鱼香四溢
ปลาน้อยของท่านเทพ
抹茶曲奇 หมั่วฉาฉวี่ฉี เขียน
สี่เมษา แปล
— โปรย —
อาเหลียนเป็นปลาฮวาเหลียนตัวน้อยธรรมดาๆ
ที่มีตบะบำเพ็บเพียงสามร้อยปี นางมีความปรารถนาหนึ่ง
ชีวิตนี้นางปรารถนาที่จะเป็นอาหารจานหลักของหรงหลิน
เทพสงครามผู้สูงส่ง รูปโฉมงดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้า
ซึ่งครองตนบริสุทธิ์ผุดผ่องมาสามหมื่นปี
อาเหลียนพยายามฝึกเซียนเพื่อให้ได้ใกล้ชิปดเขา
และขุนตนเองให้อวบขาว กระทั่งในที่สุดก็สามารถนำไปปรุงอาหารได้แล้ว
อาเหลียน “ซ่างเสิน ท่านชอบปลาน้ำแดงหรือปลานึ่งเจ้าคะ”
หรงหลิน “…ข้าเป็นมังสวิรัติ”
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
1
ปลาโง่ตัวหนึ่งที่อยากตอบแทนบุญคุณ (2)
กลับมาถึงก็ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว แต่อาเหลียนก็ยังนำพัสตราภรณ์ของซ่างเสินมาซักอย่างพิถีพิถันสามรอบด้วยความตั้งใจ สุดท้ายก็ยังถามเถียนหลัวว่า “ยังได้กลิ่นคาวปลาอยู่หรือไม่”
เถียนหลัวเข้าใจความรู้สึกของอาเหลียนดี รีบดมอย่างให้ความร่วมมือ ก่อนพูดว่า “ไม่ได้กลิ่นคาวปลาแล้ว ซ้ำยังมีกลิ่นหอมนิดๆ ด้วย”
ครั้งหน้าหากเจอซ่างเสินจะต้องคืนเสื้อผ้าชุดนี้ให้เขา นางย่อมต้องซักชุดจนสะอาดไม่หลงเหลือกลิ่นอายของตน พอได้ยินถ้อยคำของเถียนหลัว อาเหลียนก็ค่อยๆ พรูลมหายใจ ผ่านไปไม่นานก็ขมวดคิ้วพูด “ซ่างเสินจะไม่ชอบกลิ่นหอมนี้หรือไม่นะ” นางครุ่นคิดแล้วพึมพำว่า “ข้าจะซักใหม่ กลิ่นหอมนี้จะได้จางลงหน่อย”
ตอนที่สองแม่นางอี๋กุยอี๋จางกลับมาก็เห็นอาเหลียนตากผ้าอยู่ที่ลานด้านหน้า
ชุดนั้นแค่มองก็รู้ว่าเป็นของบุรุษ
อี๋จางดูแคลน “เจ้าปลาหัวโตนี่ไม่รู้จักละอายจริงๆ เกี้ยวพาบุรุษก็ช่างเถิด แต่นี่ยังนำชุดของบุรุษมาตากไว้หน้าลานของพวกเรา”
อี๋จางไม่ชอบอาเหลียน นอกจากรังเกียจที่สถานะของอาเหลียนต่ำต้อยแล้ว ก็ยังเป็นเพราะใบหน้าของนางด้วย ข้างกายมีญาติผู้พี่หน้าตางามสูสีตนก็พาให้นางรู้สึกกดดันมากแล้ว ยามนี้ยังจะมีเจ้าปลาหัวโตที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใดอีก ทั้งๆ ที่เจ้าปลาหัวโตควรจะเกิดมามีหน้าตาธรรมดาแท้ๆ แต่นางกลับมีใบหน้าเย้ายวนน่าหลงใหล แล้วจะไม่ให้นางชิงชังได้หรือ
อี๋กุยสีหน้าราบเรียบ ไม่เอ่ยคำ ปกติแล้วจิ่วเซียวเก๋อก็ไม่ได้ห้ามชายหญิงไปมาหาสู่กัน คู่บำเพ็ญที่คบหากันอย่างเปิดเผยก็มีให้เห็นมากมาย หรือคู่ที่มีความสัมพันธ์ชั่วคราวก็พบเห็นได้ทั่วไป ไม่ต้องพูดถึงใครอื่น อย่างอี๋กุยเอง มาถึงจิ่วเซียวเก๋อได้ไม่กี่วันนางก็ไปมาหาสู่กับศิษย์พี่ชายหลายคนแล้ว เพียงแต่ความคิดของอี๋กุยนั้นออกจะรอบคอบกว่าอี๋จางอยู่บ้าง ยามนี้เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่อาเหลียนตากไว้ เพียงผาดเดียวก็มองออกว่าชุดนี้ไม่ใช่ของที่คนธรรมดาทั่วไปสวมเป็นแน่
หลังอาเหลียนตากเสื้อจนแห้ง นางก็เก็บไว้ในน้ำเต้าหยกที่พกติดตัวมาด้วย อาผังมอบน้ำเต้าหยกใบนี้ให้นางตอนที่ออกจากทะเลสาบต้งเจ๋อ มองแล้วเป็นเพียงหยกพกเล็กๆ ที่ห้อยเอว ดูเรียบง่ายธรรมดา แต่แท้จริงแล้วกลับสามารถบรรจุของได้มากมาย
อาจเป็นเพราะด้านในใส่เสื้อของซ่างเสินไว้ อาเหลียนจึงหวงแหนมากเป็นพิเศษ ไม่ยอมให้ใครแตะต้อง
หลังจากวันนั้นนางก็ไปที่สระคลื่นมรกตทุกวัน
เพียงเพื่ออาจได้เจอซ่างเสินอีกครั้ง
วันนั้นนางตื่นเต้นดีใจมากเกินไป จึงลืมถามซ่างเสินเสียสนิทว่าเขาชอบกินอาหารรสใด ชอบรสชาติของปลาฮวาเหลียนหรือไม่ หากนำไปปรุงเป็นอาหาร ชอบกรรมวิธีการปรุงแบบใดที่สุด
อาเหลียนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทั้งวัน แต่จิ่วเซียวเก๋อไม่ใช่สถานที่ที่มีแต่ชื่อ หลังเปิดเรียนอย่างเป็นทางการแล้ว การเรียนในแต่ละวันหนักมาก แม้ศิษย์ใหม่จะโดดเด่นด้วยผ่านการคัดเลือกจากแต่ละเผ่า แต่คุณสมบัติของแต่ละคนกลับไม่เท่ากัน อย่างอาเหลียนและเถียนหลัวนี้ก็ถือว่าอยู่ระดับล่างสุดของทั้งหมด
อย่างเช่นการเรียนวิชาเวทวันนี้ เถียนหลัวถูกตำหนิจนร้องไห้หลายรอบแล้ว
เซียนจวิน[1]ผู้สอนก็คือชงซวีจุนเจ่อ[2]ที่มีชื่อเสียงบารมีของจิ่วเซียวเก๋อ กล่าวกันว่าชงซวีจุนเจ่อท่านนี้ในวัยเยาว์ถือว่าตนมีความสามารถจึงดูถูกผู้อื่น ไม่ยอมก้มหัวให้ข้าวสารห้าโต่ว[3] ทว่าหลังแต่งงานแล้ว เขาต้องเลี้ยงคนในครอบครัว เพื่อที่จะทำมาหากินจึงจำต้องเข้ามาสอนในจิ่วเซียวเก๋ออย่างไร้ทางเลือก
ผ่านไปหลายต่อหลายครั้ง เถียนหลัวก็ยังคงทำไม่สำเร็จ ชงซวีจุนเจ่อโกรธจนเป่าปากถลึงตา กล่าวตำหนิว่า “มันสมองเช่นเจ้า แม้เข้าจิ่วเซียวเก๋อมาได้ก็คงอยู่ได้ไม่กี่วัน รีบเก็บข้าวเก็บของจากไปโดยเร็วจะดีกว่า จิ่วเซียวเก๋อของพวกเราจะได้ประหยัดข้าวไปได้บ้าง”
