鱼香四溢
ปลาน้อยของท่านเทพ
抹茶曲奇 หมั่วฉาฉวี่ฉี เขียน
สี่เมษา แปล
— โปรย —
อาเหลียนเป็นปลาฮวาเหลียนตัวน้อยธรรมดาๆ
ที่มีตบะบำเพ็บเพียงสามร้อยปี นางมีความปรารถนาหนึ่ง
ชีวิตนี้นางปรารถนาที่จะเป็นอาหารจานหลักของหรงหลิน
เทพสงครามผู้สูงส่ง รูปโฉมงดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้า
ซึ่งครองตนบริสุทธิ์ผุดผ่องมาสามหมื่นปี
อาเหลียนพยายามฝึกเซียนเพื่อให้ได้ใกล้ชิปดเขา
และขุนตนเองให้อวบขาว กระทั่งในที่สุดก็สามารถนำไปปรุงอาหารได้แล้ว
อาเหลียน “ซ่างเสิน ท่านชอบปลาน้ำแดงหรือปลานึ่งเจ้าคะ”
หรงหลิน “…ข้าเป็นมังสวิรัติ”
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ“
สำนักพิมพ์อรุณ
(ทดลองอ่านนี้ไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
3
ปลาโง่ตัวหนึ่งที่นิสัยเสีย (1)
วาจาของซ่างเสินศักดิ์สิทธิ์นัก ในเมื่อบอกแล้วว่าจะคืนความยุติธรรมให้นาง อาเหลียนย่อมเชื่อเขา
ส่วนถ้อยคำชี้แนะจริงจังของซ่างเสินนี้ ในฐานะศิษย์แน่นอนว่าต้องจดจำใส่ใจ แต่ไหนแต่ไรอาเหลียนก็ไม่เคยคิดจะเป็นปลาที่หลงใหลวัตถุสิ่งของ ยามแยกจากกับอาผังนั้น อาผังก็เคยเตือนนางว่า คนที่สามารถเข้าจิ่วเซียวเก๋อได้ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีฐานะและครอบครัวดี พอถึงเวลานั้นจะได้เจอบุรุษมากมาย เจ้าอย่าได้หลงมัวเมา และยิ่งอย่าคิดหวังว่าจะได้แต่งเข้าสกุลสูงศักดิ์ คนของที่นั่นล้วนไม่เหมาะกับเจ้า เจ้าจะต้องเรียนรู้วิชาเวทให้ดี เมื่อเวลานั้นถึงจะได้หวนคืนสู่บ้านเกิดอย่างภาคภูมิ ศิษย์จากจิ่วเซียวเก๋อที่โดดเด่นอย่างเจ้า ชายหนุ่มในทะเลสาบต้งเจ๋อย่อมรอคอยให้เจ้าเลือกสรร เช่นนี้จึงจะดีงาม
เมื่อเห็นนางกลับมา อี๋จางรู้สึกประหลาดใจ “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เจ้ายังกลับมาได้อย่างปลอดภัย…เจ้าปลาหัวโต เจ้านี่นับว่ามีความสามารถมาก”
วาจานี้ของอี๋จางออกจะชอบกลอยู่บ้าง แต่อาเหลียนไม่ได้พูดคุยกับนาง เพียงเดินผ่านไปหาเถียนหลัว
เถียนหลัวกังวลใจทุกวัน เรียกได้ว่านับวันรอให้อาเหลียนออกมา เรื่องนี้แม้ตึงมือ ทว่ามีหรงหลินซ่างเสินอยู่ เถียนหลัวก็วางใจมาก นางรู้ว่าเรื่องนี้มิอาจให้อี๋จางและอี๋กุยล่วงรู้ จึงได้แต่เก็บกดความตื่นเต้นไว้ในใจ รอเวลาที่อยู่ด้วยกันเพียงสองคน ถึงเอ่ยว่า “หรงหลินซ่างเสินเก่งมากจริงๆ มีเขาคอยปกป้องเจ้า ในจิ่วเซียวเก๋อนี้เจ้าก็เดินอาดได้สบาย”
อาเหลียนกลับเอ่ยว่า “ข้าจะได้อยู่ที่จิ่วเซียวเก๋อต่อหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา” ยิ่งกว่านั้น ยามนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับนางอีก…
เถียนหลัวปลอบว่า “เจ้าวางใจเถิด ซ่างเสินจะต้องคืนความยุติธรรมให้เจ้าได้แน่”
นับแต่ได้พบหรงหลินซ่างเสิน ความร้อนรนทุกข์ใจสองวันก่อนหน้าของเถียนหลัวก็หายไป นัยน์ตาเจือยิ้ม วางท่าราวกับว่า “เมื่อซ่างเสินอยู่ในมือ มือของข้าก็มีใต้หล้า”
อาเหลียนไม่ใช่คนที่จะมานั่งตำหนิหรือสงสารตนเอง ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว นางก็แค่กระวนกระวายเกินไปหน่อย อย่างไรเสียคืนวันเหล่านี้ก็ต้องผ่านพ้นไป
สองวันที่อยู่ในสำนักโยวซือ แม้มีพี่ชายน้อยของห้องขังคอยดูแล แต่ที่นั่นก็ทั้งอับชื้นและมืด ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนที่นี่ นางจึงหลับไม่สนิทนัก
คืนนี้พอหัวถึงหมอน อาเหลียนก็หลับไปทันควัน
วันต่อมาเป็นเช้าวันใหม่ อาเหลียนคิดถึงคำกล่าวของซ่างเสินจึงหยิบชุดหรูฉวินตัวงามและรองเท้าปักประดับมุกที่เขามอบให้ออกมา เตรียมพร้อมที่จะไปเข้าเรียนด้วยความมุ่งมั่นแรงกล้า
นางรูปโฉมงดงาม ขนาดวันปกติสวมเครื่องแต่งกายตัวใหญ่ที่เป็นแบบฉบับของจิ่วเซียวเก๋อก็ยังยากจะอำพรางรูปร่างสะโอดสะองได้ วันนี้เมื่อใส่ชุดหรูฉวินสีแดงที่ตัดเย็บพอดีตัว ทำให้ยิ่งขับเน้นสัดส่วนโค้งเว้าของเด็กสาวชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อสวมคู่กับรองเท้าผ้าไหมปักลายประดับมุกคู่นี้แล้ว ก็ทำให้นางดูเหมือนสตรีสูงศักดิ์ผู้โดดเด่นจริงๆ
แม้กระทั่งอี๋กุยที่เดิมนิ่งเงียบมาโดยตลอด พอเห็นรูปโฉมงดงามเจิดจรัสของอาเหลียนยามนี้แล้ว ก็ยังต้องนิ่งอึ้งไปชั่วครู่
ชุดกระโปรงก่อนหน้านี้นับว่างามที่สุดแล้ว ยามนี้ยังมีชุดนี้อีกชุด อี๋จางทนเงียบไม่ไหวพลันเอ่ยว่า “ดูท่าทางของเจ้าสิ คงตกคุณชายสูงศักดิ์ตระกูลใดมาได้จริงๆ สินะ ไม่ทราบว่าเป็นเศรษฐีใหม่จากที่ใด ไหนลองเล่าให้ข้าฟังบ้างซิ”
อาเหลียนรู้นิสัยระรานไม่จบไม่สิ้นของอี๋จางดี “ไม่ใช่ใครหรอก เป็น…เป็นญาติผู้พี่ของข้าเอง”
แน่นอนว่าอี๋จางไม่เชื่อถ้อยคำของอาเหลียน ญาติผู้พี่ผู้น้องนี่แหละที่น่าสงสัยที่สุด อี๋จางเห็นบุรุษมานักต่อนักแล้ว ยามรักยามชอบอย่าว่าแต่ญาติผู้พี่เลย แม้แต่พี่ชายร่วมอุทรก็ยังเรียกขานไม่ขาดปาก
