[ทดลองอ่าน] จูเหยียน ลำนำกระดูกหยก บทที่ 4

จูเหยียน ลำนำกระดูกหยก
朱颜

 

ชางเย่ว์ เขียน
กอหญ้า แปล

 

— โปรย —

ณ ดินแดนเมฆาอวิ๋นฮวง ซึ่งปกครองโดยตี้จวินแห่งคงซางผู้สืบทอดอำนาจจากทวยเทพ
โดยมีฟานหวังหกเผ่าคือ ไป๋ ชิง จื่อ ชื่อ หลาน และเสวียน ร่วมดูแลหกดินแดนใต้อาณัติ
ได้ก่อกำเนิดเรื่องราวแห่งวาสนาผูกพันและความขัดแย้งที่โชคชะตาลิขิตไว้…

จูเหยียน จวิ้นจู่เผ่าชื่อในวัยสิบแปด
ถูกส่งตัวไปแต่งงานกับหวังแห่งซูซ่าฮาหลู่แต่นางหลบหนีในคืนส่งตัว
จนเกิดเหตุพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิต
และได้พบสืออิ่งผู้เป็นอาจารย์ของตนอีกครั้งโดยบังเอิญหลังจากไม่ได้พบกันมาห้าปี

สืออิ่ง รู้ดีว่าตนได้ถูกกำหนดว่าจะต้องตายด้วยน้ำมือนาง
ทว่าเขามิอาจตัดใจฆ่านางเสียตั้งแต่ยังเด็กเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเอง
ทั้งยังสอนวิชาอาคมให้นาง

กาลเวลาผันผ่าน ภายใต้สัญญาณแห่งดาราวิถีที่บ่งชี้ว่าคงซางจะล่มสลายโดย “มนุษย์เงือกผู้หนึ่ง”
สืออิ่ง พยายามทุกวิถีทางที่จะตามหาและสังการบุคคลในคำทำนายผู้นั้น
ขณะที่จูเหยียน ยืนหยัดปกป้องมนุษย์เงือกที่นางรัก
นี่คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระหว่างศิษย์อาจารย์ และการนองเลือดระหว่างเผ่าพันธุ์

ภายใต้วงล้อแห่งโชคชะตาที่กำลังดำเนินไปอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
คำทำนายนี้จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ และวาสนารักของทั้งคู่จะได้บรรจบหรือพลัดพราก…

 

_______________________________

 

ติดตามการวางจำหน่ายหนังสือได้ทางเพจ “บ้านอรุณ”

สำนักพิมพ์อรุณ

 

(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)

 

4

สมุดบันทึก

 

เพียงคืนเดียว อวี้เฟยกับอวิ๋นม่านก็ได้พบนางอีกครั้ง แต่กลับรู้สึกเหมือนตายจากกันไปแล้วได้พบกันใหม่ โผเข้ามากอดนางทันที แทบจะร้องไห้โฮออกมา “ขอบคุณฟ้าดิน! จวิ้นจู่ ท่านกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว…เรื่องเมื่อคืนบานปลายใหญ่โตถึงเพียงนั้น เรา…เราคิดว่าจะไม่ได้พบท่านอีกแล้ว!”

จูเหยียนรู้สึกสะเทือนใจมาก แต่ก็รู้สึกกระดากและรำคาญเล็กน้อย จึงหาข้ออ้างไล่พวกนางออกไปก่อน ชำเลืองมองอาจารย์อย่างพะว้าพะวัง สืออิ่งแผ่กระดาษจดหมายบนโต๊ะด้านข้าง เริ่มเขียนอะไรบางอย่าง เป็นไปดังคาด เขาไม่พลาดที่จะถือโอกาสนี้สั่งสอนนางไปด้วย เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าดู แม้แต่สาวใช้ยังเป็นห่วงเจ้าถึงเพียงนี้ เจ้าคิดถึงบิดามารดาบ้างเถิด”

“…” จูเหยียนใจกระตุก รู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย แต่ยังคงปากแข็ง แค่นเสียง “หึ” เบาๆ พลางเถียงกลับ “มิ…มิใช่เพราะท่านหรือ หาไม่ข้าคงหนีไปได้ตั้งนานแล้ว”

“พูดอะไรโง่ๆ” ในที่สุดสืออิ่งก็เงยหน้าจ้องนางตรงๆ แววตาขึงขัง “เจ้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของเผ่าชื่อ คิดจะแกล้งตายหลบหนีไปเพียงเพราะการแต่งงานที่ไม่ถูกใจอย่างนั้นหรือ”