อาเหลียนอยากช่วยพูดให้เถียนหลัว แต่ชงซวีจุนเจ่อกวาดตามองมาด้วยความกราดเกรี้ยว “เจ้าไม่ต้องช่วยพูดแทนนาง เจ้ายังสู้นางไม่ได้ด้วยซ้ำ! ดูเจ้าสิ นี่เจ้าก็กำลังร่ายเวทหรืออย่างไร”
อาเหลียนมีตบะบำเพ็ญเพียงสามร้อยปี แม้เถียนหลัวจะทำได้ไม่ดีไปกว่านี้สักเพียงใด แต่นางก็มีตบะบำเพ็ญสี่ร้อยปี อีกทั้งพื้นเพของครอบครัวเถียนหลัวค่อนข้างดี บิดามารดาของนางให้นางกินยาวิเศษเพิ่มพลังเซียนไม่น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ เถียนหลัวจึงยังสามารถร่ายเวทให้น้ำเต้าตรงหน้าแปลงสภาพไปได้ครึ่งหนึ่งจากที่กำหนดไว้ แม้บอกว่ามิอาจแปลงสภาพได้ทั้งหมด ทว่าก็ยังดีกว่าอาเหลียนที่ทำให้มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย
หากกันตามจริงแล้ว ชงซวีจุนเจ่อก็ไม่กล่าวผิดไปแม้แต่น้อย
เมื่อชงซวีจุนเจ่อดุด่าอีกครั้ง เถียนหลัวก็ร่ายเคล็ดวิชาเซียนอีกรอบ ในที่สุดก็แปลงสภาพได้สำเร็จ
ทว่าอาเหลียนกลับต้องเผชิญกับสถานการณ์กระอักกระอ่วน กลายเป็นศิษย์ใหม่เพียงคนเดียวที่แม้แต่วิชาแปลงร่างขั้นพื้นฐานก็ยังไม่ผ่าน
หลังเลิกเรียน เถียนหลัวปลอบว่า “เจ้าอย่าเสียใจไปเลย พวกเรากลับไปตั้งใจฝึกฝนกันใหม่ ความเพียรเป็นบ่อเกิดของความสำเร็จ แค่ขยันมากหน่อยก็ได้แล้ว”
อาเหลียนย่อมเข้าใจในหลักการข้อนี้ แต่ความสามารถของนางย่ำแย่เกินไปจริงๆ
หลังทั้งสองกลับไปแล้วก็มุมานะตั้งใจฝึกวิชาแปลงร่างด้วยกัน
ด้านเถียนหลัว นางผ่านมาได้อย่างถูไถ ลำพังตัวนางทำได้แค่ผิวเผิน ไม่รู้สิ่งที่แอบแฝงอยู่ในนั้นอย่างถ่องแท้ จึงได้แต่มองอาเหลียนต้องล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจร้อนรนราวกับไฟเผา แต่กลับไม่รู้ว่าควรต้องทำเช่นไร อาเหลียนเห็นท่าทางตำหนิตนเองของเถียนหลัวแล้ว แม้ในใจจะท้อแท้สิ้นหวัง แต่กลับมิกล้าแสดงออกต่อหน้าสหาย เพื่อที่นางจะได้ไม่ตำหนิตนเองมากกว่าเดิม
เมื่อเข้าจิ่วเซียวเก๋อแล้ว ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถสำเร็จการศึกษาได้อย่างราบรื่น หลังเข้าเรียนได้สามเดือนจะมีการทดสอบหนึ่งครั้ง เมื่อถึงเวลานั้น หากไม่ผ่านการทดสอบก็ทำได้เพียงเก็บข้าวของแล้วไปจากที่นี่ตามคำพูดของชงซวีจุนเจ่อ อย่างไรเสียสิ่งที่จิ่วเซียวเก๋อต้องการก็คือบุคคลที่มีความสามารถโดดเด่นในสามดินแดน จะยอมให้ชื่อเสียงดีงามที่ก่อตั้งมาหลายหมื่นปีถูกทำลายด้วยน้ำมือภูตตัวเล็กๆ ที่ทั้งโง่งมและมีวิชาเวทต่ำต้อยอย่างอาเหลียนได้อย่างไร
กลางดึกเงียบสงบ อาเหลียนเห็นเถียนหลัวหลับแล้ว จึงลุกขึ้นมาแล้วไปที่ริมสระคลื่นมรกตเพียงลำพัง
คราวนี้นางไม่ได้ไปหาซ่างเสิน ทว่าไปเพราะอยากฝึกวิชาเวทจริงๆ
วันพรุ่งก็เป็นวิชาของชงซวีจุนเจ่ออีกแล้ว แม้หนังหน้าของนางจะหนากว่านี้ก็ทนรับวาจาถากถางเช่นนั้นของเขาไม่ไหวแล้ว
อาเหลียนท่องมนต์ใส่ต้นหลิวริมสระ พยายามหลายต่อหลายครั้ง
แต่ทุกครั้งต่างก็ล้มเหลวร่ำไป ต้นหลิวต้นนั้นสั่นไหวเพียงเล็กน้อย ทว่ารูปร่างยังคงเดิม แม้กระทั่งใบหลิวก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ
วิชาแปลงร่างนี้เป็นวิชาพื้นฐาน หากของง่ายๆ พรรค์นี้ยังมิอาจทำได้ นางก็คงอยู่ที่จิ่วเซียวเก๋อได้อีกไม่นานแน่
อาเหลียนลองอีกครั้ง
อีกครั้งและอีกครั้ง จนกระทั่งท้องฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว
“…นี่เจ้ากำลังทำอะไร”
หือ
อาเหลียนนิ่งงันเล็กน้อย ได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังก็หันหน้ากลับไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ เห็นร่างสูงสง่า พยับเมฆแห่งความกลัดกลุ้มบนใบหน้าก็หายวับ กระโจนพรวดเข้าไปหาทันควัน “หรงหลินซ่างเสิน!”
หรงหลินมองอยู่นานแล้ว แม้สัมผัสกับภูตปลาน้อยตนนี้ไม่นาน แต่เขาก็เข้าใจดีว่าหากเขาสนใจนางจะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาแน่ เขาจึงคิดว่าจะแสร้งมองไม่เห็นแล้วจากไปเช่นนี้ ทว่าเมื่อได้ฟังเคล็ดวิชาเซียนที่นางท่อง เห็นท่าทางเงอะงะครั้งแล้วครั้งเล่าของนาง เขาที่อดทนมานานก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
ความสามารถเช่นนางนี้เข้าจิ่วเซียวเก๋อได้อย่างไรกันหนอ
นางแย้มยิ้มราวบุปผา เขากลับมีท่าทางเย็นชาเหมือนอย่างเคย ไม่ได้ตอบคำถามของนาง ทว่าพูดเสียงเย็นว่า “หลับตาลง รวบรวมสมาธิ…”
อาเหลียนที่ยิ้มค้างได้สติกลับมาโดยพลัน เพิ่งเข้าใจว่าซ่างเสินกำลังชี้แนะตน
นางรีบทำตามทันใด
“อย่าว่อกแว่ก เจ้าอยากให้ต้นไม้ตรงหน้ากลายเป็นสิ่งใด ในใจก็คิดถึงรูปลักษณ์ของสิ่งนั้น จากนั้นก็ร่ายเวท…”
เสียงของซ่างเสินไพเราะจริงๆ!
