสริมสวยดีใจมาก ตอนที่เขาผสมน้ำยาย้อมผมยังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีอีกด้วย เขาชอบของสวยๆ งามๆ ไปเสียทุกอย่าง และที่ชอบยิ่งกว่าคือการทำให้สิ่งเหล่านั้นยิ่งงดงามด้วยมือตนเอง
สี่ชั่วโมงให้หลัง เซียวจยาซู่ในรูปลักษณ์ใหม่ก็เดินออกมาจากสตูดิโอเสริมสวย เส้นผมบนศีรษะของเขาเปลี่ยนเป็นผมนุ่มไล่สี ที่หูใส่ต่างหูหินออบซิเดียนสีดำวาว แต่บนตัวไม่มีรอยสักเพราะเขากลัวเจ็บ ตอนที่ช่างสักเอาเครื่องมือออกมาเขาก็ตกใจกลัวแล้ว แทบจะรีบรูดบัตรจ่ายเงินแล้ววิ่งหนีอย่างไว เมื่อกลับมาถึงบ้าน เซวียเหมี่ยวกำลังมาสก์หน้าอยู่ ครั้นเห็นรูปลักษณ์ใหม่ของลูกชาย มาสก์ก็ร่วงลงพื้นดังแผละ
“พ่อล่ะครับ” สีหน้าเซียวจยาซู่สงบนิ่ง แต่ฝ่ามือกลับมีเหงื่อออกชุ่ม เขาเป็นเด็กดีมาตั้งแต่เล็กจนโต การทำตัวต่อต้านเช่นนี้นับว่าเป็นครั้งแรก
“ทำไมลูกกลายเป็นแบบนี้ล่ะ” เซวียเหมี่ยวถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“ก็ชอบอะครับเลยทำ” เซียวจยาซู่เสยผมให้แม่ดูสีผมสุดเท่สีใหม่ของตนให้ชัด ๆ จากนั้นแสร้งทำเป็นผ่อนคลายเอ่ยว่า “ไม่หล่อเหรอครับแม่”
“ก็หล่ออยู่หรอก แต่มันคงจะเจ็บนิดหน่อยเนี่ยสิ” เซวียเหมี่ยวกุมขมับอย่างจนใจ
“ย้อมผมไม่เจ็บนะแม่ ผมไม่แพ้น้ำยาย้อมผม” เซียวจยาซู่เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะใส่ในบ้านแล้วหยิบมาสก์แผ่นใหม่ออกมาจากตู้เย็น
“แม่หมายถึงว่า เดี๋ยวถ้าพ่อของลูกเอาไม้เท้ามาตี ลูกก็อาจจะเจ็บน่ะ เจ้าลูกชาย รีบไปหลบในห้องเถอะไป” เซวียเหมี่ยวรับมาสก์มาพลางเอ่ยอย่างเห็นใจ
เซียวจยาซู่ “…”
เซียวจยาซู่ซ่อนตัวอยู่ในห้องหนึ่งวันหนึ่งคืนแต่ก็ยังโดนตีอยู่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเซียวติ้งปังกลับมาคุยเรื่องซื้อบริษัทกับเซียวฉี่เจี๋ยอย่างกะทันหันละก็ ก้นกับต้นขาของเขาคงจะทนไม่ไหวแล้วแน่ ๆ แต่เขาก็ยังรับแรงกดดันอันใหญ่หลวงได้อยู่ ไม่ว่าเป็นตายอย่างไรก็จะไม่ย้อมผมกลับไปเป็นเหมือนเดิม เซียวฉี่เจี๋ยระเบิดอารมณ์ไปแล้วก็ไม่บังคับลูกชายอีก เพียงแต่เห็นหน้าเขาทีไรก็ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก ราวกับว่ากำลังมองดาวดวงใหม่แห่งวงการเศรษฐีค่อย ๆ ลอยขึ้นฟ้าไปอย่างไรอย่างนั้น
เซียวจยาซู่ไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่ในประเทศสักเท่าไร ปกติเขาไม่สูบบุหรี่ดื่มเหล้า ไม่เที่ยวผู้หญิงเล่นการพนัน อีกทั้งยังไม่ชอบซิ่งรถ งานอดิเรกหนึ่งเดียวคือเล่นเกม ขอเพียงมีคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงสักเครื่องและอินเทอร์เน็ต ประกอบกับอาหารการกินเพียงพอ เขาก็อยู่บ้านไม่ออกไปไหนได้หลายเดือน ดังนั้นความกังวลของคุณพ่อเซียวจึงเป็นสิ่งไม่จำเป็นโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม