黄金台
หวงจินไถ ปรปักษ์เร้นรัก
ชางอู๋ปินไป๋ เขียน
ฟองสมุทร แปล
Mao Shu วาด
– โปรย –
ฟู่เซิน แม่ทัพหนุ่มผู้มากความสามารถที่ชีวิตกลับพลิกผันเพราะใช้การขาทั้งสองข้างไม่ได้
ซ้ำยังได้รับพระราชทานงานสมรสกับศัตรูคู่อาฆาตอย่าง เหยียนเซียวหาน
เขาจึงเลือก “หวงจินไถ” แท่นพิธีอันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งเกียรติยศเป็นสถานที่ไหว้ฟ้าดิน
เพราะที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความรุ่งโรจน์
เขาจึงขอเลือกที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความอัปยศเช่นกัน
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 3
ฟู่เซินหลับไม่ค่อยสนิท ยาที่เขากินมีผลข้างเคียงไม่น้อย ทั้งใจสั่น ฝันร้าย หายใจถี่ ขณะกึ่งกลับกึ่งตื่น ยังรู้สึกราวกับมีหินก้อนใหญ่ทับอยู่บนอก ขยับตัวไม่ได้ เวียนหัว หูแว่ว เป็นอาการที่ชาวบ้านเรียกว่า “ผีอำ”
แม้ฟู่เซินยังไม่ตื่น แต่กลับมีสติรับรู้ชัดเจน เขาผ่อนลมหายใจให้ช้าลง ลองกะพริบตา จนกระทั่งควบคุมเปลือกตาได้ จึงใช้มือยันเตียงตั้งใจจะลุกขึ้น…ทว่าเขาลืมไปว่าขาของตนยังใช้การไม่ได้ ไร้ความรู้สึกตั้งแต่หัวเข่าลงไป เขาออกแรงแขนและช่วงเอวในเวลาเดียวกัน เนื่องจากออกแรงกะทันหันทำให้เสียการทรงตัว ทันทีที่พลิกตัวจึงตกเตียงเสียงดังโครม
เตียงในห้องนอนไม่ถือว่าสูงแต่อย่างใด ทว่าข้างล่างมีแท่นวางเท้า ยามตกลงมา ท้องของฟู่เซินจึงกระแทกกับแท่นวางเท้า หงายหลังล้มลงบนพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ ศีรษะกระแทกจนเกิดเสียง ทำให้เขาหน้ามืดและมีเสียงดังก้องในหู
ทว่าก่อนที่เขาจะเจ็บปวด ประตูห้องนอนกลับถูกถีบเปิดออก มีคนพุ่งตรงมาอุ้มเขา แขนเสื้อคลุมของคนผู้นั้นยังคงเคลือบไอเย็นของคืนฤดูใบไม้ร่วง ทว่าฝ่ามือของเขากลับอบอุ่นเหลือเกิน
ฟู่เซินถูกช้อนตัวขึ้นมา ศีรษะพิงแผ่นอกชายผู้นั้น ใบหน้าแนบชิดชุดขุนนางที่ทำจากผ้าแพรสีน้ำเงินเข้ม เนื้อผ้านุ่มลื่น คอเสื้อและแขนเสื้อมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้กฤษณา เหมือนกับคนที่เขารู้จักดี ทว่าเพราะใกล้กันเกินไป จึงแปรเปลี่ยนเป็นไม่คุ้นเคย
