[ทดลองอ่าน] รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่ เล่ม 3 ตอนที่ 84

老婆粉了解一下
รู้ไว้ซะ ฉันนี่แหละแฟนคลับตัวแม่

 

ชุนเตาหาน เขียน
เสี่ยวฝาน แปล

 

— โปรย —

 

“…ชีวิตนี้นอกจากคุณแล้ว จะไม่ชอบใคร ไม่นอกใจ ไม่จิ้น ตั้งใจรักแค่คุณคนเดียว”
แม้ว่าจะคิดแบบนี้และพูดแบบนี้ แต่เธอก็สงสัยว่าไอดอลของเธอจะมี “ผู้หญิงที่เขารัก” หรือไม่
แล้วผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครกันนะ…

จะต้องเป็นนางฟ้าบนโลกมนุษย์แน่ๆเลย
ต้องเป็นผู้หญิงที่จิตใจอ่อนโยนและใจดี คอยอยู่เคียงข้างเขาด้วยความรักเต็มเปี่ยม
ในหัวใจและในสายตามีเพียงแค่เขา…

เมื่อถึงตอนนั้น ขอเพียงชายหนุ่มที่เธอรักมีความสุขและปลอดภัย เธอจะเป็นอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ

สำนักพิมพ์อรุณ

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

84

 

เช้าวันรุ่งขึ้นมีพิธีเปิดกล้อง

ติงเจี่ยนคำนวณเวลาแล้วปลุกเซิ่งเฉียวให้ลุกจากเตียง พร้อมเตรียมโจ๊กไว้สำหรับรองท้องแก้เมาค้างด้วย เซิ่งเฉียวยืนแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำด้วยท่าทางเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน นึกถึงเรื่องราวหลังจากที่งานเลี้ยงเมื่อคืนจบลงไม่ออกเลย

แล้วเธอยังถามติงเจี่ยนว่า “เธอส่งฉันกลับมาเหรอ”

ติงเจี่ยน “ฮั่วซีมาส่งเธอ”

เซิ่งเฉียว “…ฉันไม่ได้ทำเรื่องอะไรนอกลู่นอกทางใช่ไหมนะ”

ติงเจี่ยนมองเธอแวบหนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน “อันนั้นต้องถามตัวเธอเองแล้วละ”

หลังจากบ้วนปากแปรงฟันเสร็จก็เริ่มแต่งหน้า โจวข่านไม่ได้มาด้วย เซิ่งเฉียวจึงจัดการเอง ส่วนฟางไป๋ไปเอารถตู้อเนกประสงค์มาจากกองละคร เมื่อพวกเธอแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ไปยังสถานที่ถ่ายทำ

บรรยากาศในพิธีเปิดกล้องคึกคักทีเดียว สมาชิกในกองละคร แฟนคลับของแต่ละคน รวมถึงสื่อมวลชนต่างก็มาร่วมงาน โต๊ะไหว้นั้นเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว พอถึงเวลาผู้กำกับก็พาเซิ่งเฉียวกับฮั่วซีทำพิธี จุดธูปแล้วรินเหล้าก็เป็นอันเริ่มเปิดกล้องอย่างเป็นทางการ แล้วยังมีการแจกซองอั่งเปาเนื่องในโอกาสเปิดกล้องอีกด้วย แต่จำนวนเงินไม่มากนัก เพียงเพื่อความเป็นสิริมงคลโดยหวังว่าการถ่ายทำตลอดสามเดือนหลังจากนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น

ถัดมาก็เป็นการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน นักแสดงนำทั้งหลายยืนอยู่บนเวที ในงานมีแต่แสงแฟลชและเสียงกดชัตเตอร์ดังแชะๆจนเซิ่งเฉียวรู้สึกว่าตนโดนแสงสาดใส่จนตาจะบอดอยู่แล้ว

นักข่าวตะโกนขึ้นว่า “ฮั่วซีกับเซิ่งเฉียวเขยิบเข้าใกล้กันหน่อย มองทางนี้”

ไม่รู้ว่าแฟนคลับของบ้านไหนที่ตะโกนมาว่า “อย่าเข้าใกล้กันมากเกินไป!”

