จูเหยียน ลำนำกระดูกหยก
朱颜
ชางเย่ว์ เขียน
กอหญ้า แปล
— โปรย —
ณ ดินแดนเมฆาอวิ๋นฮวง ซึ่งปกครองโดยตี้จวินแห่งคงซางผู้สืบทอดอำนาจจากทวยเทพ
โดยมีฟานหวังหกเผ่าคือ ไป๋ ชิง จื่อ ชื่อ หลาน และเสวียน ร่วมดูแลหกดินแดนใต้อาณัติ
ได้ก่อกำเนิดเรื่องราวแห่งวาสนาผูกพันและความขัดแย้งที่โชคชะตาลิขิตไว้…
จูเหยียน จวิ้นจู่เผ่าชื่อในวัยสิบแปด
ถูกส่งตัวไปแต่งงานกับหวังแห่งซูซ่าฮาหลู่แต่นางหลบหนีในคืนส่งตัว
จนเกิดเหตุพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิต
และได้พบสืออิ่งผู้เป็นอาจารย์ของตนอีกครั้งโดยบังเอิญหลังจากไม่ได้พบกันมาห้าปี
สืออิ่ง รู้ดีว่าตนได้ถูกกำหนดว่าจะต้องตายด้วยน้ำมือนาง
ทว่าเขามิอาจตัดใจฆ่านางเสียตั้งแต่ยังเด็กเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเอง
ทั้งยังสอนวิชาอาคมให้นาง
กาลเวลาผันผ่าน ภายใต้สัญญาณแห่งดาราวิถีที่บ่งชี้ว่าคงซางจะล่มสลายโดย “มนุษย์เงือกผู้หนึ่ง”
สืออิ่ง พยายามทุกวิถีทางที่จะตามหาและสังการบุคคลในคำทำนายผู้นั้น
ขณะที่จูเหยียน ยืนหยัดปกป้องมนุษย์เงือกที่นางรัก
นี่คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างศิษย์อาจารย์ และการนองเลือดระหว่างเผ่าพันธุ์
ภายใต้วงล้อแห่งโชคชะตาที่กำลังดำเนินไปอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
คำทำนายนี้จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ และวาสนารักของทั้งคู่จะได้บรรจบหรือพลัดพราก…
_______________________________
ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”
สำนักพิมพ์อรุณ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
3
เครื่องสังเวย
สวรรค์…มี…มีมนุษย์ไหมากมายถึงเพียงนี้?!
จูเหยียนมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตกใจ เกือบจะอุทานออกมา โชคดีที่สืออิ่งปิดปากนางไว้ตลอดเวลา ไม่ให้นางมีโอกาสทำให้พ่อมดใหญ่จับได้อีกครั้ง
“เอาผู้หญิง” พ่อมดใหญ่พูดเสียงเบา “สิบสองคน!”
“ได้” ต้าเฟยรับคำสั่ง เลือกหญิงสาวหลายคนจากมนุษย์ไหที่เรียงรายเป็นแถว หิ้วมนุษย์ไหคนแล้วคนเล่าออกจากห้องใต้ดิน เรียงเป็นแถวบนพื้นหิมะ “ใช้ทีเดียวถึงสิบสองคน หลังจากนี้ต้องเสียเงินไม่น้อยเติมของจากเมืองเยี่ยเฉิง…ต้องรู้ไว้ว่าตอนนี้มนุษย์เงือกที่หน้าตาดูไม่ได้ยังขายตั้งห้าพันจินจู[1]เชียวนะ!”
“คิดทำการใหญ่ เงินแค่นี้นับเป็นอะไร” พ่อมดใหญ่ตรวจสอบมนุษย์ไหที่ถูกหิ้วออกมาจากห้องใต้ดินพลางพูด “เผ่าเงือกอายุขัยยาวนานนับพันปี พลังวิญญาณแข็งแกร่งกว่า หากเปลี่ยนมาใช้มนุษย์ทั่วไปเป็นเครื่องสังเวย ต้องใช้เป็นร้อยคนถึงจะเพียงพอ”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้” ต้าเฟยมุ่นคิ้ว “หากจู่ๆ เผ่าเรามีคนหายตัวไปมากมายเช่นนั้น เรื่องนี้ต้องปิดไม่อยู่แน่ จะต้องเกิดความวุ่นวายแน่นอน”
“ฉะนั้นก็อย่าเสียดายเหรียญจินจูเลย” พ่อมดใหญ่เอ่ยเสียงเย็น นิ้วมือเคาะมนุษย์เงือกในไห “ขอเพียงแต่งจูเหยียนจวิ้นจู่ได้ วันหน้าแดนประจิมทั้งหมดยังมิใช่ใต้หล้าของต้าเฟยหรือ”
นิ้วมือเขาเคาะไปบนศีรษะของเงือกสาวในไหสุราที่ถูกตัดแขนขาทีละคน เกิดเสียงกลวงโหวงเหมือนเคาะแตงโม มนุษย์เงือกเหล่านั้นดิ้นรนแผดเสียงสุดชีวิต แต่ปากที่ไร้ลิ้นย่อมมิอาจเปล่งเสียงได้แม้แต่น้อย ดูราวกับละครใบ้ที่ชวนขนพองสยองเกล้า
จูเหยียนมองดูอยู่ข้างๆ รู้สึกถึงความสยดสยองที่ทิ่มแทงเข้าไปถึงกระดูก กำแขนเสื้อของสืออิ่งแน่น
ใต้พื้นดินของซูซ่าฮาหลู่ซุกซ่อนสิ่งที่น่าหวาดผวาถึงเพียงนี้! สวรรค์…คนที่ข้าจะแต่งด้วยใช่ชนชั้นปกครองของเผ่าฮั่วถูอะไรที่ไหน เป็นปีศาจร้ายจากนรกชัดๆ!
“ฟ้าใกล้สว่างแล้ว หากจะคืนชีพจูเหยียนจวิ้นจู่ก็ต้องเร่งมือ” พ่อมดใหญ่ใช้ไม้เท้ากายสิทธิ์วาดยันต์อาคมบนพื้นหิมะ เรียงมนุษย์ไหสิบสองคนเป็นวงกลม
“เริ่มกันเถอะ” พ่อมดใหญ่พูดเสียงเบา “ใช้มนุษย์เงือกสิบสองคนเป็นเครื่องสังเวย คิดว่าน่าจะพอแล้ว”
เขาเริ่มร่ายคาถา กำเส้นผมยาวสีแดงปอยนั้นไว้ในมือ เสียงคาถานั้นประหลาดมาก ไม่ได้เปล่งออกมาเป็นภาษาโบราณของแคว้นคงซาง แต่ใกล้เคียงกับเสียงคำรามต่ำและเสียงแผดร้องของสัตว์ป่ามากกว่า ฟังแล้วชวนให้ว้าวุ่นกระวนกระวาย ไม่สบายใจอย่างยิ่ง
พร้อมกับเสียงร่ายอาคม ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดดุจลูกไฟสองดวง…พ่อมดใหญ่บริกรรมคาถา พลางจ้องเขม็งไปที่ฝ่ามือ ขยับมือเปลี่ยนท่าไม่หยุด ทันใดนั้นเอง ปอยผมในมือเขาก็ปะทุติดไฟขึ้นมา!
นะ…นี่มันอาคมประหลาดอะไร นางอยู่บนเขาจิ่วอี๋ตั้งหลายปี กลับไม่เคยได้ยินมาก่อน!
จูเหยียนแปลกใจยิ่งนัก หันไปถามอาจารย์ ทว่าสืออิ่งเอาแต่เพ่งมองภาพตรงหน้า สีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาลุกวาบราวกับมีเปลวเพลิงเต้นระริก ยืนนิ่งไม่ขยับ
พ่อมดใหญ่ร่ายอาคมท่ามกลางลมหิมะ เปลวไฟในมือลุกโชติช่วงมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากบริกรรมคาถาจบหนึ่ง เขาหยิบผมเส้นหนึ่งที่ลุกไหม้เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ท่องคาถาและเสียบผมเส้นนั้นลงกลางกระหม่อมของมนุษย์เงือกสาวในไห!