ลมหายใจร้อนผ่าวของเขาทะลุผ่านเนื้อผ้า ร้อนขนาดที่ทำให้ร่างคนผู้นั้นแน่นตึงทันใด ฟู่เซินถูกวางลงบนเตียงอีกครั้ง มือแข็งกระด้างข้างหนึ่งทาบลงบนหน้าผากของเขา “ทำไมลมหายใจร้อนขนาดนี้ ไข้ขึ้นหรือ”
สายตาที่พร่ามัวและความเจ็บปวดค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ฟู่เซินจำเขาได้แล้ว จึงผลักมือข้างนั้นออกไป “มาทำอะไร”
บ่าวเฒ่าและชายหนุ่มแห่งองครักษ์เฟยหลงได้ยินคำถามอันเย็นชาทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้อง จึงพร้อมใจกันชะงักฝีเท้า รำพึงรำพันว่า ข่าวลือที่เคยได้ยินคงเป็นจริง ทั้งสองรับมือยาก หากต่อสู้กันขึ้นมาคงต้องห้ามเหยียนเซียวหานก่อน
เหยียนเซียวหานหลับตาสงบสติอารมณ์ราวกับไม่อยากโต้เถียงกับเขา จากนั้นเอ่ยอย่างเด็ดขาด “ท่านตัวร้อนจะไหม้อยู่แล้ว ลุกขึ้นมาดื่มน้ำสักอึก ข้าจะให้คนมาจับชีพจรและออกยาให้”
ฟู่เซินหลับตา ตอบอย่างเฉยเมย “ไม่ต้องลำบาก พูดธุระมาเถอะ ใต้เท้าเหยียนมาหาข้าดึกดื่นมีธุระอะไร”
เหยียนเซียวหานไม่สนใจเขา เดินตรงไปหยิบกาน้ำชาที่โต๊ะ ครั้นพบว่าน้ำชาที่รินออกมาครึ่งถ้วยเย็นชืดก็ชักสีหน้า เหลือบมองบ่าวเฒ่าอย่างเย็นชา “พวกเจ้าดูแลเขาเช่นนี้หรือ”
ฟู่เซินพูดด้วยความปวดหัว “ท่านยังไม่…”
เหยียนเซียวหาน “ร่างกายโหวเยียสำคัญยิ่ง ปล่อยปละละเลยเช่นนี้ไม่ได้ ขืนละเลยอีก ก็อย่าโทษที่ข้ากราบทูลหวงตี้”
นิ้วของฟู่เซินกระตุกเล็กน้อยอย่างไม่อาจสังเกตเห็น
บ่าวเฒ่าแบกรับความตื่นตระหนกไม่ไหว รีบตะลีตะลานคุกเข่าอ้อนวอน ฟู่เซินถูกรบกวนจนเกินทนไหว ท้ายที่สุดจึงยอมอ่อนข้อ “พอได้แล้ว ขอบคุณใต้เท้าเหยียนที่อบรมสั่งสอนข้ารับใช้แทนข้า”
ถ้อยคำนี้ฟังเหมือนเหน็บแนมเหยียนเซียวหานที่ยุ่งเรื่องของเขา เหยียนเซียวหานจึงฉวยโอกาสเอ่ย “ไปเปลี่ยนน้ำร้อนมา” จากนั้นโบกมือไล่ให้คนออกไปอย่างไม่เต็มใจ
ในห้องเหลือเพียงสามคน เหยียนเซียวหานยืนก้มลงมองเขาอยู่ข้างเตียง แสงไฟข้างเตียงไม่สว่างนัก ใบหน้าส่วนใหญ่ของฟู่เซินจึงอยู่ในเงามืด กรอบหน้าคมชัดเป็นพิเศษ ดูผอมจนเหลือแต่กระดูก แต่ก็งดงามอย่างเปรียบไม่ได้…งามจนสะดุดตาทีเดียว
เหยียนเซียวหานแสร้งแย้มยิ้มจริงใจ “หวงตี้ทรงห่วงใยโหวเยีย ครั้นได้ยินว่าเจ้ากลับเมืองหลวง ก็รับสั่งให้ข้าพาหมอมาจับชีพจรให้”