วิชาเปลี่ยนรูปร่างนั้นไม่ยาก ทั้งยังเป็นวิชาเวทระดับต่ำขั้นพื้นฐาน มีต้นไม้ต้นหนึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าเจ้าไม่ได้เคลื่อนไหว ปล่อยให้เจ้าเปลี่ยนมันได้ตามต้องการ ไม่ว่าผู้ใดที่พอจะมีตบะบำเพ็ญอยู่บ้างก็จะทำได้อย่างง่ายดาย
แม้นบางครั้งหรงหลินจะกลับมาที่จิ่วเซียวเก๋อ ทว่าในฐานะซ่างเสินผู้หนึ่ง แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางสอนวิชาเวทเหล่านี้ด้วยตนเอง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเพียงการบรรยายบทเรียน สั่งสอนหลักเหตุผลในการทำความดีช่วยเหลือผู้อื่น หรือไม่ก็บรรยายถึงระดับของจิตใจ เช่นนี้จึงเหมาะสมแก่ฐานะซ่างเสินอันสูงส่ง
เขาเห็นท่าทางของภูตปลาน้อยที่มีสีหน้าจริงจังนางนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าหากเขาออกโรงสอนด้วยตนเองคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สักเท่าไร พลันนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก พลิกกายหันหลังให้นางทันควัน
ปฏิบัติต่อนางอย่างเย็นชาสักหน่อย นางจะได้ไม่เข้าใจผิดว่าการที่เขาชี้แนะวิชาเวทแก่นางแล้วจะทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น
ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่เห็นนางเคลื่อนไหวอะไร หรงหลินจึงกล่าวว่า “เรียบร้อยแล้วหรือ”
“ระ…เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
หากเรียบร้อยแล้วจริงๆ ไฉนน้ำเสียงถึงเป็นเช่นนี้ วิชาเวทง่ายๆ แบบนี้ ขอเพียงมีสมาธิ จิตใจไม่ว่อกแว่ก ก็ไม่มีทางเกิดปัญหา
เขาถึงขั้นชี้แนะด้วยตนเอง แต่นางก็ยังเกียจคร้านเช่นนี้น่ะหรือ!
แม้เป็นซ่างเสินที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีสักเพียงใด ก็ทนศิษย์ที่เมินเฉยไม่สนใจเช่นนี้ไม่ได้ เขาหันกายกลับไป คิดจะตำหนินางสักครา ทว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับเป็นรูปร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่ง
หรงหลินนิ่งงัน
ไยนางจึงทำให้ต้นหลิวกลายเป็นร่างของเขาไปเสียได้
เห็นเพียงว่าภูตปลาน้อยตนนี้เกาศีรษะอย่างขัดเขิน ดวงตากลมโตมองตน ท่าทางสำนึกผิด “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้า…เมื่อครู่ในสมองของข้าเอาแต่คิดถึงซ่างเสิน”
ซ่างเสินก็สมกับเป็นซ่างเสิน
หลังได้รับคำชี้แนะจากเขาแล้ว วันถัดมาในห้องเรียนของชงซวีจุนเจ่อ อาเหลียนกลับทำขายหน้าอีก แม้ชงซวีจุนเจ่อจะแปลกใจอยู่บ้าง แต่ศิษย์ที่มีพื้นฐานย่ำแย่ พรสวรรค์ต่ำต้อยเช่นอาเหลียนนี้ปกติแล้วไม่อยู่ในสายตาของเขาแม้แต่น้อย จึงไม่กล่าวให้มากความ เพียงแต่สอนเนื้อหาบทเรียนต่อไป
เถียนหลัวแอบกระซิบว่า “เมื่อครู่ข้ายังกังวลว่าเจ้าจะโดนด่าอีกแล้ว”
เถียนหลัวหลับสนิทตลอดคืน เป็นธรรมดาที่นางย่อมไม่รู้เรื่องระหว่างอาเหลียนกับหรงหลินซ่างเสินเมื่อคืน
ร่ายเวทได้แล้ว อาเหลียนกลับไม่ดีใจเท่าไร แม้กระทั่งสีหน้าของนางก็ยังมึนงงอยู่บ้าง ปล่อยให้เถียนหลัวพึมพำด้วยความตื่นเต้นเพียงลำพัง
เนิ่นนานเช่นกันกว่าที่เถียนหลัวจะรู้สึกตัว “อาเหลียน เจ้าเป็นอะไรไป”
เป็นอะไรไปน่ะหรือ อาเหลียนมุ่นคิ้วน้อยๆ ท่าทางกังวลระคนเฉื่อยชา ห่อเหี่ยวยิ่งกว่ายามที่ชงซวีจุนเจ่อต่อว่านาง เมื่อวานนางพบซ่างเสิน เดิมควรจะเป็นเรื่องที่น่าดีใจมากแท้ๆ อีกทั้งซ่างเสินยังอุตส่าห์ชี้แนะนางด้วยตนเอง ถือเป็นโชคดีในชีวิตนี้ของนาง…ทว่าไยนางถึงรู้สึกผิดหวัง ราวกับว่า…ราวกับว่าทำให้ซ่างเสินไม่พอใจอย่างไรอย่างนั้น
อี๋จางมองอาเหลียนเล็กน้อย กล่าวกับอี๋กุยว่า “ซ้อมอยู่หลายวันกว่าจะผ่านอย่างฉิวเฉียด มีอะไรให้น่าภูมิใจกัน” เดิมตนอยากเห็นนางขายหน้า แต่ผลกลับไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ ในใจย่อมรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง
ทว่าอี๋กุยไม่เอ่ยคำ
ศิษย์ใหม่ของจิ่วเซียวเก๋อนอกจากต้องเผชิญกับบทเรียนที่หนักหนาทุกวันแล้ว ยังต้องก่อตั้งชมรมสารพัดเพื่อเสริมสร้างทักษะความสามารถ หลายวันนี้อาเหลียนรู้ซึ้งว่าพื้นฐานของนางย่ำแย่มาก หากพยายามมากกว่าคนอื่นสักหน่อยก็คงจะพอไปได้ แต่นี่กลับไม่มีเวลาว่างนอกห้องเรียนให้นางเรียนรู้อย่างอื่นเลย
เถียนหลัวนั้นไม่เหมือนกับอาเหลียน นางเข้าจิ่วเซียวเก๋อเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปวันๆ เท่านั้น แม้กล่าวว่านางไม่อยากเก็บข้าวของจากไป แต่นางกลับไม่เหมือนอาเหลียนที่กดดันตนเองถึงเพียงนี้ มารดาของเถียนหลัวเป็นกุลสตรี คอยพร่ำสอนเถียนหลัวตั้งแต่เล็กว่า สตรีทำสิ่งอื่นไม่เป็นก็ไม่เป็นไร แต่จะขาดงานครัวและงานเย็บปักถักร้อยมิได้ ยามนี้จึงกล่าวกับอาเหลียนว่า “หากเจ้าไม่อยากไป ก็ถือว่าไปเป็นเพื่อนข้า…” ในจิ่วเซียวเก๋อ เถียนหลัวมีอาเหลียนเป็นสหายคนเดียวแล้ว
อาเหลียนใจอ่อนเป็นที่สุด อีกทั้งนี่ยังเป็นเถียนหลัว จึงทำใจแข็งไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นจึงได้แต่ตามเถียนหลัวไปสมัครชมรมทำอาหาร
ชมรมของจิ่วเซียวเก๋อต้องผ่านการคัดเลือกทีละขั้น ทว่าชมรมทำอาหารนี้เป็นชมรมที่ไม่เป็นที่นิยมที่สุด แต่ละปีมีผู้สมัครไม่กี่ราย เดิมไม่จำเป็นต้องมีการแข่งขันคัดเลือก เพียงจ่ายค่าเข้าก็เป็นอันจบ เถียนหลัวเปิดถุงอัฐเล็กๆ ที่ตุงแน่นตรงช่วงเอวออก อยากจ่ายค่าเข้าแทนอาเหลียนไปพร้อมกัน อาเหลียนเห็นแล้วจึงรีบเอ่ย “ไม่ต้อง ประเดี๋ยวข้าจ่ายเอง”
อาเหลียนรู้นิสัยของเถียนหลัวดี นางไม่ใช่คนที่ชอบอวดรวย ยังเจียมเนื้อเจียมตัวและรู้สึกอับอายยิ่งนักเพราะนางมาจากครอบครัวเศรษฐีใหม่ แต่พอพบคนอย่างอาเหลียนที่ไม่ดูถูกดูแคลนนาง สานสัมพันธ์เป็นสหายกับนางอย่างจริงใจ นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งนัก
เถียนหลัวน้อยใจ “นี่เจ้าไม่เห็นว่าข้าเป็นสหายหรือ!”