ผมเส้นเล็กบางกลับสามารถแทงทะลุกะโหลกได้เหมือนเส้นใยเหล็ก เครื่องหน้าของสตรีในไหบิดเบี้ยวทันใด เห็นชัดว่าเจ็บปวดทรมานอย่างยิ่งยวด แต่ทำอย่างไรก็มิอาจเปล่งเสียงออกมาได้
“หยุดนะ! เจ้าคนวิปริต!” จูเหยียนโกรธจัด ลืมตัวไปชั่วขณะว่าตนเองมิใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย คิดจะพุ่งเข้าไปบีบคอพ่อมดที่เหมือนปีศาจร้ายตนนี้ให้ตาย ทว่ามือของสืออิ่งปิดปากนางไว้แน่น ไม่ให้นางเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย
เขายืนถือร่มอยู่ตรงนั้น เฝ้ามองเหตุการณ์อันน่าอนาถนี้อย่างเย็นชา ร่างกายแน่วนิ่งไม่ขยับ
เส้นแล้วเส้นเล่า เส้นผมที่ลุกไหม้ถูกแทงเข้าไปในกะโหลกของมนุษย์ไห ดุจคบไฟเจิดจ้าดวงแล้วดวงเล่า เพียงพริบตา ในค่ำคืนที่มีแต่ลมหิมะ บนทุ่งร้างก็ปรากฏค่ายกลขนาดใหญ่ที่มีเปลวไฟลุกโชน!
ท่ามกลางหิมะตกหนัก เปลวไฟแผดเผา เรียงตัวเป็นค่ายกลตะเกียงโดยใช้ชีวิตมนุษย์เงือกแทนน้ำมันตะเกียง พ่อมดใหญ่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางวงล้อมเปลวเพลิง กรีดสองมือของตนเอง บริกรรมคาถาพลางหยดเลือดลงบนศีรษะของมนุษย์ไหแต่ละคน จากนั้นกางแขนออกอีกครั้ง ยื่นมือชุ่มเลือดขึ้นไปบนท้องฟ้ามืดมิด ร่ายคาถาท่อนสุดท้ายด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ…
“หัตถ์แห่งมารทำลายสิ้นทุกสรรพสิ่ง…โปรดรับเครื่องสังเวยนี้ด้วยเถิด!
“ขอท่านโปรดตอบรับความปรารถนาของบ่าว ช่วยให้คนที่ตายไปแล้วหวนคืนจากความมืดมิด!”
ทันทีที่เลือดหยดลงบนเปลวเพลิง มนุษย์ไหที่เป็นหญิงทั้งสิบสองคนก็อ้าปากพร้อมกัน คล้ายกำลังแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดยิ่งยวด ท่ามกลางความทุกข์ทรมานของพวกนาง เปลวเพลิงสิบสองกลุ่มพลันลุกโชน ราวกับถูกพลังบางอย่างดึงดูดให้ไปรวมตัวกันตรงกลาง กลายเป็นเสาเพลิงขนาดมหึมา!
ชั่วขณะนั้น มนุษย์ไหถูกสูบพลังและดวงจิตไปจนหมดสิ้น แห้งเหี่ยวในพริบตา
ในเสาเพลิงมีบางสิ่งก่อตัวขึ้นอย่างเลือนราง
“ออกมาแล้ว…ออกมาแล้ว!” ต้าเฟยตื่นเต้นยินดียิ่งนัก
จูเหยียนยืนอยู่กลางลมหิมะเฝ้ามองภาพนี้ นางแทบจะเป็นลม…ใช่ นางมองเห็นอย่างชัดเจน สิ่งที่ค่อยๆ นูนขึ้นมาในเปลวเพลิงมีรูปร่างเหมือนมนุษย์! ขณะที่นางมองไป ร่างที่อยู่กลางกองเพลิงก็คล้ายกำลังจ้องมองนางอยู่เช่นกัน ทั้งยังคลี่ยิ้มประหลาดให้นางด้วย!
นั่น…นั่นมันตัวอะไร
นางเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดกลัว อยากถามสืออิ่งที่อยู่ข้างกาย กลับรู้สึกว่าลมพัดมาวูบหนึ่ง ข้างกายว่างเปล่าไร้คน อาจารย์ล่ะ? อา…
นางเงยหน้า แทบจะหวีดร้องออกมา
ลมหิมะพัดคลุ้มคลั่งรุนแรง บางอย่างโฉบผ่านศีรษะนางไป เป็นนกสีขาวขนาดมหึมาตัวหนึ่ง มันสยายปีกกะทันหัน พุ่งลงมาจากเก้าชั้นฟ้าที่มีเมฆดำหนาหนัก โผเข้าสู่เสาเพลิง!
“อ๊ะ!” ในที่สุดจูเหยียนก็อดร้องออกมาไม่ได้ “วิหค…วิหคสี่ตา?”
ฉงหมิง! เวลาผ่านมาหลายปี ในที่สุดนางก็ได้พบวิหคเทพบรรพกาลที่เคยอยู่กับนางในวัยเยาว์อีกครั้ง…นกสีขาวขนาดใหญ่ตัวนี้เป็นผู้พิทักษ์พันปีที่อยู่ในวิหารเทพบนเขาจิ่วอี๋ เป็นผู้ปกปักวิญญาณประจำตัวอาจารย์ ตอนนี้มันร่อนลงมาจากเก้าชั้นฟ้า…แล้วอาจารย์เล่า อาจารย์หายไปไหน!
ต้าเฟยอุทานด้วยความตระหนกเช่นกัน “นั่น…นั่นมันอะไร”
วิหคเทพกรีดเสียงขณะร่อนลงมาจากฟ้า ปีกสองข้างกางสยายยาวเกือบสิบจั้ง ซ้ายขวามีดวงตาสีชาดข้างละสองดวง จับจ้องค่ายกลเพลิงที่พ่อมดใหญ่จุดขึ้นบนพื้น มันหวีดร้องเสียงแหลม กระพือปีกหนึ่งที ลมหิมะปั่นป่วน ทำให้มนุษย์ไหสิบสองคนล้มลงบนพื้น จะงอยปากแหลมคมจิกลงไป จู่โจมร่างที่เพิ่งจะก่อตัวขึ้นในเสาเพลิง
ทันทีที่จิกลงไป เปลวเพลิงก็อ่อนแสงลงทันใด
“นี่…นี่คือฉงหมิง? เป็นไปไม่ได้!” พ่อมดใหญ่ตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี ไม้เท้ากายสิทธิ์ในมือชะงัก ลำแสงหนึ่งพุ่งจู่โจมไปที่ดวงตาด้านขวาของวิหคเทพทันใด บีบให้มันต้องเอียงหัว พ่อมดใหญ่ร้องเสียงหลง “หรือว่า…หรือว่าคนจากเขาจิ่วอี๋มาที่นี่?”
“ถูกต้อง!” เสียงเยียบเย็นดังขึ้นท่ามกลางลมหิมะ
บนวิหคขาวมีร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นเงียบๆ สืออิ่งในชุดขาวของเสินกวนแห่งเขาจิ่วอี๋กระโดดลงจากหลังของฉงหมิง ชุดคลุมยาวสะบัดพึ่บพั่บกลางลมหิมะ เขาหมุนข้อมือกลางอากาศ ร่มในมือหุบลง เพียงพริบตาก็กลายเป็นกระบี่สาดประกาย!
