[ทดลองอ่าน] ลำนำล่มแคว้น – เล่ห์บุปผาพิษ บทที่ 1.3

ลำนำล่มแคว้น – เล่ห์บุปผาพิษ
祸国•归程

 

สือซื่อเชวี่ย 十四阙 เขียน
อาจือ แปล
Jadeline ปก

 

— โปรย —
ในใต้หล้าที่ครองอำนาจโดยสี่แคว้นใหญ่ เยียน ปี้ อี๋ เฉิง มีเรื่องราวเล่าขาน…

“สำนักหรูอี้” องค์กรมืดซึ่งมีรากฐานอยู่ในแคว้นเฉิง ลักพาตัวเด็กมาตลอดหลายปี เพื่อนำไปฝึกเป็นสายลับและมือสังหาร สร้างความสูญเสียแก่ครอบครัวนับไม่ถ้วน พวกเขาค่อยๆ รวบรวมความลับมากมายของทั้งสี่แคว้น และยื่นมืออันชั่วร้ายเข้าไปในราชสำนัก

สิบปีก่อน เจียงเจียง เด็กสาวร้านยาถูกลักพาตัวไป เป็นเหตุให้เฟิงเสียวหย่า คู่หมั้นของนางตามหาร่องรอยของนางนับจากนั้น สิบปีต่อมาเขาแต่งงานกับชิวเจียง ภรรยาคนที่สิบเอ็ด และทอดทิ้งนางไว้ที่เรือนพักบนเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง ชิวเจียงผู้ลืมเลือนอดีตของตนไปแล้วหลบหนีไปในคืนหนึ่ง นางได้พบอี๋เฟยองค์ชายสามแคว้นเฉิง และร่วมเดินทางกลับสู่แคว้นเฉิง…

คนหนึ่งต้องการกลับไปตามหาความทรงจำของตน คนหนึ่งต้องการกลับไปทวงบัลลังก์คืน สองคนที่เหมือนน้ำกับไฟเคียงบ่าเคียงไหล่กันฝ่าพายุคาวฝนโลหิตมุ่งหน้าคืนสู่แคว้นเฉิง…แต่แล้วกลับพบว่า สำนักหรูอี้ที่ฝังรากลึกมานานนับร้อยปีดุจอสรพิษ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นตะลึงโดยไม่รู้สาเหตุ…

สี่แคว้นเริ่มเคลื่อนไหว มีเพียงเป้าหมายเดียว…กำจัดองค์กรร้ายสำนักหรูอี้!

ชิวเจียงคือเจียงเจียง หรือเป็นใครกันแน่…
หรูอี้ฟูเหรินคือใคร…
การตายของจีอิงมีเงื่อนงำอื่นอีกหรือไม่…

การเดินทางหวนคืนที่แทบไม่มีโอกาสรอดชีวิตนี้ จะกลับไปอย่างไร และจะกลับไปที่ใด

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

จากห้องครัวไปยังศาลาลู่หฺวา มีระเบียงทางเดินคดเคี้ยวและทิวทัศน์งดงาม ชิวเจียงกวาดตามองรอบๆ พลางสงสัยว่าพวกองครักษ์เงาของเซวียไฉ่จะซ่อนตัวอยู่แถวนี้หรือไม่ นางยังมีโอกาสหนีไปตอนนี้หรือไม่ สุดท้ายก็พบว่าหมดหนทาง ไม่ได้ หนีไปตอนนี้ไม่ได้

ระเบียงคดนี้ยาวไม่ถึงร้อยจั้ง แต่สองข้างทางกลับมีองครักษ์เงาซุ่มอยู่อย่างน้อยสิบสองคน น่าแปลก ปกติต่อให้เซวียไฉ่อยู่ที่จวน ก็ไม่ได้มีองครักษ์ประจำอยู่มากมายถึงเพียงนี้ หรือเป็นเพราะเฟิงเสียวหย่ามาที่นี่ จึงจัดกำลังคนเพิ่ม