ฮั่วซีระบายยิ้มน้อยๆแล้วก้าวเข้าไปหาเซิ่งเฉียวสองก้าวอย่างเป็นสุภาพบุรุษ

พอพิธีช่วงเช้าสิ้นสุดลงก็ใกล้เวลาเที่ยงแล้ว ตอนบ่ายจะเป็นการถ่ายละครฉากแรก พวกเขาจึงเคลื่อนย้ายไปที่สตูดิโอ

ทีมงานเริ่มแจกข้าวกล่อง พอมาถึงคิวหลินอิ่นถง เซิ่งเฉียวก็พูดขึ้นว่า “อย่าค่ะรุ่นพี่ ฉันสัญญาไว้แล้วว่าจะรับผิดชอบอาหารของรุ่นพี่เป็นเวลาสามเดือน รุ่นพี่รออีกสักครู่นะคะ อาหารที่ฉันสั่งให้รุ่นพี่โดยเฉพาะใกล้จะมาถึงแล้วค่ะ!”

ผู้จัดการกองถ่าย “โอ้โฮ เสี่ยวถงช่างมีบุญจริงๆ มีอาหารเฉพาะด้วย”

หลินอิ่นถง “…”

ผู้ช่วยชั่วคราวที่ติงเจี่ยนเรียกตัวมาก็ถือกล่องอาหารมาให้อย่างรวดเร็ว เซิ่งเฉียวส่งกล่องอาหารให้หลินอิ่นถงกับมือตัวเอง พร้อมคลี่ยิ้มหวานราวกับดอกไม้ “รุ่นพี่ ไม่ต้องเกรงใจนะคะ”

เมื่อเปิดออกดูก็เห็นผัดมะเขือม่วงและหมูผัดมะเขือม่วง

หลินอิ่นถงริมปีปากกระตุกและนิ่งไปพักใหญ่

เซิ่งเฉียวเอ่ยขึ้นด้วยความสงสารว่า “อาหารไม่ถูกปากรุ่นพี่เหรอคะ งั้นฉันให้ผู้ช่วยไปซื้อมาใหม่ก็แล้วกันค่ะ”

คนทั้งกองละครต่างก็มองอยู่ หลินอิ่นถงไม่ต้องการได้ชื่อว่าเพิ่งจะเปิดกล้องก็รังแกนักแสดงนำแล้ว จึงแสร้งยิ้มแล้วพูดว่า “ลำบากเสี่ยวเฉียวแย่เลย”

เซิ่งเฉียวถึงได้ยิ้มอย่าง “โล่งใจ” แล้วยังหันไปบอกทีมงานอีกด้วยว่า “อีกหน่อยไม่ต้องเตรียมข้าวกล่องให้รุ่นพี่แล้วนะ มีเกินก็เปลือง มีฉันอยู่ รุ่นพี่ไม่มีทางหิวแน่นอน”

ทีมงาน “ได้เลยๆ”

หลินอิ่นถง “…”

ฮั่วซีซึ่งนั่งอยู่ข้างๆก้มหน้ากินข้าว หลุบตาต่ำ ทว่าแววตานั้นกลับแฝงไปด้วยรอยยิ้ม

หลังจากกินข้าวเสร็จ สไตลิสต์ของกองละครก็เริ่มแต่งหน้าให้นักแสดงนำแต่ละคน เซิ่งเฉียวพกเสื้อผ้าส่วนตัวมาเอง ทางกองก็เตรียมชุดไว้ให้ด้วย ซึ่งล้วนแต่เหมาะสมกับลักษณะนิสัยตัวละครในเรื่องที่ออกแนวเท่ๆและเย็นชาของเธอ

ขณะที่เซิ่งเฉียวแต่งหน้าอยู่ ด้านนอกก็เริ่มถ่ายทำแล้ว ผู้กำกับถ่ายสถานที่ซึ่งเป็นฉากที่ต้องใช้ในเรื่องก่อน หลังจากถ่ายเสร็จแล้วก็ไปถ่ายฉากศาลซึ่งได้เช่าสถานที่เอาไว้ก่อนแล้ว