“อ๊ะ!” จูเหยียนหลุดอุทานออกมา มองกระบี่ยาวของสืออิ่งจู่โจมกลางอากาศ เพียงชั่วพริบตาก็แทงทะลุสิ่งที่เพิ่งจะก่อตัวกลางเปลวเพลิง จากนั้นตวัดกระบี่ขึ้น เกี่ยวเจ้าสิ่งนี้ขึ้นสูงแล้วเหวี่ยงออกมานอกเปลวเพลิง
ตุ้บ! สิ่งนั้นตกลงเบื้องหน้านาง
นางมองเพียงแวบเดียวก็ตกใจจนสะดุ้งถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
นั่น…นั่นคือตัวนางอีกคนหนึ่ง!
มิได้เป็นเพียงหุ่นที่กลวงเปล่า แต่เป็นคนมีชีวิตที่ยังคงดิ้นเร่า! “จูเหยียน” ที่ถือกำเนิดขึ้นกลางเปลวเพลิงคนนั้นเปลือยเปล่าทั้งร่าง ใบหน้าฉายแววเจ็บปวดอย่างยิ่ง หน้าอกถูกกระบี่แหวะผ่าจากบนลงล่าง เห็นไปถึงอวัยวะภายในอย่างชัดเจน
โลหิตพุ่งทะลักอย่างรวดเร็ว ไหลนองพื้นหิมะ
…ทว่าเลือดของ “จูเหยียน” ผู้นั้นกลับเป็นสีดำ!
“ช่วย…ช่วยด้วย…” เจ้าสิ่งนั้นยังพูดได้ด้วย ดิ้นรนอยู่บนพื้นอย่างทุรนทุราย พยายามคลานเข้ามา ยื่นมือออกมาหานาง สายตาเปี่ยมแวววิงวอน
“อ๊า!” นางกระโดดถอยหลังอีกก้าว เหลือบมองอาจารย์อย่างขอความช่วยเหลือ
แต่สืออิ่งพลิกตัวกระโดดขึ้นหลังวิหคเทพฉงหมิงอีกครั้งแล้ว กำลังต่อสู้กับพ่อมดใหญ่อยู่อีกด้าน เคลื่อนไหวรวดเร็วจนนางมองเห็นไม่ชัด ลมหิมะกรีดเสียงหวีดหวิว เส้นผมขาวโพลนของพ่อมดใหญ่ผู้นั้นชี้ตั้ง กำลังตะโกนอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงประหลาด กระแทกไม้เท้ากายสิทธิ์กับพื้นแรงๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
เปลวไฟมอดดับและลุกไหม้อีกครั้ง โชติช่วงรุนแรง ถูกควบคุมให้พุ่งเข้าใส่สืออิ่ง
ชุดสีขาวพลิ้วไหวท่ามกลางเปลวเพลิงร้อนแรง แวบผ่านไปมาดุจสายฟ้า เห็นแล้วชวนให้เวียนหัวตาลาย ลมหิมะพัดเกรียวเป็นพายุหมุน เปลี่ยนพื้นที่ในรัศมีหลายสิบจั้งนี้ให้กลายเป็นพื้นที่อันตรายที่การต่อสู้กำลังดุเดือด
“อาจารย์ ระวัง!” ครั้นเห็นชุดสีขาวของอาจารย์ถูกเปลวไฟกลืนกิน จูเหยียนร้อนใจยิ่งนัก ดึงอวี้กู่ออกมาได้ก็เขวี้ยงออกไป…ครั้งนี้นางใช้พลังถึงสิบสองส่วน อวี้กู่แปรเป็นลำแสง แหวกทำลายลมพายุ แทงไปที่ใจกลางสมรภูมิต่อสู้นี้
หิมะและเปลวเพลิงสั่นสะเทือนพร้อมกัน ก่อนจะสลายไปทั้งสองอย่าง
วิหคเทพฉงหมิงแผดเสียงร้องยาว หุบปีกทั้งสองข้างถลาลง หิมะที่ปลิวว่อนเต็มผืนฟ้าหยุดนิ่ง
“อาจารย์!” นางโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ถูกเป้าหมาย ในใจอดตื่นเต้นยินดีมิได้ “ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“ข้าไม่เป็นอะไร…” ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของสืออิ่งจึงดังขึ้นในความมืด เจือแววอ่อนล้ารางๆ “ผู้ที่เจ้าทำร้ายคือฉงหมิง”
“อะไรนะ” นางตระหนก
ราตรีเคลื่อนคล้อย ท่ามกลางแสงไฟสลัวราง วิหคเทพตัวมหึมาร่อนตกลงบนพื้นหิมะช้าๆ ตอนสัมผัสพื้น ร่างเอียงกะเท่เร่ ปีกขวาลากอยู่ข้างหลัง ดวงตาทั้งสี่ค่อยๆ หันมาจ้องนางอย่างเย็นชา บนปีกขวาขาวบริสุทธิ์มีอวี้กู่ของนางปักอยู่อย่างโดดเด่น
“หา?” จูเหยียนปากอ้าตาค้าง พูดอะไรไม่ออก
สืออิ่งกระโดดลงจากหลังนก มือถือกระบี่ยาวที่มีเลือดหยด ร่างกายไม่มีบาดแผลใดๆ เพียงตีสีหน้าเย็นชาเอ่ยว่า “ไปขอโทษฉงหมิงซะ”
“ข้าไม่ไป!” จูเหยียนไม่กล้าเข้าไป
ทว่าสืออิ่งไม่สนใจนาง หมุนพลิกข้อมือ กระบี่ยาวเล่มนั้นพลันคืนรูปเดิม กลายเป็นอวี้เจี่ยน[2]โบราณแบบเรียบๆ…นั่นคือเครื่องมือเวทของต้าเสินกวนแห่งเขาจิ่วอี๋ เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ได้สารพัด
สืออิ่งถืออวี้เจี่ยน เดินผ่านข้างกายนางไปโดยไม่ชายตาแล ตรงไปยังอีกด้านของทุ่งหิมะ นางได้แต่เดินตัวสั่นเข้าไป ยกมือขึ้นหมายจะลูบขนนกสีขาว แต่กลับหดมือกลับมาเสียก่อน “ขอ…ขอโทษนะ! ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ! ข้าเล็งไปที่พ่อมดใหญ่นั่นชัดๆ…ใครจะรู้ว่า…” จูเหยียนมองเพื่อนเล่นวัยเยาว์ของตน รู้ว่าวิหคเทพมีนิสัยหยิ่งทะนง จึงอึกๆ อักๆ ไม่กล้าเข้าไปใกล้ “เจ้า…ปีกเจ้าไม่เป็นไรกระมัง ข้าช่วยพันแผลให้ดีหรือไม่”
วิหคเทพฉงหมิงมองนางอย่างเยียบเย็น เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทั้งสี่เต็มไปด้วยแววดูแคลน มันแค่นเสียงหยันทีหนึ่ง ชูคอขึ้น โยนสิ่งที่คาบอยู่ในปากลงบนพื้นหิมะ
พ่อมดใหญ่ผู้นั้นถูกจิกตรงช่วงเอวจนร่างขาดสองท่อน!
