我愛種田
ผมแค่อยากปลูกผัก ส่วนความรักน่ะ… เล่ม 2
ลาเหมียนฮวาถังเตอะทู่จื่อ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
ชุยชีฉาว เตรียมเข้าสู่โลกที่สองในบทบาทใหม่
บารอนหนุ่มผู้เป็นเจ้าเมืองเล็กๆ อย่าง นอร์ทัมเบอร์แลนด์
เมื่อสายเลือดเสินหนงมาปรากฏตัวในยุโรปยุคกลางทั้งที
แผ่นดินที่เคยแห้งแตกระแหงจะเขียวขจีได้ขนาดไหนกัน
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ >> Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 3.5
โทษขั้นต่ำของการลักขโมยคือการเป็นทาส แต่เขาขโมยปุ๋ยคอกเยอะจนในแมเนอร์ต่างก็ลือกันไปทั่วว่า ผู้รับผิดชอบไร่นาพวกนั้นบอกให้นายท่านลงโทษประหารเขา
ไม่นานนัก ไมค์ก็ร้องไห้ยกใหญ่ขึ้นอีก นี่เหมือนว่านายท่านจะมีความเมตตา ทว่าความตายยังดีกว่าการเป็นทาสเลย!
ไมค์ในตอนนั้นยังไม่รู้ว่าทาสในปราสาทของนายท่าน ต่างก็แอบทำงานให้เขาโดยที่ไม่ให้คนอื่นรู้อยู่
นั่นทำให้พวกผู้รับผิดชอบไร่นาโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม “นายท่าน ข้าขออนุญาตแสดงความไม่พอใจเสียหน่อย มันกระทำผิดบาปใหญ่หลวงเช่นนี้ ท่านจะลงโทษแค่ให้เป็นทาสหรือ”
พวกผู้รับผิดชอบไร่นาคงจะรับได้ หากเป็นทาสที่ทำงานตั้งแต่เช้าจดค่ำเหมือนสมัยก่อน แต่ตอนนี้ทุกคนในปราสาทต่างก็รู้ดีว่า พวกทาสกำลังผลัดกันทำงานประดิษฐ์เครื่องมืออุปกรณ์ให้นายท่านอยู่
“พืชในดินของพวกเขาไหม้ตายหมดแล้ว นี่เป็นการพิพากษาจากพระเจ้า หากข้าเพิ่มบทลงโทษมากกว่านี้จะเป็นการไม่เหมาะสม” ชุยชีฉาวก็มีเหตุผลของตัวเองเช่นกัน
เขาคิดว่าการลงโทษให้คนเหล่านี้มาทำงานฟรีให้เขาอีกหลายปีก็นับเป็นเรื่องไม่เลวแล้ว ทั้งเคารพกฎเกณฑ์ของยุคกลาง และยังใช้เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูได้อีกด้วย ยังไงเขาก็จะมอบอิสระให้แก่ทาสทั้งหมดหลังตัวเองจากไปอยู่แล้ว
พวกผู้รับผิดชอบอยากแย้งอะไรอีกหน่อย แต่พอนึกถึงบทลงโทษขุมไฟโลกันตร์นั่นแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าบอกอีกว่าตัวเองเข้าใจความต้องการของพระเจ้ามากกว่าท่านบารอน ทุกคนหุบปากลง หัวหน้าพ่อบ้านกลัวว่าประโยคเมื่อสักครู่ของเขาจะแข็งกร้าวไป จึงเสริมอีกคำ “ท่านเป็นผู้ปรีชาสามารถอย่างที่สุด”
ครอบครัวของไมค์ไม่ได้กลับไปกระท่อมของตัวเองอีก พวกเขาที่กลายเป็นทาสจะไม่มีทรัพย์สินส่วนตัวอีกต่อไป ได้แต่อาศัยอยู่ในตัวปราสาทเท่านั้น
หัวหน้าพ่อบ้านสั่งให้คนไปเก็บของทั้งหมดในบ้านของไมค์ ที่แห่งนั้นกลายเป็นของเจ้าเมืองแล้ว
พอเซิร์ฟแถวนั้นได้ข่าวเรื่องบทลงโทษของไมค์ ทุกคนต่างก็มองหน้ากันไปมาแล้วซุบซิบ
“นี่คือบทลงเอยของหัวขโมยสินะ!”
“ไมค์มีความผิดจริง ให้เขาใช้ชีวิตที่เหลือในการสำนึกผิดไปเถอะ!”