อี๋กุยส่งสายตาให้ บอกนางว่าอย่าได้ถามมาก
อาเหลียนในจิ่วเซียวเก๋อไม่ได้เป็นที่รู้จักแต่อย่างใด มีเพียงหน้าตาที่พอดูได้ แต่ยามนี้เหล่าชายหนุ่มที่ปกติจะตามเอาใจนางกลับไม่มีผู้ใดปลอบใจนางเลย ก็ไม่แปลก เพราะเกิดเรื่องเช่นนั้นกับฉวีจู๋ ชายหนุ่มในจิ่วเซียวเก๋อย่อมคิดว่านางเป็นปีศาจสาวที่ดูดพลังจิงหยวนของบุรุษเป็นอาหาร ไหนเลยจะกล้าตอแยนางอีก หลบเลี่ยงยังแทบไม่ทันด้วยซ้ำ
อาเหลียนไม่ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ เพียงลากเถียนหลัวไปนั่งที่ ก็เห็นไป๋สวินที่ปกติคุยกับนางน้อยครั้ง เดินเข้ามาหยุดข้างกายนางแล้วกล่าวปลอบง่ายๆ เพียงไม่กี่ประโยคอย่างหาได้ยากยิ่ง
ไป๋สวินร่างกายแข็งแรงกำยำ คิ้วหนาตาโต รูปร่างสูงใหญ่หล่อเหลา ยามอยู่ที่ทะเลสาบต้งเจ๋อเขาเป็นหัวโจกในทะเลสาบ อาเหลียนเหมือนปลาตัวอื่นๆ ที่พอได้ยินชื่อของเขาแล้วก็จะหลบออกไปไกลๆ มีเพียงตอนที่เดินทางมาจิ่วเซียวเก๋อด้วยกันเท่านั้น ถึงพอจะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันมากขึ้นหน่อย
ไป๋สวินกล่าวว่า “พวกเราเป็นสัตว์น้ำจากทะเลสาบต้งเจ๋อเหมือนกัน ไม่มีทางทำเรื่องนอกลู่นอกทางเช่นนั้นเป็นอันขาด จิ่วเซียวเก๋อผดุงความยุติธรรมมมาโดยตลอด ถึงเจ้าฉวีจู๋นั่นจะมีคนคอยหนุนหลัง แต่การกล่าวหาปลาดีๆ อย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย”
อย่างไรก็เป็นคนบ้านเดียวกันนี่นะ
เวลานี้อาเหลียนย่อมรู้สึกซาบซึ้งกับความเชื่อใจของเขา พยักหน้าน้อยๆ “อือ ขอบคุณพี่ไป๋สวินมากเจ้าค่ะ”
หลังไป๋สวินจากไปแล้ว เถียนหลัวก็เขยิบเข้ามาใกล้หู กล่าวเสียงเบาว่า “ตอนเกิดเรื่องกับเจ้า ไป๋สวินผู้นี้เป็นห่วงเจ้ามากนะ เขายังคิดจะหาวิธีใช้เส้นสาย…”
อาเหลียนยิ่งประหลาดใจ
เถียนหลัวยิ้ม ขยิบตาให้นาง “ไป๋สวินผู้นี้แม้รูปโฉมไม่หล่อเหลาเท่าหรงหลินซ่างเสิน แต่กลับแข็งแรงแกร่งกล้าไม่ธรรมดา ท่านแม่สอนข้าตั้งแต่ยังเยาว์ว่า การเลือกสามีนั้นต้องเลือกคนร่างกายกำยำ แข็งแรงกล้าหาญ เขายังเป็นคนบ้านเดียวกับเจ้า เหมาะสมกันที่สุด พอถึงตอนนั้นเจ้าสองคนออกจากจิ่วเซียวเก๋อไปได้อย่างราบรื่น มือหนึ่งถือใบจบการศึกษา มือหนึ่งถือหนังสือสมรสคงจะดีมาก”
อาเหลียนหรือจะสนใจวาจาเลื่อนลอยนี้ของเถียนหลัว แต่นางก็ยังคงหันมองไป๋สวินอย่างไม่รู้ตัว เห็นเขาเงยหน้าพอดี จึงประสานสายตากับนาง เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนยิ้มให้นาง แก้มสีคล้ำขึ้นสีอย่างหาได้ยาก
อาเหลียนคิดได้ก็ก้มหน้ามองกระโปรงหรูฉวินตัวงามที่นางสวม คิดว่าจะต้องเป็นเพราะวันนี้นางแต่งตัวฉูดฉาดเกินไป ถึงได้ดึงดูดให้ไป๋สวินคอยหันมองนางบ่อยๆ
ดูท่าคงสวมกระโปรงตัวนี้อีกไม่ได้แล้ว
รอจนอาเหลียนเลิกเรียน ที่ลานประกาศก็มีคนจำนวนไม่น้อยมุงกันอย่างหนาแน่นคึกคัก
ที่ลานประกาศมีคันฉ่องทรงกลมบานใหญ่ตั้งอยู่ ปกติแล้วหากมีเรื่องใดเกิดขึ้นก็จะปรากฏภาพเหตุการณ์
เถียนหลัวชอบชมเรื่องสนุก จึงลากอาเหลียนแทรกกลางฝูงชนนั้น เห็นในคันฉ่องบานกลมค่อยๆ มีตัวอักษรแข็งแรงฉวัดเฉวียนดุจมังกรทะยานปรากฏ เนื้อหาที่เขียนคือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับฉวีจู๋
ยังมีภาพเหตุการณ์ก่อนจะเกิดเรื่องกับฉวีจู๋ด้วย
อาเหลียนนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เห็นในคันฉ่องหลิวกวงเมื่อวาน ภาพเหตุการณ์ก่อนและหลังเกิดเรื่องกับฉวีจู๋ล้วนมีครบถ้วน มีเพียงเหตุการณ์ยามที่เกิดเรื่องเท่านั้นที่ทุกอย่างแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน
ยามนี้ในลานประกาศ นอกจากสิ่งที่นางเห็นก่อนหน้านี้แล้วก็ยังมีภาพเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง อย่างเช่นภาพหลังฉวีจู๋ถูกดูดซับพลังจิงหยวนแล้วมีหางของจิ้งจอกแดงตัวหนึ่งวาบผ่านไป…
จากนั้นก็มีข้อความเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรของอาเหลียนฉายขึ้น เป็นการยืนยันว่าภายในร่างของนางมีตบะบำเพ็ญแค่เพียงสามร้อยปี…ฉวีจู๋มีตบะบำเพ็ญแปดร้อยปี หากนางดูดซับพลังจิงหยวนของฉวีจู๋จริง ย่อมมิอาจมีตบะบำเพ็ญแค่เพียงเท่านี้
ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็ถือว่าอาเหลียนหลุดพ้นจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยแล้ว การเสียชีวิตของฉวีจู๋ไม่เกี่ยวข้องกับนางจริงๆ
แต่อาเหลียนเป็นปลาฮวาเหลียนตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ไม่โดดเด่นอะไรในจิ่วเซียวเก๋อ ทว่ากลับคลี่คลายปัญหาได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้…
ไม่ว่าผู้ใดที่นัยน์ตาพอจะมีแววบ้างก็ต้องมองออกว่า เจ้าปลาหัวโตตัวนี้มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา!
