爱你怎么说
คุณชายซูเปอร์สตาร์แห่งวงการบันเทิง
风流书呆 เฟิงหลิวซูไต เขียน
ศีตกาล แปล
MOON วาด
— โปรย —
หลังจากภาพยนตร์เรื่อง สื่อถู ภาพยนตร์เรื่องแรกของ เซียวจยาซู่ เข้าฉาย
เขาก็ได้รับความนิยมขึ้นจนมีชื่อเสียง อีกทั้งยังได้ฉายาคู่ชิปพี่น้องกับราชาจอเงิน จี้เหมี่ยน
และดูท่าจะได้รับความเอ็นดูจากอีกฝ่ายมากขึ้นด้วย
ในระหว่างนั้นเซียวจยาซู่ก็ได้รู้ข่าวการคัดเลือกนักแสดงในภาพยนตร์ภาคต่อฟอร์มยักษ์ ฉงจู๋ต้าจ้าน
หนังสงครามอวกาศระหว่างแมลงปรสิตกับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่เหลือรอด
ที่เขานั้นเป็นแฟนคลับหนังผู้เหนียวแน่น ไม่ว่าอย่างไรก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในหนังเรื่องนี้
และผู้ที่ทำหน้าที่คัดเลือกนักแสดงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นจี้เหมี่ยนนั่นเอง
งานนี้คุณชายเซียวผู้อยากคว้าบท CT001 หัวหน้าเอไอ เครื่องจักรสังหารไร้อารมณ์ความรู้สึก
ก็ของัดทุกสิ่งทุกอย่างที่มี โจมตีด้วยความงามเข้าไปให้อีกฝ่ายไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 65
นี่มันชุดคู่รักนี่นา
เซียวจยาซู่ใช้ห้องแต่งตัวห้องเดียวกับหลินเล่อหยาง ทว่าตลอดเวลาที่อยู่ในนั้นพวกเขาไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย ไม่ใช่ว่าเซียวจยาซู่ไม่ยอมพูดจาด้วยหรอก แต่เป็นหลินเล่อหยางไม่อยากจะสนใจเซียวจยาซู่ต่างหาก
“พี่เซียว นาฬิกาข้อมือเรือนนี้มันไม่เข้ากับชุด ลองเปลี่ยนเรือนใหม่ดูดีไหม” สไตลิสต์ส่วนตัวของเขาหยิบนาฬิกาข้อมือแบบหน้าปัดกลไกทำมืออย่างประณีตออกมาเรือนหนึ่ง
เซียวจยาซู่สวมแล้วส่องกระจก เขาพยักหน้าพลางว่า “เรือนนี้ดีกว่า ใส่เรือนนี้แล้วกัน มีตรงไหนต้องเปลี่ยนอีกไหม”
“เพอร์เฟ็กต์มาก ไม่ต้องเปลี่ยนแล้วละ เดี๋ยวฉันช่วยติดไมค์ให้นะ หันไปสิ” สไตลิสต์แทบจะล้มเพราะใบหน้างดงามของคุณชายเซียวอยู่แล้ว ท่อนบนเซียวจยาซู่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ท่อนล่างสวมกางเกงยีน เนื่องจากรูปร่างดีมาก สองขาจึงดูตรงยาวเป็นพิเศษ ทั้งที่แต่งกายสไตล์ลำลองแท้ ๆ แต่เมื่อประกอบกับเครื่องหน้างดงามและออร่าสง่างามสูงส่งของเขาแล้ว ก็กลายเป็นสไตล์หรูหราไปในพริบตา ทำเอาคนมองตาพร่า
ยิ่งแต่งหน้าทำผมแบบง่าย ๆ เข้ากัน ก็ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าของเขามีอานุภาพโจมตีรุนแรง นี่คงจะเป็น ‘เบ้าหน้าฟ้าประทาน’ ในตำนานสินะ ด้านหลินเล่อหยางนั้นก็แต่งตัวสบาย ๆ ไม่ต่างกัน แต่หน้าตาของเขาเดิมทีก็ออกแนวอ่อนหวานน่ารักแบบเรียบ ๆ อยู่แล้ว เมื่อยืนเทียบกับคนที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นอย่างเซียวจยาซู่จึงยิ่งเหมือนหายนะโดยแท้