เซวียเหมี่ยวกลับรับไม่ได้กับความตกต่ำของลูกชาย เธอรู้ว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วลูกชายของเธอต้องเหลวแหลกอย่างแน่นอน รวมไปถึงทั้งด้านจิตใจและร่างกายด้วย ลูกชายของเธอใช้ชีวิตอย่างไม่มีความต้องการใด ๆ และไม่มีเป้าหมายแม้แต่น้อย เหมือนกับซากศพเดินได้อย่างไรอย่างนั้น นี่ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด หลังจากคิดทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่าเธอก็ปิดคอมพิวเตอร์ของลูกชาย บังคับให้เขาไปอาบน้ำ เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาดชุดใหม่ จากนั้นพาออกไปข้างนอก
“ก้วนซื่ออวี๋เล่อเหรอ แม่ แม่พาผมมาที่นี่ทำไม” เซียวจยาซู่เงยหน้ามองป้ายบนตึกสูงระฟ้าแล้วเอ่ยด้วยความสงสัย ช่วงเวลาเพียงสองสามเดือนเขาผอมลงไปมาก ใต้ตามีรอยคล้ำเข้มเป็นวง ดูสุขภาพไม่ดีเอามาก ๆ
“พามาทำงาน” เซวียเหมี่ยวเดินเข้าลิฟต์ เธอกดเลขชั้นบนสุด รอจนกระทั่งประตูลิฟต์ปิดจึงเอ่ย “แม่มีหุ้นของก้วนซื่ออวี๋เล่ออยู่ ตั้งแต่นี้ไปจะโอนเป็นชื่อลูก ลูกก็จะนับเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของก้วนซื่ออวี๋เล่อด้วย ต้องเข้าบริษัทตัวเองมาคอยดูบ่อย ๆ นะ”
“แม่ แม่ยังเกี่ยวข้องกับวงการบันเทิงอยู่เหรอ ถ้าพ่อรู้เข้าละก็…” เซียวจยาซู่เป็นห่วงแทนแม่ขึ้นมา เขาลืมถามเรื่องที่ตัวเองต้องมาทำงานไปเสียอย่างนั้น
“เขารู้แล้วยังไง ก็อาจจะแค่ทะเลาะกันอีกรอบเท่านั้นแหละ เขาไม่ให้ลูกเข้าเซียวกรุ๊ป แต่แม่ทนดูลูกทิ้งความสามารถตัวเองไปเฉย ๆ ไม่ได้หรอกนะ ยังไงลูกก็เป็นนักศึกษาที่มีความสามารถจากวิทยาลัยการค้าวอร์ตัน เรียนจบมาจะทำแค่เล่นเกมไปวัน ๆ อย่างนั้นเหรอ หรือลูกกลัวว่าเข้าวงการบันเทิงแล้วจะทำให้พ่อกับปู่ของลูกด่าเอา ถ้ากลัวละก็ แม่จะพาลูกกลับเดี๋ยวนี้เลย”
“ผมจะไปกลัวอะไรล่ะครับ ยังไงพวกท่านก็ไม่สนใจผมอยู่แล้ว” เซียวจยาซู่รู้สึกหวั่นวิตกอยู่ในใจเล็กน้อย แต่สีหน้าของเขากลับดูสงบนิ่งมาก ราวกับตัวเองไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
ว่ากันว่า ‘แม่เข้าใจลูกดีที่สุด’ เซวียเหมี่ยวเข้าใจลูกชายของเธอดี ย่อมรู้ว่าจะบีบให้เขาเดินออกจากกรงขังที่พ่อกับปู่สร้างขึ้นมาให้เขาได้อย่างไร เธอเสียสละชีวิตครึ่งหนึ่งให้เซียวฉี่เจี๋ยแล้ว ต้องทุกข์ตรมโศกเศร้า ยอมเสียเปรียบเพื่อรักษาผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่าเอาไว้ เธอไม่มีทางให้ลูกชายเหยียบซ้ำรอยตัวเองแน่นอน ต่อให้เหล่าเหยียจื่อโกรธมากกว่านี้แล้วอย่างไร คงไม่ถึงกับจับพวกเธอสองแม่ลูกกินเสียหรอกกระมัง