“ข้าก็ว่าอยู่แล้วเชียว ที่แท้ในปากเจ้าคาบไอ้คนผู้นี้อยู่นั่นเอง” นางร้องออกมาทันใด หาข้ออ้างให้ความผิดพลาดของตนเองจนได้ “เจ้าดูสิๆ ข้าไม่ได้โจมตีพลาดนะ! เห็นอยู่ชัดๆ ว่า…”
พูดไปได้ครึ่งเดียว ลมแรงก็พัดกระโชกมา เหนือศีรษะพลันดำทะมึน นางล้มหน้าคะมำทันที ฉงหมิงสยายปีกอย่างไม่เกรงใจ แค่กระพือทีเดียวก็ทำเอามนุษย์พูดมากผู้นี้ล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น มันตวัดสายตาค้อนนางหนึ่งที ก่อนจะหุบปีกอย่างเชื่องช้า ย่างเท้าเดินจากไปอย่างสง่างาม เริ่มจิกกินเปลวเพลิงที่หลงเหลืออยู่ตามจุดต่างๆ จิกแต่ละทีก็กลืนมนุษย์ไหที่ถูกเผาจนเหลือเพียงเถ้าธุลีลงไปด้วย
ฉงหมิงเป็นเจ้าแห่งสัตว์เทพของหกทิศ เป็นวิหคเทพที่จับภูตผีและสัตว์ประหลาดกินโดยเฉพาะ ปัดเป่าความชั่วร้าย ขจัดมารปีศาจ อาศัยอยู่บนเขาจิ่วอี๋ตลอดร้อยพันปีที่ผ่านมา คอยปกป้องสุสานของตี้หวัง[3]ทุกยุคทุกสมัยในหุบเขาตี้หวัง เป็นผู้คุ้มครองวิญญาณประจำตัวต้าเสินกวนแห่งอารามเทพจิ่วอี๋ ยามนี้รับหน้าที่เป็นผู้เก็บกวาดสถานที่เกิดเหตุ
จูเหยียนตะเกียกตะกายลุกขึ้น ขณะกำลังจะไปหาอาจารย์ กลับได้ยินเสียงดังสนั่นสะท้านสะเทือนฟ้าดินลอยมาแต่ไกล ดุจมีพันขุนพลหมื่นอาชาประชิดเข้ามา
เกิด…เกิดอะไรขึ้น
นางหันไปมอง พลันอ้าปากค้าง…ทหารกองหนึ่งปรากฏตัวบนทุ่งหญ้าในช่วงก่อนฟ้าสาง!
นักรบทั้งหมดของเผ่าฮั่วถูไม่รู้ได้รับคำสั่งตั้งแต่เมื่อใด ถูกเรียกมารวมตัวกันที่นี่อย่างรวดเร็ว เหล่านักรบสวมชุดเกราะติดอาวุธครบครันล้อมพื้นที่โล่งแห่งนี้ไว้อย่างแน่นหนาราวกับถังเหล็ก กระบี่ชักออกจากฝัก ธนูพาดสาย ไอสังหารเดือดพล่าน ผู้นำก็คือแม่สามีของนาง ซูต๋าต้าเฟย นางมีสีหน้าเขียวคล้ำ ในมือถือคันธนู
“ไม่กระมัง?” จูเหยียนเห็นกองทัพที่มีอาวุธครบมือ พึมพำในใจ…สวรรค์ วันนี้ข้าแค่คิดจะหนีการแต่งงานเท่านั้น…เหตุใดพริบตาเดียวจึงกลายเป็นเปิดศึกกันเสียได้ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปกระมัง
“ซูต๋าต้าเฟย บัดนี้เจ้ายังมีสิ่งใดจะพูดอีก” สืออิ่งมือถืออวี้เจี่ยน มองทหารและอาชาเบื้องหน้าอย่างเย็นชา ไม่มีความคิดที่จะถอยหลังแม้แต่น้อย เขาชี้ “จูเหยียน” ที่หายใจรวยรินบนพื้น จากนั้นชี้ค่ายกลเพลิงที่ดับมอดและพ่อมดใหญ่ที่ตายแล้วบนพื้นหิมะ เอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าสมคบกับพ่อมดใหญ่ ลอบใช้วิชามารนอกรีตอันเป็นสิ่งต้องห้าม หมายปองร้ายจูเหยียนจวิ้นจู่! เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะควบคุมแดนประจิมได้รึ”
“อะไรนะ” จูเหยียนตะลึงงัน
อะไรคือ “หมายปองร้ายจูเหยียนจวิ้นจู่”? เห็นอยู่ชัดๆ ว่าข้าทำให้ตัวเองตายเองเพื่อหลบหนี เหตุใดคำพูดที่ออกจากปากอาจารย์กลับกลายเป็นแผนการชั่วร้ายของต้าเฟยไปได้? หรือ…หรือว่า ตัวข้าจับพลัดจับผลูถูกดึงเข้าไปพัวพันกับเรื่องบางอย่าง
นางเดินขึ้นหน้าไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว คิดจะวิ่งเข้าไปถามให้ชัดเจน ทว่าพอต้าเฟยเห็นนางวิ่งออกมาท่ามกลางหิมะ ร่างกายก็สั่นสะท้าน ตกใจจนเกือบร่วงตกจากหลังม้า
“จูเหยียนจวิ้นจู่…ยัง…ยังมีชีวิตอยู่?” นางพึมพำ มองหญิงสาวที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อยอย่างเหลือเชื่อ จากนั้นมองจูเหยียนบนพื้นที่ร่างบิดเบี้ยวดิ้นรน พูดไม่ออกชั่วขณะ
“นี่เป็นแผนร้ายของพวกเจ้ากระมัง เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนของพวกเจ้า?!” ในที่สุดต้าเฟยก็เชื่อมโยงต้นสายปลายเหตุทั้งหมดได้ ดึงสติกลับมา ชี้หน้าสืออิ่งพลางตวาดอย่างกราดเกรี้ยว “คนของเขาจิ่วอี๋ถึงขั้นร่วมมือกับเผ่าชื่อ ยื่นมือมาถึงที่นี่! พวกเจ้าวางแผนไว้แต่แรกแล้วว่าจะใช้งานมงคลนี้ลงมือกับพวกเราใช่หรือไม่ บัดซบ!”
เอ๋! หมายความว่าอะไร เห็นอยู่ชัดๆ ว่าข้ากับเขาไม่ใช่พวกเดียวกันสักหน่อย!
ไม่รอให้จูเหยียนเอ่ยปากโต้แย้ง อาจารย์กลับหัวเราะเสียงเย็น “อย่าคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยเลย ต่อให้ไม่มีเหตุการณ์นี้ ช้าเร็วแผนการชั่วร้ายที่พวกเจ้าลอบเลี้ยงเครื่องสังเวยไว้บูชามารก็ต้องถูกเปิดโปงออกมาอยู่ดี”
อะไรนะ! อาจารย์รู้ความลับเรื่องมนุษย์ไหที่อยู่ใต้ห้องเก็บฟืนได้อย่างไร
“ทหาร!” แววตาของต้าเฟยเย็นเยียบดุจน้ำค้างแข็ง แผ่กลิ่นอายสังหาร นางยกมือขึ้น “ฆ่าให้หมด! อย่าให้มีใครก้าวออกจากซูซ่าฮาหลู่ได้แม้แต่คนเดียว!”
ชิ้ง! เสียงเกราะเหล็กกระจายตัวออกไป ล้อมคนบนทุ่งหิมะไว้อย่างแน่นหนา
“ท่านแม่?” เคอเอ่อร์เค่อชินหวัง[4]มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างตะลึงพรึงเพริด…หลายปีมานี้มารดาสนิทสนมกับพ่อมดใหญ่ยิ่งนัก เรื่องนี้เขารู้ แต่เขาคิดว่ามารดาเพียงต้องการดึงพ่อมดใหญ่มาเป็นพวก อาศัยกำลังของอีกฝ่ายกอบกู้สถานะของตนในเผ่าเท่านั้น ไม่รู้เลยว่ามารดาเขาจะข้องเกี่ยวกับเรื่องน่าเหลือเชื่อพวกนี้ด้วย
…หากสังหารต้าเสินกวนแห่งจิ่วอี๋กับจวิ้นจู่ของเผ่าชื่อพร้อมกันที่นี่ จะมิใช่ความผิดร้ายแรงฐานก่อกบฏหรอกหรือ
“เคอเอ่อร์เค่อ ที่ผ่านมาข้าไม่อยากดึงเจ้าเข้ามาเกี่ยว ดังนั้นจึงไม่ได้บอกอะไรเจ้าทั้งสิ้น” ต้าเฟยหันไปมองบุตรชาย แววตาเคร่งขรึม “แต่เรื่องมาถึงบัดนี้ คงมิอาจวางมือไปเช่นนี้ได้…วันนี้หากปล่อยให้พวกเขาคนใดคนหนึ่งรอดชีวิตไป หายนะครั้งใหญ่ต้องมาเยือนเผ่าฮั่วถูของเราแน่นอน!”