ฟู่เซินตาปรือ กล่าวอย่างอ่อนเพลีย “ขอบคุณความห่วงใยของหวงตี้แทนข้าด้วย ท่านช่วยกลับไปกราบทูลว่าข้าสบายดีและได้รับการรักษาจากหมอในกองทัพเป่ยเยี่ยนแล้ว ไม่ต้องรบกวนหมอหลวงแต่อย่างใด”
ทั่วเมืองหลวงลือกันว่าจิ้งหนิงโหวหัวรั้นดื้อดึง และเป็นอย่างที่เขาลือกันจริงๆ
เสิ่นอี๋เช่อหมอแห่งองครักษ์เฟยหลงที่ติดตามมาด้วยก้าวไปเบื้องหน้า ด้วยจิตวิญญาณของหมอ จึงตั้งใจจะเกลี้ยกล่อมแม่ทัพผู้ดื้อรั้นแทนผู้บัญชาการ ทว่าเหยียนเซียวหานกลับยกมือห้าม ส่งสัญญาณให้เขารอก่อน สีหน้าที่แสดงออกมาโดยไม่ตั้งใจนั้น ราวกับกำลังต่อกรสัตว์ร้ายที่ยากจะจัดการ
“หวงตี้ทรงเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของโหวเยีย ที่ข้ามาในวันนี้ ก็เพื่อให้หวงตี้ทรงวางใจ” เหยียนเซียวหานพูดชัดถ้อยชัดคำขณะมองใบหน้าด้านข้างของฟู่เซิน “หมอในกองทัพเป่ยเหยี่ยนท่านนั้นคงมีทักษะยอดเยี่ยมมาก จึงได้รับความไว้ใจจากโหวเยีย ข้าไม่กังวลว่าการวินิจฉัยจะผิดพลาด เพียงแต่อาการบาดเจ็บของโหวเยียรุนแรงอย่างยิ่ง ให้หมอตรวจเพิ่มอีกสักคนสองคนคงไม่เสียหาย ท่านคิดว่าอย่างไร”
ฟู่เซินลืมตาแล้วสบตากับเขา
เหยียนเซียวหานใจสั่นเมื่อสบสายตาที่เย็นเยียบเสมือนโลหะ พลันเกิดความรู้สึกประหลาดราวกับฟู่เซินมองผู้อื่นทะลุผ่านตน
หลังจากนั้นไม่นาน จิ้งหนิงโหวผู้ดื้อรั้นท่านนี้ก็หลุบตาลง รวบเรือนผมยาวที่ยุ่งเหยิง แล้วยื่นมือข้างหนึ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง บ่งบอกให้เหยียนเซียวหานประคองเขาลุกขึ้น “ไหนๆ ก็มาแล้ว…เช่นนั้นรบกวนด้วย เชิญ”
เสิ่นอี๋เช่อตกตะลึง ฟู่เซินเป็นคนแรกที่เรียกใช้ทูตแทนพระองค์ได้ แต่เหยียนเซียวหานกลับไม่ตระหนักถึงความผิดปกติแต่อย่างใด
เหยียนเซียวหานประคองเขาลุกขึ้น ส่วนตนนั่งหันข้างอยู่ริมเตียง ด้วยกลัวว่าส่วนที่อีกฝ่ายบาดเจ็บจะถูกหัวเตียง จึงใช้แขนข้างหนึ่งโอบไหล่ไว้ป้องกันไม่ให้เขาเลื่อนไถล การเคลื่อนไหวทำให้เรือนผมของฟู่เซินสยายลงมา เหยียนเซียวหานนำช่อผมที่ปรกหน้าทัดหูให้ กว่าครึ่งตัวของฟู่เซินจึงอยู่ในอ้อมแขนของเขา จิ้งหนิงโหวคงรู้สึกว่าเบาะรองนี้นุ่มกว่าหัวเตียงเป็นไหนๆ และไม่คิดเล็กคิดน้อยว่าเหยียนเซียวหานผู้นี้น่าจงเกลียดเพียงใด เขาขยับตัวเล็กน้อยเลือกตำแหน่งที่สบายก่อนเอนกายนอน
