[ทดลองอ่าน] ลำนำล่มแคว้น – มัจฉาพรางประกาย 2.1 บุพเพผิดพลาด

ลำนำล่มแคว้น – มัจฉาพรางประกาย
祸国·图璧

 

สือซื่อเชวี่ย 十四阙 เขียน
หยกน้ำแข็ง แปล
Reine_beammer ปก

 

— โปรย —
ในใต้หล้าที่ครองอำนาจโดยสี่แคว้นใหญ่ เยียน ปี้ อี๋ เฉิง มีเรื่องราวเล่าขาน…

เจียงเฉินอวี๋ ธิดาคนเล็กของอัครเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งแคว้นปี้ ผู้เพียบพร้อมด้วยรูปโฉม สติปัญญา และเปี่ยมคุณธรรม กำลังจะได้วิวาห์กับบุรุษในดวงใจ แต่แล้ววาสนากลับถูกทำลายโดยราชโองการแต่งตั้งนางเป็นสนมของเจ้าแคว้นปี้

เพราะไม่ต้องการชะตากรรมเช่นนี้ นางจึงยื่นข้อเสนอขอเป็นผู้วางอุบายให้เจ้าแคว้นปี้แทน และได้รับคำสั่งให้ปลอมตัวติดตามคณะราชทูตที่เดินทางไปยังแคว้นเฉิง เพื่อกระทำภารกิจบางอย่าง

การตัดสินใจที่เป็นเพียงหนทางเดียวของนางในการพิสูจน์ตนเองครั้งนี้ กลับกลายเป็นโอกาสพลิกชะตากรรมของใต้หล้า และการเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวลึกลับซ่อนเงื่อนที่สั่นสะเทือนทั้งสี่แคว้น คนสำคัญทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตนาง ทั้งจีอิง เจาอิ่น เซวียไฉ่ อี๋เฟย เฮ่ออี้…ล้วนเข้ามาเติมเต็มชะตาชีวิตของนาง เติมเต็มหนทางสู่เกียรติยศอันสูงสุดที่นางไม่เคยนึกฝัน เติมเต็มตำนานแห่งสตรีผู้เป็นที่กล่าวขวัญถึงทั้งสี่แคว้น และหนึ่งในนั้น…เข้ามาเติมเต็มวาสนาของนางอีกครั้ง

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

2.1

บุพเพผิดพลาด

 

วันนี้ เจียงเฉินอวี๋ตื่นแต่เช้า ระหว่างที่กำลังแต่งตัว วั่วอวี๋สาวใช้ประจำตัววิ่งเข้ามาบอกด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ “ขอแสดงความยินดีกับคุณหนู! ขอแสดงความยินดีกับคุณหนูเจ้าค่ะ!”

ไหฺวจิ่นที่กำลังช่วยสางผมให้เจียงเฉินอวี๋แหวกลับ “มีเรื่องน่ายินดีอะไรกัน ถึงกับทำให้เจ้าเสียงดังโหวกเหวกแต่เช้าเช่นนี้”

วั่วอวี๋หัวเราะคิกคักพลางขยิบตา “เป็นเรื่องน่ายินดีมากจริงๆ เจ้าค่ะ ฟูเหรินเชิญแม่สื่อหวงจินที่ฝีปากเป็นเอกในเมืองหลวงมาเป็นแม่สื่อเจรจากับฉีอ้าวโหวให้คุณหนู เวลานี้กำลังเขียนเทียบเวลาตกฟากกันอยู่ที่โถงหน้าเจ้าค่ะ”

เจียงเฉินอวี๋ทั้งเขินอายทั้งดีใจ ใบหน้าแดงเรื่อ

วั่วอวี๋ดึงมือนาง “คุณหนู เราไปดูกันเถอะเจ้าค่ะ!”

ไหฺวจิ่นนิ่วหน้า “เวลาเช่นนี้ คุณหนูจะออกไปเผยโฉมได้อย่างไร”

“ไม่ได้บอกให้เข้าไปดู เราแค่ไปแอบดูอยู่ข้างนอกแวบเดียวเอง คุณหนูเจ้าขา ใครๆ ต่างก็บอกว่าแม่สื่อหวงจินฝีปากคมคายนัก คนหน้าปรุก็พูดจนกลายเป็นนางฟ้านางสวรรค์ได้ คนตายก็พูดให้เป็นได้ คุณหนูไม่อยากเห็นหรือเจ้าคะ”

แม้เจียงเฉินอวี๋จะรู้สึกว่าไม่เหมาะสม แต่นางก็อยากรู้อยากเห็นจริงๆ จึงเปลี่ยนเสื้อผ้าตามวั่วอวี๋ไปที่โถงหน้า เข้าไปทางประตูข้าง มีฉากลับแลบังไว้ เห็นมารดากำลังนั่งดื่มชากับสตรีวัยย่างสี่สิบคนหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นแม่สื่อหวงจินผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง

นางมีคิ้วเรียวยาว หน้าผากกว้าง รูปคางคมสัน ดูมีราศี เวลานี้ในมือนางถือเทียบใบหนึ่ง นางดูแล้วดูอีก “เหมาะ นี่มิใช่ข้าพูดเอง แต่ชื่อและดวงชะตาแปดอักษรของคุณหนูสามเป็นดวงชะตาของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่แท้ๆ! โหวเยียไม่มีทางปฏิเสธแน่! ชะตาดีมาก ดีเหลือเกิน!”

วั่วอวี๋ยื่นหน้ามากระซิบ “คุณหนู นางบอกว่าดวงชะตาของท่านดีเจ้าค่ะ!”