ชั่วขณะหนึ่งนั้นผู้คนในจิ่วเซียวเก๋อก็ปฏิบัติต่ออาเหลียนดีขึ้นมากอย่างไม่ทราบสาเหตุ แม้กระทั่งคนที่ตามเกี้ยวพาก็มีเพิ่มขึ้นด้วย!
นี่ก็คือความต้องการของหรงหลิน วิถีทางโลกทุกวันนี้หากไม่มีผู้สนับสนุนก็ยากที่จะยืนหยัดในจิ่วเซียวเก๋อ ก่อนหน้านี้ที่เซียวไป๋แหกกฎให้เซียวจ่าวพำนักที่เกาะเซียนเพียงลำพัง ก็เพื่อให้เหล่าศิษย์ของจิ่วเซียวเก๋อได้เห็นอย่างชัดเจนว่านางมีคนหนุนหลัง จะได้มิกล้ารังแกนาง ภูตปลาน้อยนี่ไม่ว่าจะอย่างไรก็นับว่ามีวาสนากับเขา จึงไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะปล่อยให้นางถูกผู้อื่นรังแก
ยามนี้…
นางมีเขาเป็นผู้หนุนหลัง ก็คงเพียงพอแล้วกระมัง
อาเหลียนรู้สึกว่าวันเวลาที่นางอยู่ในจิ่วเซียวเก๋อราบรื่นขึ้นมาก ไปกินอาหารที่โรงอาหารกับเถียนหลัวก็มีศิษย์พี่จำนวนไม่น้อยเลี้ยงอาหาร แต่อาเหลียนไม่ใช่ปลาที่ชอบเอาเปรียบผู้ใดจึงปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียมด้วยการปฏิเสธไปทั้งหมด เถียนหลัวที่ยืนอยู่ด้านข้างแอบยกนิ้วโป้งให้อาเหลียน “ซ่างเสินเยี่ยมจริงๆ…”
ถามว่า “จริงสิ หลายวันมานี้ไฉนถึงไม่เห็นเจ้าไปฝึกฝนวิชาเวทกับซ่างเสินเล่า”
อาเหลียนครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่านางไม่ได้พบซ่างเสินมาหลายวันแล้ว พอนึกถึงถ้อยคำที่ซ่างเสินเอ่ยกับนางวันนั้น ก็บอกไปตามตรงว่า “ซ่างเสินมีกิจธุระมากมาย ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจข้าได้ทุกคืน หลายวันมานี้ดูเหมือนเขามีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำ จึงออกไปทำธุระข้างนอกแล้ว”
นัยน์ตาของเถียนหลัวเปี่ยมด้วยแวววาดหวัง เหลือบตามองฟ้า รู้สึกอิจฉาเหลือประมาณ “เป็นเทพระดับซ่างเสินนี่ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก ตลอดปีไม่มีเรื่องใหญ่อะไรทำ ที่บอกว่าไปทำธุระข้างนอกก็แค่ออกไปดูว่าข้างนอกสงบสุขดีหรือไม่ อันที่จริงก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการท่องเที่ยวโดยใช้เงินส่วนกลาง ช่างดีจริงๆ”
อาเหลียนกลับกล่าวว่า “ซ่างเสินมีความลำบากของซ่างเสิน นี่เป็นสิ่งที่สัตว์น้ำธรรมดาๆ เช่นพวกเราเข้าไม่ถึง”
เถียนหลัวพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ยามบ่ายเป็นวันพักผ่อนของอาเหลียน เดิมนางคิดจะกลับไปฝึกฝนวิชาเวท คืนนี้จะพบซ่างเสินก็ยิ่งต้องขยันให้มากขึ้น ไหนเลยจะรู้ว่าพอเดินมาได้ครึ่งทาง บนทางเดินเล็กๆ กลับมีศิษย์หญิงมากมายสาวเท้าอย่างเร่งรีบ สีหน้าตื่นเต้น ไม่รู้ว่าไปที่ใด
อาเหลียนกับเถียนหลัวหันมอง ก็เห็นศิษย์หญิงพวกนั้นต่างมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน จึงอดสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ ดักศิษย์พี่หญิงคนหนึ่งเพื่อสอบถาม
ศิษย์พี่หญิงคนนั้นประหลาดใจ “คิดไม่ถึงว่าข่าวของพวกเจ้าจะล่าช้ากว่าข้า วันนี้หรงหลินซ่างเสินมาเยือนจิ่วเซียวเก๋อ เขาไม่ได้มาบรรยายที่นี่นานมากแล้ว โอ๊ย ยามนี้คงจะเริ่มวิชาเรียนแล้ว ข้าไม่อยู่คุยเรื่องไร้สาระกับพวกเจ้าแล้ว หากไปช้าคงไม่เหลือที่นั่งแน่…”
อาเหลียนคว้ามือของเถียนหลัวด้วยความตื่นตกใจ “ซ่างเสินมาแล้ว”
แม้หรงหลินจะปรากฎตัวน้อยครั้ง ทว่าเขาก็ยังเป็นบุคคลที่สูงส่ง ยากเข้าถึงสำหรับศิษย์จิ่วเซียวเก๋อเสมอมา
ซ่างเสินที่ได้รับความชื่นชมขนาดนี้ ย่อมมีศิษย์หญิงจำนวนมากของจิ่วเซียวเก๋อที่เลื่อมใสเขามารวมตัวกัน แม้กระทั่งศิษย์ชายก็ยังมากันไม่น้อย