ท่าทางนี้ออกจะสนิทสนมเกินไปสำหรับ “ศัตรูคู่อาฆาต” ดีที่เสิ่นอี๋เช่อจดจ่อกับอาการป่วยของฟู่เซิน จึงไม่ได้สังเกตเห็นทูตแทนพระองค์ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวจิ้งหนิงโหวให้มิดชิดอย่างใส่ใจ จิ้งหนิงโหวผ่อนคลายช่วงเอวที่เกร็งอยู่ภายใต้ผ้าห่ม ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงบนร่างเหยียนเซียวหาน
ฟู่เซินเป็นไข้ ซ้ำยังพลัดตกเตียง จึงเจ็บระบมไปทั้งร่าง ความจริงเขาไม่ได้บอบบางเพียงนั้น แต่คงเพราะเหยียนเซียวหานเห็นเหล่าขุนนางที่บอบบางลิ่วลมมามาก จึงปฏิบัติต่อเขาราวกับแจกันแตกง่ายตามสัญชาตญาณ
“โหวเยียมีบาดแผลตามตัว ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน อย่ากินของเย็นและของแสลง ต้องระวังความเย็นและความชื้นในห้องนอน ตอนนี้อากาศเริ่มหนาว ควรจุดเตาถ่านและเตากำยานไว้แต่หัววัน” เสิ่นอี๋เช่อวางข้อมือของฟู่เซินลงหลังจับชีพจรเสร็จ จากนั้นกล่าวขึ้นอีก “ขออภัยโหวเยีย ข้าน้อยต้องดูบาดแผลที่ขาของท่านสักหน่อยขอรับ”
เหยียนเซียวหานเลิกผ้าห่มขึ้นก่อนม้วนขากางเกงของอีกฝ่าย ด้วยไม่อาจเลี่ยงการสัมผัสระหว่างที่เคลื่อนไหว ฟู่เซินรู้สึกถึงบางอย่าง จึงเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
เขาจำได้ว่าเหยียนเซียวหานไม่กลัวเลือด แต่เหตุใดจึงตัวสั่น
แม้ตอนนี้ฟู่เซินไม่เจ็บปวด แต่เสิ่นอี๋เช่อก็ยังพยายามเบามือที่สุด “บาดแผลสมานกันดีมาก ที่เป็นไข้เพราะความเย็นจากภายนอก อาการบาดเจ็บที่สาหัสที่สุดของโหวเยียอยู่ที่กระดูกสะบ้าและเส้นเอ็น ต้องค่อยๆ รักษาเป็นเวลาสามถึงห้าปี จึงจะฟื้นตัวได้ในระดับหนึ่ง เพียงแต่…ภายภาคหน้าเกรงว่าคงเดินเหินลำบากขอรับ”
เหยียนเซียวหานคลี่ขากางเกงที่ม้วนอยู่ของฟู่เซินแล้วห่มผ้าให้อย่างดี เสิ่นอี๋เช่อเก็บหมอนรองข้อมือ “ข้าจะเขียนใบสั่งยา รักษาไข้โหวเยียก่อน ส่วนอาการบาดเจ็บที่ขา ให้รักษาตามวิธีของหมอกองทัพเป่ยเยี่ยนเช่นเดิม ข้าน้อยจะกลับไปหารือกับเหล่าหมอหลวงในสำนักหมอหลวงก่อน ไม่แน่อาจคิดวิธีที่ดีกว่าได้”
ฟู่เซินพยักหน้า แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก “ซี้ด…เบาหน่อย!”
เสิ่นอี๋เช่อ “ขอรับ?”
