黄金台
หวงจินไถ ปรปักษ์เร้นรัก
ชางอู๋ปินไป๋ เขียน
ฟองสมุทร แปล
Mao Shu วาด
– โปรย –
ฟู่เซิน แม่ทัพหนุ่มผู้มากความสามารถที่ชีวิตกลับพลิกผันเพราะใช้การขาทั้งสองข้างไม่ได้
ซ้ำยังได้รับพระราชทานงานสมรสกับศัตรูคู่อาฆาตอย่าง เหยียนเซียวหาน
เขาจึงเลือก “หวงจินไถ” แท่นพิธีอันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งเกียรติยศเป็นสถานที่ไหว้ฟ้าดิน
เพราะที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความรุ่งโรจน์
เขาจึงขอเลือกที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความอัปยศเช่นกัน
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 4
จวนอิ่งกั๋วกง
สายลมฤดูสารทหนาวเย็น ทว่าในห้องกลับอบอุ่น ตั่งตัวยาวตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ของว่างนานาชนิดและผลไม้สดใหม่วางอยู่บนโต๊ะไม้ตะโก ชายหนุ่มนั่งไขว้ขา แสร้งก้มหน้าอ่านหนังสือ แต่ผ่านไปนานก็ยังไม่พลิกเปลี่ยนแม้แต่หน้าเดียว สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านล่างขยิบตาให้กัน ไม่ก็บุ้ยปากหรือลอบส่งสัญญาณมือกันเป็นครั้งคราว ท่าทางดูตื่นเต้น อยู่ไม่สุขแม้แต่น้อย ขณะที่ชายหนุ่มผู้นั้นถูกจ้องมอง พลันมีหญิงสาวคนหนึ่งวิ่งเข้ามา กล่าวด้วยเสียงชัดใส “ฟูเหรินมาแล้วเจ้าค่ะ”
ทุกคนเผยสีหน้าเคร่งขรึมทันที เหล่าสาวใช้ยืนก้มหน้าก้มตาสงบเสงี่ยม คุณชายผู้นั้นถือหนังสือ เลิกไขว้ขา วางท่าทีไม่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสตรีในชุดจีนเดินเข้าประตูมา ภาพที่นางเห็นจึงเป็นภาพอีกฝ่ายตั้งใจเล่าเรียน
สาวใช้ประคองฉินฟูเหรินนั่งลงบนตั่ง ชายหนุ่มยืนขึ้นแสดงความเคารพ เรียก “ท่านแม่” อย่างสนิทสนมแล้วนั่งลงข้างนาง ฉินฟูเหรินดึงมืออีกฝ่ายมาจับไว้ กล่าวเชิงดุ “ฟ้ามืดแล้ว ทำไมไม่จุดตะเกียงอีก ระวังสายตาจะเสียเอา”
บรรดาสาวใช้ได้ยินก็รีบจุดตะเกียงทันที ทั้งยังเปลี่ยนน้ำชาใหม่ ชายหนุ่มพูดปั้นเรื่องอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าอ่านหนังสือเพลินไปหน่อยจึงไม่ทันรู้สึก ทำไมท่านแม่มาหาในเวลานี้ล่ะขอรับ”
ฉินฟูเหริน “ข้าไปหารือเรื่องบางอย่างกับท่านอาสามของเจ้าที่ลานหน้า ขากลับผ่านทางนี้พอดี จึงแวะมาดูเจ้าสักหน่อย เจ้าจะได้ไม่ต้องไปหาข้าตอนค่ำอีก”