กระทั่งเซียวจยาซู่ออกจากห้องแต่งตัวไปแล้ว เฉินเผิงซินจึงค่อยเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เห็นนาฬิกาที่ข้อมือเขาไหม มันคือนาฬิกาผู้ชายรุ่นที่ระลึกครบรอบสิบปี RM056 ของริชาร์ด มิลล์ [1] วางจำหน่ายจำนวนจำกัดทั่วโลก ราคาเริ่มต้นอยู่ที่สิบสามล้านหยวนกว่า ๆ แค่นาฬิกาเรือนนั้นเรือนเดียวก็กดหัวพวกเราจมดินแล้ว นายดูสิว่าบริษัทให้เสื้อผ้าเครื่องประดับอะไรนายบ้าง มีแต่อะไรก็ไม่รู้ ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้รายได้ของนายลดลงนะ ฉันจะไปฟ้องประธานจี้”
“เสื้อผ้าเครื่องประดับที่ฉันใส่เมื่อก่อนมีแต่ของที่พี่จี้ซื้อให้ ฉันส่งไปรษณีย์คืนเขาไปหมดแล้ว นายจะไปฟ้องอะไรล่ะ” หลินเล่อหยางลูบหน้า เขาเอ่ยอย่างหมดแรง “ขอดูสคริปต์หน่อย รายการนี้ถ่ายทอดสดด้วย ฉันจะพลาดไม่ได้”
“เอาไป” เฉินเผิงซินส่งสคริปต์ให้เขาแล้วก็ถอนหายใจ “เมื่อก่อนประธานจี้ดีกับนายจริง ๆ นะ นาฬิกาหลายล้านก็ยังซื้อให้นายตั้งห้าหกเรือน ที่ราคาถึงสิบล้านก็ยังมีอยู่เรือนหนึ่งด้วย ฉันยังคิดด้วยซ้ำว่าบริษัทหรือไม่ก็พวกสปอนเซอร์ให้มา”
หลินเล่อหยางอึ้งไป จากนั้นเขาก็อ่านสคริปต์ไม่เข้าหัวอีกเลย
การถ่ายทอดสดเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ดำเนินรายการแนะนำแต่ละคนซึ่งทยอยกันออกมา นำโดยหลัวจางเหวย จี้เหมี่ยน ซือถิงเหิง เหมียวมู่ชิง เซียวจยาซู่ และหลินเล่อหยาง เมื่อเห็นการแต่งตัวของจี้เหมี่ยน เซียวจยาซู่ก็ตาโตอ้าปากค้าง สีหน้าของเขาดูตกใจมาก เพราะพวกเขาสวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนแบรนด์เดียวกัน เพียงแต่คนหนึ่งสวมเชิ้ตขาวคู่ยีนน้ำเงิน อีกคนสวมเชิ้ตดำคู่ยีนเทาเท่านั้น ดูไปแล้วเหมือนกับชุดคู่รักไม่มีผิด เรื่องนี้ยังไม่เท่าไร แต่ที่บังเอิญยิ่งกว่าก็คือ พวกเขาทั้งคู่สวมเข็มขัดหนังแบรนด์ L กับนาฬิกาผู้ชายของริชาร์ด มิลล์ เหมือนกัน เป็นนาฬิการุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นรุ่นเดียวกัน ทั่วทั้งประเทศมีเพียงสองเรือนเท่านั้น
จี้เหมี่ยนเองก็อึ้งไปเช่นกัน จากนั้นเขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ดาราชายนั้นไม่เหมือนกับดาราหญิง แต่งตัวชนกันก็แล้วไป ไม่ได้จุกจิกจู้จี้เรื่องนี้กันมากนัก แน่นอนว่าถ้าหนึ่งในนั้นแต่งแล้วดูดี อีกคนแต่งแล้วน่าเกลียด สถานการณ์ก็จะต่างออกไป แต่เมื่อจี้เหมี่ยนกับเซียวจยาซู่มายืนด้วยกันแล้วกลับบอกไม่ได้ว่าใครดูดีกว่ากัน ทั้งคู่ล้วนดูดีแทบบ้า เพียงแต่คนหนึ่งดูร่าเริงกว่า อีกคนดูภูมิฐานกว่าเท่านั้น
ผู้ดำเนินรายการมองซ้ายมองขวาแล้วก็หยอกทันที “พวกคุณสองคนคงไม่ได้นัดกันมาใช่ไหมครับ”