ไมค์ได้ทำการเช่ายืมที่ดินจากท่านบารอนตั้งแต่แรก หลังเจ้าตัวได้รับบทลงโทษ ทุกคนก็พากันคิดว่าที่ผืนนี้จะเน่าเสียไปทั้งอย่างนั้นหรือเปล่า แล้วต้องใช้เวลานานเท่าไรกันจึงจะคืนสภาพเดิม
ในตอนนั้นเอง ท่านบารอนเจ้าเมืองออกคำสั่งให้คนย้ายต้นกล้าของข้าวที่อยู่ในแปลงไปยังที่แห่งอื่น
เหตุการณ์ไม่คาดคิดแต่สมเหตุสมผลได้เกิดขึ้น ต้นอ่อนเหล่านั้นค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปกติหลังย้ายไปยังที่ดินของนายท่าน แม้แต่ใบสีเหลืองที่เกิดขึ้นก็หายไปด้วย
นี่เป็นหลักฐานชั้นดีอีกอย่างที่ยืนยันการลงโทษจากพระเจ้า…มีเพียงแค่ผืนดินที่เคยใส่ของขโมยมาเท่านั้นถึงจะพบกับขุมไฟโลกันตร์มอดไหม้ ผืนดินที่สะอาดสะอ้านของนายท่านทำให้พืชที่ไม่มีความผิดกลับคืนสภาพปกติอีกครั้ง
แม้แต่นักบวชวิลเลี่ยมยังรุดไปดูที่แปลงด้วยตัวเองอยู่ครึ่งค่อนวัน ก่อนจะยืนยันกับทุกคนด้วยท่าทีสูงส่งว่านี่คือฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า คนชั่วต้องถูกพิพากษา ส่วนคนดีจะไม่โดนแม้กระทั่งลูกหลง
ชื่อเสียงของวิลเลี่ยมในเมืองนอร์ทัมเบอร์แลนด์เพิ่มขึ้นอีกระดับ ทุกคนไม่เคยมองเขาด้วยสายตาเคารพขนาดนี้มาก่อน ไม่มีเซิร์ฟคนไหนเผลอหลับในโบสถ์อีกต่อไป จะเหนื่อยจะง่วงแค่ไหนก็ต้องฟังนักบวชเทศนาให้จบ
วิลเลี่ยมบันทึกเรื่องราวครั้งนี้ลงบนหนังแกะ แล้วส่งกลับศาสนจักรเพื่อเป็นการแสดงผลงานของตัวเอง
แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะขอบคุณท่านบารอนเจ้าเมือง ซ้ำยังเขียนจดหมายขอบคุณส่งให้แก่อาร์ชบิชอปอีกด้วย ในจดหมายมีเนื้อความกล่าวว่า แม้จะเกิดขึ้นจากความอัศจรรย์ของพระเจ้า แต่ถ้าหากไม่ใช่อาร์ชบิชอปกับท่านบารอนก็คงไม่มีทางเกิดขึ้นได้
ทางด้านชุยชีฉาวยังคงใบหน้านิ่งเฉยหลังได้ยินว่าต้นพืชกลับคืนสู่สภาพปกติ “เอาละ ตอนนี้ไปขุดผืนดินเดิมให้ลึก แล้วฝังกลบของขโมยพวกนั้นลงดินไปซะ แบบนั้นจะได้ทำการเพาะปลูกอย่างปกติสักที ตอนนี้ยังหว่านเมล็ดทันอยู่”
วิธีรักษาที่ดีที่สุดสำหรับพืชเป็นโรคไหม้คือการรดน้ำอย่างเหมาะสมเพื่อเติมความชุ่มชื้น และหากย้ายต้นกล้าได้ก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก
กาลเวลาล่วงเลยมาถึงเดือนพฤศจิกายนโดยไม่ทันตั้งตัว ฤดูหนาวกำลังจะมาเยือน ผู้คนทางใต้กำลังเชือดสัตว์ แล้วใช้สมุนไพรหอมกับเกลือจำนวนมากในการแปรรูปเป็นทั้งเนื้อแห้ง เนื้อแดดเดียว และไส้กรอก