เจียงเฉินอวี๋คิดในใจว่าคนเป็นแม่สื่อจะรู้เรื่องดวงชะตาแปดอักษรสักเพียงใดเชียว เห็นอยู่ว่าเป็นเพียงคำพูดปะเหลาะเอาใจผู้ว่าจ้างเท่านั้น

เจียงฟูเหริน “เรื่องทั้งหมดต้องรบกวนแม่สื่อแล้ว”

แม่สื่อหวงจินโบกมือ “ฟูเหรินพูดอะไรกัน คุณหนูสามของจวนท่านเป็นหญิงงามเลื่องชื่อของแคว้นปี้เรา งามทั้งรูปโฉม งามทั้งสติปัญญาความสามาถ นิสัยใจคอก็ดีเลิศ ได้เป็นแม่สื่อให้คุณหนูเช่นนี้ เป็นวาสนาของแม่สื่อเฒ่าเช่นข้าต่างหาก! อีกอย่าง ฉีอ้าวโหวเป็นคนเช่นใด หากข้าจับคู่สวรรค์สร้างเช่นนี้ได้สำเร็จ อมิตาภพุทธ ไม่รู้ว่าสหายร่วมอาชีพจะอิจฉากันขนาดไหน ฟูเหรินวางใจได้ร้อยยี่สิบส่วน แม่สื่อเฒ่ากล้าตบอกพูดเลยว่าการแต่งงานครั้งนี้สำเร็จแน่นอน! ถึงตอนนั้น ขอให้ฟูเหรินมอบสุรามงคลให้ข้าเป็นรางวัลด้วย!”

เจียงฟูเหรินถูกใจคำพูดนี้ยิ่งนัก จึงตกรางวัลให้อย่างชื่นมื่น แม่สื่อหวงจินไม่พูดพล่ามต่อ ลุกขึ้นเอ่ย “ธุระไม่อาจรอช้า ข้าจะไปส่งเทียบเวลาตกฟากที่จวนโหวเยียเดี๋ยวนี้ หลังครบกำหนดผูกฤกษ์สามวัน ค่อยไปนำเทียบเวลาตกฟากของโหวเยียกลับมา”

เจียงฟูเหรินเดินไปส่งที่ประตูห้องโถง พอย้อนกลับมา นางก็เอ่ยไปทางฉากลับแลยิ้มๆ “ออกมาเถอะ”

เจียงเฉินอวี๋จึงต้องเดินออกไป เห็นสีหน้าแววตาของมารดาเปี่ยมไปด้วยความยินดี นางก็วางตัวไม่ถูก รีบก้มหน้าทันที

เจียงฟูเหรินจูงมือบุตรสาวไปนั่งลงด้วยกัน “จัดการเรื่องออกเรือนของเจ้าเรียบร้อยแล้ว แม่ก็สบายใจ”

“ลำบากท่านแม่แล้ว”

เจียงฟูเหรินทัดปอยผมของบุตรสาวไว้ที่หลังใบหู น้ำเสียงปลาบปลื้มใจ “ไม่ทันไร พริบตาเดียวลูกสาวคนเล็กของแม่ก็โตเป็นสาวแล้ว ถึงวัยออกเรือนเสียที มาคิดๆ ดู ในบรรดาลูกชายหญิงทั้งสามคนของข้า เซี่ยวเฉิงพี่ชายเจ้า แม้จะเป็นชาย แต่กลับทำตัวไม่ได้ตามที่หวัง บุ๋นก็ไม่ได้ บู๊ก็ไม่เอา ต้องอาศัยบิดาเจ้ากว่าจะได้ตำแหน่งตูเว่ย[1]สังกัดกองกำลังอวี่หลิน ชาตินี้คงไปได้แค่นี้ ฮว่าเย่ว์พี่สาวเจ้า เฉลียวฉลาดน่ารัก แต่นิสัยชอบเอาชนะ ยากจะหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าโจมตี ส่วนเจ้า รูปก็งาม นิสัยก็ดี รู้กาลเทศะที่สุด แต่ใสซื่อเกินไป แม่ละกลัวเหลือเกินว่าภายหน้าเจ้าจะถูกรังแก ฉะนั้นคิดไปคิดมา ในบรรดาบุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ของราชวงศ์นี้ คนที่จะปกป้องลูกของแม่ให้มั่งมีศรีสุขตลอดชีวิต ก็มีแต่ฉีอ้าวโหว”

“ท่านแม่…” เจียงเฉินอวี๋กุมมือมารดาตอบด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจ ระหว่างที่กำลังซาบซึ้งใจอยู่นั้น บ่าวคนหนึ่งวิ่งรี่เข้ามารายงาน “คุณหนูสาม มีแขกมาขอพบขอรับ”

เอ๋? มีแขกมาหาข้าหรือ เวลาเช่นนี้ ผู้ใดกันมาขอพบข้า

เจียงฟูเหรินลุกขึ้น “เชิญแขกเข้ามาที่นี่เถอะ แม่จะกลับห้องก่อน เฉินอวี๋ เจ้ารับรองแขกให้ดี อย่าให้ขาดตกบกพร่อง”

เจียงเฉินอวี๋ส่งมารดาจากไป เห็นหนุ่มน้อยสวมชุดสีครามคนหนึ่งเดินตามบ่าวเข้ามาในห้องโถง แดดฤดูเหมันต์สาดจับใบหน้าของคนผู้นั้น นางหลุดอุทานออกมา

“ผู้น้อยหลวนจ้าว คารวะคุณหนูเจียง” ดวงตาเป็นประกายของหนุ่มน้อยกลอกมองไปมาไม่หยุด เขายิ้มพลางก้าวเข้ามากุมมือนางด้วยท่าทางกรุ้มกริ่มอย่างยิ่ง

เจียงเฉินอวี๋รีบไล่บ่าวออกไป กดเสียงเบาลง “องค์หญิงเสด็จมาที่นี่ได้อย่างไร”