ชิวเจียงก้าวไปทีละก้าวอย่างระแวดระวัง

สุดทางเดินระเบียงนี้ ก็คือศาลาลู่หฺวา

ด้านหน้าศาลาเต็มไปด้วยมวลบุปผา

สายลมโชยอ่อน จันทร์ส่องกระจ่าง ทอแสงไปยังดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่ง ช่างงดงามชวนมอง หลังจากปัดกวาดเช็ดถูทุกซอกทุกมุมแล้ว ศาลาลู่หฺวาก็สะอาดสะอ้านไร้ฝุ่น

รถม้าสีดำจอดอยู่ที่นอกศาลา

ชิวเจียงพลันหวาดหวั่น สายตามองไปยังตราสัญลักษณ์สีขาวที่ส่วนบนของล้อรถ…เป็นรูปกระเรียนมงกุฎแดงตัวหนึ่งกำลังใช้จะงอยปากไซ้ขนด้วยท่าทางเกียจคร้าน ดูสงบอ่อนโยน

บ่าวชายสองคนหอบแฮกๆ ระหว่างยกโต๊ะยาวจากโถงบุปผาออกมาวางไว้ข้างรถม้า

หลิ่วซวี่เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “นี่…นี่ทำอะไรกันรึ”

บ่าวชายคนหนึ่งอธิบาย “ท่านเสนาอัครเสนาบดีบอกว่า งานเลี้ยงคืนนี้จะจัดในลานนี้แหละ”

“จัดงานเลี้ยงในลานรึ”

“อืม แขกยังมาไม่ครบ อีกประเดี๋ยวเจ้าสองคนค่อยยกอาหารขึ้นโต๊ะ” พูดจบ ก็รีบกลับไปขนตั่ง

หลิ่วซวี่หันไปหาชิวเจียง ชิวเจียงก้มหน้า ผมหน้าม้ายาวปรกลงมา บดบังใบหน้าไปกว่าครึ่ง ท่าทางไม่อยากให้ใครมายุ่งกับตน เดิมหลิ่วซวี่อยากชวนนางคุย แต่พอเห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของนางแล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจ

ขณะนั้นเองก็มีเสียงหยกประดับกระทบกันดังติ๊งๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

หลิ่วซวี่หันไปมอง เห็นบุรุษคนหนึ่งในชุดลายดอกสะดุดตากำลังโบกพัด เดินยิ้มกริ่มมาตลอดทาง ทิวทัศน์สองข้างทาง แสงจันทร์สุกสว่าง ก็ยังไม่ชวนมองเท่าบุรุษผู้นี้

“ใต้เท้าฮวาจื่อ!” หลิ่วซวี่ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ค้อมกายคารวะ ชิวเจียงเห็นดังนั้นจึงคารวะตามอยู่ข้างหลังนาง

บุรุษผู้นี้ก็คือบัณฑิตลำดับแปดแห่งโถงร้อยวจี

โถงร้อยวจีคือคณะที่ปรึกษาของโอรสสวรรค์ ปัจจุบันอยู่ใต้บัญชาหวงโฮ่ว แม้จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่สามารถให้คำปรึกษาในการปกครองบ้านเมืองได้ ผู้คนจึงเคารพยำเกรง เดิมพวกเขามีทั้งหมดเจ็ดคน แต่ละคนจะมีฉายานามต่างกันไปตามสีเสื้อผ้าที่สวมใส่ หลังจากฮวาจื่อเข้ามา ก็กลายเป็นบัณฑิตลำดับแปดที่พิเศษสุด