คนมากก็วุ่นวาย พวกอาเหลียนไปถึงช้าย่อมมิอาจจับจองที่นั่งดีๆ ได้แต่ยืนเบียดเสียดกับฝูงชน ชะเง้อมองซ่างเสินที่สวมชุดขาวพลิ้วไสว องอาจหล่อเหลาไม่มีผู้ใดเทียมบนแท่นเทพ
ซ่างเสินสง่างามเหนือผู้ใด การบรรยายวันนี้เป็นหัวข้อเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ในหัวใจของเหล่าศิษย์ ซ่างเสินที่จิตใจงดงามยิ่งสมบูรณ์แบบไร้ที่ติยิ่งขึ้น
การบรรยายดำเนินมาถึงครึ่งชั่วยามเต็มก็จบลงแล้ว เหล่าศิษย์หญิงที่หน้าแดงก่ำหัวใจเต้นรัวถึงได้เริ่มกระวีกระวาด บางคนที่ใจกล้าหน่อยถึงกับลุกขึ้นยืนและถามออกไปตรงๆ ว่าซ่างเสินมีคู่ครองแล้วหรือยัง
ซ่างเสินในวันนี้ดูเป็นมิตรอ่อนโยนมากเป็นพิเศษ แม้คำถามนี้จะไร้มารยาท แต่เขายังคงตอบคำถาม
ซ่างเสินเอ่ยว่า “ยังไม่มี”
เพียงคำนี้ก็ทำให้เหล่าศิษย์ชายหญิงนับไม่ถ้วนแอบกรีดร้องด้วยความยินดี
ตอนนี้แม้ผู้คนจะหนาตา ทว่าหรงหลินอยู่บนที่สูงจึงเห็นภูตปลาน้อยที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนได้ในผาดเดียว เมื่อเห็นนางฟังคำตอบของเขาแล้วฉีกยิ้มกว้างสดใสถึงเพียงนั้น ในใจย่อมกระจ่างแจ้ง
หรงหลินหลุบตาลง
พอรู้ว่าเขายังไร้คู่ นางก็ตื่นเต้นดีใจถึงเพียงนี้เชียวรึ ที่แท้ก็คิดไม่ซื่อกับเขา ปรารถนาอยากครอบครองเขามานานแล้วจริงๆ เสียด้วย
ใบหน้าหล่อเหลาของหรงหลินค่อยๆ อ่อนลง ตอบคำถามละลาบละล้วงยิ่งกว่าเดิมของเหล่าศิษย์หญิงต่อ เป็นคำถามที่ถามถึงมาตรฐานในการเลือกคู่ครองของเขา
มาตรฐานหรือ
แม้หรงหลินจะเป็นซ่างเสิน ทว่าอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษผู้หนึ่ง มาตรฐานนี้แน่นอนว่าย่อมเหมือนบุรุษส่วนใหญ่ แต่ด้วยฐานะของเขาจึงมิอาจพูดตรงๆ ว่าเขาชอบคนหน้าตางาม เพราะนี่จะสถานะของเขาด้อยค่าลง จึงได้แต่พูดราบเรียบ ว่า “ถูกชะตาก็พอ”
กล่าวจบ ด้านล่างแท่นก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ศิษย์หญิงบางคนทำท่าเหมือนจะร้องไห้ กล่าวกับสหายว่า “ทำเช่นไรดี หัวของข้าค่อนข้างแบนลีบ ดูท่าคงไม่มีโอกาสแน่เลย”
เถียนหลัวกระตุกแขนเสื้ออาเหลียนเบาๆ “ซ่างเสินได้รับความนิยมมาก”
อาเหลียนสิ้นหวัง “ก็ใช่น่ะสิ ข้ายังคิดว่ารออีกประเดี๋ยวจะพูดคุยกับซ่างเสินบ้าง คงไม่มีโอกาสเสียแล้ว”
หลังการบรรยายจบลง อาเหลียนก็ไม่ได้รั้งรออยู่ที่นี่นาน ไม่ว่าอย่างไรคราวก่อนซ่างเสินช่วยนางออกจากสำนักโยวซือ เขาแอบอ้างว่าเป็นญาติผู้พี่ของนาง นางใช้สมองครุ่นคิดเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจได้ว่าเขาไม่อยากให้ใครรู้ว่านางรู้จักเขา หรือแม้กระทั่งไปมาหาสู่กันอย่างไร
ระหว่างทางนางเจอไป๋สวินโดยบังเอิญ
เถียนหลัวรีบเอ่ยกับอาเหลียน “จู่ๆ ข้าพลันนึกขึ้นได้ เจ้าคุยกับพี่ไป๋สวินไปเถิด ข้าไปก่อนนะ”
กล่าวจบยังหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้อาเหลียน
เถียนหลัวมองอาเหลียนจนแก้มอาเหลียนร้อนผ่าว ก่อนหันไปทักทายไป๋สวินอย่างมีมารยาทว่า “พี่ไป๋สวิน”
ไป๋สวินรูปร่างสูงใหญ่กำยำ อาเหลียนยืนอยู่ต่อหน้าเขาสูงแค่ช่วงอกของเขาเท่านั้น ร่างเดิมเขาออกจะน่ากลัวอยู่บ้าง แต่อย่างไรในใจนาง เขาก็เป็นพี่ชายข้างบ้านคนหนึ่งเท่านั้น เขาเอ่ยว่า “ข้าจัดการเรื่องที่เจ้าวานให้ข้าช่วยคราวก่อนให้แล้ว…”
อาเหลียนตาเป็นประกายทันที ยกมือขึ้นคว้าแขนของไป๋สวินด้วยความดีใจ “จริงหรือ ขอบคุณพี่ไป๋สวินมากเจ้าค่ะ”
ตกดึกอาเหลียนมารอซ่างเสินข้างสระคลื่นมรกต แม้ซ่างเสินจะมาช้าถึงสองเค่อ ทว่านางอารมณ์ดียิ่งนัก เมื่อพบเขาแล้วก็กระโจนเข้าไปหา กอดแขนของเขา “ซ่างเสิน ท่านมาแล้วหรือ!”