สองแก้มเซียวจยาซู่แดงเรื่อ เขารีบโบกมือ “เปล่าครับ ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าพี่จี้จะแต่งตัวแบบนี้ พี่จี้สูงกว่าผม แต่งตัวแบบนี้แล้วดูดีกว่าผมตั้งเยอะ” เขาแอบมองจี้เหมี่ยนเล็กน้อย คราวนี้แม้แต่คอก็แดงก่ำไปด้วย ชุดนี้เดิมทีก็ทำให้ขาดูยาวอยู่แล้ว จี้เหมี่ยนซึ่งสูงถึงหนึ่งร้อยเก้าสิบกว่าเซนต์ เมื่อสวมผ้ายีนแบบนี้ สองขาก็ยาวไปโน่น ความยาวนี่เรียกว่าทะลุเพดานไปเลย! โซฟาตื้นขนาดนี้พี่จี้จะนั่งยังไง ขายาว ๆ นั่นไม่น่าจะมีที่พอให้วางหรอกกระมัง
เซียวจยาซู่มองแล้วความคิดก็เตลิดไปไกล ทำเอาจี้เหมี่ยนหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ เขาอยากจะเดินไปลูบศีรษะอีกฝ่ายเสียจริง อยากจะบอกอีกฝ่ายว่านี่เราถ่ายทอดสดกันอยู่นะ
“แต่งตัวเป็นคู่พี่น้องน่ะครับ” จี้เหมี่ยนอธิบายง่าย ๆ จากนั้นก็ตบหลังเซียวจยาซู่เบา ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ
เซียวจยาซู่เพิ่งได้สติ เขานั่งข้างพี่จี้ ภาพสองคนนั่งกระทบไหล่กันออกอากาศผ่านจอ คนหนึ่งเป็นผู้ใหญ่ดูสงบนิ่งหนักแน่น อีกคนเป็นหนุ่มน้อยหน้าตางดงามหมดจด ภาพนั้นดูเจริญหูเจริญตาเข้ากันอย่างมากทีเดียว สายตาของผู้ชมจึงเกาะติดอยู่ที่สองคนนี้โดยไม่รู้ตัว จะถอนสายตาก็ทำไม่ได้
‘แหม กลิ่นคู่ชิปรุนแรงมาก นี่มันสไตล์คู่รักหรือเปล่าเนี่ย’ ไม่รู้ว่าผู้ชมคนไหนส่งคอมเมนต์ขึ้นมาบนหน้าจอ และก็นำมาซึ่งคอมเมนต์ประเภทเดียวกันอีกเป็นพรวน
รายการนี้เป็นประเภททอล์คโชว์ ผู้ดำเนินรายการเป็นคนรู้จักสถานการณ์ การพูดจาก็มีอารมณ์ขันมาก ไม่นานก็ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมา เขาจงใจแกล้งขุดหลุมดักผู้กำกับหลัวจางเหวย “ตัวละครหลักของภาพยนตร์ก็มาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว ผู้กำกับรู้สึกพอใจการแสดงของใครมากที่สุดครับ”
หลัวจางเหวยเป็นพวกช่างพูด ปกติถ้ามีหลุมก็มักจะกระโดดลงไปทันที ไม่คิดอะไรมาก “ก็ต้องเป็นเซียวจยาซู่อยู่แล้วครับ”
“ทำไมล่ะครับ”
“เพราะเขามีพัฒนาการมาก ตอนแรกแม้แต่การแสดงคืออะไรยังไม่รู้เลย ภายหลังกลับประชันฝีมือในฉากเดียวกับจี้เหมี่ยนได้ ถ้าให้พวกคุณดูรูปสักสองสามรูปพวกคุณน่าจะเข้าใจ” หลัวจางเหวยชี้หน้าจอที่อยู่ด้านหลัง ผู้กำกับรายการรีบเอารูปภาพที่ตัดต่อไว้แล้วขึ้นโชว์บนจอ ในนั้นมีภาพเซียวจยาซู่ในอิริยาบถต่าง ๆ กำลังนั่งอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้ขี้เกียจ มือก็ถือโทรศัพท์สไลด์เกม สีหน้าดูลืมตัวสุดขีด นอกจากนั้นยังมีเพลงประกอบที่ตัดต่อใส่มาด้วยว่า ‘ถูไถ ๆ ๆ ถูไถ ๆ ๆ…’ ภาพนั้นหมุนสามร้อยหกสิบองศา แสดงท่าทางการไถโทรศัพท์เล่นของเซียวจยาซู่แบบทุกมุม
ผู้ชมด้านล่างหัวเราะครืน พวกจี้เหมี่ยนกับซือถิงเหิงก็หัวเราะแบบเก็บมาดไม่อยู่เช่นกัน มีเพียงหลินเล่อหยางเท่านั้นที่ไม่ได้หัวเราะอ้าปาก เขาได้แต่ใช้มือปิดใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้ เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่โค้งขึ้นเล็กน้อย