เนื่องจากเขาเป็นคนที่เซวียไฉ่แนะนำให้หวงโฮ่วโดยตรง

ทั้งเขายังเป็นบัณฑิตเพียงคนเดียวในแปดคนที่พักอยู่ในวังหลวง

อีกทั้งยังเป็นบัณฑิตแห่งโถงร้อยวจีที่พวกนางคุ้นเคยที่สุด

อัครเสนาบดีเซวียมีแขกมาเยือนน้อยมาก แต่ฮวาจื่อนับเป็นแขกประจำที่ยากจะมีสักคน

พอฮวาจื่อเห็นหลิ่วซวี่ก็ยักคิ้วหลิ่วตา แสดงท่าทางกรุ้มกริ่ม เอ่ยเสียงหวานหยดแทบทำให้คนขาดใจ “พี่หลิ่วซวี่ ไม่พบกันเสียนาน นับวันก็ยิ่งงาม”

หลิ่วซวี่หน้าแดง “ใต้เท้าได้โปรดอย่าเรียกข้าเช่นนี้ บ่าวกระดากยิ่งนัก”

ฮวาจื่อสูดจมูกฟุดฟิด ”หอมจริง ในตะกร้ามีอะไรบ้าง”

ชิวเจียงยังไม่ทันตั้งตัว ฮวาจื่อก็คว้าตะกร้าสำรับไปจากมือนางเสียแล้ว เขาสูดกลิ่นอาหารผ่านฝาตะกร้า หรี่ตาพลางเอ่ย “อืม ให้ข้าลองทายดู…ปลาหลูนึ่งน้ำใส เนื้อแพะเหมยแดง เป็ดนึ่งสุราแปดสมบัติ ยังมี ยังมี…”

หลิ่วซวี่เม้มปากยิ้มพลางเอ่ย “ยังมีอีกอย่าง หากใต้เท้าทายถูก ต้องนับว่าใต้เท้าร้ายกาจมาก!”

“ดูถูกข้ารึ” ฮวาจื่อยืดตัวตรง นัยน์ตาแพรวพราวเย้ายวนอยู่ในที

…ชิวเจียงคิด คนผู้นี้ช่างเสแสร้ง

อย่างเช่น ทั้งที่เขาเป็นคนเสียงใสกังวาน แต่กลับจงใจดัดเสียง พูดเสียงอ่อนเสียงหวาน

อย่างเช่น ทั้งที่เขาเป็นบุรุษรูปงามแท้ๆ แต่มือกลับกรีดนิ้วทำกิริยาหยิบหย่ง

และอย่างเช่นเวลานี้ ทั้งที่ความจริงเขาไม่ได้จริงใจเลยสักนิด แต่กลับหยอกเย้าสาวใช้ตามอำเภอใจ ทำให้พวกนางคิดว่าเขามีใจให้ หลงใหลได้ปลื้มในตัวเขา

สาวใช้ที่หลงเสน่ห์ดวงตาเขาอยู่ตรงหน้านี่คนหนึ่งแล้ว

แต่…

สิ่งเหล่านี้เกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า

ชิวเจียงหลุบตา ทำตัวเหมือนเป็นของประดับเรือนต่อไป

กลับกลายเป็นว่า สายตาของฮวาจื่อเลื่อนมาที่นาง “อาหารจานสุดท้าย เกี่ยวข้องกับนาง”

ชิวเจียงมุ่นคิ้วโดยไม่รู้ตัว

หลิ่วซวี่ยิ้มหวานพลางถาม “เกี่ยวข้องอย่างไรเจ้าคะ”

ฮวาจื่อพลันขยับเข้าไปใกล้ชิวเจียง กระซิบข้างหูนางอย่างหยอกเอิน “หอมจริง”

ชิวเจียงนิ่งไม่ขยับ แต่สีหน้าของหลิ่วซวี่กลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ฮวาจื่อยื่นมือไปที่หลังใบหูของชิวเจียงพลันดีดนิ้ว ทันใดนั้นก็มีดอกเบญจมาศขาวดอกหนึ่งปรากฏที่นิ้วของเขา เขาหนีบดอกไม้นั้นมาจรดที่ปลายจมูก สูดดมพลางเอ่ย “กล้วยไม้วสันต์ เบญจมาศยามสารท หอมล้ำหาใดเทียม”