แต่ดูคล้ายวันนี้ซ่างเสินจะอารมณ์ไม่ดีนัก เขาดึงแขนออกจากวงแขนของนาง สีหน้าเคร่งขรึม “พูดดีๆ มืออยู่เฉยๆ”
อาเหลียนมึนงงเล็กน้อย หากครั้งนี้เรียกว่ามือนางอยู่ไม่สุข แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย เหตุใดก่อนหน้านี้ซ่างเสินถึงไม่กล่าวอะไรเลยเล่า
นางค่อยๆ เหลือบตามอง สังเกตท่าทีของเขาแล้วเอ่ยว่า “วันนี้อาเหลียนโชคดี ได้เห็นความองอาจของซ่างเสินจากด้านล่างแท่นบรรยายด้วยสายตาตนเอง หลังกลับไปก็ยากที่จะสดกดความยินดีในใจได้ แม้กระทั่งข้าวเย็นก็กินมากขึ้นสองชามเลยเจ้าค่ะ”
ซ่างเสินไม่กล่าวอะไร
อาเหลียนรู้สึกอับจนหนทางอยู่บ้าง ยามนี้รวบรวมความกล้าแตะท่อนเขนของเขา “ซ่างเสิน”
หรงหลินหลุบตาลงเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางใสซื่อของนางแล้วก็รู้ว่าปลาตัวนี้ซื่อบื้อ บางอย่างจำต้องกล่าวให้ชัดเจน “หากเจ้ามาอยู่ที่จิ่วเซียวเก๋อแล้ว วันทั้งวันคิดจะเอาแต่หาคู่ ข้าแนะนำเจ้าว่ารีบกลับไปเถิด หลังจากวันนี้ข้าก็จะไม่สอนเจ้าอีกแล้ว” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บใจที่มิอาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้า[1]
อาเหลียนเบิกตาโต “ซ่างเสิน…เหตุใดซ่างเสินถึงกล่าวเช่นนี้เจ้าคะ”
นางมาหาคู่ที่ใดกัน
นางเอ่ย “ซ่างเสินเข้าใจผิดใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางพยายามย้อนนึกอย่างละเอียด คิดว่ามีเพียงวันนี้เท่านั้นที่เขามาจิ่วเซียวเก๋อ ก่อนหน้านี้ที่พบกัน เขาก็เป็นห่วงและเมตตานางดี วันนี้…นางครุ่นคิด ก่อนเอ่ย “หรือซ่างเสิน…เห็นข้ากับพี่ไป๋สวินอยู่ด้วยกันเจ้าคะ”
หรงหลินสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ทำท่าจะดึงแขนตนเองออกอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้อาเหลียนเรียนรู้แล้ว นางกอดท่อนแขนของซ่างเสินไว้แน่น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ
อาเหลียนเอ่ยว่า “ซ่างเสิน ท่านต้องฟังข้าอธิบายนะเจ้าคะ ข้ากับพี่ไป๋สวินบริสุทธิ์ใจต่อกัน ไม่มีความคิดที่จะหาคู่แม้แต่น้อย วันนี้ที่พบกันก็เป็นเพราะข้าเคยขอร้องให้พี่ไป๋สวินช่วยหางานพิเศษที่โรงอาหารให้ข้าเท่านั้นเจ้าค่ะ”
หรงหลินขมวดคิ้ว มองนางอย่างไม่เข้าใจ
อาเหลียนเอ่ยต่อว่า “ข้าติดค้างซ่างเสินไว้มาก ครั้งก่อนซ่างเสินต้องเสียเงินมากมายขนาดนั้นเพื่อช่วยข้าออกมา ข้าย่อมต้องขยันหาเงิน จะได้นำเงินมาคืนให้ซ่างเสินได้เร็วๆ”
ดูเหมือนหรงหลินจะเข้าใจแล้ว สีหน้าจึงผ่อนคลายลงบ้าง แต่ปากกลับเอ่ยว่า “เพียงเท่านี้รึ”
อาเหลียนพยักหน้าหนักแน่น “ซ่างเสินคิดว่าเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ”
เขาก็คิดว่า…หรงหลินเบือนหน้าหนีเงียบๆ ผ่านไปสักพักถึงได้กล่าวเสียงเย็นชา “โรงอาหารของจิ่วเซียวเก๋อนั่นจะจ่ายเงินให้สักเท่าไรเชียว วันพรุ่งเจ้าลองไปที่หอหมิงเย่ว์ รับรองว่าค่าจ้างที่นั่นดีกว่าโรงอาหารแน่”
หอหมิงเย่ว์คือภัตตาคารที่ดีที่สุดในละแวกจิ่วเซียวเก๋อ!
อาเหลียนประหลาดใจ “ซ่างเสินรู้จักคนที่หอหมิงเย่ว์หรือเจ้าคะ”
หรงหลินชื่นชอบสายตาเลื่อมใสของนางมาก มุมปากยกขึ้นน้อยๆ ก่อนกลายเป็นราบเรียบอีกครา “ข้ามีหุ้นอยู่ที่นั่น”
หรงหลินรักษาตนบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่แตะสุราไม่เคล้านารี สามหมื่นปีที่ผ่านมานี้ย่อมมีเงินเก็บสะสมไว้ไม่น้อย มีเงินทองมากมายจนใช้ไม่มีวันหมด สามารถนำมาลงทุนได้ตามอำเภอใจ หรงหลินมีสายตายาวไกล แต่ละครั้งล้วนได้กำไรกลับคืนหาศาล
อาเหลียนไม่ใช่คนโง่ ซ่างเสินพูดขนาดนี้แล้วนางไม่ควรปฏิเสธ จึงรีบพยักหน้ารัวๆ คิดว่าวันพรุ่งคงจะต้องไปปฏิเสธไป๋สวินแล้ว
ก่อนฝึกวิชาเวท อาเหลียนหยิบผ้าคาดเอวที่ถักทออย่างดีออกมาจากน้ำเต้าหยกที่ห้อยเอว สองมือประคองส่งให้ซ่างเสิน “ซ่างเสินต้องลำบากเพราะเรื่องของข้าไม่น้อย ข้าไม่รู้ว่าจะตอบแทนเช่นไร ข้ารีบทำผ้าคาดเอวผืนนี้ทั้งคืน หวังว่าซ่างเสินจะชอบเจ้าค่ะ”
ผ้าคาดเอวรึ
หรงหลินมองผ้าคาดเอวในสองมือของนาง ในใจรำพันว่าภูตปลาน้อยตนนี้ท่าทางโง่เง่า ทว่าฝีมือกลับยอดเยี่ยมนัก
เขาไม่ใช่ซ่างเสินที่มีความรู้ตื้นเขินพบเจอโลกมาน้อย การที่เด็กสาวมอบผ้าคาดเอวให้ชายหนุ่มก็เพราะในใจคิดจะมัดใจอีกฝ่ายให้อยู่หมัด ไม่คิดว่าภูตปลาน้อยนี่ก็เชื่อเรื่องมงายพวกนี้ด้วย…สายตาของเขาเลื่อนจากผ้าคาดเอวมาที่วงหน้าของนาง เมื่อสบดวงตาเป็นประกายสุกใสคู่นั้น หรงหลินพลันรู้สึกว่ายากที่จะมองสบตรงๆ อยู่บ้าง
เมื่อคิดเช่นนี้ กอปรกับหลายวันที่ผ่านมานางอบขนมรสชาติถูกปากมาให้เขาทุกวัน หรงหลินก็ค่อยๆ เริ่มเข้าใจบางอย่าง…ที่แท้คิดจะมัดใจเขา จึงวางแผนที่จะมัดท้องเขาก่อนสินะ
หรงหลินรับผ้าคาดเอวผืนนั้นไว้สีหน้าไร้อารมณ์ ยามที่ไล้ปลายนิ้วบนผ้าคาดเอวปักลาย มุมปากยกโค้งขึ้นอย่างยากจะเป็น กระทั่งสบตาของภูตปลาน้อย ถึงได้กลับมามีสีหน้าเรียบเฉยตามเดิม วางท่าเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดจริงจัง “มองข้าทำไม เหตุใดยังไม่รีบไปฝึกอีก”
อาเหลียนแย้มยิ้ม “เจ้าค่ะ!”