วุ่นวายกันอยู่สองชั่วโมง ทางกองละครก็จัดรถมารับพวกเขาทั้งหมดไปที่นั่น

ทีมสถานที่ได้จัดฉากในศาลไว้เรียบร้อยแล้ว ตำรวจจริงหลายนายก็อยู่ที่นั่นด้วย ต่างก็ให้ความร่วมมือเป็นนักแสดงสมทบกันอย่างกระตือรือร้น ฉากนี้เซิ่งเฉียวสวมเสื้อผ้าส่วนตัว ส่วนฟู่จื่อชิงนั้นเปลี่ยนเป็นชุดตำรวจแล้ว ดูดีมีมาดสุดๆ

พอหันไปมองฮั่วซี เขาสวมชุดสูทเรียบร้อยแล้ว ฮั่วซีมีรูปร่างสมส่วนเมื่อสวมชุดสูทก็ยิ่งเน้นให้เห็นรูปร่างชัดเจนมากขึ้น รวมทั้งแว่นตากรอบทองที่สวมใส่อยู่ ยิ่งขับเน้นและแผ่กลิ่นอายแห่งความเย็นชาออกมา

เริ่มถ่ายฉากที่เขาขึ้นศาลก่อน

ด้านในศาล ผู้พิพากษาสองสามคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เป็นผู้พิพากษาจริงๆที่ทางทีมผู้กำกับเชิญมาให้คำแนะนำ เมื่ออธิบายบทจบผู้กำกับก็กลับไปนั่งอยู่หน้าจอ แล้วคอนทินิว[1]ก็ตีสเลต

กล้องเลื่อนเข้าไปใกล้ ฮั่วซีสวมบทบาทตัวละครทันที ซึ่งเป็นตัวละครมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ง่ายดายไปหมด ทั้งๆที่รู้ว่าคนผู้นี้กำลังใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎหมาย แต่กลับหาจุดจับผิดไม่ได้เลย

นี่เป็นครั้งแรกที่เซิ่งเฉียวเห็นเขาแสดงละครด้วยตาตนเอง

ไม่อาจกล่าวได้ว่าฝีมือการแสดงของเขานั้นสมบูรณ์แบบ ทว่าในแต่ละปีก็จะเห็นพัฒนาการของเขาได้อย่างชัดเจน เขาไม่ได้เรียนจบด้านการแสดงมาโดยตรง แถมตอนนี้ยังอยู่สายไอดอล เวลาครึ่งหนึ่งของปีจึงใช้ไปกับการแสดงบนเวที ทว่าทุกครั้งที่ถ่ายละครเรื่องใหม่ ฝีมือการแสดงละครของเขาก็จะพัฒนาไปไกลกว่าเรื่องก่อนมาก การพัฒนาฝีมือส่วนตัวนั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง เพราะเพียงแค่ฝีมือการแสดงก็ชนะพวกดาราดังในกลุ่มเดียวกันไปได้หลายคนแล้ว

เซิ่งเฉียวดูอย่างเพลิดเพลิน ฉากนี้เขาเล่นเพียงสองครั้งก็ผ่านแล้ว จากนั้นได้ยินผู้กำกับพูดขึ้นว่า “เสี่ยวเฉียวล่ะ ถึงตาเธอแล้ว”

เธอรีบวิ่งมา จากนั้นพวกเขาก็บอกว่า “อย่าตื่นเต้น”

เธอพยักหน้า

ต่างคนต่างเข้าประจำที่ ฮั่วซีเองก็เดินมายืนอยู่ข้างหลังผู้กำกับ แล้วอาศัยจังหวะตอนที่สบตากันทำมือเป็นสัญลักษณ์ “โอเค” ส่งให้เธอ

เสียงตีสเลตดังขึ้น

เซิ่งเฉียววิ่งมาแต่ไกล อัดแน่นไปด้วยอารมณ์โกรธ เธอวิ่งข้ามขั้นบันไดหลายขั้นที่หน้าประตูศาลอย่างรวดเร็ว ฟู่จื่อชิงที่วิ่งตามมาติดๆคว้ามือเธอไว้ “ผู้กองเนี่ย! คุณใจเย็นหน่อยสิ!”

เซิ่งเฉียวหันหน้ากลับมาทันควันจนเส้นผมปรกหางตา ในแววตานั้นมีแต่ความเย็นชา “ปล่อย!”

“นี่ศาลนะ! เป็นถึงหัวหน้ากองคดีอาญา มีเรื่องทะเลาะวิวาทคิดว่าดูดีไหม!”