หลิ่วซวี่ถอนหายใจ เอ่ยอย่างกระเง้ากระงอด “ใต้เท้ายังไม่ได้ทายเลยว่าอาหารจานสุดท้ายคืออะไร”

“ข้าจะทายละนะ” ฮวาจื่อยิ้มตาหยีพลางเอ่ย “อาหารจานสุดท้าย ก็คือเบญจมาศ เป้าอวี๋น้ำปรุงเบญมาศใช่หรือไม่”

“ใช่เจ้าค่ะ! ใช่เจ้าค่ะ! ใต้เท้าจมูกดีเหลือเกิน กลิ่นอาหารปนเปกันหลายอย่าง แต่ท่านกลับแยกแยะได้อย่างแม่นยำ” หลิ่วซวี่ปรบมือ

ฮวาจื่อยื่นหน้าเข้าไปใกล้ชิวเจียง “ได้ยินว่าเจ้าชื่ออาชิวใช่หรือไม่ แซ่ชิว หรือว่าชื่อชิวล่ะ”

เหงื่อบางๆ ผุดซึมบนหน้าผากของชิวเจียง มือผอมบางกำแน่น

หลิ่วซวี่แทรกตัวเข้าไประหว่างกลาง ยืนกันอยู่ตรงหน้าชิวเจียงพลางเอ่ย “ใต้เท้าเลิกหยอกนางเถิดเจ้าค่ะ นางเพิ่งมาใหม่ ไม่รู้ความ ไม่เคยเห็นโลกกว้าง”

“อย่างนั้นรึ” ฮวาจื่อกวาดตามองชิวเจียงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า หัวเราะหึๆ แล้วเดินจากไป

ทันทีที่เขาจากไป ชิวเจียงจึงค่อยรู้สึกว่าอากาศบริเวณนั้นปลอดโปร่งขึ้น

หลิ่วซวี่จ้องนาง “ยืนบื้อเข้าไป ไม่มีตาเอาซะเลย เอาตะกร้าสำรับมาให้ข้า เจ้ากลับไปหิ้วมาใหม่!”

ได้ยินเช่นนี้ ชิวเจียงก็โล่งอก รีบส่งตะกร้าสำรับให้หลิ่วซวี่ ขณะหันหลังเตรียมผละจากไป ก็ได้ยินเสียงฮวาจื่อดังมาแต่ไกล “ชิวเทียน[1]คนนั้นน่ะ มานี่ซิ”

แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วกัน! ชิวเจียงเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง

“นี่ ข้าเรียกเจ้าอยู่น่ะ! ชิวจวี๋ฮวา[2]…”

ไม่ได้ยิน ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น แล้วข้าก็ไม่ได้ชื่อชิวจวี๋ฮวาด้วย! ชิวเจียงรีบเดินไปข้างหน้าต่ออีกสองก้าว

ฮวาจื่อกลอกตา ตะโกนเรียก “แม่นางที่เดินลิ่วๆ คนนั้นน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้”

ชิวเจียงชะงักฝีเท้า กำมืออย่างจนปัญญา แล้วคลายออก จากนั้นจึงหันกลับ เดินก้มหน้ากลับไป

ค่อยๆ เดินทีละก้าวไปยังเบื้องหน้าฮวาจื่อและรถม้าแต่โดยดี

ตลอดทางที่เดินไปนั้น หัวใจนางเต้นโลดแทบจะถึงคอหอย

แต่ประตูรถม้ากลับไม่ได้เปิดออก และคนที่อยู่ข้างในก็ไม่ได้ชะโงกหน้ามองออกมา

ฮวาจื่อโยนเหรียญทองแดงให้นางพวงหนึ่ง

“ข้าถามท่านอัครเสนาบดีของพวกเจ้าแล้ว เขาไม่ได้เตรียมสุราไว้ดังคาด งานเลี้ยงไร้สุรายังจะเรียกว่างานเลี้ยงได้หรือ เร็วเข้า ไปซื้อสุราดีมาให้ข้าสองเหยือก!”