หลายวันมานี้อาเหลียนมิกล้าเกียจคร้าน และสวรรค์ก็ตอบแทนคนเพียร วิชาเวทของนางจึงก้าวหน้าไม่น้อย วันนี้ซ่างเสินไม่เข้มงวดอย่างที่ผ่านๆ มา ยามที่นางทำผิดก็ยังชี้แนะนางอย่างใจเย็น ไม่รำคาญแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าฝึกซ้อมไปได้พอประมาณแล้ว หรงหลินจึงกล่าวว่า “เอาเถิด วันนี้พอเท่านี้ก่อน เจ้ากลับไปทบทวน ข้อผิดพลาดในวันนี้ให้ดี หากวันพรุ่งยังทำผิดอีก คอยดูเถิดว่าข้าจะสั่งสอนเจ้าอย่างไร”
อาเหลียนพยักหน้ารับรัวๆ ราวโขลกกระเทียม เงยหน้าเห็นแสงจันทร์บนฟ้าที่สาดส่องก็เอ่ยกับหรงหลิน “ซ่างเสิน วันนี้แสงจันทร์ช่างงามยิ่ง ไม่สู้พวกเรามาประลองว่ายน้ำกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
ซ่างเสินหรี่ตามองนาง
ซ่างเสินที่สูงศักดิ์เช่นเขาจะลดตัวลงมาประลองว่ายน้ำกับภูตปลาน้อยตนหนึ่งได้อย่างไร
…
“ซ่างเสิน ข้าพร้อมแล้วเจ้าค่ะ!”
หรงหลินรู้ว่านางหมายถึงสิ่งใด สีหน้าเขากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ภูตปลาน้อยนี่ช่างแก้ผ้าได้เร็วนัก
เขาค่อยๆ เบือนหน้ากลับไป มองไปตามเสียงก็เห็นท่ามกลางแสงจันทร์เลือนราง นางนั่งเอียงคออยู่ข้างกายเขา หางปลาส่องประกายแสงสีทองขยับเคลื่อนไหวไปมา…นางปล่อยผมยาวสยาย ใบหน้างดงามนวลขาวราวหยก ภายใต้ลำคอเรียวบางไม่ใช่ภูเขาลูกใหญ่เว้าขึ้นลงอย่างที่จินตนาการไว้ กลับเป็นตู้โตว[2]สีแดงผืนหนึ่ง ด้านนอกยังสวมเสื้อคลุมผ้าโปร่งบางๆ
ในดวงตาวาบประกายผิดหวัง ยามนี้หรงหลินกระแอมกระไอเบาๆ “เริ่มเลยเถิด”
อาเหลียนกระโดดลงน้ำดัง “ตู้ม” ด้วยความตื่นเต้นดีใจ
หรงหลินลงน้ำเช่นเดียวกัน ทว่าก่อนเริ่มแข่งกลับเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวก่อน”
อาเหลียนหันมองเขาด้วยความสงสัย
หรงหลินสีหน้าจริงจัง “เดิมเจ้ามาจากตระกูลน้ำ ใช้ชีวิตใต้บาดาลตั้งแต่เด็ก หากประลองว่ายน้ำกับข้าย่อมไม่ยุติธรรมสักเท่าไร ข้าว่าเอาอย่างนี้ ข้าเริ่มก่อน เจ้าอยู่ที่เดิมนับหนึ่งถึงร้อย…เอ่อ นับถึงสองร้อยแล้วค่อยเริ่ม เจ้าเห็นเป็นเช่นไร”
อาเหลียนพยักหน้า ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสม “ก็ได้เจ้าค่ะ ข้าจะยอมให้ซ่างเสิน”
หรงหลินขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เอ่ยย้ำว่า “ไม่ใช่ ‘ยอม’ ข้าเพียงแต่จะทำให้การประลองเป็นธรรมขึ้นอีกหน่อยก็เท่านั้น…” แล้วกำชับว่า “สิ่งสำคัญที่สุดของการประลองคือความยุติธรรม หากไร้ความยุติธรรม การประลองนี้ก็ไร้ความหมาย เจ้าเข้าใจหรือไม่”
อาเหลียนพยักหน้าอีกคำรบ “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ซ่างเสินเริ่มก่อนเถิด”
หรงหลินมองนางอีกครา เมื่อแน่ใจว่านางเข้าใจแล้วจริงๆ ถึงมุดศีรษะลงไปในน้ำ เริ่มออกแรงว่ายอย่างเต็มกำลัง
อาเหลียนเล่นน้ำอยู่ที่เดิม กระทั่งนับเลขถึงสองร้อยในใจเงียบๆ ก็ตะโกนเสียงดังว่า “ซ่างเสิน ข้ามาแล้ว!”
หางปลาพลันโบกสะบัด หยาดน้ำซ่านกระเซ็นพราวไสว
ตระกูลน้ำอย่างไรเสียก็เป็นตระกูลน้ำ แม้อาเหลียนจะออกตัวช้ากว่า ทว่ากลับมาถึงก่อนหรงหลิน ทั้งยังมาถึงก่อนครู่ใหญ่
หรงหลินวางหน้าไม่ถูกอยู่บ้าง ในใจรำพันว่าภูตปลาน้อยตนนี้นัยน์ตาไร้แววจริงๆ สีหน้าเขาพลันบึ้งตึง ไม่กล่าวอะไรกับนาง
อาเหลียนว่ายน้ำอย่างเบิกบานใจ เมื่อเห็นซ่างเสินสีหน้าคล้ายไม่สบอารมณ์ก็นึกขึ้นได้ มุมปากพลันแย้มยิ้ม ทิ้งร่างดำลงไปใต้น้ำอย่างรวดเร็ว
ก็แค่ว่ายน้ำเองไม่ใช่หรือ ไม่เห็นต้องคิดเล็กคิดน้อยเลย
ในใจหรงหลินคิดเช่นนั้น ตอนที่เตรียมจะขึ้นจากน้ำพลันรู้สึกว่าภูตปลาน้อยตนนั้นเงียบหายไป จึงกวาดตามองรอบๆ
ผืนน้ำรอบด้านนิ่งสงบ หัวใจของหรงหลินเต้นผิดจังหวะ สับสนกังวลจนถึงขั้นคิดไปว่านางจมน้ำตายแล้วหรือไม่
ฉับพลันนั้นก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง ใบหน้าหล่อเหลาของหรงหลินพลันแปรเปลี่ยน