“จะดูดีหรือไม่ ยังไงวันนี้ฉันก็ต้องไปดูหน้าคนหน้าเนื้อใจเสือที่ช่วยเหลือคนร้ายให้ได้”

“นี่เพิ่งจะศาลชั้นต้นเองนะ เรายังยื่นอุทธรณ์ได้ ทนายคนนั้นจัดการยาก จะปล่อยให้เขารู้จุดตายไม่ได้!”

เซิ่งเฉียวเงียบไปชั่วครู่ สีหน้ายังคงเย็นชา ทว่าน้ำเสียงอ่อนลงบ้างแล้ว “ฉันรู้ ฉันมีขอบเขตน่ะ คุณปล่อยฉันเถอะ”

ฟู่จื่อชิงขมวดคิ้ว แล้วคลายมือออกช้าๆ

เธอกระตุกมุมปากเหยียดยิ้มครู่หนึ่ง “ฉันจะดูหน้าเขาหน่อย”

ผู้กำกับ “คัต”

รอบเดียวก็ผ่านแล้ว

ผู้กำกับค่อนข้างประหลาดใจ คาดไม่ถึงว่าฝีมือการแสดงของเซิ่งเฉียวจะดีกว่าที่คาดไว้มาก เธอแสดงเป็นตัวละครเนี่ยชิงออกมาได้สมบูรณ์ ทีมงานในกองละครเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเธอมีดีเพียงแค่รูปลักษณ์ ยังเคยนินทาเธอลับหลัง ตอนนี้จึงรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า

ฟู่จื่อชิงโล่งอก เอ่ยพูดด้วยความตะลึงว่า “ไม่ได้เจอกันครึ่งปี ฝีมือการแสดงของคุณพัฒนาไปมากเลยนะ”

เซิ่งเฉียวเขินเล็กน้อย “คุณครูสอนดีน่ะ”

ฟู่จื่อชิงรู้เรื่องที่เมิ่งซิงเฉินสอนการแสดงใหเธอ จึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ

พอถ่ายฉากนี้เสร็จ ต่อมาก็เป็นฉากนอกศาล เซิ่งเฉียวแสดงครั้งเดียวผ่านหมด ผู้กำกับฉีกยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานผู้จัดการกองถ่ายก็มาบอกว่า “สื่อมวลชนที่มาเยี่ยมกองถ่ายใกล้จะมาถึงแล้ว”

ผู้กำกับพยักหน้า พอฉากนี้จบลงก็เอ่ยกับเซิ่งเฉียวและฮั่วซีว่า “ต่อไปเป็นฉากของพวกเธอ เตรียมตัวหน่อยนะ”

เซิ่งเฉียวจิตใจปั่นป่วน เธอลอบสูดหายใจเข้าลึกๆอยู่ตรงนั้น

ฉากแรกที่ต้องเข้ากับฮั่วซีเป็นฉากบริเวณทางเดินนอกศาล

ฮั่วซียืนพิงกำแพง ผู้กำกับใช้ข้อศอกรัดคอเขา แล้วอธิบายฉาก “แบบนี้ มือยังงี้นะ ต้องแสดงให้เห็นความโกรธแค้นของเธอ ความโกรธแค้นแบบนี้มันจะมีความเก็บกดด้วย ต้องให้เขาพูดจนจบเพื่อยั่วให้เธอโกรธ แล้วทำแบบนี้ ป้าบ” แล้วถามฮั่วซีว่า “ตีจริงได้ไหม”

ฮั่วซีกล่าว “ได้เลย”

“ใช้ข้อศอกตี มุมนี้ง่ายกว่า ไม่ต้องออกแรงมาก แต่อย่าตีจนเจ็บจริงล่ะ”

เซิ่งเฉียวพยักหน้าพัลวัน

ผู้กำกับกลับไปนั่งข้างหลังอุปกรณ์ถ่ายทำ

เซิ่งเฉียวก้มหน้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

ฮั่วซีเอ่ยเสียงต่ำ “ผ่อนคลายหน่อย เมื่อกี้แสดงได้ดีมากเลย เล่นตามความรู้สึกก่อนหน้านี้ก็โอเคแล้ว”

เธอพยักหน้า

ฉากนี้เป็นตอนที่ทั้งสองคนผ่านการลับฝีปากกันมาแล้ว แน่นอนว่าเนี่ยชิงพูดสู้ทนายคารมดีไม่ได้ พอถูกยั่วให้โมโหจึงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนต้องล็อกตัวสวี่ลู่เซิงไว้กับกำแพง

พอตีสเลต ผู้กำกับก็พูดว่า “แอ็กชัน!”