ชิวเจียงรีบรับเหรียญทองแดงพวงนั้นไว้ในอ้อมแขน หันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกเสือวิ่งไล่

 

ฮวาจื่อหันกลับไปยังประตูรถม้าที่ปิดสนิทอยู่ “พวกเจ้าสองคนคิดจะนั่งอยู่ในรถม้าเช่นนี้ตลอดไป จะไม่ลงมาแล้วใช่หรือไม่”

“ย่อมมิใช่” เสียงเย็นชาของเซวียไฉ่ดังออกมาจากในรถม้า

สิ้นเสียงของเขา สารถีสองคนก็ลงจากคานรถ เดินไปยังด้านข้างรถม้าคนละฝั่ง ต่างคนต่างปลดตะขอเหล็กหลายอันบนผนังรถออก จากนั้นก็ออกแรงดึงผนังรถทั้งสองด้านลง

ครืด ครืด

ผนังรถสองด้านซึ่งเดิมปิดสนิทจนอากาศไม่อาจแทรกผ่านถูกเลื่อนลงมา

จากนั้นสารถีทั้งสองก็พับผนังรถ ทำให้ผนังรถครึ่งแผ่นหักลงจรดพื้น กลายเป็นขาค้ำยันชั่วคราวของผนังรถอีกครึ่งแผ่น ด้วยวิธีนี้ ผนังรถม้าจึงถูกแปลงเป็นโต๊ะสองข้างรถ คนในรถม้าก็สามารถกินอาหารบนโต๊ะนี้ได้โดยไม่ต้องลงจากรถ

ฮวาจื่อมองดูด้วยความตื่นตาตื่นใจ พลางเอ่ยด้วยความทึ่ง “ได้ยินกิตติศัพท์มานานว่าเจ้าเป็นคนเกียจคร้านอันดับหนึ่งในใต้หล้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเกียจคร้านได้อย่างองอาจ ห้าวหาญ ทั้งยังมีระดับถึงเพียงนี้!”

เมื่อผนังสองด้านของรถม้าถูกดึงลงมา จึงทำให้ตัวรถม้ากลายเป็นโครงรถที่มีเพียงหลังคา ภายในโครงรถมีคนสองคนนั่งตรงข้ามกัน หนึ่งดำหนึ่งขาว หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็ก ตัดกันอย่างชัดเจน

เด็กที่สวมชุดขาวก็คือเซวียไฉ่

ตรงกลางตั่งนุ่มซึ่งปูด้วยพรมขนสัตว์สีดำล้วน วางโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีชาเพิ่งเดือดป้านหนึ่ง เซวียไฉ่ยกป้านชาขึ้นมา รินชาใส่ถ้วยซึ่งวางอยู่ข้างๆ

ป้านชาหัวแพะหูหิ้วสูง[3]แกะจากหยกมันแพะ เมื่ออยู่ในมือเซวียไฉ่ก็ทอประกายงดงาม น้ำชามีสีเขียวดุจฤดูวสันต์ เมื่อรินลงในถ้วยหยกสลักลายสามสหายแห่งเหมันต์[4] ลายดอกกล้วยไม้ที่อยู่บนนั้นก็ดูราวกับกำลังผลิบาน

ฮวาจื่อตาลุกวาว “ป้านชาดี ถ้วยชาดี! เร็ว ขอข้าชิมสักถ้วย” ขณะจะก้าวเข้าไป เซวียไฉ่ก็เหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ถามว่า “เจ้าจะดื่มสุรามิใช่หรือ”