เขาหนีบขาทั้งสองเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ลอบเอ่ยในใจว่า แม่ภูตปลาน้อยนี่นิสัยเสีย ชอบตอดหว่างขาคนตั้งแต่เมื่อใดกัน
หรงหลินยื่นมือลงไปในน้ำ สัมผัสร่างนุ่มลื่นผิดปกติ จึงคว้าส่วนที่คิดว่าเป็นแขนของนางแล้วดึงขึ้นมา
เมื่อครู่อาเหลียนกลายร่างเป็นปลา เพราะอยากจักจี้ซ่างเสินเพื่อให้เขาเลิกโกรธนาง หากไม่ใช่ซ่างเสินที่กล่าวว่าต้องการประลองกันอย่างยุติธรรม นางก็คงไม่ออกแรงว่ายเต็มกำลังเช่นนั้น หากต้องยอมให้ซ่างเสิน การประลองครั้งนี้ก็คงไร้ความหมายแล้ว
ขณะที่นางตอดอย่างมีความสุข กลับถูกเขาคว้าตัวขึ้นมา
เสียง “ซ่า” ดังขึ้น ศีรษะที่เปียกลู่โผล่พ้นผืนน้ำ เชิดลำคอขาวระหงราวหยกขึ้นเล็กน้อย เผชิญกับวงหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติของซ่างเสินพอดี
หรงหลินที่คิดจะตำหนิ เจอภาพดอกพุดตานโผล่พ้นน้ำเช่นนี้ แม้มีชีวิตมาหลายหมื่นปีก็ถึงกับอึ้งตะลึงลาน
ร่างเดิมของปลาฮวาเหลียนนั้นธรรมดาทั่วไป นอกจากส่วนหัวที่ใหญ่สักหน่อยแล้ว ส่วนอื่นก็ไม่มีเอกลักษณ์พิเศษ ทว่าร่างมนุษย์ของนางกลับงดงามโดดเด่น อายุของนางยังน้อย หากโตกว่านี้อีกสักนิด แม้กระทั่งหรงหลินก็ยังยากจะจินตนาการได้ว่านางจะงามพิลาสเพียงใด ผู้คนต่างกล่าวกันว่าหงเฉียวเซียนจื่อนั้นงดงามเป็นหนึ่งในทั้งสามดินแดน ทว่าหรงหลินกลับรู้สึกว่านางยังคงห่างชั้นจากภูตปลาน้อยที่รูปโฉมสบายตาตนนี้มากนัก
เขาเผยอริมฝีปากขึ้นน้อยๆ ค่อยๆ ไล่มองใบหน้าของนาง เรียวคิ้วของนาง ดวงตาของนาง ริมฝีปากของนาง…
แสงจันทร์ไร้ขอบเขต ทว่าส่วนที่สว่างไสวที่สุดกลับตกกระทบร่างของนาง
เส้นผมสีนิล ดวงหน้าขาวปานหิมะ ริมฝีปากสีแดงชาด เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงสลัวรางของดวงเดือน ทุกอย่างล้วนงดงามกระชากจิตวิญญาณให้หวั่นไหว
ทั้งๆ ที่กายแช่อยู่ในสระน้ำที่เย็นยะเยือก แต่หรงหลินกลับรู้สึกร้อน ร้อนรุ่มจนยากจะทานทน ไม่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
เขามองริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันน้อยๆ ของนาง ดวงตาลุ่มลึก กลืนน้ำลายลงคอน้อยๆ ค่อยๆ บีบมือที่จับไหล่ของนางแน่น
เขาก้มหน้าช้าๆ ค่อยๆ ขยับเข้าประชิด ในดวงตานอกจากใบหน้าของนางแล้วก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีก
“ซ่างเสิน”
เขาได้ยินเสียงของนางที่เรียกเขา
เขารับคำ “อืม” เบาๆ เสียงนั้นอ่อนโยนแผ่วเบา อยู่ใกล้กันเกินไป ใกล้ชิดจนกระทั่งลมหายใจสอดประสาน แยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร
แล้วคนงามท่ามกลางแสงจันทร์พลันขมวดคิ้ว ริมฝีปากเล็กยื่นเล็กน้อย ท่าทางน่าสงสารอยู่หลายส่วน “ขะ…ข้าคอเคล็ดแล้ว…”
ภายในตำหนักผูถี บุรุษหนุ่มในเสื้อตัวใหญ่แขนกว้างท่วงท่าสง่างามผู้หนึ่งกำลังเล่นหมากล้อมอยู่กับหงเฉียวเซียนจื่อ เทพธิดาในดวงใจที่เขาชื่นชม
หงเฉียวเซียนจื่อเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ฝูจู๋ไม่จำเป็นต้องยอมให้ข้า”
ฝูจู๋ฟังแล้ว ชะงักมือเล็กน้อย บุรุษที่มีอายุกว่าหมื่นปีเวลานี้หน้าแดงซ่าน เอ่ยว่า “ศิษย์น้อง ข้าไม่ได้ยอม” เขาเงยหน้ามองดวงหน้าของหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้าม หัวใจของผู้เฒ่าที่มีจิตใจเป็นหนุ่มน้อยพลันเต้น “ตึ้กตั้ก” ไม่หยุด เขาเป็นยอดฝีมือด้านนี้ก็จริง ทว่ายามอยู่กับคนที่เขาชมชอบแล้วก็ไม่ต่างจากบุรุษอื่น เพียงสายตาเรียบง่ายธรรมดา ก็ทำใจเต้นระส่ำถึงเพียงนี้ สิ่งสำคัญของการเล่นหมากล้อมก็คือจิตใจ จิตใจสับสนไม่สงบนิ่ง ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจเพียงใด ก็ยังหนีไม้พ้นต้องปราชัย
ขณะวางหมาก ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนของเด็กน้อยในชุดสีครามดังแว่วมา
ฝูจู๋ขมวดคิ้ว “ไม่เห็นหรือข้าว่ามีแขก”
เด็กน้อยในชุดสีครามลำบากใจ ขยับเข้ามาใกล้ กระซิบข้างหูของฝูจู๋สองสามประโยค
ฝูจู๋พลันออกแรงบีบสองนิ้วที่คีบหมากดำ กล่าวเสียงเย็น “ไม่พบ!”