อากาศในฤดูหนาวเย็นเกินไป สัตว์จำนวนมากจะแข็งตาย แม้แต่ชุยชีฉาวยังต้องยอมจำนน และยอมรับกับความเป็นจริงที่ว่า ในอีกหลายเดือนต่อจากนี้คงกินได้แต่เนื้อแดดเดียว ดังนั้นเขาจึงยิ่งพิถีพิถันในเรื่องนี้ขึ้นไปอีก โดยแทบจะนั่งเฝ้าเพื่อรับรองความสะอาดของอาหารพวกนั้นอยู่ตลอดเวลา
ชุยชีฉาวเริ่มเฝ้าจับตาดูตั้งแต่ขั้นตอนการจับสัตว์ เขาขี่ม้าพาเสี่ยวไป๋ดูคนเลี้ยงหมูที่กำลังนำทางทาสกับสุนัขเลี้ยงแกะไปต้อนหมูในป่ากลับเข้าคอก
สุนัขเลี้ยงแกะถูกฝึกเลี้ยงจนเป็นเรื่องเป็นราว พวกมันรู้จักร่วมมือกันวิ่งไล่ปิดทางแยก แล้วนำพวกหมูวิ่งไปทางคอก
หมูที่เลี้ยงถึงตอนนี้มีน้ำหนักอย่างน้อยยี่สิบกิโลกรัม ชุยชีฉาวมองจากที่ไกล นึกชมสุนัขเลี้ยงแกะพวกนั้นในใจ สุนัขเลี้ยงแกะมีสติปัญญาที่ค่อนข้างสูง รู้จักการร่วมงานเป็นทีม ถึงความจริงจะไม่ค่อยน่าฟัง แต่คนมากมายในยุคสมัยนี้ไม่รู้จักการร่วมงานกันด้วยซ้ำ
ตอนแรกเสี่ยวไป๋นั่งอยู่บนไหล่ของชุยชีฉาว แต่พอเห็นฉากนี้เข้าก็เริ่มรู้สึกคันไม้คันมือ มันถูกฝึกมาเป็นแมวเลี้ยงแกะเลยนะ ถึงจะเคยเลี้ยงแค่เป็ด แต่ความฉลาดของมันจะไปแย่กว่าพวกหมาสมควรตายนั่นหรือไง
คราวก่อนเป็นเพราะว่าถูกดึงไว้หรอกนะ ไม่งั้นมันได้ข่วนไอ้หมาพวกนั้นเลือดออกหน้าแน่ เสี่ยวไป๋อดรนทนไม่ไหวแล้ว มันมุดลงมาจากตัวชุยชีฉาว ก่อนโดดลงม้าแล้วพุ่งตัวออกไป เตรียมแสดงผลงานให้ชม
“เฮ้ เสี่ยวไป๋” ชุยชีฉาวตะโกนด้วยความตกใจ “นายจะทำอะไรน่ะ”
หลังต้าไป๋กับต้าจวี๋เห็นความเคลื่อนไหว พวกมันก็เงยหน้าขึ้นจากฮู้ดเสื้อคลุมของชุยชีฉาว สายตาของพวกมันจดจ้องตามการเคลื่อนไหวของเสี่ยวไป๋ ซ้ำยังดูมีท่าทางอยากพุ่งตัวออกไปด้วยเหมือนกัน
เสี่ยวไป๋พุ่งตัวไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่งแล้วต้อนหมูตัวหนึ่งที่วิ่งเฉกลับเข้าตรงกลาง
ชุยชีฉาวถึงเข้าใจว่าเสี่ยวไป๋อยากแสดงฝีมือบ้าง เขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย เสี่ยวไป๋เอ๊ย…
รอยยิ้มนี้คงอยู่ได้ไม่นาน สีหน้าของชุยชีฉาวก็เปลี่ยนไปอีกรอบ–ในมุมมองของเขา หมูที่เสี่ยวไป๋กำลังไล่ต้อนจู่ ๆ ก็หงุดหงิด เลยหันมาขวิดเสี่ยวไป๋เข้าให้โดยไม่ทันตั้งตัว เสี่ยวไป๋ที่เบรกไม่ทันจึงกระเด้งกระดอนออกไป
พระเจ้า เสี่ยวไป๋โดนหมูขวิด!
ต้าไป๋กับต้าจวี๋ต่างร้อง “เหมียว” เสียงเบาทีหนึ่งด้วยความตื่นตกใจ
ชุยชีฉาวตกใจ เขาบังคับม้าให้วิ่งไปด้านหน้า ก่อนโดดลงจากหลังม้า “เสี่ยวไป๋!”