ขณะกำลังคิดสัพเพเหระอยู่นั้น ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งเดินมาต้อนรับ เขายิ้มด้วยความประหลาดใจ ชายคนนี้รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา ริ้วรอยเล็กน้อยที่หน้าผากของเขาไม่ได้ทำให้มาดของเขาเสียไปเลย กลับทำให้ดูมีเสน่ห์มากขึ้นเสียด้วยซ้ำ เขากอดเซวียเหมี่ยวแน่นแต่ก็ปล่อยออกอย่างรวดเร็ว เอ่ยพลางถอนหายใจว่า “เหมี่ยวเหมี่ยว ฉันคิดว่าเธอจะไม่กลับมาแล้วเสียอีก ช่วงนี้สบายดีไหม”
“ก็งั้น ๆ แหละ” เซวียเหมี่ยวไม่อยากประดิษฐ์ถ้อยคำสวยหรูมาหลอกเพื่อนหลอกตัวเองให้ชินชาในเวลาเดียวกัน เธอยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า จากนั้นก็พูดกับลูกชาย “เสี่ยวซู่ นี่คือคุณลุงซิว เรียกลุงซิวสิ”
ซิวฉางอวี้เป็นหัวเรือใหญ่ของก้วนซื่ออวี๋เล่อ และยังเป็นคนสำคัญที่มีอิทธิพลในวงการบันเทิงอีกด้วย ปีนั้นเซวียเหมี่ยวเซ็นสัญญาสังกัดบริษัทของเขา เขาปั้นเธอจนดัง พวกเขาสองคนเคยเป็นนายจ้างกับลูกจ้างกัน เมื่อร่วมงานกันนานเข้าก็กลายเป็นเพื่อนสนิทที่พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ทว่าตั้งแต่เซวียเหมี่ยวแต่งเข้าตระกูลเซียวเธอก็ขาดการติดต่อกับเพื่อนในวงการบันเทิงไป ดังนั้นเซียวจยาซู่จึงไม่คุ้นเคยกับลุงซิวคนนี้เลย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับไม่เคยเห็นใบหน้าที่ปรากฏตามนิตยสารธุรกิจและบันเทิงบ่อยครั้งนี้เสียทีเดียว
“สวัสดีครับลุงซิว” เซียวจยาซู่ก้มศีรษะค้อมเอวอย่างว่าง่าย
เขาได้หน้าตางดงามประณีตมาจากเซวียเหมี่ยว ไม่เหมือนกับเซียวฉี่เจี๋ยแม้แต่น้อย ตอนนั้นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เซวียเหมี่ยวแสดง เธอต้องแสดงบทพระเอก ตัวเธอซึ่งเป็นผู้หญิงจึงต้องแสดงบทจอมยุทธ์หนุ่มผู้รักอิสระออกมาให้โดดเด่นโลดแล่นถึงที่สุด ตั้งแต่นั้นมาเธอก็เป็นที่ชื่นชอบของสาว ๆ มากมาย แฟนคลับผู้หญิงของเธอมีมากกว่าแฟนคลับผู้ชายมากนัก และเซียวจยาซู่ที่หน้าตาละม้ายคล้ายเธอถึงเจ็ดแปดส่วนนั้นยังไป ‘ปรับลุค’ มาอีก หน้าตาจึงยิ่งดูดีขึ้นอีกระดับ
ซิวฉางอวี้รู้สึกชอบเจ้าต้นอ่อนน้อย[4]มีชีวิตชีวาต้นนี้ทันที ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายเป็นลูกชายของเซวียเหมี่ยวด้วยซ้ำ
[1] เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่กลับมาจากการไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศอย่างมีนัยยกย่อง
[2] Jonny Johansson ผู้ร่วมก่อตั้งและครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของแอคเน่สตูดิโอส์
[3] ชุดโบราณของจีนที่เป็นเสื้อทรงจีนป้ายข้าง กระดุมจีน แขนยาว ตัวเสื้อยาวลงไปถึงเข่าหรือถึงข้อเท้าจนเหมือนชุดกระโปรง เอาไว้สวมคลุมทับชั้นนอก
[4] เป็นการเล่นคำกับชื่อของเสี่ยวซู่ เนื่องจาก ซู่ (树) แปลว่า ต้นไม้