ชายหนุ่มกลอกตา “เรื่องพี่ใหญ่ของข้าหรือ”
ฉินฟูเหรินมองเขา “มีแต่เจ้านี่ละที่รู้มาก วันๆ ไม่ตั้งใจเรียน มัวแต่สืบหาเรื่องไม่เข้าเรื่องพวกนี้”
“เรื่องแพร่งพรายไปทั่วเมืองหลวง แล้วข้ายังต้องสืบหาอีกหรือขอรับ” ชายหนุ่มหัวเราะ “ก็แค่ขาหัก อยู่ชายแดนต่อไม่ได้ จึงได้แต่กลับมาเกษียณอายุที่เมืองหลวง”
ฉินฟูเหรินเม้มปากพลางบีบมือเขาอย่างแรงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทว่ากลับไม่ได้ตำหนิ เพียงออกคำสั่งข้ารับใช้ที่อยู่รอบๆ “ออกไปให้หมด ข้าจะคุยกับหยาเอ๋อร์สักประเดี๋ยว”
ทุกคนโค้งคำนับแล้วถอยออกไป สาวใช้สองคนเฝ้าอยู่บริเวณโถงทางเดิน ส่วนที่เหลือไปหยอกล้อเล่นกันในลานจวน สาวใช้ที่ปรนนิบัติคุณชายล้วนเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารักชวนให้ผู้คนชมชอบ ในนั้นมีหญิงสาวที่ไร้เดียงสาและกล้าหาญสองคนรวมตัวกันพึมพำถึงคำพูดของคุณชายที่ได้ยินในห้อง หนึ่งในนั้นเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ไม่แปลกใจที่คุณชายใหญ่อยากออกไปอยู่ข้างนอก หากอยู่ในจวนนี้ ไม่รู้จะถูกท่านนั้นบดขยี้จนกลายเป็นสภาพเช่นไร”
คนหนึ่งยิ้มกล่าว “นั่นก็ไม่แน่ เจ้าไม่รู้ว่าตอนที่เขาอยู่บ้าน ฟูเหรินกับนายน้อยเห็นเขาทีก็เหมือนหนูเห็นแมว ท่าทางเขาดูเหมือนผู้ประพฤติชอบ ทว่านิสัยกลับดุจฟ้าคำรามก็ไม่ปาน เช่นนั้นจึงเรียกว่าเป็นชายผู้เด็ดเดี่ยวอย่างแท้จริง
“คุณชายใหญ่คือวีรบุรุษ แต่กลับเอ่ยถึงเขาในบ้านของตนไม่ได้ นายน้อยก็ใจร้ายใจดำ อยู่ห่างไกลจากพี่แท้ๆ จึงได้แต่ฟังคำพูดยุยงของพวกเลวทรามนั่น…”
หญิงสาวอีกคนตบหลังมืออีกฝ่ายเบาๆ “เจ้าไม่รู้หรือ ไม่ได้เกิดจากมารดาคนเดียวกัน จะเรียกว่า ‘พี่แท้ๆ’ ได้อย่างไร ตามหลักแล้ว มีเพียงคุณหนูรองฉีหวังเฟย[1]ผู้เดียวที่เรียกเขาว่าพี่แท้ๆ ได้ ส่วนนายน้อยกับเหลียงตี้[2]เหนียงเหนียง พวกเขาห่างจากคำว่าญาติไปสามพันหลี่ด้วยซ้ำ”
ภรรยาคนแรกของฟู่ถิงจงอิ่งกั๋วกงคนก่อนจากไปก่อนวัยอันควร ทิ้งบุตรอย่างฟู่เซินและบุตรีอย่างฟู่หลิงเอาไว้ เมื่อฟู่หลิงอายุสิบเจ็ดปี ก็สมรสกับองค์ชายสามฉีหวัง ส่วนภรรยาใหม่ฉินฟูเหรินมีบุตรสาวสองคนและบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวคนโตฟู่ทิงเข้าวังและได้รับเลือกเป็นเหลียงตี้ ส่วนฟู่หยาบุตรชายคนเล็ก และฟู่ซีบุตรสาวคนเล็กอายุยังน้อย จึงมีมารดาคอยอบรมอยู่ที่บ้าน