ที่แท้หนุ่มน้อยที่สวมหมวกใบเล็ก รูปร่างเล็กเตี้ยคนนี้ มิใช่ใครอื่น แต่เป็นองค์หญิงเจาหลวนที่แต่งกายเป็นบุรุษ

เจาหลวนงึมงำ “ข้าอยู่ในวังเบื่อจะตายอยู่แล้ว เลยออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก คิดไม่ถึงว่ามัวแต่รีบร้อนออกมาจนไม่ได้นำเงินติดตัวมาสักเหวิน[2] เผอิญผ่านจวนอัครเสนาบดีฝ่ายขวา เลยวิ่งมาขอความช่วยเหลือจากเจ้านี่แหละ”

เจียงเฉินอวี๋ตกใจ “องค์หญิงแอบหนีออกจากวังหรือ”

“ทำนองนั้น แต่ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยหนีออกมาเที่ยวเหมือนกัน พระเชษฐาก็ทรงทราบ แต่ทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง แสร้งไม่รู้ไม่เห็น ขอเพียงไม่รู้ไปถึงไท่โฮ่ว ทุกเรื่องล้วนคุยกันได้” เจาหลวนว่าพลางแกว่งมือเฉินอวี๋ไปมา “พี่สาวคนดี ให้ข้ายืมเงินหน่อยนะ กลับไปแล้วข้าจะคืนให้”

เจียงเฉินอวี๋คิดว่าในเมื่อองค์หญิงเจาหลวนมาหาถึงหน้าประตู จะวางตัวไม่เข้าไปยุ่งย่อมเป็นไปไม่ได้ แผนที่คิดได้ตอนนี้คือต้องรั้งนางไว้ที่นี่ แล้วส่งคนนำความไปแจ้งทางวังหลวง ให้ฝ่าบาทตัดสินใจ นางจึงเอ่ยว่า “ข้างนอกคนพลุกพล่านวุ่นวาย ในเมื่อองค์หญิงเสด็จออกมาแล้ว มิสู้อยู่เล่นเสียที่นี่ แม่ครัวบ้านหม่อมฉันมีฝีมือทำขนม…”

พูดยังไม่ทันจบ เจาหลวนก็ร้องโอด “โอ๊ย ในบ้านนี้จะไปมีอะไรน่าสนุกกัน ข้าอยากเห็นสิ่งแปลกใหม่ข้างนอก พี่สาวคนดี มิสู้เจ้าออกไปเที่ยวกับข้าดีกว่า อุดอู้อยู่แต่ในบ้านทั้งวันน่าเบื่อแย่”

“เรื่องนี้…”

“เลิกนั่นเลิกนี่ได้แล้ว รีบไปเอาเงินมา แล้วเปลี่ยนมาใส่ชุดบุรุษเหมือนข้า ข้าจะพาเจ้าไปที่สนุกๆ รับรองว่าเจ้าจะได้เปิดหูเปิดตาแน่นอน!”

เห็นท่าทีตื่นเต้นของเจาหลวนแล้ว แผนรั้งให้อยู่ในบ้านคงใช้ไม่ได้ผลแน่ เช่นนั้นก็ช่างเถิด แทนที่จะให้นางออกไปเที่ยวตะลอนตามลำพัง มิสู้ตนไปด้วยดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้คอยดูไม่ให้นางก่อเรื่องวุ่นวายอะไร คิดได้ดังนี้ เจียงเฉินอวี๋จึงไปผลัดเสื้อผ้าแล้วนำเงินออกมา หลังจากบอกกล่าวมารดาเรียบร้อย นางก็จัดองครักษ์ลับสี่คนให้ติดตามไปคอยคุ้มกัน

 

เจาหลวนคุ้นเคยถนนหนทางตรอกเล็กซอยน้อยข้างนอกมากจริงๆ หลายแห่งที่นางพาไป ล้วนเป็นที่ที่เจียงเฉินอวี๋เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก

ที่แรกคือแผงขายบะหมี่ในตรอกเล็กห่างไกลผู้คน ลูกค้าบางตา มีโต๊ะเพียงสี่ตัว ใช้ชามเนื้อหยาบกับตะเกียบไม้ไผ่ ดูเรียบง่ายยิ่งนัก เดิมเจียงเฉินอวี๋ยังกังวลว่าจะไม่สะอาด แต่พอบะหมี่ถูกยกมา กลิ่นหอมเตะจมูกก็ทำให้นางลืมทุกสิ่ง

สุดท้ายเจาหลวนถามนาง “เป็นเช่นไร”

เจียงเฉินอวี๋สูดหายใจลึกแล้วผ่อนออกมายาวๆ “วันนี้ถึงได้รู้ว่าบะหมี่ที่เคยกินมาสู้ไม่ได้เลย ฝีมือท่านป้าผู้นี้ดีจริงๆ”

“แน่อยู่แล้ว ขนาดเหยียนรุ่ยยังทนความเย้ายวนของบะหมี่สกุลฟางไม่ไหว นับประสาอะไรกับเจ้าและข้า”

เจียงเฉินอวี๋ตกใจ “นี่คือบะหมี่สกุลฟาง?”

เจาหลวนพยักหน้า “เสียดายที่เจ้าตำรับคนเดิมตายไปแล้ว คนที่ทำบะหมี่ตอนนี้ได้ยินว่าแต่ก่อนเคยเป็นลูกจ้างของนาง นี่ขนาดบะหมี่ที่ลูกจ้างทำยังเลิศรสถึงเพียงนี้ น่าเสียดายจริงๆ ที่ไม่ได้ลิ้มรสบะหมี่สกุลฟางสูตรต้นตำรับในอดีต!”