ต้าเฟยออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ทุกคน น้าวศร! ยิงสองคนนี้ให้ตาย!”
เสียงลูกธนูถูกพาดสายดังถี่ยิบดุจเสียงฝน ก็ทำเอาจูเหยียนขนลุกซู่ นางกลัวจับใจว่าครู่ต่อมาจะต้องถูกหมื่นธนูยิงจนเป็นเม่น จึงเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว มือดึงชายเสื้ออาจารย์
“ไม่เป็นไร” สีหน้าของสืออิ่งกลับไม่แปรเปลี่ยน เพียงยื่นร่มในมือให้นาง “เจ้าถือสิ่งนี้ไว้ ถอยไปรอข้างๆ ฉงหมิง”
“แต่ว่า…ท่าน ท่านจะทำอย่างไร” นางรับร่มจากเขา รู้ว่านั่นเป็นเครื่องมือเวทของอาจารย์ มองเขายืนอยู่บนพื้นหิมะมือเปล่า เผชิญหน้ากับนักรบที่แกร่งกล้านับพัน ทำให้อดหวาดหวั่นมิได้ โพล่งออกไป “เรา…เรารีบหนีกันเถอะ!”
“หนี?” เขาหัวเราะเสียงหยัน “ชีวิตนี้ของข้า ยอมตายไม่ยอมหนีทัพหน้าศึกเด็ดขาด!”
“ยิง!” ระหว่างที่ทั้งสองยื้อยุดกันไปมา ต้าเฟยก็ตวาดสั่งการ
ฝนธนูพร้อมเสียงหวีดหวิวพุ่งข้ามทุ่งหิมะมาในชั่วพริบตา
จูเหยียนร้องด้วยความตกใจ กางร่มโดยสัญชาตญาณ หมายจะกระโจนเข้าไปช่วยบังแทนอาจารย์ ทว่าสืออิ่งกลับขยับตัวทันที ปราดเข้าสู่ฝนธนู
“อาจารย์!” นางร้องเสียงหลง
ท่ามกลางแสงอรุณซีดจาง เห็นเพียงเกล็ดหิมะปลิวว่อนเต็มผืนฟ้า ชุดขาวของเขาพลิ้วไหวกลางสายลม โบกสะบัดดุจผืนธง…ลูกธนูนับไม่ถ้วนพุ่งตรงเข้ามา ถักทอกลางอากาศกลายเป็นค่ายกลธนูน่าเกรงขาม จู่โจมเข้ามาดุจพายุฝน สืออิ่งพุ่งเข้าหาหมื่นธนูเพียงลำพัง ตั้งสมาธิรวบรวมพลังปราณ ยื่นมือออกไปฉับพลัน คว้าลูกธนูดอกแรกที่ยิงเข้ามาถึงก่อน!
…ฉับพลัน ลูกธนูทั้งหมดหยุดชะงักกลางอากาศ
เขาชูนิ้วขึ้น รวบปลายนิ้วเข้าด้วยกัน เกิดเสียงดังเปรี๊ยะ ลูกธนูในมือถูกหักเป็นสองท่อน
…ฉับพลัน ลูกธนูทั้งหมดกลางอากาศล้วนหักเป็นสองท่อน!
เขาคลายนิ้วมือ โยนลูกธนูดอกนั้นลงบนพื้น
…ฉับพลัน ลูกธนูทั้งหมดร่วงกราวลงกลางอากาศ ตกสู่พื้น!
สนามรบตกอยู่ในความเงียบงัน ทหารนับพันนายต่างตกตะลึงตาค้าง นี่…นี่มันอาคมอะไรกัน เสินกวนในชุดขาวผู้นี้ ใช้เวลาเพียงชั่วกะพริบตาก็อาศัยธนูดอกเดียวควบคุมลูกธนูนับพันหมื่นได้! เช่นนั้นเขาคนเดียวย่อมสู้กับคนเป็นพันหมื่นได้ใช่หรือไม่
นี่…นี่มันวิชามารที่น่ากลัวอะไรกันแน่!
เพียงชั่วพริบตา สืออิ่งก็ปรากฏตัวตรงหน้าต้าเฟย มองสตรีสูงศักดิ์ผู้กุมอำนาจทหารไว้ในมือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “ซูต๋าต้าเฟย เจ้าจะยอมรับผิดและโทษทัณฑ์หรือไม่”
“ข้าไม่ยอม!” สตรีผู้นั้นห้าวหาญนัก ดึงสติกลับมาจากความตื่นตระหนก ตวาดเสียงเฉียบพร้อมชักดาบยาวออกมาจากข้างอานม้า ฟาดฟันไปยังสืออิ่งทันที!
แม้นางจะเป็นสตรี แต่กลับเป็นนักรบเลื่องชื่อแห่งแดนประจิมคนหนึ่ง ดาบนี้ว่องไวจนผ่าลมได้ จังหวะชักดาบรวดเร็วยิ่ง เพียงพริบตาก็พุ่งมาถึงลำคอของสืออิ่งแล้ว
“อาจารย์!” ชั่วขณะนั้น หัวใจของจูเหยียนแทบแตกสลายจริงๆ นางพุ่งเข้าไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น…ไม่รู้เอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด นางวิ่งเร็วมาก ระยะห่างหลายสิบจั้งราวกับถูกย่นจนเหลือเพียงก้าวเดียว ยังไม่ทันสิ้นเสียงอุทาน นางก็ปราดมาตรงหน้าอาชาแล้ว
ความเร็วดุจภูตผีทำเอาต้าเฟยที่อยู่บนหลังม้าแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง…จวิ้นจู่เผ่าชื่อ ลูกสะใภ้คนใหม่ของนางที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม กลับพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ ใช้มือเปล่ารับคมดาบที่นางฟันลงไป!
มือเล็กอ่อนนุ่มคู่นั้นกำคมดาบแน่น โลหิตไหลลงมาตามร่องดาบ
“เจ้า…” ต้าเฟยสูดหายใจด้วยความตระหนก กัดฟันดันดาบออกไป หมายจะตัดฝ่ามือนางให้ขาดและแทงทะลุหัวใจเด็กสาวผู้นี้ ทว่าเพิ่งจะขยับแขน ร่างกลับกระตุกไปทั้งตัว มิอาจเปล่งวาจาได้…เพราะเวลานี้มีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากข้างหลัง บีบคอนางไว้!
“อา…อาจารย์?!” จูเหยียนตะลึงงัน มองสืออิ่งที่ปรากฏตัวข้างหลังต้าเฟยกะทันหัน นางหันกลับไปมองข้างหลังโดยไม่รู้ตัว ทว่าสืออิ่งอีกคนที่อยู่ข้างหลังก็ยังคงอยู่ตรงนั้น ยืนนิ่งไม่ไหวติง คมดาบของต้าเฟยกรีดถูกผิวที่ลำคอเขาแล้ว แต่ที่น่าแปลกคือ ไม่มีเลือดไหลออกมาสักหยด
“…” จูเหยียนจ้องตาค้าง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงใช้นิ้วมือชุ่มเลือดของตนแตะสืออิ่งที่อยู่ข้างหลัง…นิ้วมือนางทะลุผ่านร่างของเขาโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น ราวกับเป็นเพียงเปลือกกลวงเปล่าที่ประกอบขึ้นจากไอหมอก
ทันใดนั้นนางก็เข้าใจ
มายาแยกร่าง! ในชั่วพริบตานั้น อาจารย์ได้ย้ายตำแหน่งไปจากตรงนี้นานแล้ว!