หงเฉียวเซียนจื่อไม่ถามให้มากความ
ฝูจู๋กลัวว่าศิษย์น้องเล็กผู้นี้จะเข้าใจตนผิดจึงถอนหายใจเอ่ยว่า “แค่ปวดหัวตัวร้อนธรรมดา นอนพักสักหน่อยก็หาย ยังรบกวนคนอื่นยามดึก จะว่างงานเกินไปแล้ว ตำหนักผูถีของข้าไม่ใช่โรงทานนะ”
วิชาแพทย์ของฝูจู๋เป็นที่เลื่องลือในแดนสวรรค์ ทว่านิสัยของเขาก็ขึ้นชื่อว่าแปลกประหลาดเช่นกัน แม้ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาจากหมอเทวดาผู้นี้ แต่ต้องถูกข่มขู่เอาทรัพย์สินเกือบหมดตัวเป็นค่ารักษาซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไป ดังนั้นหากไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง คนส่วนใหญ่จึงยอมไปหาแพทย์ที่อื่น แทนที่จะมาตำหนักผูถีแห่งนี้
หงเฉียวเซียนจื่อพยักหน้าเห็นด้วย
แต่เด็กน้อยคนนั้นกลับเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง ท่าทางราวกับจะร้องไห้ เขาคุกเข่าลงดัง “ตุ้บ” “อาจารย์ หรงหลินซ่างเสินกล่าวว่าหากท่านไม่ออกไป เขาจะเข้ามาด้วยตนเอง พวกเรา…พวกเราห้ามไม่อยู่ ท่านรีบออกไปดูเถิดขอรับ”
หรงหลินซ่างเสินรึ
ฝูจู๋ใจหาย “วาบ” เมื่อได้ยินประโยคนี้ก็รีบหันมองศิษย์น้องหญิงที่อยู่ตรงข้าม
แล้วก็จริงดังคาด หงเฉียวเซียนจื่อพลันเปลี่ยนจากมาดของเทพธิดาผู้สูงส่งมายกชายกระโปรงลุกขึ้นพลางยิ้ม ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ถามว่า “หรงหลินซ่างเสินมาหรือ”
หงเฉียวเซียนจื่อชมชอบหรงหลินซ่างเสินมานานปี ทว่าหรงหลินซ่างเสินเป็นดั่งเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง[3] น้อยครั้งนักที่นางจะมีโอกาสเจอเขา แต่ช่วงนี้กลับเจอเขาครั้งแล้วครั้งเล่า นางจึงออกไปพบเขาด้วยความยินดี จัดเตรียมท่าทางที่ดีที่สุดเพื่อออกไปปรากฏตัวข้างกายซ่างเสิน แต่กลับเห็นข้างกายของซ่างเสินผู้มีรูปร่างสูงสง่าองอาจมีดรุณีน้อยหน้าตางดงามติดตามมาด้วย
สีหน้าของหงเฉียวเซียนจื่อแข็งค้าง พลันคิดถึงวันงานอภิเษกสมรสของพี่ชาย ซ่างเสินเข้ามาถามนางเกี่ยวกับกระโปรงหรูฉวิน
เป็นนางหรือ
เซียนจื่ออย่างไรก็คือเซียนจื่อ เพียงไม่นานก็สามารถปรับอารมณ์ให้สงบลงดังเดิม นางสืบเท้าเข้าไปหา แล้วเอ่ยคารวะ “หรงหลินซ่างเสิน” ครั้นจึงคลี่ยิ้มมองเขา “คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะพบกันอีกแล้ว”
หรงหลินพยักหน้ารับเล็กน้อย ถึงอย่างไรนางก็เคยขายชุดหรูฉวินให้เขาครั้งหนึ่ง สีหน้าเขาจึงอ่อนลงบ้าง อีกทั้งเขายังรู้ถึงความสัมพันธ์ศิษย์พี่ศิษย์น้องระหว่างหงเฉียวเซียนจื่อกับฝูจู๋ดี หรงหลินจึงถามว่า “แม่นางน้อยนางนี้ไม่ระวังจึงคอเคล็ด อยากรบกวนน้องฝูจู๋สักหน่อย ไม่ทราบว่าเขาว่างหรือไม่”
ไม่ว่าอย่างไรหรงหลินก็อยู่ในแดนสวรรค์นี้มาสามหมื่นปีแล้ว หลักการวางตัวในสังคมที่พึงทำ เขาย่อมเข้าใจดี เขารู้ว่าฝูจู๋ผู้นี้ไม่ค่อยชอบหน้าเขาเท่าไร คราแรกคิดว่าจะต้องถูกฝูจู๋ขูดรีดก่อนแน่ ถึงจะยอมช่วยรักษาภูตปลาน้อย ทว่ายามนี้หงเฉียวเซียนจื่ออยู่ที่นี่ด้วย เกรงว่าเขาคงจะประหยัดเงินค่ารักษาก้อนนี้ไปได้บ้างกระมัง เพราะ…เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีในดวงใจ บุรุษชอบแสดงด้านที่ดีของตนเป็นที่สุด
ท่าทางสุภาพเรียบร้อยของซ่างเสินทำหงเฉียวเซียนจื่อหน้าแดงซ่านทันควัน นางปิดหน้าปิดตาเม้มริมฝีปาก จากนั้นหันมองศิษย์พี่ของตน “หรงหลินซ่างเสินอุตส่าห์มาด้วยตนเองเช่นนี้ ศิษย์พี่ ท่านช่วยรักษาแม่นางน้อยท่านนี้หน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ฝูจู๋พยักหน้า ยิ้มบาง กล่าวว่า “ตามที่ศิษย์น้องว่าเถิด”
ฝูจู๋มองแม่นางน้อยข้างกายหรงหลิน เขามีตบะบำเพ็ญสูงล้ำ แน่นอนว่าย่อมมองร่างเดิมของนางออกตั้งแต่คราแรก เขาพูดราบเรียบ ว่า “เจ้าปลาหัวเบี้ยวรีบตามข้าเข้ามาเถิด”
อาเหลียนเอียงคอ ดวงตาวาววับไปด้วยประกายน้ำมองซ่างเสิน ก่อนมองหงเฉียวเซียนจื่อที่อยู่ตรงหน้า ก่อนตามฝูจู๋เข้าไป
หงเฉียวเซียนจื่ออยากชวนหรงหลินพูดคุย แม้เขาจะนั่งอยู่ข้างกายนาง แต่นัยน์ตาคอยเหลือบมองเข้าไปด้านในเป็นระยะๆ
นี่ยังใช่ซ่างเสินผู้สูงส่ง ผู้วางเฉยต่อทุกสรรพสิ่งอยู่หรือ
ในใจของหงเฉียวเซียนจื่อเจ็บปวด ทั้งๆ ที่รู้ว่านางไม่ควรถาม แต่กลับเอ่ยอย่างอดไม่ได้ว่า “ซ่างเสินเลือกกระโปรงหรูฉวินไปให้แม่นางน้อยคนนี้หรือ”
ราวกับหรงหลินไม่ใส่ใจน้ำเสียงของเซียนจื่อสักนิด เขาพยักหน้าเรียบๆ “ใช่ พอนางสวมกระโปรงตัวนั้นแล้วงดงามยิ่งนัก สายตาของเซียนจื่อดียิ่ง…หากวันหลังมีรูปแบบใหม่ออกมา หวังว่าเซียนจื่อจะบอกกล่าวข้าสักคำ”
ต่อให้หงเฉียวเซียนจื่อจะควบคุมอารมณ์ได้ดีเพียงใด ยามอยู่ต่อหน้าบุรุษในดวงใจนางก็ยังเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดานางหนึ่ง ตอนนี้นางทนไม่ไหวจริงๆ แล้ว จึงลุกขึ้นยืน “ข้าขอตัวไปดูศิษย์พี่สักหน่อยนะเจ้าคะ”
รูปโฉมนางงามพิลาสไร้ใดเปรียบ ฐานะสูงศักดิ์ แต่เขากลับไม่ชายตามองแม้สักน้อย กลับจมปลักอยู่กับปลาตัวหนึ่งเสียอย่างนั้น!
[1] หมายถึง ความรู้สึกไม่พอใจที่คนที่ตั้งความหวังมิอาจเป็นอย่างที่หวัง
[2] เสื้อชั้นในสมัยโบราณของจีน ลักษณะเป็นผืนผ้าคล้ายผ้ากันเปื้อน มีเชือกผูกคล้องลำคอและส่วนเอว
[3] หมายถึง คนที่ไปมาไร้ร่องรอย ชอบทำตัวลึกลับ