“…ไม่เป็นไร” ฟู่เซินกัดฟันพลางขยับไหล่ที่ถูกเหยียนเซียวหานโอบจนเจ็บ แล้วพยักหน้าขอบคุณ “ลำบากหมอเสิ่นแล้ว”
“มิบังอาจขอรับ” เสิ่นอี๋เช่อโค้งตัว “ข้าน้อยฝีมืออ่อนหัด ละอายใจนักที่ไม่อาจแบ่งเบาความทุกข์ของโหวเยียได้”
“หมอเสิ่นอย่าพูดเช่นนี้เลย” ในทางกลับกัน ฟู่เซินก็ใจกว้างที่สุด “ข้ารู้ว่าข้าบาดเจ็บถึงขั้นใด เพียงแต่อะไรจะเกิดก็ต้องแล้วแต่ลิขิตสวรรค์”
“โหวเยียโปรดวางใจ สวรรค์ย่อมมีทางออกให้คนเราเสมอ ต้องมีวิธีรักษาอาการบาดเจ็บของท่านให้หายดีแน่” เหยียนเซียวหานพลันส่งเสียง แล้วกล่าวกับเสิ่นอี๋เช่อ “นำใบสั่งยาให้ข้ารับใช้จวนโหว บอกให้พวกเขาต้มยา ขาดเหลืออะไรก็ให้คนไปซื้อ หากไม่มีก็ไปเอาที่จวนข้า”
เสิ่นอี๋เช่อเห็นว่าทั้งสองเหมือนมีบางอย่างต้องพูดคุยกัน จึงรับคำสั่ง คารวะให้ฟู่เซินแล้วออกไป
เหยียนเซียวหานประคองเขานอนลงด้วยสีหน้ายากคาดเดา ฟู่เซินมีรูปลักษณ์อ่อนโยน จึงมองไม่ออกสักนิดว่าผู้ที่เหน็บแนมเหยียนเซียวหานอย่างเย็นชาเมื่อครู่คือเขา
ในที่สุดในห้องก็เหลือเพียงสองคน เหยียนเซียวหานดึงเก้าอี้กลมมานั่งลงห่างๆ “ขาของเจ้า…”
“เมื่อครู่พูดไปแล้ว อย่างที่ว่านั่นละ” ฟู่เซินยื่นมือตัดบทเขา “รินน้ำให้ข้าสักถ้วย”
เหยียนเซียวหานขมวดคิ้ว “น้ำมันเย็น”
ฟู่เซิน “เย็นก็จะดื่ม มิเช่นนั้นจะให้ข้ากระหายน้ำตายหรือ เช่นเดียวกัน แม้ขาหักก็ต้องมีชีวิตอยู่ให้ได้ หรือข้าต้องแขวนคอตายเพราะเรื่องนี้”
เหยียนเซียวหานถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่สาดน้ำชาเย็นชืดที่เหลือครึ่งถ้วยทิ้งไป แล้วรินอีกถ้วยให้เขา “หวงตี้ทรงสงสัย จึงให้ข้าพาคนมาตรวจอาการบาดเจ็บโดยเฉพาะ”
ฟู่เซิน “เช่นนั้นตอนนี้พระองค์ก็วางใจได้แล้ว”
เหยียนเซียวหานพูดอย่างไม่เกรงใจ “ข้าว่าไม่แน่ เจ้ายังหายใจอยู่มิใช่หรือ”
ฟู่เซินมองเขาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่า “เจ้าหาเรื่องอีกแล้ว”
เหยียนเซียวหาน “ข้าคิดมาเสมอว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องจริง เจ้าไม่หาทางหนีทีไล่จริงๆ หรือจงใจปล่อยข่าวลวงกันแน่”
ฟู่เซินย้อนถาม “เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนี้”
เหยียนเซียวหานตอบตรงไปตรงมา “เพราะเจ้าดูเฉลียวฉลาด ไม่น่าทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้”