อาเหลียนส่ายหน้า “ไม่ใช่”
เถียนหลัวน้ำตาคลอเจียนจะหยด “เช่นนั้นเจ้าก็คงดูแคลนอัฐของข้าสินะ”
“…” อาเหลียนไร้ถ้อยคำ ทำได้แต่เพียงให้เถียนหลัวจ่ายค่าเข้าชมรมแทนตน
แม้กล่าวว่านางเข้าชมรมเป็นเพื่อนเถียนหลัว ทว่าหลังจากนั้นอาเหลียนกลับต้องมนต์เสน่ห์ของอาหาร เพียงไม่นานก็สนใจการทำอาหารแล้ว
ความสามารถในการเรียนวิชาเวทของอาเหลียนนั้นไม่เอาไหน ทว่าวิชาครัวนี้กลับมีพรสวรรค์อย่างหาตัวจับยาก
ชมรมทำอาหารมีศิษย์ใหม่ประมาณหกเจ็ดคน เมื่อคนน้อย การแอบอู้ก็ทำได้ไม่ง่ายนัก เข้าชมรมทุกครั้งจึงต้องตั้งใจและจริงจังเสมอ
ถึงหนานเฮ่อเซียนเวิง[4]ที่สอนวิชาอาหารจะมีรูปร่างอ้วนเตี้ย ท่าทางใจดี แต่ความจริงแล้วเขากลับไม่ได้ใจดีมากไปกว่าชงซวีจุนเจ่อสักเท่าไร หลายครั้งที่ผ่านมาไม่รู้ว่าต่อว่าศิษย์หญิงไปมากเท่าไรแล้ว ได้ยินว่ามีศิษย์หญิงจำนวนหนึ่งที่ทนรับอารมณ์ของหนานเฮ่อเซียนเวิงไม่ได้ จึงพากันถอนตัวออกจากชมรมทำอาหารนี้ไป
อาเหลียนกลับเป็นผู้ที่หาได้ยากยิ่ง นางไม่เคยถูกหนานเฮ่อเซียนเวิงต่อว่าเลยสักครั้ง ส่วนเถียนหลัวน่ะหรือ แรกเริ่มก็ถูกเขาต่อว่าครั้งหนึ่ง จากนั้นเมื่อมีอาเหลียนคอยช่วยเหลือ ทุกครั้งยามที่หนานเฮ่อเซียนเวิงมาตรวจงานล้วนหาจุดบกพร่องใหญ่ๆ ไม่พบ จึงรอดจากการถูกตำหนิ
วันนี้หนานเฮ่อเซียนเวิงสอนทักษะการใช้มีด เขาอธิบายและสาธิตให้ดูเพียงครั้งเดียวก็ปล่อยให้เหล่าศิษย์ลงมือทำด้วยตนเอง
เถียนหลัวร้อนรนแทบตาย นางกระซิบเสียงเบาว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นไม่ชัด…”
เข้าเรียนวิชาของหนานเฮ่อเซียนเวิงหลายครั้ง อาเหลียนย่อมพอจะจับเคล็ดลับได้บ้างไม่มากก็น้อย นางปลอบเถียนหลัวด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “เจ้าอย่ากังวลไปเลย”
เถียนหลัวแกะสลักตามอาเหลียนอย่างไม่ผิดเพี้ยน สุดท้ายก็พอจะแกะสลักหูหลัวปัว[5]ในมือออกมาเป็นรูปร่างของเจ้านกน้อยได้อย่างถูไถ แม้แกะสลักออกมาไม่เหมือนของหนานเฮ่อเซียนเวิงที่ดูราวกับมีชีวิต แต่ก็ถือว่าผ่านมาได้พอกล้อมแกล้ม
อาเหลียนแกะสลักออกมาได้วิจิตรงดงามกว่าของเถียนหลัวมากนัก แม้กระทั่งขนของเจ้านก นางก็ยังแกะสลักออกมาได้อย่างงามยิ่ง
อาเหลียนวางมีดแกะสลักเล่มเล็กในมือลง ก็ได้ยินเสียงตำหนิของหนานเฮ่อเซียนเวิงที่ดังขึ้นไม่ไกล
อาเหลียนมองที่มาของเสียงนั้น เห็นหนานเฮ่อเซียนเวิงตำหนิแม่นางรูปร่างอรชรนางหนึ่งอยู่ แม่นางผู้นั้นถูกด่าว่าจนต้องก้มหน้าต่ำ ในมือคือหูหลัวปัวที่ถูกแกะสลักจนเละเทะ
เถียนหลัวเอ่ยกับนางว่า “นางก็คือภูตพุทราน้อยคนนั้น…”
อาเหลียนเคยได้ยินจากเถียนหลัวว่า ในหมู่ศิษย์ใหม่อย่างพวกนางก็มีแต่ภูตพุทราน้อยนางนี้ที่ได้อาศัยที่เกาะเซียนเพียงลำพัง อีกทั้งเถียนหลัวยังเคยแอบเห็นด้วยตาตนเองว่านางอยู่กับเซียวไป๋ซ่างเสิน จึงรู้ว่าเซียวไป๋ซ่างเสินคงเป็นผู้หนุนหลังของภูตพุทราน้อยตนนี้แน่
หากมีผู้หนุนหลังที่เก่งกาจเช่นนั้น นางก็ควรมีนิสัยเช่นพวกอี๋จางสิ ทว่ายามที่อาเหลียนพบภูตพุทราน้อย ก็เห็นนางชอบหลบมุมอยู่เงียบๆ ลำพัง นอกจากยามที่หนานเฮ่อเซียนเวิงตำหนินางจนดึงดูดความสนใจของคนอื่นแล้ว เวลาอื่นนางก็โดดเดี่ยว การมีผู้หนุนหลังที่มีอภิสิทธิ์พิเศษนั้นแน่นอนว่าเป็นเรื่องยอดเยี่ยมยิ่งนัก ทว่าเหล่าศิษย์ใหม่ของจิ่วเซียวเก๋อก็โดดเด่นเช่นกัน ทะนงตน ไม่เพียงแต่ไม่ประจบเอาใจ ในใจยังดูแคลน ไม่อยากคบค้าสมาคมกับนาง
ด้านหนานเฮ่อเซียนเวิงที่ตำหนิแล้วก็พาภูตพุทราน้อยมาตรงหน้าอาเหลียน “ต่อไปนี้ให้นางอยู่กลุ่มเดียวกับพวกเจ้า ช่วยสอนนางให้ดีๆ เล่า”
แต่ไรมาแม้หนานเฮ่อเซียนเวิงไม่เคยชมอาเหลียน ทว่าคราแรกที่เขาเห็นผลงานของอาเหลียน ก็พอจะสัมผัสได้ว่านางมีพรสวรรค์อยู่บ้าง อีกทั้งทุกครั้งนางล้วนตั้งใจ ในใจย่อมชื่นชมเป็นธรรมดา
อาเหลียนอึ้งงันเล็กน้อย เมื่อสบตากลมโตเป็นประกายของภูตพุทราน้อยตรงหน้า จึงได้สติกลับมา
อาเหลียนรู้แค่ครึ่งๆ กลางๆ รู้ว่าตนเองสอนนางไม่ได้ ทว่าหนานเฮ่อเซียนเวิงกลับโยนเผือกร้อนมาใส่มือนาง ในฐานะศิษย์ จำต้องเคารพอาจารย์ ไม่รับก็ไม่ได้ อาเหลียนไม่รู้ว่าควรจะพูดกับนางเช่นไรดี เมื่อเห็นท่าทางแกะสลักหูหลัวปัวที่เงอะงะของนางและหูหลัวปัวที่แกะสลักเสียไปอีกผลหนึ่งแล้ว นางทนไม่ไหว เอ่ยว่า “เจ้าค่อยๆ แกะสิ เรื่องพวกนี้จะรีบร้อนไม่ได้…”