ยามที่ฉินฟูเหรินแต่งเข้ามา ฟู่เซินโตจนรู้ความแล้ว จึงไม่สนิทสนมกับนางแต่อย่างใด จนหลังจากฟู่หยาเกิด ทั้งสองก็ห่างเหินกันยิ่งขึ้น ด้วยฐานะตัวตน ย่อมยากจะเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างแม่เลี้ยงกับบุตรคนโต อย่างไรเสียการมีบุตรชายคนโตเช่นฟู่เซินขวางหน้าอยู่ การสืบทอดบรรดาศักดิ์ย่อมไม่ตกไปถึงฟู่หยา
เพียงแต่ก่อนที่ฉินฟูเหรินจะลงมือกระทำบางอย่าง ฟู่ถิงจงกลับถูกลอบสังหารที่เป่ยเจียง เพื่อเอาใจขุนนาง หยวนไท่หวงตี้จึงตัดสินใจไม่ลดขั้น และออกคำสั่งให้ฟู่ถิงซิ่นสืบทอดตำแหน่งอิ่งกั๋วกง ภายหลังเมื่อฟู่ถิงซิ่นเสียชีวิต สถานการณ์สงครามชายแดนก็ตึงเครียด ฟู่เซินจึงรีบรุดไปสนามรบก่อนจะสิ้นสุดช่วงไว้ทุกข์ ตำแหน่งกั๋วกงจึงเว้นว่างเรื่อยมา ต่อมาเจ้าหน้าที่กรมพิธีการปฏิบัติตามคำเปรยของหยวนไท่หวงตี้ โดยให้ฟู่ถิงอี้ อาสามของฟู่เซินสืบทอดตำแหน่ง จนกระทั่งฟู่เซินกลับราชสำนักพร้อมผลงานก็ถูกแต่งตั้งเป็นจิ้งหนิงโหว
ฉินฟูเหรินอ้างว่าบ้านเดียวมีขุนนางชั้นสูงถึงสองคนเสมือน “ไม้ใหญ่ถูกลมโค่น[3]” จึงเสนอให้ฟู่เซินออกไปอาศัยอยู่จวนอื่น
ฟู่เซินรู้ว่านางกังวลเรื่องบรรดาศักดิ์จึงอยากผลักไสตนออกไป ฉินฟูเหรินไม่รู้จักมองการณ์ไกล ทว่าฟู่ถิงอี้อิ่งกั๋วกงคนปัจจุบันกลับคิดการณ์ไกลยิ่งกว่า แท้จริงแล้วตระกูลฟู่ไม่ได้พึ่งพาบรรดาศักดิ์อิ่งกั๋วกง หากแต่เป็นกองทัพม้าเหล็กเป่ยเยี่ยน ตระกูลฟู่ทั้งสามชั่วอายุคนล้วนมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกองทัพเป่ยเยี่ยน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป กองทัพเป่ยเยี่ยนคงเปลี่ยนนามเป็นกองทัพตระกูลฟู่ในไม่ช้า…สิ่งนี้จะทำให้ผู้คนและผู้ที่นั่งบนบัลลังก์มังกรคิดเช่นไร…
ดังนั้นไม่สู้ล่าถอยเพื่อรุดหน้า ภายภาคหน้าฟู่เซินจะกุมอำนาจกองทัพม้าเหล็กเป่ยเยี่ยนไว้อย่างมั่นคง ขณะที่จวนอิ่งกั๋วกงที่อาจดูยิ่งใหญ่นี้ จะไม่อาจผูกติดกับกองทัพเป่ยเยี่ยนได้อีก
หลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว จึงเกิดสถานการณ์ในตอนนี้ คือจิ้งหนิงโหวฟู่เซิน แม่ทัพแห่งกองทัพเป่ยเยี่ยนแยกจวนไปอาศัยตามลำพัง แทบไม่ไปมาหาสู่กับจวนอิ่งกั๋วกง ฟู่ถิงอี้อาสามตระกูลฟู่สืบทอดตำแหน่งอิ่งกั๋วกง ฉินฟูเหรินพาบุตรสาวกับบุตรชายมาอาศัยที่นี่ รอเพียงฟู่หยาเติบโต ค่อยขอให้หวงตี้แต่งตั้งเขาเป็นผู้สืบทอดอิ่งกั๋วกง
สองแม่ลูกไม่ชอบฟู่เซิน เพราะฉินฟูเหรินร้อนตัวกลัวว่าภายภาคหน้าจะถูกเขาเอาคืน จึงทนเห็นเขาโดดเด่นกว่าไม่ได้ ส่วนฟู่หยาอาจเป็นเพราะฟู่เซินไม่ยอมมอบตำแหน่งผู้สืบทอดให้ จึงคิดไปเองว่าฟู่เซินติดค้างเขา
ในเรือนหลัก ฉินฟูเหรินเงยหน้าเอ่ยสั่งสอน “ปากเจ้านี่นะ พูดกันในบ้านก็ไม่เป็นอะไร แต่อย่าได้พูดเหลวไหลเช่นนี้นอกบ้านเด็ดขาด”
“ท่านแม่…” ฟู่หยาโยนผลไม้เข้าปากแล้วลากเสียงยาว ก่อนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เขาแยกออกจากตระกูลฟู่ตั้งนานแล้ว ทำไมต้องกลัวเขาด้วย”
“เจ้าไม่รู้อะไร คำพูดนี้ก็เหลวไหลเช่นกัน” ฉินฟูเหรินตีขาเขาเบาๆ “ป้ายวิญญาณบิดามารดาของเขาล้วนอยู่ที่นี่ เขาเพียงย้ายไปอยู่จวนอื่น จะไม่ใช่คนตระกูลฟู่ได้อย่างไร อย่างไรเขาก็คือพี่ใหญ่ของเจ้า มีสถานะสูงศักดิ์ตั้งแต่ยังหนุ่ม แม้เขาลดความทะเยอทะยานไปบ้างในหลายปีนี้ แต่หลายปีก่อนก็เคยเป็นจอมมารที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใคร เจ้าต้องระวังไว้ อย่าพลาดท่าให้เขาเชียว”
ฟู่หยาแค่นเสียงอย่างไม่แยแส
ฉินฟูเหริน “อีกไม่กี่ปีทางตระกูลก็ต้องขอพระราชทานแต่งตั้งตำแหน่งให้เจ้า ท่านอาสามของเจ้าเข้าข้างฟู่เซิน อยากให้เจ้าพลาดท่าจะแย่ เวลานี้เจ้าห้ามทำอะไรผิดพลาดเด็ดขาด จำเอาไว้”
นางลดเสียงลง “ลูกแม่อดทนอีกหน่อย ถึงตอนนั้นตำแหน่งอิ่งกั๋วกงและกิจการของตระกูลจะเป็นของเจ้า ผู้ใดก็อย่าคิดแย่งชิงไปจากเจ้า แม้แต่ฟู่เซิน…ก็ทำได้เพียงยืนมองอยู่ข้างๆ เท่านั้น”
เสียงฉินฟูเหรินแผ่วเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ ฟู่หยาเงยหน้าขึ้นพร้อมหัวใจที่เต้นรัว “ท่านแม่…”
“ข้ามีวิธี” ฉินฟูเหรินจับมือเขาไว้แน่น “วางใจเถอะ”
ตำหนักบูรพา
ไท่จื่อเฟย[4]ถอดปิ่นปักผมขณะหันหน้าเข้าหาคันฉ่องสัมฤทธิ์ สาวใช้ที่หวีผมให้นางโน้มตัวมากระซิบกระซาบข้างหู “เหนียงเหนียง วันนี้ฉินฟูเหรินจากจวนอิ่งกั๋วกงส่งคนมาถามสารทุกข์สุกดิบฟู่เหลียงตี้ พูดคุยกันอยู่ในห้องโถงมาพักใหญ่แล้วเจ้าค่ะ”