“เป็นความจริง” ฟู่เซินส่ายหน้า แล้วดื่มน้ำอย่างช้าๆ จนหมด “ทวนที่แจ้งหลีกง่าย เกาทัณฑ์ที่ลับยากระวัง[1] เจ้าคิดว่าข้าไม่มีทางเสียรู้หรือ คิดว่าข้าเก่งกาจพิสดารเกินไปแล้วกระมัง”
เหยียนเซียวหานตกตะลึงไปชั่วขณะ ด้วยคิดไม่ถึงว่าเขาจะประเมินตนเองต่ำถึงเพียงนี้
เข้าร่วมกองทัพตั้งแต่เยาว์วัย สร้างความชอบจากการศึก การดำรงอยู่ของฟู่เซินเสมือนทำลายความเป็นไปไม่ได้ จิ้งหนิงโหวและกองทัพม้าเหล็กเป่ยเยี่ยนเป็นตำนานที่ไม่เคยพ่ายแพ้ ภาพลักษณ์นี้หยั่งรากลึกในจิตใจผู้คน แม้แต่เหยียนเซียวหานก็เข้าใจเช่นนั้น
ทว่าฟู่เซินเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ได้เก่งกาจเหนือมนุษย์ ไม่ได้มีหนังทองแดงหรือกระดูกเหล็ก ยากที่ร่างกายจะต้านทานศิลาก้อนยักษ์ที่ตกลงมาได้
ฟู่เซิน “เจ้ารู้หรือไม่ ระหว่างทางกลับเมืองหลวง ข้าได้พูดคุยกับคนในโรงน้ำชา ฟังลำนำที่แพร่งพรายในเมืองว่า ‘แม่ทัพฟู่อยู่เป่ยเจียง เมืองหลวงจึงยังอยู่เย็นเป็นสุข’ จะว่าไปก็น่าขัน ข้าอยู่เป่ยเจียงมาเจ็ดแปดปี คิดว่าตนสร้างความชอบ ปกป้องคุ้มครองเขตแดนให้พลเมืองร่มเย็นเป็นสุข บ้าคลั่งจนลืมว่าตัวเองแซ่อะไร สุดท้ายจึงรู้ว่าข้าไม่เพียงทำให้เผ่าต๋าและเผ่าเจ้อหลับไม่ลง แม้แต่ท่านผู้นั้นก็หลับไม่ลงเพราะข้าเช่นกัน…”
เหยียนเซียวหาน “ในเมื่อเจ้าคิดได้แล้ว ทำไมไม่คืนอำนาจทหาร แล้วไปทำไร่ทำนาให้สบายใจ เป็นผู้สูงศักดิ์ที่ว่างงาน ย่อมดีกว่าสู้ศึกในสนามรบ หรือเผชิญพวกปากหวานก้นเปรี้ยวในเมืองหลวงมิใช่หรือ”
“เลิกพูดได้แล้ว” ฟู่เซินหัวเราะเยาะ “เรารู้จักกันวันแรกหรือ พี่เหยียน ข้านึกว่าเราจะเปิดใจคุยกันได้ แต่เจ้ายังใช้ไม้นี้กับข้าอีกหรือ
“เผ่าต๋าตะวันออกยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ เผ่าเจ้อคอยจับจ้องดั่งพญาเสือ มีคนมากน้อยเท่าไรในราชสำนักที่ตามืดบอดเพราะความสงบสุขในช่วงสิบกว่าปีมานี้ หากข้าจากไปตอนนี้ ภายภาคหน้าใครจะมารับช่วงดูแลกองทัพม้าเหล็กเป่ยเยี่ยน ใครจะยอมต่อรองกับราชสำนักเพื่อกองทัพชายแดน ถึงภาวะวิกฤติ คนที่โชคร้ายก็คงเป็นทหารเลวและประชาชนผู้บริสุทธิ์มิใช่หรือ”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า”
ฟู่เซินปรายตามองทันที ราวกับคิดไม่ถึงว่าเขาจะเปลี่ยนสีเร็วเพียงนี้