ภูตพุทราน้อยนางนั้นช้อนตามองอาเหลียนคราหนึ่ง ผิวแก้มค่อยๆ เห่อร้อน มองแล้วเป็นแม่นางน้อยที่สดใสงดงาม ดูจากรูปร่างแล้วน่าจะโตกว่าอาเหลียนเล็กน้อย
นางกำมีดแกะสลักเล่มเล็กในมือ “ข้า…ข้าชื่อเซียวจ่าว”
อาเหลียนยิ้ม “ข้าชื่ออาเหลียน” ก่อนชี้ไปที่เถียนหลัว “นางชื่อเถียนหลัว”
เถียนหลัวชอบผูกมิตรเป็นที่สุด คงเป็นเพราะตอนที่เซียวจ่าวถูกหนานเฮ่อเซียนเวิงดุด่านั้น นางก็นึกถึงตนเองกับอาเหลียน จึงรู้สึกเป็นมิตรกับเซียวจ่าวอยู่หลายส่วน ยามนี้ได้ยินชื่อของนางแล้ว ก็ประหลาดใจ “มิน่าเล่า…เจ้าแซ่เซียว เซียวไป๋ซ่างเสินแซ่เซียว เช่นนั้นเจ้ากับเซียวไป๋ซ่างเสิน…”
เซียวจ่าวชะงักเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ขะ…ข้ากับ…”
“เจ้าสองคนเป็นญาติกันสินะ!”
เซียวจ่าวมองเถียนหลัวที่อยู่ตรงหน้า แววตาเรียบเฉย “ข้ากับเสี่ยว…เซียวไป๋ซ่างเสินเป็นเพื่อนบ้านกัน”
เซียวจ่าวเงียบขรึม ขี้อาย เถียนหลัวกระตือรือร้น มีชีวิตชีวา ทว่าอาเหลียนยามอยู่ที่ทะเลสาบต้งเจ๋อมักจะมีอาผังคอยดูแลตลอด กระทั่งก่อนออกเดินทาง อาผังก็ยังรู้สึกว่าอาเหลียนคงดูแลตนเองไม่ได้แน่ ทว่าตอนนี้อาเหลียนกลับกลายเป็นคนที่ดูแลผู้อื่นได้ดีที่สุดในสามคน
แม้เซียวจ่าวจะมีคนคอยหนุนหลัง แต่นางกลับไม่วางท่าอย่างอภิสิทธิ์ชนแม้แต่น้อย ทั้งสามคนจึงกลายเป็นสหายกันอย่างรวดเร็ว
วันนี้หลังเลิกจากชมรมทำอาหารแล้ว อาเหลียนก็นำผลงานที่ตนแกะสลักกลับมาด้วย
ทุกวันอาเหลียนกับเถียนหลัวจะไปส่งเซียวจ่าวที่ทะเลสาบหมิงเย่ว์ มองนางนั่งเรือลำน้อยไปยังเกาะเซียนแล้ว ถึงได้กลับพร้อมกับเถียนหลัว
วันนี้พอไปถึงทะเลสาบหมิงเย่ว์ เห็นบุรุษชุดสีหมึกในเรือลำน้อย ชายภูษาพลิ้วไหว ยืนเด่นเป็นสง่า
เขาก็คือเซียวไป๋ซ่างเสิน
เซียวไป๋ซ่างเสินเป็นทายาทเผ่าเทพ รูปร่างโดดเด่นเป็นสง่าเช่นเดียวกับเซียวเหิงผู้เป็นบิดา
บังเอิญยิ่งนัก ด้วยร่างกายของเถียนหลัวไม่สู้ดีนัก วันนี้จึงมีแค่อาเหลียนที่มาส่งเซียวจ่าวเพียงลำพัง อาเหลียนทอดถอนใจในใจ รู้ว่าปกติแล้วเถียนหลัวนับถือเซียวไป๋ซ่างเสินยิ่งนัก หากรู้ว่าวันนี้นางพลาดโอกาสที่จะพบเซียวไป๋ซ่างเสิน ก็ไม่รู้ว่าจะเสียดายเพียงใด
อาเหลียนคารวะพร้อมกับเซียวจ่าว
ยากที่เซียวไป๋จะเห็นนางมีสหายอยู่ข้างกาย สีหน้าเขาอ่อนลง เดินขึ้นหน้ามากล่าวว่า “ร่างกายดีขึ้นแล้วหรือ” ท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยกับเซียวจ่าวยิ่ง
เซียวจ่าวพยักหน้าเอ่ย “อือ ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ” น้ำเสียงห่างเหินอยู่บ้าง
เซียวไป๋เป็นคนอบอุ่นอ่อนโยน แต่การดูแลจิ่วเซียวเก๋อหลายปีมานี้ทำให้เขาจำต้องทำท่าทางเคร่งขรึมสงวนวาจาอย่างเสียมิได้ เขาเห็นหน้าของนางแดงปลั่ง ในมือยังกุมผลหูหลัวปัวที่แกะสลักเป็นรูปเป็ดน้อย เห็นทีจะไม่เป็นอะไรจริงๆ จึงไม่ได้ถามมากความ มองนางลงเรือ
ขณะที่เซียวไป๋จะจากไปนั้น อาเหลียนรีบเรียกเขาไว้ “ซ่างเสิน”
เซียวไป๋มองแม่นางน้อย “มีอะไรหรือ”
หากเป็นยามปกติ อาเหลียนคงมิกล้าพูดกับเซียวไป๋ซ่างเสินก่อนเช่นนี้ แต่…นางขมวดคิ้ว มองเขาด้วยความคาดหวังรอคอย ถามว่า “ท่าน…ท่านได้ข่าวของหรงหลินซ่างเสินบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
น้อยครั้งนักที่หรงหลินจะมาจิ่วเซียวเก๋อ นับจากครั้งก่อนก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วที่เขาไม่ได้มาที่นี่ ทว่าเทียบกับในอดีตที่เคยไม่มาเลยเป็นเวลาปีกว่า ยามนี้ก็นับได้ว่ามาบ่อยมากแล้ว ก่อนหน้านี้เขาไปที่สระคลื่นมรกต รั้งอยู่สักพัก ก่อนมายังทะเลสาบหมิงเย่ว์ เมื่อมาถึงก็เห็นข้างทะเลสาบมีบุรุษชุดสีหมึกกำลังก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อพูดคุยกับศิษย์หญิงในชุดกระโปรงหรูฉวิน[6]สีขาวซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายประจำจิ่วเซียวเก๋อ
หรงหลินรู้ว่าเซียวไป๋อัธยาศัยดี ทว่านอกจากเซียวจ่าวแล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นเซียวไป๋พูดคุยใกล้ชิดสนิทสนมกับศิษย์หญิงคนอื่นเช่นนี้
ความเย็นชาถือตัวสามารถหลีกหนีจากมวลผกางามได้ ตนก็เรียนรู้มาจากเขาผู้นี้
หรงหลินไม่เคยสนใจซักถามถึงชีวิตส่วนตัวของสหายสนิท เพียงแต่ยามที่ได้เห็นใบหน้าของศิษย์หญิงนางนั้นอย่างชัดเจน พลันมุ่นคิ้วแน่น นี่ไม่ใช่ภูตปลาน้อยตนนั้นหรอกหรือ
อาเหลียนจนหนทาง จึงถามเซียวไป๋ซ่างเสิน ขณะที่นางรอเขาตอบ ยามที่เบือนหน้ากลับมาเล็กน้อยก็เห็นคนที่กำลังยืนห่างออกไปไกล