เสี่ยวไป๋ลุกขึ้นจากพุ่มไม้อย่างลำบากลำบน มันกะเผลกสองที จากนั้นก็เริ่มวิ่งอย่างกระฉับกระเฉงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่สนแม้กระทั่งเสียงเรียกของชุยชีฉาว
ชุยชีฉาว “…”
เขาลูบแมวขาวกับแมวส้มที่ตื่นกลัวจนไม่กล้ากระโดดลงไปอีก พลางคิดในใจ…เสี่ยวไป๋ชอบเอาชนะเกินไปหน่อยมั้ง
ชุยชีฉาววิ่งตามเสี่ยวไป๋ไม่ทัน พอหมูเข้าคอกหมด เสี่ยวไป๋ถึงยอมกลับมา มันโดนชุยชีฉาวจับหิ้วหลังคอขึ้นตรวจเช็กตั้งแต่หัวจดหางทันที
การใช้ชีวิตในยุคกลางยากลำบากกว่าสมัยศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเยอะ เขาต้องคอยระมัดระวังทั้งคำพูดและการกระทำไม่ให้มีพิรุธ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ชุยชีฉาวจึงรู้สึกใกล้ชิดกับเสี่ยวไป๋ยิ่งขึ้นกว่าเดิม ถ้าเสี่ยวไป๋ตายไป เขาคิดว่าตัวเองไม่น่าจะรับได้
“นายคิดว่าแมวมีเก้าชีวิตจริงหรือไง ถ้านายตายแล้วฉันต้องแจ้งฝ่ายบริการลูกค้าไปว่ายังไง ไปบอกให้เขาช่วยฟื้นชีวิตแมวของผมที่ถูกหมูขวิดตายให้หน่อยอย่างนี้เหรอ” ชุยชีฉาวบีบหูเสี่ยวไป๋พลางบ่นไปด้วย
เสี่ยวไป๋ “…”
…เลิกพูดถึงเรื่องนั้นได้หรือเปล่า?
ชัดเลยว่าชุยชีฉาวที่เอาเรื่องนี้ไปสอนแมวขาวกับแมวส้ม ไม่นึกถึงจิตใจของเสี่ยวไป๋ที่พยายามลืมเรื่องนั้นเลยสักนิด
เสี่ยวไป๋ขบกัดง่ามนิ้วของชุยชีฉาวด้วยความคับแค้นใจ อีกฝ่ายจึงฟัดเสี่ยวไป๋แรงๆ หลายที “เป็นเด็กดีหน่อย”
ระหว่างมองคนฆ่าสัตว์เชือดหมู ชุยชีฉาวสั่งให้อีกฝ่ายแยกขาหมูเอาไว้ทั้งขา เขาจะให้หัวหน้าแม่ครัวแปรรูปเป็นแฮมแบบจีนเอาไว้ ไหนๆ ก็แปรรูปแล้ว จะทำอะไรก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ เขาอยากทำกุนเชียงด้วยซ้ำ!
ไส้กรอกในยุคกลางไม่ได้มีหลากหลายเหมือนในเวลาต่อมา ส่วนมากทำจากลำไส้ใหญ่ของวัวกับหมู และมีเครื่องในอื่นผสมบ้าง บางครั้งก็ใส่วัตถุดิบอื่นอย่างข้าวโอ๊ตหรือเลือดสัตว์ลงไปตามใจชอบด้วย เมื่อนำไปรมควันจึงก่อให้เกิดรสชาติที่แตกต่าง ไส้กรอกบางส่วนที่ทำจากเนื้อหมูหลีกเลี่ยงที่จะเกิดกลิ่นเน่าเสียไม่ได้ ชุยชีฉาวเคยเห็นในปราสาทมาก่อน เขารับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
ชุยชีฉาววางแมวลงข้างเท้า เขากำกับหัวหน้าแม่ครัวนวดหมักเนื้อแฮม “มุมนี้ต้องนวดให้ถึง นวดจนเกลือซึมเข้าเนื้อหมู ใช้มือและใจของเจ้ารู้สึกถึงเนื้อหมูที่กำลังนิ่มลง…”
เหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากหัวหน้าแม่ครัว นางไม่เคยเปลืองแรงหมักหมูขนาดนี้มาก่อน ไม่คิดเลยว่าจะต้องมานวดให้หมูด้วย! แต่ก็ต้องยอมรับว่าวิธีนี้ประหยัดเกลือได้มากกว่าวิธีที่พวกเขาเคยใช้
หมูตัวนี้สุดยอด บนหนังยังมีขนเส้นแข็งอยู่ ชุยชีฉาวต้องสั่งให้หัวหน้าแม่ครัวโกนขนบนหนังออกก่อน เขาเฝ้าอยู่ทางนี้ ต้าไป๋กับต้าจวี๋ที่อยู่อีกทางค่อนข้างสนใจเนื้อที่อยู่ในครัวจึงชะโงกมอง ดูท่าอยากลองนวดบ้าง
เสี่ยวไป๋ตบหัวพวกมันไปที ชุยชีฉาวปรายตามองแต่ไม่ได้กล่าวอะไร