เหยียนเซียวหานกล่าวอย่างเย็นชา “หวงตี้ทรงระแวงเจ้า ขุนนางราชสำนักเคลือบแคลงเจ้า คนโง่เขลาเหล่านั้นดีแต่โหวกเหวกโวยวายที่เจ้ามีสภาพเช่นนี้ แล้วมีใครนึกถึงความรู้สึกของเจ้าหรือไม่ ตัวเองแทบไม่มีแม้แต่ที่พักพิง ยังมีกะจิตกะใจคำนึงถึงใต้หล้าอีก เจ้าไม่รู้สึกเหมือนถูกเยาะเย้ยหรือ แม่ทัพฟู่”
เหยียนเซียวหานเอ่ยอย่างเย็นชาและอุกอาจ ทว่าเขาไม่นึกเลยว่าฟู่เซินจะไม่ยอกย้อนประชดประชัน
เหยียนเซียวหานมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายที่กำลังหลุบตาครุ่นคิด ก่อนตระหนักได้อย่างกระจ่างแจ้งว่าความมั่นใจอย่างคนวัยหนุ่ม และความหลักแหลมพร้อมเล่ห์เหลี่ยมที่ติดตัวฟู่เซินในอดีตกำลังค่อยๆ เลือนหายไป
ถูกอาการป่วย ถูกความยากลำบาก หรือถูกสิ่งอื่นใด…ทำลายจนหมดสิ้น
พวกเขามีระยะห่างระหว่างกัน ทว่ากลับตรงไปตรงมากว่าเมื่อก่อน จนเกือบเรียกได้ว่าเปิดอกพูดคุยก็ว่าได้ จริงอยู่ที่ทั้งสองไม่ลงรอยกัน แต่ก็ห่างไกลจากคำว่าไม่ถูกชะตาอย่างที่เล่าลือกันภายนอก ทั้งสองรู้จักกันตั้งแต่เด็ก ที่เรียกว่า “ศัตรูคู่อาฆาต” ก็เป็นเพียงความเข้าใจผิด อย่างไรเสียคนหนึ่งคือรัฐบุรุษผู้กุมอำนาจทหารไว้ ส่วนอีกคนคือคนสนิทที่โปรดปรานของหวงตี้ ความสัมพันธ์ที่ดีงามเกินไปจะนำมาซึ่งความระแวงสงสัยเสียเปล่า
ความสัมพันธ์ที่เข้าใจกันและกันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยย่อมตัดปัญหาไปได้ไม่น้อย ทว่าก็ทำให้ความแตกต่างบางส่วนกลายเป็นช่องว่างระหว่างทั้งสองเช่นกัน
ตระกูลฟู่เป็นขุนนางชั้นสูงมารุ่นต่อรุ่น รุ่นบิดาและรุ่นปู่ของฟู่เซินล้วนตายในสนามรบ ความจงรักภักดีและความรับผิดชอบต่อหน้าที่แทบจะฝังลึกในเลือดเนื้อของเขา ส่วนเหยียนเซียวหานมาจากตระกูลต่ำต้อย เหยียบย่ำผู้คนนับไม่ถ้วนมาสู่ตำแหน่งในทุกวันนี้ เชื่อฟังคำสั่งของหวงตี้เพียงผู้เดียว ไร้หลักการและข้อจำกัด จึงไม่เข้าใจคนอย่างฟู่เซินที่ทำแต่เรื่องขาดทุนหรือเป็น “ผู้ทรงคุณธรรม” แม้แต่น้อย
ทั้งสองอาจคาดเดาได้แต่แรกว่าพวกเขาไม่ได้ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน เพียงแต่ไม่คิดว่าความขัดแย้งจะเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งไม่นึกว่าราคาที่ต้องจ่ายจะมากมายเพียงนี้
[1] ทวนที่แจ้งหลีกง่าย เกาทัณฑ์ที่ลับยากระวัง อุปมาถึงการสู้กันต่อหน้า ย่อมรับมือง่ายกว่าถูกแทงข้างหลัง