ทันใดนั้นในดวงตาของสาวน้อยก็คล้ายมีบุปผาผลิบาน
อาเหลียนกระโจนเข้าไปหาทันใด “หรงหลินซ่างเสิน!” นางยินดีปรีดาที่สุด “ข้ากำลังถามเซียวไป๋ซ่างเสินอยู่พอดีเจ้าค่ะว่าหลายวันมานี้ท่านหายไปที่ใด แต่ก็พบท่านเสียก่อน ช่างดียิ่งนักเจ้าค่ะ”
หรงหลินนิ่งไปสักพัก ค่อยเข้าใจ มองวงหน้าสดใสของนางแล้วค่อยๆ คลายคิ้วที่ขมวดมุ่นออก ครู่ต่อมาก็กลับไปมีท่าทางสูงส่งเย็นชาดังเดิม “เจ้าตามหาข้าด้วยเหตุใด”
คล้ายนางไม่ใส่ใจท่าทางเฉยชาของเขาสักนิด แหงนหน้ามองเขาอย่างไม่ละสายตา ในดวงตาฉ่ำน้ำของนางคู่นั้นเต็มไปด้วยความปีติ วับวาวราวกับจะมีน้ำหยดลงมาตลอดเวลา
นางยกสองมือขึ้น กล่าวเสียงหวานกังวานใสว่า “หลายวันมานี้ข้าเรียนทักษะการใช้มีดกับหนานเฮ่อเซียนเวิง ในใจนึกถึงซ่างเสิน จึงแกะสลักเจ้าสิ่งนี้ออกมา อยากมอบให้ซ่างเสินเจ้าค่ะ”
สองมือของอาเหลียนอุ้มฟักทองที่แกะสลักเป็นหงส์[7]สยายปีกตัวหนึ่ง แม้ระยะเวลาเก็บรักษาผักผลไม้ของจิ่วเซียวเก๋อจะยาวนานกว่าปกติเล็กน้อย ทว่าพืชผักก็คือพืชผัก เวลาล่วงผ่านก็ต้องเน่าเสียเป็นธรรมดา หงส์ของนางตัวนี้แกะสลักมาแล้วสามวัน ด้วยเพราะไม่พบหรงหลิน นางจึงกลัวว่าจะพลาดช่วงเวลามอบของกำนัลที่ดีที่สุดไป วันนี้เมื่อพบเซียวไป๋ซ่างเสินแล้วก็อดเสียมารยาทถามถึงที่อยู่ของเขาไม่ได้
นางกะพริบตาปริบๆ “ซ่างเสิน ท่านชอบหรือไม่เจ้าคะ”
หรงหลินมองสักพัก อยากยกมุมปากขึ้นแต่ก็ฝืนกดมันลง สีหน้าประหลาดยากจะบรรยาย เขากระแอมเสียงเบา “ข้าขอดูหน่อย…”
อาเหลียนรีบยกสองมือขึ้นสูงอีกเล็กน้อย
เขายกมือขึ้น ท้องนิ้วเพิ่งสัมผัสส่วนปลายของหงส์ตัวนั้นพลันนึกขึ้นได้ จึงเหลือบมองเซียวไป๋ที่อยู่ตรงนั้น ก่อนหดมือกลับ วิจารณ์ว่า “ก็พอดูได้”
อ้อ อาเหลียนไม่คาดหวังว่าซ่างเสินจะชื่นชม ประโยค “ก็พอดูได้” นี้ก็เพียงพอแล้ว นางยิ้มเอ่ย “ซ่างเสินชอบก็พอแล้วเจ้าค่ะ” นางยังกล่าวอีกว่า “หงส์เป็นสัตว์เทพในตำนาน สูงส่งใช่ธรรมดา มีเพียงหงส์งามเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับฐานะของซ่างเสิน”
มิใช่เพียงเท่านี้ จิตใจของหงส์ล้ำค่าหาใดเปรียบ
หรงหลินหลับตาลง นึกถึงความทรงจำในวัยเยาว์ที่ไม่ค่อยงดงามเท่าไรนัก ยามที่ลืมตามองนางอีกครั้ง สีหน้าอ่อนโยนลง
ตอนที่เซียวไป๋มาถึงเกาะเซียนนั้น เซียวจ่าวกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ในลาน แผ่นหลังของนางบอบบาง ยังไม่ทันเข้าใกล้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของพุทราจากกายนางก็กำจายออกมา
เซียวไป๋ก้าวเข้าไปหา เห็นนางไม่ระวังทำชายเสื้อเปียกน้ำจนชุ่มโชก จึงยื่นมือไปคว้าบัวรดน้ำในมือนางแล้ววางลงด้านข้าง กุมแขนที่เปียกชื้นของนางไว้เบาๆ
เซียวจ่าวช้อนตามองบุรุษใบหน้างามกระจ่างตรงหน้า ปล่อยให้เขาใช้ท้องนิ้ววาดผ่านข้อมือของนางเบาๆ ชายเสื้อที่ชุ่มโชกพลันกลับมาแห้งสนิทดังเดิม
เขาเอ่ยว่า “หลายวันมานี้เห็นเจ้าอยู่กับภูตน้อยสองตนนั้นอย่างมีความสุข ข้าเลยคิดว่าควรจะส่งเจ้ามาที่จิ่วเซียวเก๋อให้เร็วกว่านี้”
เซียวจ่าวรีบเอ่ย “ข้าชอบอาเหลียนกับเถียนหลัวมาก”
เซียวไป๋หล่อเหลาอ่อนโยน เขายิ้มน้อยๆ รอยยิ้มอบอุ่นราวลมวสันต์ “ข้ารู้ เจ้าชอบทำสิ่งใดก็ทำเถิด ไม่ต้องคิดมาก”
เซียวจ่าวรู้ดีว่าตนคิดมากเกินไปจริงๆ
พวกเขาสองคนนับว่าเติบโตมาด้วยกัน เดิมนางเป็นเพียงต้นพุทราเล็กๆ ในกุยอวิ๋นเก๋อ หากไม่ใช่เขารดน้ำให้ทุกวัน ไหนเลยจะบำเพ็ญเพียรจนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้เร็วเพียงนี้ ปกติแล้วนางมีนิสัยขลาดกลัว ในบรรดาต้นไม้มากมาย นางนับเป็นต้นที่ไม่สะดุดตาที่สุด นางไม่ได้งดงามเช่นดอกไห่ถังและไม่มีรอยยิ้มสดใสเช่นทานตะวัน แต่เขาดีต่อนางมาก
ตอนนั้นนางยังไม่ประสา ข้างกายไร้ญาติขาดมิตร มีเพียงหนุ่มน้อยเจ้าของรอยยิ้มอบอุ่นผู้นี้ที่คอยอยู่เป็นเพื่อนนาง ตอนนั้นนางไม่ต้องการสิ่งใด เพียงค่อยากอยู่กับเขาตลอดไปเท่านั้น
กระทั่งวันหนึ่ง หนุ่มน้อยเติบใหญ่เป็นชายหนุ่มไร้ซึ่งรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นเช่นอดีตอีกต่อไป เขาเอนกายพิงกับลำต้นของนางด้วยความเจ็บปวด เอ่ยกับนางว่า “ท่านแม่ไม่ต้องการข้าแล้ว”
ตั้งแต่เด็กเขาก็ไม่มีบิดา หลังจากนี้ก็จะไม่มีมารดาอีกต่อไปแล้ว