ไท่จื่อเฟยชะงักไป เมื่อคิดๆ ดูก็เข้าใจ จึงคลี่ยิ้ม “ช่างนางเถอะ ข้าได้ยินว่าจิ้งหนิงโหวกลับเมืองหลวงแล้ว ฉินฟูเหรินคงว้าวุ่นน่าดู จึงรีบมาประจบประแจงไท่จื่อถึงที่”
สาวใช้ผู้นี้คือคนสนิทที่ติดตามไท่จื่อเฟย นางไม่เข้าใจ “แต่ไม่ใช่ว่าจิ้งหนิงโหว…”
ไท่จื่อเฟย “จริงอยู่ที่เขาพิการ แต่ยังไม่ล้มหายตายจากนี่ จิ้งหนิงโหวมีชื่อเสียง คนในราชสำนักล้วนตั้งความหวังไว้สูงยิ่ง เขายังคงกุมอำนาจกองทัพเป่ยเยี่ยนไว้ ต่อให้ส่งคืนในภายหลัง กองทัพเป่ยเยี่ยนก็มีแต่สหายเก่าที่พร้อมรวมตัวหากเขาเรียกขาน ตามหลักแล้วอย่าว่าแต่ฉินฟูเหริน แม้แต่ไท่จื่อก็ยังต้องอ่อนข้อให้ด้วยซ้ำ”
บิดาของไท่จื่อเฟยคือเฉินหงฟาง แม่ทัพหัวเมืองแห่งจิงฉู่ เคยไปมาหาสู่กับจวนอิ่งกั๋วกงอยู่บ้าง ไท่จื่อเฟยได้รับอิทธิพลจากจากเขาตั้งแต่ยังเด็ก สติปัญญาจึงไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ ตอนนั้นหากฟู่เซินไม่ไปเป่ยเจียง ไม่แน่เฉินหงฟางอาจเลือกเขาเป็นหนึ่งในบุตรเขย ตัดเรื่องนิสัยใจคอทิ้ง จิ้งหนิงโหวก็ถือว่าประพฤติตนดี กล้าหาญตั้งแต่เยาว์วัย มีผลงานจากการทำศึก ไม่รู้ว่ามีคุณหนูกี่คนอยากแต่งงานกับเขา
ไท่จื่อเฟยถาม “ข้าจำได้ว่าฟู่เหลียงตี้มีน้องชายแท้ๆ อยู่คนหนึ่ง อีกสองปีจะขอพระราชทานตำแหน่งผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์อิ่งกั๋วกงหรือ”
“เจ้าค่ะ”
“เดิมทีไท่จื่อพอใจน้องสาวร่วมสายเลือดของจิ้งหนิงโหว หรือฉีหวังเฟย จึงส่งคนไปสอบถามตระกูลฟู่เป็นการส่วนตัว ตอนนั้นมีอารองตระกูลฟู่ดูแลจวนอิ่งกั๋วกง แต่เขาไม่สะดวกตัดสินใจเองเพราะนางเป็นหลานสาวคนโต จึงนำเรื่องนี้ไปสอบถามจิ้งหนิงโหว” นางค่อยๆ รำลึกถึงข่าวลือที่แพร่งพรายในเมืองหลวงวันนั้นพลางลูบจอนผม พลันเศร้าโศกอย่างไม่มีเหตุผล
“จิ้งหนิงโหวเป็นพี่ชายของฟู่เหลียงตี้ ได้ยินว่าน้องสาวไม่ยินยอมจึงปฏิเสธทันที ตระกูลฟู่ล้วนหัวแข็ง แม้ต้องผิดใจกับไท่จื่อก็ต้องเลือกงานสมรสที่ถูกใจน้องสาวให้ได้”
ฉีหวังเฟยฟู่หลิงมีพี่ชายที่แสนดีเช่นนี้ ชวนให้ผู้คนอิจฉาจริงๆ
“เพื่อตำแหน่งผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ ตอนนั้นฉินฟูเหรินละทิ้งศักดิ์ศรี ทั้งส่งบุตรสาวเข้าวัง ทั้งแยกครอบครัว ก่อเรื่องวุ่นวายไม่เข้าท่า สุดท้ายน้องสาวของจิ้งหนิงโหวก็ยังคงได้แต่งงานกับฉีหวัง ฉินฟูเหรินมีปัญหาขึ้นมาก็ได้แต่พึ่งใบบุญฟู่เหลียงตี้ เลี่ยงข้าทุกวิถีทางราวกับหัวขโมย” ไท่จื่อเฟยดูถูก “หากบุตรชายของนางมีความรับผิดชอบได้ครึ่งหนึ่งของจิ้งหนิงโหว ฟู่เหลียงตี้คงไม่ต้องกัดฟันทนทำตัวต่ำต้อยหรอก”