เซียวจยาซู่ไม่คิดเลยสักนิดว่าผู้กำกับหลัวจะแกล้งเขาแบบนี้ แก้มของเขาแดงแปร๊ดขึ้นมาทันที
“นี่คือเขาในช่วงแรก ๆ มากองถ่ายก็เอาแต่เล่นเกม ผมละเกลียดเขานัก” หลัวจางเหวยหัวเราะอย่างเปิดเผย “และนี่ก็คือเขาในช่วงหลัง เป็นยังไงครับ เปลี่ยนแปลงไปมากเลยใช่หรือเปล่า”
เซียวจยาซู่ที่เอาแต่สไลด์โทรศัพท์เล่นนั้นหายไปแล้ว เปลี่ยนมาเป็นถือเก้าอี้พับตัวน้อยกับสมุดเล่มเล็ก บนหูยังมีปากกาด้ามหนึ่งทัดเอาไว้ด้วย บางครั้งเขาก็นั่งจดบันทึกอยู่ข้าง ๆ ผู้กำกับหลัว บางครั้งก็ไปนั่งจดบันทึกอยู่ข้างพี่ตากล้อง บางครั้งก็ไปนั่งจดบันทึกอยู่ข้างผู้ช่วยผู้กำกับ เรียกว่าที่ไหนมีถ่าย ที่นั่นต้องมีเขานั่งเรียนรู้อยู่บนเก้าอี้พับตัวน้อยเรื่อยไป
ท่าทางคุณชายเจ้าสำราญในตอนต้น กับท่าทางตั้งอกตั้งใจเรียนรู้อดทนต่อความยากลำบากของเขาในตอนหลังนั้นถ่ายทอดออกมาผ่านภาพถ่ายอย่างหมดจด และการแสดงของเขาก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ตอนแรกผู้ชมหัวเราะล้อเลียนเขา จากนั้นก็ปรบมืออย่างกระตือรือร้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวจยาซู่ได้เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของตัวเองตรง ๆ สีหน้าเขินอายของเขาค่อย ๆ แทนที่ด้วยความจริงจังเคร่งขรึม เขาพนมมือ เอ่ยกับหลัวจางเหวยด้วยความจริงใจ “ผู้กำกับหลัวครับ ผมจะพยายามต่อไปอย่างแน่นอน ขอบคุณมากนะครับที่ผู้กำกับคอยช่วยเหลือและอบรมสั่งสอนผมตลอดมา”
หลัวจางเหวยหัวเราะร่าเริงพลางโบกมือ
จี้เหมี่ยนดูจอใหญ่แล้วก็เอ่ยเสริม “เจ้าม้านั่งตัวนี้เป็นบัลลังก์ส่วนตัวของเซียวจยาซู่ครับ หลังจากปิดกล้องเขาก็ซื้อมันไปในราคายี่สิบหยวน บอกว่าต่อไปถ้าถ่ายหนังอีกก็จะเอาไปด้วย สะดวกดี”
ผู้ชมหัวเราะครืนอีกครั้ง
เซียวจยาซู่ถลึงตาใส่จี้เหมี่ยนเหมือนคนที่ทำเป็นเก่ง จากนั้นเขาก็อดไม่ไหว หัวเราะออกมาในที่สุด จี้เหมี่ยนเองก็คันไม้คันมือ ไม่รู้อะไรดลใจให้เขายื่นมือไปตบศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ
ผู้ชมที่ชมการถ่ายทอดสดทางอินเทอร์เน็ตอยู่นั้นฮือฮากับท่าทางที่น่ารักของคนทั้งสอง คอมเมนต์โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอไลฟ์อย่างต่อเนื่องว่า ‘สวรรค์! พวกเขามองตากันดูอบอุ่น ดูรักใคร่กันเหลือเกิน! จี้เหมี่ยนนี่ต้องหันไปมองเซียวจยาซู่ทุกสองสามนาที มุมปากก็ยิ้มจนหุบไว้ไม่อยู่เชียว! เซียวจยาซู่เองก็หันไปมองจี้เหมี่ยนทุกสองสามนาทีเหมือนกัน แล้วสายตาสองคนนี้ก็จะสบกันพอดีทุกที จากนั้นก็จะหัวเราะออกมาอย่างเขิน ๆ ที่ลูบหัวกันนั่นน่ะหวานจนฉันแทบเลี่ยนแล้วแน่ะ!’