เจียงเฉินอวี๋หันไปมองแม่บ้านที่กำลังต้มเส้นบะหมี่ ในใจเกิดความรู้สึกหดหู่รางๆ

แต่ก่อนฟางซื่อมารดาของซีเหอเคยยืนขายบะหมี่อยู่ตรงนี้ทั้งวันทั้งคืนหรือ เช่นนั้นซีเหอก็คงต้องเคยช่วยเช็ดโต๊ะล้างชามอยู่ที่นี่ด้วยใช่หรือไม่ จะมีใครคาดคิดหรือไม่ว่าหญิงจากครอบครัวยากจนที่เคยสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ เดินเท้าเปล่า จะได้กลายเป็นสนมในวังลึกเช่นวันนี้

ชะตาชีวิตคนเราช่างเป็นเรื่องที่บอกได้ยากจริงๆ

จากนั้นพวกนางไปที่ร้านน้ำชาอีกแห่ง เป็นร้านเล็กๆ บนถนนเล็กๆ เช่นกัน ชั้นบนและชั้นล่างมีคนนั่งเต็ม เดิมเจียงเฉินอวี๋อยากนั่งห้องส่วนตัว แต่เจาหลวนกลับดึงนางไปยืนข้างเสาต้นหนึ่ง ทำเสียง “ชู่” แล้วเงี่ยหูฟังเสียงเคาะกรับไม้ นักเล่านิทานหลังมู่ลี่ไม้ไผ่เริ่มเล่าเรื่อง เจียงเฉินอวี๋ชะงัก…เป็นสตรี?

นักเล่านิทานของที่นี่เป็นสตรีหรือ

สตรีนางนั้นเล่าเรื่องอย่างได้อรรถรส มีชีวิตชีวา สร้างบรรยากาศตื่นเต้นชวนติดตาม ทำให้คนฟังใจเต้นลุ้นระทึกอยู่ตลอด หลังจากฟังนิทานจบ เจาหลวนก็ลากนางออกจากร้านน้ำชา ถามยิ้มๆ “เป็นเช่นไร”

“แต่ก่อน ตอนงานเลี้ยงวันเกิดบิดาก็เคยเชิญเซียนเซิง[3]จากร้านจิงปี้มาเล่านิทาน ข้าคิดว่าเขาพากย์เสียงได้ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว มาวันนี้ถึงได้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน”

“ฉินเหนียง นักเล่านิทานคนนี้เป็นแม่ม่าย เดิมสามีนางเป็นนักเล่านิทานอยู่ที่นี่ แต่เมื่อสามปีก่อนเขาเคราะห์ร้าย ป่วยเป็นโรคร้ายตายจากไป เวลานี้ฉินเหนียงจึงต้องมาเล่านิทานอยู่ที่นี่แทน นางมิได้ออกมาตากหน้าเพื่อหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว แต่เพราะมีเพียงวิธีนี้ จึงจะทำให้นางรำลึกถึงสามี นางเคยบอกว่า ‘ทุกครั้งที่ข้ายืนอยู่ตรงที่ที่สามีเคยยืน เคาะกรับที่สามีเคยใช้ เล่าเรื่องที่สามีเคยเล่า ข้าจะรู้สึกเหมือนเขาไม่ได้จากไปไหน ยังคงอยู่ข้างกายข้า’ ตอนที่ได้ยิน ข้าถึงกับแทบน้ำตาซึมออกมาจริงๆ”

เจียงเฉินอวี๋ซึมซับคำพูดเหล่านั้น จิตใจเริ่มล่องลอยอย่างช่วยไม่ได้

เจาหลวนขำพรืด ชะโงกเข้ามากระซิบข้างหู “พี่สาว ดูนั่นสิ!”

นางมองตามทิศทางที่อีกฝ่ายชี้ไป เห็นบุรุษคนหนึ่งยืนอยู่นอกหน้าต่างร้านน้ำชา มองเข้าไปในร้านเงียบๆ บุรุษผู้นั้นอายุราวสามสิบกว่า รูปร่างกำยำล่ำสัน ใบหน้ากร้าวสมชายชาตรี แม้จะเป็นฤดูเหมันต์ที่อากาศหนาวถึงเพียงนี้ แต่เขากลับสวมเพียงเสื้ออ๋าว[4]หนังขาดๆ เผยแผ่นอกเปลือยกว่าครึ่งอย่างไม่กลัวความหนาว บนไหล่แบกขาหมูหนึ่งขา ที่เอวเหน็บมีดเล่มหนึ่ง ดูจากการแต่งกายน่าจะเป็นคนฆ่าสัตว์

เจาหลวนอธิบาย “คนฆ่าสัตว์คนนี้ชื่อพานฟัง เขาชอบฉินเหนียงมานานแล้ว มายืนแอบมองนางเล่านิทานอยู่นอกร้านบ่อยๆ”

“แม้แต่เรื่องนี้องค์หญิงก็รู้?”

เจาหลวนวางท่าภาคภูมิใจ “แน่อยู่แล้ว ในเมืองหลวงนี้มีเรื่องใดที่ข้าอยากรู้แล้วไม่รู้ด้วยหรือ ไป จะพาเจ้าไปดูดอกเหมยต้นงามที่สุดในเมืองหลวง!” เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว สีหน้าของเจาหลวนพลันเปลี่ยนไป “แย่แล้ว!”

เจียงเฉินอวี๋ยังไม่ทันตอบสนอง เจาหลวนก็ลากนางกลับเข้าไปในร้านน้ำชา หลบอยู่ข้างประตู

“มีอะไรหรือเพคะ” เจียงเฉินอวี๋มองลอดช่องบนบานประตูออกไป เห็นทุกอย่างเป็นปกติดี ผู้คนสัญจรไปมา มีแผงขายของตั้งอยู่ประปราย ถ้าจะมีอะไร ก็คงเป็นรถม้าคันหนึ่งที่เลี้ยวออกมาตรงหัวมุม กำลังวิ่งตรงมาทางนี้อย่างไม่เร็วไม่ช้า

น้ำเสียงของเจาหลวนลุกลน “ทำไมถึงได้โชคร้ายเช่นนี้นะ เมืองหลวงก็ออกกว้างใหญ่ ดันมาปะกันที่นี่ได้! เจ้าเห็นแล้วหรือไม่”

“อะไรเพคะ”

“โอ๊ย ก็ไป๋เจ๋อ[5]อย่างไรเล่า!”