“การแต่งงานที่ไม่ถูกใจ เหตุผลนี้ยังไม่เพียงพออีกหรือ!” จูเหยียนทนไม่ไหวอีกต่อไป โต้กลับอย่างเดือดจัด “ลองเปลี่ยนให้ท่านไปแต่งกับสตรีที่อ้วนเป็นหมูตอนบ้างไหมเล่า”

“…” สืออิ่งเหลือบมองนาง ไม่พูดอะไรอีก

จูเหยียนถูกเขามองก็รู้สึกร้อนตัว จริงสินะ ด้วยนิสัยอาจารย์ ขอเพียงเห็นว่าเรื่องนี้จำเป็น ต่อให้ต้องแต่งกับแม่หมูหรือแม่เสือ คาดว่าเขาก็ยังทำได้อยู่ดีกระมัง แต่ถึงอย่างไรต้าเสินกวนในจิ่วอี๋ก็ไม่ต้องแต่งภรรยาอยู่แล้วนี่ เขาจึงไม่ต้องยุ่งยากใจเรื่องนี้

“ถึงอย่างไรก็ต้องมีทางออกอื่น” สืออิ่งก้มหน้าลงอีกครั้ง เขียนจดหมายอยู่ข้างหน้าต่างพลางพูด “เจ้าโตแล้ว ยามเจอปัญหาอย่าเอาแต่จะหนี”

“แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไร!” นางกระทืบเท้าอย่างขุ่นเคือง “ทำอย่างไรฟู่หวังก็ไม่ยอมฟังข้า ราชโองการจากตี้ตูประกาศออกมาแล้ว…ข้าไม่ได้หนีตั้งแต่ตอนอยู่ที่เมืองเทียนจี๋เฟิง อดทนจนถึงตอนนี้ก็นับว่ามีความรับผิดชอบมากแล้วนะ”

สืออิ่งคิดดู จากนั้นก็พยักหน้า “ที่เจ้าว่ามาก็ถูก”

เขาขยับข้อมืออย่างมั่นคง เขียนอักษรตัวสุดท้ายลงบนกระดาษจดหมายพลางเอ่ยเสียงเรียบ “ความจริงหากเจ้าไม่เต็มใจ ก็สามารถเขียนจดหมายไปบอกข้าได้”

อะไรนะ! จูเหยียนอึ้งงัน คิดว่าตนเองฟังผิดไป ตั้งแต่นางลงจากเขา อาจารย์ก็ไม่เคยสนใจนางอีก ห้าปีมานี้นางเขียนจดหมายให้เขามากมาย เขาไม่เคยตอบมาสักประโยคเดียว…นางคิดว่าเขาไม่สนใจความเป็นความตายของนางนานแล้ว ยามนี้เขากลับเอ่ยเช่นนี้ออกมา

“หากเจ้าเขียนจดหมายถึงข้าเร็วกว่านี้ ย่อมไม่เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น” สืออิ่งเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมกับเขียนอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ

“จริงหรือ ทำไมท่านไม่บอกตั้งแต่แรกเล่า!” จูเหยียนตะลึงงัน อดอุทานด้วยความชื่นชมไม่ได้ “อาจารย์ คิดไม่ถึงว่าท่านจะร้ายกาจทีเดียว! ต้าเสินกวนแห่งอารามเทพจิ่วอี๋มีอำนาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

เจ็ดพันปีก่อน บรรพชนของชาวคงซางซิงจุนต้าตี้[1]ขับไล่เผ่าน้ำแข็ง ทำลายแคว้นสมุทร รวมอวิ๋นฮวงเป็นหนึ่งและก่อตั้งราชวงศ์ผีหลิง สร้างสุสานของตนกับไป๋เวยหวงโฮ่วไว้ที่หุบเขาตี้หวังบนเขาจิ่วอี๋ ทั้งยังสร้างอารามเทพขึ้นมาด้วย นับแต่นั้นมา ตี้โฮ่ว[2]ทุกยุคทุกสมัยของแคว้นคงซางล้วนถูกฝังอยู่ที่นั่น ทุกๆ สามปี ตี้จวินจะนำหวังทั้งหกเผ่ามุ่งหน้าไปยังอารามเทพจิ่วอี๋เพื่อประกอบพิธีบวงสรวงครั้งใหญ่

โดยทั่วไป คนที่ถูกส่งไปเป็นเสินกวนที่อารามเทพจิ่วอี๋ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทายาทชนชั้นสูงที่ไร้อำนาจของหกเผ่า เนื่องจากพวกเขาไม่มีทางได้สืบทอดตำแหน่งหรือบรรดาศักดิ์ ทั้งยังไม่ได้รับมรดกใดๆ ทางออกเดียวที่เหลือก็คือเข้าสู่อารามเทพจิ่วอี๋บำเพ็ญเพียร อาศัยเวลาในการไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่ง หากได้เป็นเสินกวน บางทีอาจยังมีอนาคต