ผู้ดำเนินรายการหัวเราะอยู่นานจึงค่อยถามต่อ “เจ้าม้านั่งน้อยตัวนั้นคุณพกไปทุกที่จริง ๆ หรือครับ”
“ครับ ยังพกอยู่ อยู่ในที่เก็บของหลังรถตู้ผมนั่นแหละ” เซียวจยาซู่พยักหน้า จากนั้นก็ใช้มือปิดหน้าเหมือนอายมาก
คอมเมนต์บนหน้าจอไลฟ์ยึดพื้นที่เต็มหน้าจอทันที ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคำชมว่าเขาน่ารัก ทั้งที่เขาเป็นคุณชายหล่อเหลาสไตล์สูงส่งเย่อหยิ่งแท้ ๆ แต่พอยิ้มขึ้นมากลับดูใสซื่อสดใสร่าเริงเป็นพิเศษ ทำให้ผู้ชมชื่นชอบกันจนแทบทนไม่ไหว
ผู้ดำเนินรายการถามต่อ “ได้ยินว่านี่เป็นครั้งแรกที่คุณแสดงภาพยนตร์ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เข้าฉากด้วยยังเป็นอาจารย์จี้อีกต่างหาก รู้สึกกดดันหรือเปล่าครับ”
เซียวจยาซู่ส่ายหน้า “ไม่กดดันเลยครับ”
“หือ สภาพจิตใจแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือครับ” ผู้ดำเนินรายการเลิกคิ้วสูง
“ไม่ใช่สภาพจิตใจแข็งแกร่งหรอกครับ แต่เป็นเพราะไม่รู้เลยไม่กลัวมากกว่า ตอนแรกแม้แต่เรื่องที่ว่าการแสดงหนังคืออะไรผมยังไม่รู้เลย แล้วจะกลัวได้ยังไงกันล่ะครับ ผมเข้าไปนั่งแหมะ แสดงไปตามที่บทเขียนเอาไว้ก็ได้แล้ว” เซียวจยาซู่มองจี้เหมี่ยนอย่างลึกซึ้ง น้ำเสียงของเขาฟังดูปลาบปลื้มตื้นตัน “ถ้าไม่ใช่เพราะพี่จี้ ตอนนี้ผมอาจจะยังเที่ยวเล่นไปวัน ๆ อยู่ก็ได้ ครั้งแรกที่ผมรู้สึกได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าฝีมือการแสดง ก็ในฉากฆ่าน้องชายนั่นแหละครับ หรือก็คือฉากที่อยู่ในวินาทีที่ 2:56 ของคลิปตัวอย่างภาพยนตร์ ผมได้อั่งเปาในฉากนี้ คนลงมือคือพี่จี้ สายตาเด็ดขาดของเขาทำเอาผมสะท้านสะเทือนเป็นอย่างมาก ตอนนั้นผมช็อกไปเลย แล้วจู่ ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาได้ว่า…อ๋อ ที่แท้นี่แหละที่เขาเรียกว่าฝีมือการแสดง นี่คือการพาตัวละครในจินตนาการมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง! มันน่าตื่นตาตื่นใจมากเลยครับ!”