คำเดียวราวกับสายฟ้าฟาดลงมาจนเจียงเฉินอวี๋สะท้านไปทั้งร่าง นางเพ่งมองไป แม้รถม้าจะดูเรียบง่ายไม่สะดุดตา แต่ที่เพลารถมีสัญลักษณ์รูปไป๋เจ๋อ

ไป๋เจ๋อคือสัตว์เทวะที่อาศัยอยู่บนเขาคุนหลุน สามารถพูดภาษามนุษย์ ล่วงรู้สรรพสิ่ง ยากจะพบเห็น ตามตำนานกล่าวว่า หากกษัตริย์ผู้ทรงธรรมปกครองใต้หล้า ไป๋เจ๋อจะมาเยือน ตอนที่เจาอิ่นขึ้นครองราชย์ ได้มอบตราสัญลักษณ์นี้ให้แก่จีอิง นับแต่นั้นมา ไป๋เจ๋อก็กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวฉีอ้าวโหวแต่เพียงผู้เดียว

หรือพูดอีกอย่างก็คือ คนที่อยู่ในรถคือ…คุณชาย?

คุณชายมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เจียงเฉินอวี๋กำสาบเสื้อตนเองโดยไม่รู้ตัว เห็นรถม้าคันนั้นวิ่งเข้ามาใกล้ ก่อนจะค่อยๆ หยุดลงข้างคนฆ่าสัตว์ที่ชื่อพานฟังพอดิบพอดี

ประตูรถม้าเปิดออก จีอิงในชุดขาวปลอดก้าวลงจากรถ ประสานมือคารวะพานฟังอย่างเต็มพิธีการ

เจาหลวนกระซิบ “ที่แท้เขาก็มาหาพานฟัง น่าแปลก สองคนนี้รู้จักกันด้วยหรือ”

จีอิงกับพานฟังเริ่มต้นสนทนากัน แสงตะวันสาดส่องลงมานอกร้าน ทำให้เห็นทุกสีหน้า ทุกการเคลื่อนไหว กระทั่งทุกจีบริ้วบนเสื้อผ้าเขาได้อย่างชัดเจน

เจียงเฉินอวี๋อดสะท้อนใจไม่ได้ เช่นนี้นับว่านางกับเขามีวาสนาต่อกันหรือไม่นะ หากบอกว่าไม่มีวาสนา เมืองหลวงออกกว้างใหญ่ ตัวนางนานๆ ทีจึงจะออกจากบ้านสักครั้ง กลับมาเจอเขาโดยบังเอิญได้ แต่หากบอกว่ามีวาสนาต่อกัน บ้านนางส่งแม่สื่อไปเจรจาเรื่องแต่งงานที่จวนเขา ตัวเขาไม่อยู่ที่จวน กลับมาอยู่ที่นี่แทน

ได้ยินเสียงพานฟัง “ผู้แซ่พานเป็นคนต่ำต้อย ไม่มีใจเข้ารับราชการ เหตุใดโหวเยียจึงต้องฝืนใจกัน”

จีอิงยิ้มน้อยๆ “พี่พานช่างถ่อมตัวจริงๆ บนโลกนี้จะมีผู้ใดที่ควบม้าไล่จับโจรพเนจรได้เป็นพันหลี่ จะมีสักกี่คนที่ควงทวนมือเดียวฝ่าข้าศึกนับหมื่นเด็ดศีรษะหัวหน้าศัตรู ท่านติดตามบิดาเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่เด็ก เชี่ยวชาญการศึก ชำนาญการใช้ทวนยาว อายุสิบหกก็ล้มเหยียนไหฺวแม่ทัพใหญ่แคว้นอี๋ได้ อายุสิบเก้าได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพชิงเชอ[6]…มีเกียรติยศถึงเพียงนี้ จะเรียกว่าเป็นคนต่ำต้อยได้อย่างไร”

เจาหลวนร้อง “วา” ยื่นหน้าไปพูดที่ข้างหูเจียงเฉินอวี๋ “คิดไม่ถึงว่าคนฆ่าสัตว์ผู้นี้จะร้ายกาจถึงเพียงนี้!”

เจียงเฉินอวี๋ยกนิ้วแตะริมฝีปากเป็นการบอกให้นางฟังต่อ

พานฟังมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายก็ยิ้มเศร้า “โหวเยียรู้อดีตของผู้แซ่พานละเอียดยิ่ง เช่นนั้นท่านยิ่งต้องรู้ว่าเหตุใดผู้แซ่พานจึงถูกปลดจากตำแหน่ง ไล่กลับบ้านเดิม บุตรของแม่ทัพทรยศ จะไปมีหน้าออกศึกอีกได้อย่างไร”

จีอิงจ้องเขา ดวงตาฉายแววเศร้าใจ “คิดไม่ถึง…”

“ถูกต้อง ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าบิดาข้าจะทรยศ…”

“ผู้ที่ข้าคิดไม่ถึงคือท่านต่างหาก”

พานฟังชะงัก “ข้า?”