ฮั่วซีกระตุกมุมปากผุดรอยยิ้มของผู้ชนะ พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ถ้าคุณตำรวจเนี่ยไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”

เขาหันหลังเตรียมจากไป เซิ่งเฉียวกำหมัดทั้งสองข้าง ในที่สุดก็ทนไม่ไหว จับมือเขาไว้แล้วกดตัวเขากับกำแพง ศีรษะของฮั่วซีกระแทกกำแพงเกิดเสียงดังปึง

เซิ่งเฉียวคลายมือทันที แทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว “ฮั่วซี โดนกระแทกเจ็บรึเปล่าคะ เป็นอะไรรึเปล่า”

ผู้กำกับ “คัต! เป็นอะไร โดนกระแทกเหรอ”

ฮั่วซียกมือขึ้นขยี้ศีรษะ “ไม่เป็นไรครับ ผมทรงตัวไม่อยู่ ขอเล่นอีกครั้ง”

พวกเขาเข้าประจำที่และเล่นอีกครั้ง

ฮั่วซี “ถ้าคุณตำรวจเนี่ยไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”

เซิ่งเฉียวกำหมัด จับเขากดเอาไว้!

ผู้กำกับ “คัต! เสี่ยวเฉียว ทำท่าผิด เบาเกินไป”

เธอจึงเล่นใหม่อีกครั้ง

ฮั่วซี “ถ้าคุณตำรวจเนี่ยไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”

เซิ่งเฉียวกำหมัด จับตัวเขาล็อกไว้กับกำแพง

ผู้กำกับ “คัต! เสี่ยวเฉียว เธออย่ากล้าๆกลัวๆสิ ท่าทางต้องเด็ดขาดหน่อย แล้วก็เร็วอีกหน่อย มาอีกครั้ง!”

ฮือ

ฮั่วซีถอนหายใจเบาๆ “ผมไม่ได้กระแทกแรงจนเจ็บ คุณไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไร”

เธอก้มหน้า ส่งเสียง “อื้ม” อย่างกังวลใจ

ผู้กำกับ “เตรียมตัว แอ็กชัน!”

ฮั่วซีสวมบทบาทตัวละคร พูดบทจบก็หมุนตัวจากไป เซิ่งเฉียวคลายมือที่กำแน่นออกทันที แล้วก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จับแขนของเขาไว้ ก่อนจะล็อกตัวเขาไว้กับกำแพงอย่างแรง

ใช้ข้อศอกกดบริเวณลำคอของเขา เพียงออกแรงเล็กน้อยก็ทำให้เขาหายใจไม่ออก

ฮั่วซีหันมามองเธอ คาดไม่ถึงว่าทั้งที่โดนกระทำเช่นนี้เขากลับยังยิ้ม “ผู้กองเนี่ย ผมขอแนะนำว่าคุณอย่าใช้ความรุนแรงกับทนายความจะดีที่สุด”

เซิ่งเฉียวฟังคำพูดของเขาออกว่าคือคำขู่ ขั้นต่อไปก็ควรจะอัดเขาอย่างแรง

ผู้กำกับ “คัต! เสี่ยวเฉียว สายตาเธอไม่ถูกต้อง ความโกรธล่ะ ความขยะแขยงล่ะ ความเกลียดชังล่ะ ความรู้สึกเหล่านี้ไม่มีอยู่ในสายตาเธอเลย!”

ฮือๆ

เธอจะแสดงความโกรธแค้น ขยะแขยง เกลียดชังกับคนที่เธอรักได้อย่างไรกัน

ฉากนี้ถ่ายซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้กำกับก็บอกตลอดว่าสายตาของเธอไม่ถูกต้อง สุดท้ายก็ถอนหายใจพลางโบกมือ “ช่างเถอะๆ เดี๋ยวค่อยมาซ่อมคราวหลัง ถ่ายสเต็ปถัดไปก่อน อย่าลืมใช้ข้อศอกล่ะ ตีแบบนี้นะ”

ทั้งสองคนจัดท่าเรียบร้อย กล้องเลื่อนเข้าใกล้

ผู้กำกับ “แอ็กชัน!”