“ความเร็วในการรับดาบว่องไวทีเดียว” สืออิ่งยิ้มให้ลูกศิษย์ที่ยังใจลอย รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก เขารวบคอต้าเฟยแล้วกระชากลงจากม้า หันไปตะโกนเสียงดังกับนักรบเกราะเหล็ก “ต้าเฟยสมคบมารนอกรีต ปองร้ายหวังเยียผู้เฒ่า ความผิดมิอาจอภัย! พวกเจ้าล้วนเป็นผู้กล้าของเผ่าฮั่วถู ยังคิดจะติดตามสตรีชั่วร้ายที่คิดกบฏผู้นี้อยู่อีกหรือ”
“อะไรนะ” ทุกคนตื่นตระหนก แม้แต่เคอเอ่อร์เค่อยังรั้งเชือกบังเหียน
ปองร้ายหวังเยียผู้เฒ่า? เรื่องนี้น่าตกใจเกินไป แทบจะสร้างความสั่นคลอนเหมือนคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำใส่กองทัพ
“หวังเยียผู้เฒ่าองอาจห้าวหาญมาทั้งชีวิต ในวันเกิดครบห้าสิบปียังกินแพะได้ทั้งตัว ดื่มสุราได้สิบไห แล้วจะตายง่ายๆ เพียงเพราะไข้ลมเย็นได้อย่างไร” สืออิ่งกระตุ้นม้า บีบคอต้าเฟยที่ถูกควบคุมชูขึ้นมา “เป็นเพราะสตรีผู้นี้! นางสูญเสียความโปรดปรานจึงบังเกิดความเคียดแค้น สมคบกับพ่อมดใหญ่ ใช้อาคมชั่วร้ายกับหวังเยียผู้เฒ่า! หากพวกเจ้าไม่เชื่อ ลองดูสิ่งนี้…”
นิ้วมือเขาชี้ไปไกล หิมะปลิวตลบขึ้นมา เพดานห้องใต้ดินถูกงัดขึ้นทันใด
“สวรรค์…” ฉับพลัน ทุกคนร้องอุทานด้วยความตกใจ มือที่ถือคันธนูแทบจะคลายออก…หลังจากแผ่นไม้เปิดออก ข้างใต้ปรากฏมนุษย์ไหเรียงรายเป็นแถว ในนั้นล้วนเป็นมนุษย์เงือกที่ไร้แขนขา เลือดเกรอะกรังเต็มใบหน้า
ภาพน่าสยดสยองไม่น่ามองเช่นนั้นสร้างความตระหนกให้เหล่านักรบทะเลทราย
“ท่านแม่!” หางตาของเคอเอ่อร์เค่อกระตุกตุบๆ เบิกตาโพลงจนดวงตาแทบปริแตก หันไปมองต้าเฟยพลางเอ่ยเสียงสั่น “ทั้ง…ทั้งหมดนี่ เป็นฝีมือของท่านกับพ่อมดใหญ่จริงหรือ เพราะเหตุใด”
ต้าเฟยถูกบีบคออยู่จึงพูดไม่ได้ ทว่าแววตานางกลับเย็นเยียบ ไม่มีทีท่าว่าจะปฏิเสธหรือวิงวอนแม้แต่น้อย เคอเอ่อร์เค่อรู้นิสัยมารดาดี เพียงเห็นสายตานี้ เขาก็รู้คำตอบแล้ว รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งร่าง โลหิตที่เดิมพลุ่งพล่านพร้อมสู้รบเหือดหายไปสิ้น
“สตรีชั่วร้ายผู้นี้ทำให้เผ่าฮั่วถูตกอยู่ในสภาพนี้” น้ำเสียงของสืออิ่งเย็นชา เสียงไม่ดัง แต่ทุกถ้อยทุกคำล้วนถ่ายทอดเข้าไปในหูของนักรบแต่ละคนอย่างชัดเจน “ข้ารับบัญชาจากตี้จวินมาที่นี่ ประหารตัวการชั่วร้าย แต่ผู้ที่ถูกข่มขู่บังคับให้ละเว้นโทษได้! ชื่อหวังนำกำลังรุดมาที่นี่แล้ว ทหารม้าจากตี้ตูก็กำลังจะมาถึง…พวกเจ้ายังจะช่วยคนชั่ว ต่อต้านทหารสวรรค์อยู่อีกหรือ!”
“…” บนทุ่งหิมะเวิ้งว้าง ทหารเกราะเหล็กสามพันนายพลันตกอยู่ในความเงียบ
จูเหยียนตึงเครียด นิ้วมือที่ยังมีเลือดไหลอยู่เก็บร่มขึ้นมาเงียบๆ ขยับเข้าไปหาอาจารย์อย่างเงียบกริบ เกรงว่าทหารม้าที่ร้ายกาจดุจหมาป่าและพยัคฆ์เหล่านั้นจะได้รับคำสั่งอะไรปุบปับแล้วพุ่งเข้ามาพร้อมกัน
แม้กระนั้น ท่ามกลางความเงียบงัน พลันได้ยินเสียงดังตุ้บ
คันธนูคันหนึ่งถูกโยนลงมาจากหลังม้า หล่นลงบนพื้นหิมะ
“เรื่องมาถึงขั้นนี้ ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว” เคอเอ่อร์เค่อเป็นฝ่ายปลดธนูทิ้งก่อน โยนลงบนพื้น เขากระโดดลงจากหลังม้า หันไปเอ่ยกับเหล่านักรบข้างหลัง “ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของมารดา เผ่าฮั่วถูจะต่อสู้กับทหารสวรรค์ของตี้ตูไม่ได้ หาไม่แล้วหายนะครั้งใหญ่ถึงขั้นล้างเผ่าพันธุ์ย่อมมาเยือนไม่ช้าก็เร็ว…ทุกคน ปลดอาวุธ!”
“…” เหล่านักรบมองการกระทำของหวังคนใหม่อย่างลังเลเล็กน้อย
“พวกเจ้าจะบีบให้เผ่าฮั่วถูเป็นกบฏจริงๆ หรือ รีบถอดเกราะยอมแพ้ซะ!” เคอเอ่อร์เค่อเริ่มร้อนใจ เกรงว่าสถานการณ์จะอยู่เหนือการควบคุม จึงตวาดเสียงกร้าว “ใครทำอะไรผู้นั้นรับผิดชอบ นี่เป็นความผิดที่ครอบครัวของเราเป็นคนก่อ มิอาจทำให้บิดามารดาภรรยาและบุตรของพวกเจ้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ยิ่งมิอาจทำให้เผ่าฮั่วถูต้องถูกประหารเก้าชั่วโคตร! ขอทุกคนโปรดทำตามประสงค์ของข้าด้วย!”
เหล่านักรบลังเลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พากันปลดอาวุธ โยนลงบนพื้นหิมะทีละคน ไม่นานธนูและดาบทวนก็กองสูงเป็นภูเขา
“หัวหน้ากองพันทุกท่าน แยกย้ายกันพาทุกคนกลับไปที่ค่าย!” เคอเอ่อร์เค่อสั่ง น้ำเสียงเฉียบขาด ทว่ามิได้เจือแววโทสะน่าเกรงขาม “ทุกคนกลับไปประจำตำแหน่ง! หากไม่มีคำสั่งข้า ห้ามออกมาโดยพลการเด็ดขาด!”