“ถูกต้อง” แววตาของจีอิงเปล่งประกายเป็นพิเศษ เขาจ้องอีกฝ่ายนิ่ง มิได้ผละจากไปทันที “สิ่งที่ข้าคิดไม่ถึงคือวีรบุรุษแห่งยุคอย่างแม่ทัพผู้เฒ่าพานจะให้กำเนิดบุตรชายไม่เอาไหนเช่นนี้ ไม่เพียงไม่เคยคิดกอบกู้ชื่อเสียงและความบริสุทธิ์ให้แก่บิดา ยังปล่อยตัวไปตามคำคน ไม่แยกแยะผิดถูกให้ชัดเจน ยอมให้ตนเองเสื่อมทรามกับ…”

พานฟังคว้ามืออีกฝ่าย น้ำเสียงร้อนรน “ท่านว่าอะไรนะ”

“ข้าว่าอะไร ข้าบอกว่า…ท่านเชื่อจริงๆ หรือว่าบิดาท่านทรยศ เชื่อจริงๆ หรือว่าเพราะเขาถูกจับและทนทัณฑ์ทรมานไม่ไหวจึงแพร่งพรายข้อมูลทางการทหาร”

สีหน้าของพานฟังไม่อาจใช้คำว่า “ตื่นตะลึง” มาบรรยาย เขาเบิกตากว้างเหมือนลูกกระพรวนทองแดง พูดเสียงสั่น “ท่านบอกว่า…บิดาข้าถูกใส่ความหรือ แต่ตอนนั้นเห็นอยู่ว่ามีหนังสือสารภาพที่เขาเขียนเอง และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาสองคนก็บอกเช่นนั้น…”

จีอิงหัวเราะเสียงเย็น “พี่พานเชี่ยวชาญการศึก ท่านไม่รู้จักกลยุทธ์ ‘ยืมดาบฆ่าคน’ กับ ‘มีในไม่มี’[7] หรอกหรือ”

พานฟังนิ่งงันไปนาน ค่อยๆ คลายมือจากจีอิง เอ่ยพึมพำ “ที่แท้ก็เป็นเรื่องลวง…ที่แท้ทุกอย่างในตอนนั้นก็เป็นเรื่องหลอกลวง?”

“จดหมายสามารถลวงได้ พยานบุคคลสามารถลวงได้ แต่ว่า…” รอยยิ้มหยันของจีอิงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ดุจลมวสันต์พัดผ่านต้นหญ้าเขียวขจี ดุจหยดน้ำค้างยามอรุณนำความชุ่มฉ่ำมาสู่บุปผาแดง คืนสีสันอันอบอุ่นที่สุดแก่โลกนี้ “บิดาของท่านมิได้หลอกลวง ความรักระหว่างพ่อลูกของพวกท่านก็มิใช่เรื่องหลอกลวง หรือแม้แต่ท่านก็ยังไม่เชื่อมั่นในตัวเขา?”

พานฟังอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจู่ๆ เขาก็หันไปเหวี่ยงกำปั้นใส่กำแพง นัยน์ตาแดงก่ำ “ข้าผิดไปแล้ว! ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว! ข้าทำความผิดใหญ่หลวงจริงๆ!”

จีอิงเอ่ยเสียงเนิบ “อดีตผ่านไปแล้ว มีเพียงอนาคตให้ไขว่คว้า สำนึกได้ในตอนนี้ก็ยังมิสาย”

พานฟังหันมาคุกเข่าให้จีอิงดังตึ้ก โขกศีรษะ “ผู้น้อยพานฟัง คุกเข่าขออยู่ใต้อาณัติโหวเยีย ขอเพียงสามารถล้างมลทินให้บิดา ข้ายอมอุทิศตัวทำทุกอย่างโดยไม่ลังเล!”

จีอิงประคองเขาลุกขึ้น ดวงตาสุกสกาวดุจดวงดาว รอยยิ้มชุ่มฉ่ำดั่งสายน้ำ “พี่พานไม่ต้องมากพิธี อิงมาเพราะเลื่อมใสผู้มีความสามารถ หากพี่พานยินยอม ย่อมเป็นเกียรติแก่อิง เพียงแต่…”

“แต่อะไรหรือ”

สายตาของจีอิงมองผ่านหน้าต่างเข้าไปยังเงาคนที่อยู่หลังมู่ลี่ภายในร้านน้ำชา “เส้นทางการเป็นขุนนางนั้นอันตราย อิงตัดสินใจร่วมแค้นกับท่าน ไม่รู้ว่าพี่พานจะกล้าทุบหม้อจมเรือ[8]จริงหรือไม่”

พานฟังหน้าเจื่อนไปทันใด เขาจ้องเงาร่างนั้น แววตาวูบไหว จากจุดที่เจียงเฉินอวี๋ยืนอยู่ จะเห็นว่ามือใต้แขนเสื้อเขากำเป็นหมัดแน่นจนข้อนิ้วเริ่มขาวซีด สุดท้ายมือนั้นก็คลายออก พานฟังเงยหน้าขึ้นทันที “ผู้น้อยเข้าใจแล้ว! มีคู่ร่วมลากรถเทียมกวาง[9]เดิมก็เป็นความปรารถนาที่เกินตัวของผู้น้อย นับจากนี้ไป ผู้น้อยจะล้มเลิกความคิดนี้!”

หัวใจของเจียงเฉินอวี๋ดิ่งวูบ เขาพูดเช่นนี้ หมายความว่าจะละทิ้งความรู้สึกที่มีต่อฉินเหนียงหรือ

ไม่คาดว่าจีอิงกลับหัวเราะฮ่าๆ คิ้วตาผ่อนคลาย “พี่พานเข้าใจความหมายของอิงผิดแล้ว”

“เอ๋?”