เซิ่งเฉียวง้างศอกขึ้น ก่อนจะเหวี่ยงไปยังใบหน้านั้น

ผู้กำกับ “คัต! เสี่ยวเฉียว เธอกำลังเกาให้เขาอยู่เหรอ ช่วยออกแรงหน่อยได้ไหม”

แสดงใหม่ อีกครั้ง อีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง อีกครั้ง

“ท่าทางไม่ถูก”

“สีหน้าไม่ถูก”

“แรงไม่ได้”

ผ่านไปหลายเทค เทคแล้วเทคเล่า ไม่รู้ว่าแสดงฉากนี้ไปแล้วกี่ครั้ง ทีมงานในที่นั้นต่างก็มีสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก ผู้กำกับสะกดกลั้นอารมณ์โมโหไว้แล้วพูดว่า “มา ครั้งสุดท้าย!”

เซิ่งเฉียวหมดแรงแล้ว ทีแรกเธอทำใจตีฮั่วซีไม่ได้ ทว่าตอนหลังยิ่งเห็นใบหน้าของเขาแล้วก็ยิ่งแสดงสีหน้าขยะแขยงและโกรธแค้นไม่ออกจริงๆ จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังเทคแล้วเทคอีก ภายในใจทั้งรู้สึกโกรธทั้งรู้สึกผิด เธอไม่ได้ทรมานแค่คนอื่น แต่ทรมานตัวเองอยู่ด้วย เธอเข้าไม่ถึงบทบาทของตัวละครอีกต่อไปแล้ว

ผู้กำกับตะโกนขึ้นอีกครั้ง “แอ็กชัน!”

เธอพยายามอดทน ยกข้อศอกตี ปรากฏว่าลื่น ทั้งตัวไถลไปกับบ่าของฮั่วซีแล้วล้มหน้าทิ่ม

ฮั่วซีดึงตัวเธอไว้ ผู้กำกับตะโกนลั่นอยู่ด้านข้าง “คัต!”

พอเห็นว่าผู้กำกับกำลังจะด่า ฮั่วซีก็ชิงเอ่ยปากขึ้นก่อน

เขาตำหนิเซิ่งเฉียวเสียงเย็นชา “เซิ่งเฉียว สรุปว่าคุณทำได้ไหมเนี่ย! ถ้าทำไม่ได้ก็เปลี่ยนคนนะ”

เซิ่งเฉียวที่มึนงงอยู่ พอถูกเขาตะคอกใส่ก็ตัวสั่น ในสภาวะที่สมองขาดออกซิเจนเธอได้เอ่ยประโยคที่ทำให้โลกตะลึงออกมา

“คุณสามี คุณอย่าโกรธสิ ฉันทำได้ค่ะ!”

ฮั่วซี “…”

ผู้กำกับ “???”

ทีมงาน “???”

สื่อมวลชนที่มาเยี่ยมกองถ่ายและถึงสถานที่ถ่ายทำแล้ว “???”

ทั้งกองละครตกอยู่ในความเงียบ

เซิ่งเฉียวที่รู้สึกตัวได้ในที่สุดว่าตนเองเอ่ยอะไรออกไป “…”

บัดซบที่สุด อัลบั้มนั้นทำร้ายฉัน!

เธอซื้ออัลบั้มดิจิทัลของฮั่วซีมาหนึ่งพันอัลบั้ม เวลาไม่มีอะไรทำก็จะดูอัลบั้มนี้ในโทรศัพท์มือถือ สไตล์ของอัลบั้มใหม่นั้นแมนเป็นที่สุด ทรงผมสั้นของฮั่วซีเท่ระเบิด วันๆเธอก็เลยเอาแต่กรีดร้องในใจว่า “คุณสามีหล่อมาก”  จนในที่สุด…ก็พลั้งปากออกไป

 

[1] ตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับซึ่งมีหน้าที่รักษาความต่อเนื่องของตัวละคร เสื้อผ้า หน้า ผม ฉากหลังต่างๆ รวมถึงเนื้อเรื่องในละครหรือภาพยนตร์เรื่องนั้นๆให้ดำเนินต่อจากฉากก่อนหน้าโดยไม่สะดุด

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า