ไม่นาน บนพื้นหิมะก็เหลือคนเพียงไม่กี่คน ต้าเฟยมองเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น อ้าปากสุดชีวิต แต่กลับเปล่งเสียงไม่ได้แม้แต่น้อย แววตามีทั้งความโกรธเกรี้ยวและเคียดแค้น ถลึงตาจ้องบุตรชายของตนอย่างขุ่นขึ้ง แทบจะอยากพุ่งเข้าไปใช้แส้หวดเจ้าคนที่ยอมจำนนต่อผู้อื่นอย่างง่ายดายให้ได้สติ
“เคอเอ่อร์เค่อชินหวังกระจ่างแจ้งเปี่ยมคุณธรรม หาได้ยากยิ่งนัก” สืออิ่งลอบพรูลมหายใจด้วยความโล่งอก พยักหน้าให้เคอเอ่อร์เค่อ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ รอให้เรื่องนี้ยุติลง ข้าจะรายงานไปยังตี้ตู ล้างมลทินให้เจ้าทั้งหมด”
“ล้างมลทินอันใดเล่า” เคอเอ่อร์เค่อส่ายหน้า ยิ้มอย่างสลดหดหู่ “มารดาข้ากระทำเรื่องเช่นนี้ใต้จมูกข้า ข้าเป็นถึงหวังแห่งเผ่าฮั่วถู กลับไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย ยังจะมีหน้าอะไรมาลบล้างความผิดให้ตนเอง”
เขาสืบเท้าขึ้นมา คุกเข่าลงข้างหนึ่งให้สืออิ่ง “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ผู้น้อยในฐานะหวังของเผ่าฮั่วถู ยินดีรับผิดชอบทั้งหมด ขอเพียงต้าเสินกวนไม่ทำให้ทุกคนในเผ่าต้องเดือดร้อน เช่นนั้นเคอเอ่อร์เค่อก็ตายตาหลับแล้ว…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็พลิกข้อมือ ชักดาบสั้นเล่มหนึ่งออกมาปาดที่ลำคอ!
สืออิ่งตื่นตะลึง นิ้วมือเพิ่งจะยกขึ้น แต่กลับชะงัก
“อย่า!” จูเหยียนหวีดร้องด้วยความตระหนก รีบวิ่งเข้าไป แต่ขัดขวางอีกฝ่ายไว้ไม่ทัน ดาบสั้นฟันลงไปอย่างรุนแรงเฉียบขาด เคอเอ่อร์เค่อสิ้นใจทันที กว่าจูเหยียนจะพุ่งไปถึง ตัวกับหัวของเขาก็แยกจากกันแล้ว นางยืนตัวแข็งทื่อบนพื้นหิมะ มองคนที่เดิมควรเป็นสามีของตนค่อยๆ สิ้นใจ ยามนี้แม้แต่นิ้วมือยังสั่นระริก
นางก้มมองเคอเอ่อร์เค่อ จากนั้นเงยหน้ามองสืออิ่ง ใบหน้าขาวซีด
สืออิ่งมองภาพตรงหน้าเงียบๆ สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ออกแรงที่ข้อมือ เหวี่ยงต้าเฟยที่ดิ้นรนไม่หยุดลงบนพื้น เอ่ยเสียงเยียบเย็น “ตอนนี้เจ้าเข้าใจความทุกข์ทรมานของคนที่ถูกเจ้าทำร้ายหรือยัง โลกนี้ดำเนินไปตามกฎแห่งกรรม ไม่มีทางหนีพ้นได้”
ต้าเฟยดิ้นรนอยู่บนพื้น คิดจะโผเข้าไปหาศพของบุตรชาย แต่ไม่ว่าทำอย่างไรร่างกายก็มิอาจขยับได้ ในที่สุดน้ำตาก็ไหลรินออกมาจากดวงตาของสตรีที่เหี้ยมหาญมาชั่วชีวิตผู้นี้ จับตัวเป็นน้ำแข็งท่ามกลางลมหิมะในทะเลทราย
จูเหยียนมองดูอยู่ข้างๆ ความรู้สึกในใจผสมปนเป ตัวสั่นนิดๆ
“ในเมื่อบุตรชายเจ้าใช้โลหิตของตนลบล้างความผิดของเผ่าฮั่วถู เช่นนั้นข้าก็รับปากเขาว่าจะยุติเรื่องนี้เพียงเท่านี้ ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่นอีก” ขณะที่สืออิ่งพูด เชือกเงินเส้นหนึ่งก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ มัดตัวต้าเฟยไว้อย่างแน่นหนาในชั่วพริบตา “เพียงแค่ส่งตัวเจ้าไปตี้ตูรับการสอบสวนก็พอ”
เขาหลุบตามองมนุษย์ไหจำนวนมากในห้องใต้ดิน ดวงตาฉายแววทอดถอนใจ พลันสะบัดแขนเสื้อ…รัศมีสีขาวเจิดจ้าพุ่งขึ้นจากพื้นหิมะ ดุจอสนีหลายสิบสายตัดสลับไปมา
“ไม่นะ!” จูเหยียนแผดเสียงด้วยความตื่นตระหนก
ทว่าสายไปเสียแล้ว สายฟ้าเหล่านั้นตกลงมาจากท้องฟ้า วนรอบห้องใต้ดินรอบหนึ่ง ศีรษะคนถูกบั่นพร้อมเพรียงกันเหมือนรวงข้าวสาลีที่ถูกเกี่ยว กลิ้งหล่นจากไหสุรา!
เพียงชั่วพริบตา มนุษย์เงือกในไหเหล่านั้นก็ตายเรียบ
จูเหยียนยืนอยู่ตรงนั้น มองศีรษะมนุษย์เงือกที่กลิ้งหลุนๆ เต็มพื้น จากนั้นมองเจ้าบ่าวของตนที่หัวกับตัวแยกออกจากกัน พลันรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งร่าง
“เพราะ…เพราะเหตุใด” นางมองสืออิ่ง ถามเสียงสั่น “เหตุใดต้องฆ่าพวกเขาด้วย”
“มีสภาพเช่นนี้แล้ว มีชีวิตอยู่อีกวันก็ต้องทรมานไปอีกหนึ่งวัน เหตุใดจึงไม่ให้พวกเขาตายเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเล่า” สืออิ่งโน้มตัวลงมองนาง มุ่นคิ้วนิดๆ “หรือเจ้ายังคิดจะให้ข้าช่วยมนุษย์เงือกไร้แขนขาเหล่านี้ออกมาทีละคน”
“แล้วไม่ได้หรือ” นางอึ้งไป “ทั้งที่…ทั้งที่ท่านก็ทำได้ชัดๆ!”