จีอิงหยิบกล่องเล็กใบหนึ่งออกจากแขนเสื้อ ยื่นให้เขา “ชีวิตคนเราแสนสั้น ทุกขณะที่ผ่านไปล้วนมีค่า พี่พานเฝ้ามองอยู่หน้าร้านนี้มาสามปีแล้ว ยังจะมีสามปีอีกกี่หนให้ใช้อีก? เนื้อคู่ดีต้องแสวงหา วาสนาพบพานต้องไม่ให้หลุดมือ ไปเถิด” ว่าพลางผลักพานฟังทีหนึ่ง พานฟังหน้าคะมำก้าวข้ามธรณีไปอย่างซวนเซ ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะทรงตัวได้ เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าคนในร้านน้ำชาหันมามองเขาเป็นตาเดียว ภายในร้านเงียบกริบอย่างน่าประหลาด

เขาบีบกล่องในมือแน่น สีหน้าประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว ส่วนคนในร้านน้ำชาก็เหมือนกำลังรอชมละครจนจบ ต่างกลั้นลมหายใจ ไม่ส่งเสียง

ท่ามกลางสายตาของทุกคน พานฟังเดินช้าๆ ทีละก้าวอย่างหนักแน่นมั่นคงไปที่หน้าโต๊ะของนักเล่านิทาน เปิดกล่อง คุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ผู้เข็ญใจพานฟัง ขอแต่งฉินเหนียงเป็นภรรยา”

ภายในร้านน้ำชาเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนจะมีเสียงปรบมือดังกึกก้อง

เจาหลวนชะโงกหน้าไปดู น้ำเสียงตื่นเต้น “ที่แท้ของในกล่องคือเทียบหมั้น! ไม่เสียทีที่เป็นจอมจิ้งจอกจริงๆ เตรียมพร้อมไว้หมดทุกอย่าง!”

มู่ลี่ไม้ไผ่ที่ทิ้งตัวลงมาแกว่งไกว คนหลังมู่ลี่ถอนหายใจเบาๆ “แม้ข้าจักปรารถนา ก็มิเคยกล้าวอนขอ”

เสียงปรบมือดังเกรียวขึ้นอีกครั้ง ทุกคนในร้านลุกขึ้นแสดงความยินดีที่คู่รักที่มีใจตรงกันได้แต่งงานกันในที่สุด ที่นอกร้าน จีอิงพิงรถม้า มองพวกเขาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ แสงตะวันส่องลงบนตัวไป๋เจ๋อบนชุดขาวของเขาและบนเพลารถจนขาวเจิดจ้าดุจหิมะ

เจาหลวนทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงเลยว่าที่แท้ฉินเหนียงก็มีใจให้ตาทึ่มพานด้วย…ได้ยินว่าสองคนนี้เป็นคู่เหมยเขียวม้าไผ่[10] ต่อมาตาทึ่มพานไปเป็นทหารออกรบ ส่วนฉินเหนียงออกเรือน กว่าตาทึ่มพานนี่จะกลับมา สามีของฉินเหนียงก็ตายไปแล้ว วนไปเวียนมา ทั้งคู่ก็ได้มาครองคู่กัน ช่างเป็นบุพเพสันนิวาสจริงๆ”

เจียงเฉินอวี๋มองภาพเบื้องหน้าแล้วนึกถึงคำพูด “เนื้อคู่ดีต้องแสวงหา วาสนาพบพานต้องไม่ให้หลุดมือ” ที่จีอิงเอ่ยเมื่อครู่ ความรู้สึกอ่อนละมุนพลันแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ

พานฟังขอแต่งงานสำเร็จ เขายื่นกล่องไปที่หลังมู่ลี่ เหลือบมองเงาร่างนั้นอีกครั้ง ก่อนหันกายวิ่งออกไปอย่างมีความสุข เขาค้อมเอวคารวะจีอิงอย่างเต็มพิธีการ “หากไม่ได้คุณชายช่วยตีกลางแสกหน้า[11] วันนี้ผู้น้อยก็คงยังมึนเมาเหมือนอยู่ในความฝัน[12] ไม่มีความกล้าที่จะขอฉินเหนียงแต่งงาน…ขอบคุณคุณชายยิ่งนัก!”

จีอิงรับการคารวะจากเขา

พานฟัง “นับจากนี้ไป ขอติดตามคุณชายเพียงผู้เดียว ไม่ว่าเรื่องใด ผู้น้อยยินดีทำทุกอย่าง!”

จีอิง “ไม่ต้องรีบร้อน ท่านไปจัดการเรื่องแต่งงานของตนก่อนเถิด เป็นเจ้าบ่าวให้ดี วันหน้าเมื่อมีศึกสงคราม ข้าย่อมมีงานให้ท่านแน่นอน”

พานฟังตอบรับทันที

จีอิงหันกายเตรียมขึ้นรถ พลันหยุดลง เอ่ยว่า “อ้อ จริงสิ เวลานี้มีงานหนึ่งต้องรบกวนให้ท่านช่วย”

พานฟังรีบเอ่ย “ขอคุณชายโปรดสั่งมา!”

จีอิงยิ้ม เจียงเฉินอวี๋มีความรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ของเขาแตกต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง น้อยกว่านี้อีกนิดก็ดูเคร่งขรึม มากกว่านี้อีกหน่อยก็ดูเฉียบคม เห็นสายตาของเขามองมายังจุดที่พวกนางซ่อนตัว “สนุกกันพอแล้ว สองคนยังไม่กลับบ้านอีกหรือ”

เจาหลวนหันหลังเตรียมเผ่น แต่พานฟังขยับเพียงวูบเดียวก็มาดักหน้านางได้ในทันที ร่างกำยำล่ำสันปักหลักอยู่ตรงนั้นเหมือนเขาลูกใหญ่ขวางทางอยู่

เจียงเฉินอวี๋จึงได้รู้ตอนนี้เองว่าจีอิงเห็นพวกนางตั้งนานแล้ว

เจาหลวนพุ่งเข้าไปหาจีอิง เอ่ยเสียงขุ่น “สายตาจิ้งจอกของท่านคมกริบดีนักนะ! ท่านไปตามทางของท่าน ทำเป็นมองไม่เห็นไม่ได้หรือ”