เขาพูดไปพลาง บนหน้าจอก็ฉายคลิปตรงช่วงที่พูดถึง ทำให้ผู้ชมพากันอุทานไม่ขาดปาก สายตาของจี้เหมี่ยนเด็ดขาดจริง ๆ การดิ้นรนอย่างไร้ซึ่งหนทางกับความเจ็บปวดแสนสาหัสพุ่งตรงเข้ามาในใจ สั่นสะท้านอย่างหาใดเปรียบ
ในคลิปตัวอย่างภาพยนตร์นั้นที่จริงแล้วมองบทภาพยนตร์ไม่ค่อยออกสักเท่าไร แต่อาศัยแค่การแสดงระดับสุดยอดของนักแสดงไม่กี่คนก็เรียกคำวิจารณ์หนักแน่นต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แล้ว คำว่า ‘คาดหวังให้หนังเรื่องนี้ฉายเร็ว ๆ’ เป็นคอมเมนต์ที่ขึ้นมาเต็มหน้าจอไลฟ์ไปหมด
ผู้ดำเนินรายการจับประเด็นแล้วถามต่อ “อย่างนี้ก็เท่ากับว่าคุณเป็นแฟนคลับของอาจารย์จี้แล้วสิครับ อ้อ จริงด้วย หลินเล่อหยางเองก็เป็นแฟนคลับของอาจารย์จี้เหมือนกันนี่นา ผมเห็นเวยป๋อของคุณมีแต่ข่าวอาจารย์จี้ มีมาตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนแล้วด้วย”
หลินเล่อหยางยิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่ครับ ผมเป็นแฟนตัวยงของพี่จี้เลยละ”
“ผมก็ด้วย!” ไม่รู้ว่าทำไมเซียวจยาซู่จึงต้องเน้นประโยคนี้ แม้ว่าช่วงเวลาที่เขาเป็นแฟนคลับจี้เหมี่ยนจะไม่นานนัก แต่เขาก็เป็นแฟนตัวยงเหมือนกันนะ! เป็นแฟนตัวยงยิ่งกว่าแฟนตัวยงทั่วไปอีก!
ผู้ชมที่ดวงตาเปล่งประกายวาบรีบคอมเมนต์ทันที ‘ตายแล้ว เจ้าต้นอ่อนน้อยกำลังแก่งแย่งให้ตัวเองได้รับความเอ็นดูหรือเปล่านะ น่ารักสุด ๆ ไปเลย!’
ผู้ดำเนินรายการปรบมือแล้วว่า “ในเมื่อพวกคุณบอกว่าเป็นแฟนคลับของอาจารย์จี้กันทั้งคู่ งั้นผมขอทดสอบหน่อยนะครับ มาเลย เอากระดานคำตอบมา ขอสำหรับอาจารย์จี้ด้วยครับ”
เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เตรียมการกันไว้ก่อน เมื่อได้กระดานคำตอบมาทั้งสามคนจึงอึ้งไป ผู้ดำเนินรายการให้จี้เหมี่ยนมานั่งข้างตนเองแล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ย “อย่างนี้ครับ ผมจะตั้งคำถาม เป็นคำถามที่เกี่ยวกับอาจารย์จี้ทั้งหมด พวกคุณก็เขียนคำตอบพร้อมเขา คำตอบของใครเหมือนกับของอาจารย์จี้ก็จะได้หนึ่งคะแนน จะแฟนตัวจริงหรือแฟนตัวปลอม ดูคะแนนรวมแล้วค่อยว่ากันนะครับ”
เซียวจยาซู่กระตือรือร้นอยากจะเล่น ส่วนหลินเล่อหยางนั้นกำลังรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าเป็นครั้งแรก เขาคบกับพี่จี้มาตั้งหลายปี จะไม่รู้เรื่องความชอบของอีกฝ่ายได้อย่างไรกัน แบบนี้มันคำถามแจกคะแนนชัด ๆ
[1] Richard Mille แบรนด์นาฬิกาหรูจากสวิตเซอร์แลนด์