“สุราก็จะดื่ม ชาก็ต้องลอง” ฮวาจื่อยื่นมือจะไปฉวยมา ขณะที่ปลายนิ้วกำลังจะแตะหูถ้วย ถ้วยกลับเลื่อนไปบนโต๊ะหนึ่งฉื่อ[5] เข้าไปอยู่ในมือของใครอีกคนพอดิบพอดี

คนผู้นั้นเอ่ย “สุราเป็นของท่าน ชาเป็นของข้า” พูดจบก็ยิ้ม

คนผู้นั้นนั่งพับเข่าหลังตรงอยู่บนตั่งนุ่ม พรมสีดำบนตั่งกับผมยาวของเขาแทบกลืนเป็นหนึ่งเดียว แต่ผิวของเขาขาวมาก ขาวเสียจนเจือสีฟ้าจางๆ บ่งบอกถึงสุขภาพที่อ่อนแอเปราะบาง

ลำตัวของเขาตั้งตรง อาจพูดได้ว่าตั้งตรงจนเกินไป แต่สีหน้าท่าทีของเขากลับดูผ่อนคลายสบายใจ ทั้งยังยิ้มอย่างอบอุ่นอ่อนโยน

ฮวาจื่อมองประเมินคนผู้นี้ พลางถามเซวียไฉ่ “เขาเองหรือ”

“อืม”

ฮวาจื่อจุปากด้วยความชื่นชม “ในชีวิตข้าเคยเห็นบุรุษรูปงามมามากมาย เจ้าเป็นคนเดียวที่เทียบข้าได้”

“พรืด!” หลิ่วซวี่ซึ่งอยู่ด้านข้างหลุดหัวเราะออกมาอย่างผิดที่ผิดเวลา นางรีบปิดปาก อับอายจนหน้าแดง

คนผู้นั้นไม่ใส่ใจ เอ่ยเสียงเรียบ “ขอบคุณองค์ชายสามที่ชม”

ขณะที่หลิ่วซวี่กำลังงุนงง องค์ชายสามที่ใดกัน นั่นใต้เท้าฮวาจื่อมิใช่รึ เซวียไฉ่ก็หันมาสั่ง “หลิ่วซวี่ ไปดูซิว่าได้สุรามาหรือยัง”

“เจ้าค่ะ” แม้จะอยากรู้เต็มประดา แต่หลิ่วซวี่รู้ดีว่าท่านอัครเสนาบดีกำลังจะหารือกับแขกผู้ทรงเกียรติ จึงรีบค้อมกายถอยออกไป

รอจนนางคล้อยหลังไปแล้ว สีหน้าของฮวาจื่อก็เปลี่ยนไปทันที เขาเก็บรอยยิ้ม มองคนผู้นั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เกิดอะไรขึ้น ถึงกับทำให้เจ้าดั้นด้นเดินมาเป็นพันหลี่ถึงแคว้นปี้!”

บุรุษผู้นั้นยิ้มน้อยๆ “ท่านเดาดู”

“เยียนหวังตายรึ”

เซวียไฉ่กระแอมทีหนึ่ง

ฮวาจื่อเหลือบมองเซวียไฉ่ “ทำไม หรือเจ้ามิได้คาดหวังเช่นนั้น”

เซวียไฉ่เอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าเปล่า”

 

 

[1] แปลว่า ฤดูสารท หรือฤดูใบไม้ร่วง

[2] “จี๋ว์ฮวา” แปลว่า ดอกเบญจมาศ

[3] เครื่องหยกล้ำค่าสมัยราชวงศ์ชิง เป็นกาน้ำชาที่ทำจากหยกขาว รูปทรงกลมแป้นคล้ายผลฟักทอง มีปลายพวยเป็นรูปหัวแพะ และมีหูหิ้วโลหะทรงสูงสามขา

[4] หมายถึง ต้นไม้สามชนิดที่เป็นสัญลักษณ์ของฤดูหนาว ได้แก่ ต้นสน ต้นไผ่ และต้นเหมย

[5] 1 ฉื่อ เท่ากับประมาณ 1 ฟุต

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า