จีอิงยิ้มพลางส่ายหน้า เปิดประตูรถม้าเป็นเชิงเชื้อเชิญ

เจาหลวนไม่กลัวไท่โฮ่ว ไม่กลัวหวงตี้ แต่กลัวเขาคนเดียว เพราะนางรู้จักฉีอ้าวโหวดี แม้เขาจะมีกิริยาสุภาพอ่อนโยนมีสง่า แต่ยามตัดสินใจเรื่องใดเด็ดขาดยิ่งนัก เปลี่ยนแปลงยากยิ่งกว่าราชโองการเสียอีก ครั้งนี้ถูกเขาจับได้เช่นนี้ แผนเที่ยวย่อมเป็นอันต้องเลิกรา เจาหลวนเบะปากขึ้นรถไปอย่างไม่เต็มใจ ขณะที่เจียงเฉินอวี๋กำลังคิดว่านางควรตามขึ้นไปด้วยหรือไม่ จีอิงก็สั่งการสารถี จากนั้นสารถีก็สะบัดแส้ บังคับรถม้าวิ่งจากไป

เจาหลวนชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่าง ตะโกนลั่น “พี่สาว ข้ากลับก่อนนะ คราวหน้าข้าค่อยมาเล่นกับเจ้าใหม่ แล้วจะเอาเงินมาคืนด้วย…”

รถม้าเลี้ยวโค้งหายลับไปจากสายตาแล้ว ส่วนพานฟังยังมีธุระจึงขอตัวลาไป ด้วยเหตุนี้ ตรงหน้าประตูร้านน้ำชาจึงเหลือเพียงนางกับจีอิงสองคน

หัวใจหญิงสาวเต้นรัว เจียงเฉินอวี๋ก้มหน้าไม่กล้ามองเขา จมูกได้กลิ่นฝัวโส่วกาน[13]อ่อนๆ จากกายเขา ชั่วขณะนั้น นางยิ่งรู้สึกทำอะไรไม่ถูก

“คุณหนูสกุลเจียง?” น้ำเสียงนุ่มหูถามอย่างสุภาพยิ่งนัก ชวนให้ใจสั่น

ที่แท้เขาก็รู้จักข้า เจียงเฉินอวี๋รีบทำความเคารพ “เฉินอวี๋คารวะโหวเยีย”

พอช้อนสายตาขึ้น สิ่งที่เห็นยังคงเป็นรอยยิ้มจางๆ เหมือนสายน้ำ เทียบกับท่าทีวางตัวไม่ถูกของนางแล้ว จีอิงนิ่งกว่ามาก คิ้วตาสงบนิ่ง “เวลาไม่เช้าแล้ว อิงจะส่งคุณหนูกลับจวน”

หัวใจของนางบีบรัดด้วยความยินดี นางพยักหน้าอย่างเอียงอาย

 

[1] ตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์ หรือผู้บังคับการทหาร เทียบเท่าระดับนายกอง

[2] เงินเหรียญสำริดที่มีรูตรงกลาง เป็นหน่วยเงินที่เล็กที่สุดในสมัยโบราณของจีน 1,000 เหวิน เท่ากับหนึ่งก้วน (พวงเหรียญ) 1 ก้วนเท่ากับ 1 ตำลึงเงิน

[3] หรือ “ซินแส” (สำเนียงแต้จิ๋ว) เป็นคำเรียกบัณฑิต หรือบุคคลผู้มีความรู้ ผู้เชี่ยวชาญในแขนงต่างๆ ในเชิงยกย่อง

[4] เสื้อท่อนบนตัวสั้น สำหรับใส่กันหนาว

[5] สัตว์ในเทวตำนานของจีน ตัวเหมือนสิงโต มีสองเขา และมีเคราเหมือนแพะ เชื่อกันว่าเป็นสัตว์ที่สามารถขับไล่ภูตผีและสิ่งชั่วร้ายได้ บนรถศึกและชุดนักรบจีนโบราณจึงมักมีรูปสัตว์ชนิดนี้

[6] “ชิงเชอ” แปลตรงตัวว่า “รถเบา” หมายถึงรถม้าหรือรถศึกที่เบาและรวดเร็ว ใช้ไล่ต้อนศัตรู ในที่นี้ใช้เรียกตำแหน่งผู้นำกองกำลังขับเคลื่อนไล่ศัตรู

[7] กลยุทธ์ลวงข้าศึก เปลี่ยนจากลวงเป็นจริง จริงเป็นลวง ทำให้ศัตรูไขว้เขว

[8] หมายถึง ยอมสู้ตายถึงที่สุด ไม่ยอมถอย

[9] สำนวนนี้เป็นคำกล่าวที่มาจากเรื่องราวของเซ่าจวินผู้เป็นภรรยาของเป่าเซวียน นางได้ละทิ้งความร่ำรวยและชีวิตที่สวยหรู มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสามีที่ยากจน ทั้งสองได้ช่วยกันลากรถเทียมกวางกลับไปยังบ้านเกิดของสามี ต่อมาคำกล่าวนี้จึงใช้เปรียบเปรยถึงคู่สามีภรรยาที่ไม่กลัวความยากลำบาก ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน

[10] หมายถึง ชายหญิงที่รู้จักและสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก

[11] เป็นรูปแบบธรรมเนียมของพุทธนิกายเซนที่มักจะใช้ไม้ยาวตีศีรษะหรือตะโกนเสียงดังใส่นักบวชใหม่ เพื่อให้ตื่นตัวเสมอ ใช้อุปมาถึงการ เตือนสติ

[12] หมายถึง ใช้ชีวิตไร้ค่าไปวันๆ

[13] ส้มนิ้วพระหัตถ์ (Buddha’s Hand) หรือก็คือส้มมือ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า