นางไม่มีบิดามารดาเช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็เคยชินแล้ว แต่เขาไม่เหมือนกัน ยามนั้นนางไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี ได้แต่ใช้ใบไม้ช่วยกันลมกันฝนให้เขาอย่างงุ่มง่าม ด้วยไม่อยากให้เขาทรมานมากไปกว่านี้แม้เพียงนิด
นางอยู่เคียงข้างเขาเงียบๆ แต่เพราะเรื่องราวระหว่างเขากับมารดาทำให้จิตใจเขาอ่อนไหวมาก ในกุยอวิ๋นเก๋อนี้ เพียงนางพูดกับภูตต้นไม้ดอกไม้อื่นๆ มากเกินไป เขาก็จะโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็จะถอนรากถอนโคนเหล่าภูตต้นไม้ดอกไม้ข้างกายนาง ขับไล่ออกจากกุยอวิ๋นเก๋อจนสิ้น ยามนั้นเองนางถึงเริ่มรู้สึกกลัว
นางเคยคิดที่จะหนีไป ทว่าทุกครั้งก็ได้แต่คิดว่า หากนางจากไปแล้ว เขาก็จะเหลือตัวคนเดียวจริงๆ จึงตัดใจทำเช่นนั้นไม่ลง
ทุกสิ่งทุกอย่างของนางล้วนเป็นเขาที่มอบให้ แม้กระทั่งชื่อของนางเขาก็ยังตั้งให้ นางจึงมีแซ่เดียวกับเขา
นางครุ่นคิด ก่อนกุมมือเขา “ข้ามีของจะให้ท่าน”
นางกุมมือซ่างเสินผู้สูงศักดิ์ที่ทำหน้าที่ดูแลจิ่วเซียวเก๋อแล้วพาเข้าห้องไปเช่นนี้ เซียวจ่าวกระมิดกระเมี้ยนยื่นเจ้าเป็ดน้อยแกะสลักให้เขา ท่าทางเก้อเขิน “อาจน่าเกลียดไปบ้าง…”
ปกตินางไม่เชี่ยวชาญด้านนี้ ยามอยู่ที่กุยอวิ๋นเก๋อกับเซียวไป๋ หากต้องการกินอาหารก็แค่ดีดนิ้ว ส่วนใหญ่ก็พึ่งพาเซียวไป๋ ซึ่งนางชมชอบอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเทียบเจ้าเป็ดน้อยตัวนี้กับสิ่งที่นางแกะสลักก่อนหน้านี้หลายชิ้น พวกนั้นน่าเกลียดยิ่งกว่า โชคดีที่อาเหลียนช่วยสอนนาง จึงนับว่าเจ้าเป็ดนี่พอดูได้
เซียวไป๋ตั้งใจพินิจรอบหนึ่ง มองสองแก้มแดงก่ำของนางแล้ว ดวงตาเจือยิ้ม “…ข้าชอบมาก” แม้กล่าวเช่นนี้ แต่สายตากลับไม่ได้ทอดมองเจ้าเป็นน้อย ทว่าเป็นแม่นางน้อยตรงหน้านี่ต่างหาก
อาเหลียนตามหรงหลินไปยังสระคลื่นมรกต นางอยากกล่าวบางอย่างกับเขา ทว่าทุกครั้งที่มองแผ่นหลังของเขากลับรู้สึกว่ามีระยะห่างระหว่างพวกเขามากเกินไป เขาสูงส่งมากอย่างนั้น ข้างกายกลับมีภูตน้อยช่างจ้อคอยเดินตาม ดูอย่างไรก็ไม่เหมาะกับสถานะของซ่างเสินเลยจริงๆ
แม้หรงหลินจะมีชีวิตอยู่หลายหมื่นปี แต่กลับไม่เคยอยู่กับเด็กสาวนางหนึ่งเพียงลำพัง เขาย่างเท้าไปไม่กี่ก้าว เมื่อเห็นนางเอาแต่นิ่งเงียบไม่กล่าวคำ ในใจก็ไม่พอใจอยู่บ้าง
เอาแต่ตามเขาตลอดทาง แต่กลับไม่กล่าวอะไร หรืออยากให้เขาเริ่มต้นบทสนทนา
หรงหลินหันกลับไป เห็นนางยงโย่ยงหยก ท่าทางกระโดกกระเดก มองก็รู้ว่าคงไม่มีผู้ใดสั่งสอนตั้งแต่นางยังเด็ก พอคิดเช่นนี้หรงหลินก็รู้สึกสงสารภูตปลาน้อยตนนี้อยู่บ้าง พลันเอ่ยว่า “อย่าเหยียบมั่วซั่ว ระวังจะเหยียบพืชผักเสียหาย”
หรงหลินซ่างเสินจิตใจดีมากเมตตา ที่ใส่ใจที่สุดก็คือเรื่องพวกนี้แล้ว
อาเหลียนเงยหน้าเล็กขึ้นยิ้ม ก่อนวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา “ข้าระวังมากเจ้าค่ะ ไม่มีทางเหยียบเจ้าพวกนี้”
หรงหลินสีหน้าดีขึ้นบ้าง
อาเหลียนรวบรวมความกล้าขึ้นไปยืนเคียงข้างเขา “เรื่องวันนั้นขอซ่างเสินอย่าได้โกรธอีกเลยนะเจ้าคะ”
เรื่องที่ว่านั้นก็คือเรื่องที่ซ่างเสินมีใจเมตตาชี้แนะนาง แต่นางมัวแต่สนใจเขา
หรงหลินรับคำ “อืม” แล้วก็ไม่กล่าวอีก
อาเหลียนเอ่ยว่า “วันนั้นพอซ่างเสินโกรธจนจากไปแล้ว ข้าก็ฝึกซ้อมอยู่นาน ในที่สุดก็ฝึกจนสำเร็จ ชงซวีจุนเจ่อไม่ได้ตำหนิข้าอีกแล้วเจ้าค่ะ”
หรงหลินพอจะเข้าใจอารมณ์ของชงซวีอยู่บ้าง ระดับอย่างภูตปลาน้อยตนนี้เข้าจิ่วเซียวเก๋อได้ก็นับว่าเป็นโชคดีที่สั่งสมมาสามชาติแล้ว แต่นางกลับไม่มานะพยายาม เป็นตัวถ่วงของเหล่าศิษย์ใหม่ ขนาดเขายังอดตำหนิไม่ได้ นับประสาอะไรกับชงซวีอารมณ์ร้อนผู้นั้น
“หรงหลินซ่างเสิน” นางเรียกเขาเสียงเบา
หรงหลินถาม “มีเรื่องใดอีก”
อาเหลียนเม้มริมฝีปาก หลุบตาต่ำ ก่อนเหลือบตามอง จ้องเขาอย่างแน่วแน่ สองมือกุมกันอย่างขัดเขิน “เดิมข้าก็อาศัยโชคดีถึงเข้าจิ่วเซียวเก๋อได้ ทว่าข้าเคารพนับถือซ่างเสินนานแล้ว เมื่อเข้าจิ่วเซียวเก๋อแล้ว ก็ไม่อยากจากไปเช่นนี้ หนึ่งเดือนจากนี้จะมีการประลองของศิษย์ใหม่ มีเพียงต้องผ่านการประลองนี้ไปเท่านี้ ข้าถึงจะกลายเป็นศิษย์ของจิ่วเซียวเก๋ออย่างสมบูรณ์ ทว่าตบะบำเพ็ญของข้าต่ำต้อย ทั้งยังเรียนไม่เก่ง ยากยิ่งนักที่จะโดดเด่นท่ามกลางศิษย์จำนวนมาก”
นางมีความสามารถเท่าใด เขาจะไม่รู้หรือ อย่าว่าแต่โดดเด่นเหนือผู้ใดเลย แค่ไม่ถ่วงผู้อื่นก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว
ได้ยินนางกล่าวต่อไม่ผิดจากที่คาดไว้ “แต่…หากได้ซ่างเสินช่วยชี้แนะด้วยตนเอง ข้าคิดว่าข้าต้องผ่านการประลองได้แน่เจ้าค่ะ”
หรงหลินเอ่ย “เหตุใดข้าต้องช่วยชี้แนะเจ้าด้วย” เขาเป็นซ่างเสินมีเรื่องต้องทำมากมาย
อาเหลียนกล่าวว่า “เมื่อครู่ซ่างเสินรับหงส์ของข้าไปแล้ว”
หรงหลินสีหน้าเคร่งขรึม คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นภูตน้อยที่ตระหนี่ถึงเพียงนี้ เขาโกรธจนหน้ามืด ทำท่าจะหยิบของออกมาจากแขนเสื้อ “คืนให้เจ้าก็ได้”
อาเหลียนรีบกอดแขนเขาไว้และรีบเอ่ย “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” นางลอบสังเกตสีหน้าของเขาอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซ่างเสินอึมครึม ก็รู้ว่าเขาคงโกรธเข้าแล้วจริงๆ นางปลอบด้วยความจริงใจ “ท่านอย่าโกรธเลย”
แม้กระทั่งปลอบคนยังทำไม่เป็น
เขารู้สึกโกรธอยู่บ้างจริงๆ ทว่าเพียงไม่นานก็สงบลง เมื่อเห็นท่าทางที่นางกอดแขนของเขาไว้อย่างร้อนรน ก็ให้เข้าใจ ด้วยความสามารถเช่นนาง การเข้าจิ่วเซียวเก๋อคงไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ…อย่างไรเสียช่วงนี้เขาก็ไม่มีธุระใดต้องทำ
เขาหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ชักแขนของตนออกจากอ้อมกอดของนาง เอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจว่า “เจ้ามาหาข้าที่นี่ตอนยามสาม[8]ของทุกคืน”
อาเหลียนเบิกตาโต เนิ่นนานกว่าจะได้สติว่าซ่างเสินตอบรับว่าจะสอนนางเป็นพิเศษ นางรีบผงกศีรษะรัวๆ ราวกับโขลกกระเทียมพร้อมเอ่ยว่า “เจ้าค่ะ” นางถามอีกว่า “ซ่างเสินชอบกินรสชาติใดหรือเจ้าคะ ข้าจะได้เตรียมของว่างมื้อดึกมาให้ท่าน”
หรงหลินขมวดคิ้วมองนาง เขาครุ่นคิด ค่อยเอ่ยว่า “ข้าชอบอาหารรสค่อนข้างจืด”
อาเหลียนดีใจอักโข แม้นางอยากจะสละตน ทว่ายามนี้ฐานะของนางต่ำต้อย มีเพียงการเป็นศิษย์ของจิ่วเซียวเก๋อโดยสมบูรณ์เท่านั้น ถึงจะมีคุณสมบัติที่จะเป็นปลาของซ่างเสินได้
นางสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ ทว่าเมื่อยืนนานขามักจะอ่อนแรง อยากนั่งลงสักหน่อย ทว่าซ่างเสินไม่นั่ง นางเกรงใจที่จะนั่ง จึงอดถามเขาไม่ได้ว่า “ซ่างเสินไม่เหนื่อยหรือ อยากนั่งสักพักหรือไม่เจ้าคะ”
หรงหลินชายตามองนางนิดๆ ในใจทราบดี แต่ไม่ได้เปิดโปงนาง ค่อยๆ ยกชายภูษาขึ้น ทรุดกายลงนั่งบนหินก้อนใหญ่ด้านหลังด้วยท่าทางสง่างาม
อาเหลียนถือโอกาสนั่งลงทันควัน สองมือเท้าคางมองวารีใสที่กระเพื่อมน้อยๆ ในสระคลื่นมรกต “จิ่วเซียวเก๋อเป็นสถานที่ที่งามจริงๆ ได้รับการสรรค์สร้างอย่างวิจิตรตระการตา ครั้งก่อนยามพบซ่างเสินที่นี่ ข้าเห็นในสระมีเสาหยกสูงเสียดฟ้า ระหว่างเสาหยกนั้นมีนกตัวใหญ่ แต่ข้าไม่ทราบว่าเป็นสัญลักษณ์มงคลอะไร…” นางพึมพำกับตนเอง เมื่อเห็นซ่างเสินไม่กล่าวคำ ก็หันมอง เห็นซ่างเสินสีหน้าไม่ใคร่ยินดีนัก ก็คิดว่าซ่างเสินคงนึกว่านางกล่าวถ้อยคำส่งเดช จึงรีบอธิบายว่า “ข้าเห็นจริงๆ นะเจ้าคะ…”
นางยื่นมือออกไปแล้วเริ่มทำท่าเปรียบเทียบขนาดให้ดู “นกนั่นใหญ่มากจริงๆ”
อาเหลียนยังคิดจะพูดต่อ ทว่ากลับพบว่าตนเองทำได้เพียงส่งเสียง “อือๆ” ออกมาเท่านั้น พอขยับตัวก็พบว่าตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ที่นางกลับสู่ร่างเดิมแล้ว!
ปลาฮวาเหลียนตัวอวบขาวพยายามออกแรงดิ้นบนหินก้อนใหญ่
หรงหลินเหลือบมองอย่างเฉยชา เมื่อเห็นท่าทางเงอะงะของนาง ก็คลายความโกรธลงบ้าง เขาหยัดกายลุกขึ้น ไม่อยากมองนางอีก หันหลังให้นางแล้วหลับตาลง ปรับอารมณ์ให้คงที่ ค่อยเอ่ยว่า “อีกครึ่งชั่วยามก็จะคืนร่างกลับมา เจ้าระวังให้ดี อย่าให้ใครจับไปเล่า”
กล่าวจบ ก็ใช้วิชาเซียนไปจากที่นี่ทันที
ปลาฮวาเหลียนดีดตัวสองสามทีลงมาจากหินก้อนใหญ่ จากนั้นกระโดดลงสระคลื่นมรกตเสียงดัง “ตู้ม” อย่างยอมรับชะตากรรม ลงไปว่ายในคลื่นธารา
[1] เซียนจวินเป็นคำเรียกเซียนชาย
[2] จุนเจ่อเป็นคำเรียกผู้ที่มีฐานะหรือสถานะสูงศักดิ์
[3] หมายถึง ทระนงตน ไม่ยอมก้มหัวให้อะไรง่ายๆ
[4] เซียนเวิงเป็นคำเรียกเซียนชายหรือเทพ
[5] แครอท
[6] หรือชุดกระโปรงคาดอก เป็นเครื่องแต่งกายของสตรีชาวฮั่น ท่อนบนมีลักษณะเป็นเสื้อตัวสั้น ทับด้วยกระโปรงยาวมัดด้วยผ้าคาดทับเหนือหน้าอก
[7] หรือนกเฟิ่งหวง เป็นสัตว์มงคลในตำนานของจีน เป็นสัญลักษณ์แทนเพศหญิงเคียงคู่กับมังกรที่เป็นสัตว์สัญลักษณ์แทนเพศชาย
[8] ช่วงเวลา 23.00–1.00 น.