“ไม่คุ้มค่า หากเป็นเจ้าที่ถูกจับยัดลงไหสุรา บางทีข้าอาจลองคิดดู” สืออิ่งรับร่มจากมือนาง เดินไปข้างศพของเคอเอ่อร์เค่อ ก้มหน้าจ้องมองครู่หนึ่งพลางเอ่ยอย่างทอดถอน “น่าเสียดาย…เดิมเขาควรเป็นผู้ปกครองเผ่าที่โดดเด่นยิ่งคนหนึ่ง! การตายของเขาเป็นความสูญเสียของแคว้นคงซาง”
จูเหยียนมองดูเงียบๆ ในใจรู้สึกย่ำแย่อย่างบอกไม่ถูก
หนึ่งวันก่อนหน้า นางยังรู้สึกต่อต้านและรังเกียจคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีผู้นี้ คิดไม่ถึงว่าตนจะต้องพบเขาในสภาพเช่นนี้ ทั้งยังต้องบอกลาเขาในสภาพเช่นนี้…วาสนาระหว่างคนเราเกิดขึ้นในชั่วพริบตา แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ดุจก้อนเมฆบนท้องฟ้า
สืออิ่งหันมามองนาง “ข้าบอกเจ้าไว้ไม่ผิดกระมัง ฟูจวินของเจ้าเป็นบุรุษที่ดีคนหนึ่ง หากเจ้าแต่งให้เขา ความจริงก็ไม่เสียเปรียบ”
“ท่าน…” จูเหยียนมองเขา มิอาจสะกดความสั่นเครือในน้ำเสียงได้ โพล่งออกไปด้วยโทสะที่ข่มไว้ไม่อยู่ “เหตุใดท่านไม่ช่วยเขา ทั้งที่…ทั้งที่ตอนนั้นท่านช่วยเขาได้ชัดๆ! เหตุใดจึงมองดูเขาฆ่าตัวตาย”
สืออิ่งหลุบตาลง น้ำเสียงเฉยชา “นั่นสิ…ชั่วอึดใจนั้น ข้าช่วยเขาได้ทันจริงๆ แต่เหตุใดข้าต้องช่วยเขาด้วยเล่า”
“เขาไม่สมควรตาย!” จูเหยียนขุ่นขึ้ง เลือดลมพวยพุ่งขึ้นมาทันใด ถึงกับกล้าเถียงเขา “เราบำเพ็ญเพียรฝึกวิชา มิใช่เพื่อช่วยเหลือคนที่ไม่สมควรตายพวกนั้นหรือ”
เขาเหลือบมองนางอย่างเรียบเฉย น้ำเสียงสงบนิ่ง “ไม่ว่าควรหรือไม่ควรตาย หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เขายังคงยอมตายเสียดีกว่ากระมัง หากเขายังสามารถเป็นหวังที่โดดเด่นต่อไปได้ ก็นับว่าคุ้มค่า หากเขาสามารถเป็นฟูจวินที่จูเหยียนจวิ้นจู่รักใคร่ลึกซึ้ง ก็นับว่ามีความหมาย แต่ตอนนี้เขามิใช่ทั้งสองอย่าง…เขามิอาจเป็นหวังของเผ่าฮั่วถู ทั้งมิอาจเป็นสามีของเจ้า ไยข้าต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณช่วยเขาด้วยเล่า หากเขามีชีวิตอยู่ต่อไปรังแต่จะเป็นเรื่องยุ่งยาก”
“…” นางพูดไม่ออก มองดวงตาที่คุ้นเคยคู่นั้นอย่างนิ่งงัน
ในดวงตาสุขุมอ่อนโยนคู่นั้น กลับมีแต่ความเย็นชาไร้ความรู้สึกเหมือนคนตาย
“อย่ามองข้าเช่นนี้ อาเหยียน ในใจทุกคนล้วนมีไม้บรรทัดของตนเอง” ราวกับรู้สึกถึงอารมณ์ในใจนาง เขามองนางด้วยสายตาราบเรียบ ย้อนถาม “อันที่จริงไยต้องคาดหวังให้ข้าช่วยเขาด้วยเล่า ตัวเจ้าเองเหตุใดจึงไม่เข้าไปช่วย”
“ข้า…ข้าเข้าไปไม่ทัน” นางพึมพำอย่างห่อเหี่ยว พลันรู้สึกขุ่นเคือง จ้องเขาเขม็ง “ท่านรู้ทั้งรู้ว่าทำอย่างไรข้าก็วิ่งเข้าไปไม่ทันอยู่แล้ว! ยังจะถามอีก?!”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าต้องเข้าไปทันอยู่แล้ว” สืออิ่งคลี่ยิ้มจางๆ “ตอนต้าเฟยฟันดาบลงมาที่ข้า เจ้ายังเข้ามาขวางได้ทัน”
“…” จูเหยียนตะลึงงัน
นั่นสิ ตอนนั้นระยะห่างระหว่างนางกับต้าเฟยอย่างน้อยก็นับสิบจั้ง ดาบนั้นฟันลงไปที่ศีรษะ รวดเร็วปานพายุ แต่ในชั่วพริบตานั้น ตนกลับพุ่งเข้าไปได้ทันเวลาและใช้มือเปล่ารับคมดาบที่ฟันลงมา…เหตุการณ์นี้เมื่อมองย้อนกลับไป ก็รู้สึกราวกับฝันอย่างไรอย่างนั้น
นางก้มหน้าลงมองบาดแผลจากคมดาบกลางฝ่ามือที่ลึกจนเห็นกระดูกอย่างเลื่อนลอย พูดไม่ออกชั่วขณะ จริงด้วย ชั่วขณะนั้น หากข้าพุ่งเข้าไปจริงๆ ไม่แน่อาจช่วยเคอเอ่อร์เค่อได้กระมัง
แต่…แต่เหตุใดข้าไม่ทำเช่นนั้นเล่า
“เจ้าทำได้อยู่แล้ว อาเหยียน เจ้ามีพลังมากกว่าที่เจ้าคิด” มองรอยดาบกลางฝ่ามือนางแล้ว น้ำเสียงที่เข้มงวดเสมอมาของสืออิ่งเจือแววชื่นชมเป็นครั้งแรก “เจ้าต้องมั่นใจในตนเอง จำไว้ ขอเพียงเจ้าต้องการ ย่อมทำได้และทันการณ์เสมอ!”
ถูกชมเช่นนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี จูเหยียนอดงงงันมิได้ นานครู่ใหญ่ จึงเงยหน้าขึ้นอย่างทำอะไรไม่ถูก มองเขา “จริง…จริงหรือ”
“ข้าเคยโกหกเจ้าเมื่อใดเล่า” สืออิ่งยกนิ้วขึ้น ลูบผ่านบริเวณบาดแผลที่ลึกจนเห็นกระดูกบนมือนาง จุดที่ถูกสัมผัสเลือดหยุดไหลทันที “เอาล่ะ จบเรื่องแล้ว ข้าส่งเจ้ากลับบ้านดีกว่า…”
“กลับบ้าน?” นางอึ้งงัน ก่อนจะถอยหลังโดยสัญชาตญาณ
“ตอนนี้เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ เจ้าก็ไม่ต้องออกเรือนแล้ว ไม่กลับบ้านยังคิดจะไปที่ใดอีก” เขาสังเกตสีหน้านาง “วางใจเถอะ ข้าจะพาเจ้ากลับไปส่งด้วยตนเอง รับรองไม่ปล่อยให้เจ้าถูกฟู่หวังตีแน่นอน”
ทว่านางกลับหดตัวหนี พูดเสียงค่อย “ไม่ ข้าไม่กลับ!”
“ทำไมเล่า” สืออิ่งมุ่นคิ้วน้อยๆ
“กลับไปแล้วอย่างไร มิใช่ยังต้องถูกเขาส่งออกไปแต่งงานอีกหรือ” นางงึมงำอย่างไม่พอใจ เงียบครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “มิสู้ให้ข้าตามท่านไปเขาจิ่วอี๋ดีกว่า! ใช่แล้ว…ที่นั่นไม่รับเสินกวนหญิงจริงๆ หรือ ข้ายอมออกบวชที่จิ่วอี๋ก็ไม่ยอมกลับไปถูกขังอีกแล้ว!”
“…” สืออิ่งจนคำพูด มองนางแวบหนึ่ง “กลับกระโจมทองกับข้าก่อน!”
“อ้อ” จูเหยียนไม่กล้าขัดคำสั่งเขา ได้แต่เดินตามไปอย่างว่าง่าย
[1] หน่วยเงินในเรื่องนี้ “จิน” คือทองคำ “จู” เป็นมาตราชั่งของจีนโบราณ โดย 24 จู เท่ากับ 1 เหลี่ยง (ประมาณ 50 กรัม)
[2] อวี้เจี่ยนในที่นี้มีลักษณะคล้ายไม้บรรทัดหยก หรืออาจหมายถึงหยกที่นำมาตัดเป็นซีกคล้ายซีกไม้ไผ่และร้อยเข้าด้วยกันเป็นม้วนหนังสือก็ได้
[3] คำเรียกรวมสำหรับเจ้าแผ่นดินในยุคศักดินา
[4] “ชินหวัง” คือบรรดาศักดิ์ที่กษัตริย์แต่งตั้งให้แก่โอรส พระเชษฐา พระอนุชา คนในราชสกุล หรือข่านแห่งมองโกล เป็นบรรดาศักดิ์ชั้นยศสูงสุดรองจากไท่จื่อ