สาวใช้ไม่รู้ว่าคำว่า “จิ้งหนิงโหว” กระตุ้นความเสียใจที่อยู่เบื้องลึกในใจไท่จื่อเฟย สาวใช้เพียงรู้สึกว่าความคิดไท่จื่อเฟยในคืนนี้ดูเฉียบแหลมเป็นพิเศษ “เช่นนั้น…ช่วงนี้เหนียงเหนียงต้องการให้นางอยู่ห่างจากไท่จื่อหรือไม่เจ้าคะ”
เฉินฟูเหรินมองคันฉ่องพลางครุ่นคิดพักหนึ่ง ผ่านไปนานจึงโบกมือกล่าว “ไม่จำเป็น โคลนตมย่อมมิอาจค้ำยันกำแพง[5] ต่อให้ไท่จื่อสนับสนุนพวกเขาก็เปล่าประโยชน์”
คืนเดียวกัน ณ เรือนชุนฟาง ตำหนักบูรพา
นานๆ ทีไท่จื่อซุนอวิ่นเหลียงจะค้างแรม ฟู่เหลียงตี้เข้าไปปลดเปลื้องชุดตัวนอกให้เขา หลังจากช่วยอาบน้ำเสร็จ แม้นางยังเอาใจใส่เหมือนเคย ทว่าหว่างคิ้วกลับแสดงความกลัดกลุ้ม
ซุนอวิ่นเหลียงเห็นว่าหญิงงามผู้นี้กำลังกลัดกลุ้ม คิ้วเรียวงามขมวดเล็กน้อย ไร้ท่าทีหวานซึ้ง จึงโอบกอดนางไว้อย่างอ่อนโยน จนกระทั่งนางอาการดีขึ้น จึงถามอย่างเกียจคร้าน “เป็นอะไร มีเรื่องอะไรถึงทำให้เจ้าดูเป็นกังวลเช่นนี้”
ฟู่ทิงรีบลุกขึ้น คุกเข่าลงข้างเตียงขอรับโทษ “วันนี้ท่านแม่ส่งคนมาบอกเรื่องบางอย่าง หม่อมฉันถูกขู่จนตื่นตระหนก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขอไท่จื่อโปรดอภัยด้วยเพคะ”
ไท่จื่อเอื้อมมือไปโอบนาง “ข้าให้อภัยผู้บริสุทธิ์เช่นเจ้า ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือ ลองเล่าให้ข้าฟังซิ”
ฟู่ทิงคลายคิ้วที่ขมวดเป็นปมทันที ท่าทีราวกับเห็นทางสว่าง ดวงตาเปี่ยมความเคารพและเชื่อมั่น นางกอดไท่จื่ออย่างอิ่มเอมใจ แล้วเขยิบตัวเข้าไปใกล้หูอีกฝ่ายพลางกระซิบ “ทูลไท่จื่อ เรื่องนี้เกี่ยวกับพี่ชายของหม่อมฉัน จิ้งหนิงโหวฟู่เซินเพคะ…”
[1] หวังเฟย แปลว่าชายาหวัง (อ๋อง)
[2] เหลียงตี้ ตำแหน่งพระสนมในองค์รัชทายาทขั้น 3 ชั้นเอก
[3] ไม้ใหญ่ถูกลมโค่น อุปมาว่าผู้มีชื่อเสียงหรือมั่งคั่งจะเป็นที่ดึงดูดผู้คน และนำพาความยุ่งยากมาให้
[4] ไท่จื่อเฟย ตำแหน่งพระชายาเอกขององค์รัชทายาท
[5] โคลนตมย่อมมิอาจค้ำยันกำแพง อุปมาถึงคนไร้ความสามารถ ทำอะไรย่อมไม่สำเร็จ