นางไม่รู้ว่าอาจารย์มาจากเผ่าใดในหกเผ่า แต่ในเมื่อถูกส่งไปยังจิ่วอี๋ จะต้องไม่ใช่ตระกูลที่มีอำนาจอะไรแน่ อีกอย่าง จะว่าไปแล้วเสินกวนในอารามเทพจิ่วอี๋ก็รับผิดชอบแค่เรื่องการบวงสรวงบูชาบรรพชน ปกปักวิญญาณผู้วายชนม์ จะก้าวก่ายการตัดสินใจสำคัญของราชวงศ์ได้อย่างไร

สืออิ่งกลับมิได้ตอบคำถามนาง จู่ๆ ก็ไอออกมาหลายที หยิบผ้าเช็ดหน้าจากในอกเสื้อมาเช็ดปาก บนผ้าไหมขาวสะอาดถูกย้อมด้วยสีแดงจางๆ ทันที

“อะ…อาจารย์!” จูเหยียนตระหนก ตกใจจนพูดตะกุกตะกัก “ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ”

“ไม่เป็นไร” สืออิ่งเก็บผ้า ตอบเสียงเรียบ

นางมองเขาอย่างอึ้งงัน พึมพำอย่างเหลือเชื่อ “ท่าน…ท่านก็บาดเจ็บเป็นเหมือนกันหรือ”

“เจ้าคิดว่าร่างกายข้าเป็นอมตะหรือไร” เขาเหลือบมองนางอย่างเย็นชา “หนึ่งคนรับมือศัตรูหนึ่งหมื่น เป็นเรื่องง่ายดายนักหรือ”

“…” นางไม่กล้าตอบ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงถาม “เมื่อ…เมื่อครู่กระบวนท่าที่ใช้หยุดหมื่นธนูมีชื่อว่าอะไร…เหตุใดท่านจึงไม่ได้สอนให้ข้า”

“ไม่มีชื่อ” สืออิ่งตอบเสียงเรียบ “ข้าคิดขึ้นมากะทันหัน”

จูเหยียนพูดไม่ออกอีกครั้ง เอ่ยเสียงงึมงำ “กระบวนท่านั้นร้ายกาจยิ่งนัก! สอนข้าได้หรือไม่”

“ไม่ได้” สืออิ่งไม่เหลือบแลลูกศิษย์คนนี้ด้วยซ้ำ “พื้นฐานของเจ้าย่ำแย่เกินไป ตอนนี้ยังเรียนกระบวนท่านี้ไม่ได้ หากฝืนเรียน จะต้องถูกผลย้อนทำร้าย ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บแน่นอน ไม่ได้เด็ดขาด”

“อย่างนี้เองหรือ…” จูเหยียนคอตก ถอนหายใจอย่างผิดหวัง

นั่นสินะ ตอนนั้นอาจารย์ใช้มือเปล่าคว้าลูกธนู หมื่นทหารถอยหลบ ดูน่าเกรงขามไปทั่วทุกทิศ ความจริงนางเองก็รู้ว่าอาคมแก่กล้าเช่นนี้ต้องมีผลย้อนทำร้ายที่รุนแรงอย่างยิ่ง เกรงว่าเพียงกระบวนท่านั้นอย่างเดียวก็ต้องสูญพลังปราณไปกว่าครึ่งแล้ว ทว่าตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากตอนที่อยู่ในป่าแห่งฝันร้ายแล้ว นางก็ไม่เคยเห็นอาจารย์บาดเจ็บมาก่อน จึงค่อยๆ บ่มเพาะความคิดที่ว่าคนผู้นี้มีร่างเป็นวัชระไม่มีวันดับสลาย[3]

สืออิ่งตั้งใจเขียนจดหมายจนเสร็จ หยิบกระดาษจดหมายขึ้นมาผึ่งลมให้แห้ง

จูเหยียนชะโงกหน้าเข้าไป อยากดูว่าเขาเขียนอะไร เขากลับเก็บจดหมายได้ทันท่วงที นางแปลกใจเล็กน้อย แต่มิกล้าถามมาก…อาจารย์เป็นคนเข้มงวดเย็นชามาแต่ไหนแต่ไร กับความสงสัยเล็กๆ น้อยๆ และนิสัยอยู่ไม่สุขของนาง เกินครึ่งมีแต่จะสาดน้ำเย็นใส่

สืออิ่งพับกระดาษจดหมายเป็นรูปนกกระเรียนตัวหนึ่ง เป่าเบาๆ นกกระเรียนกระดาษพลันมีชีวิต กางปีกสองข้างบินออกจากกระโจมทอง การใช้กระเรียนกระดาษส่งสารเช่นนี้เป็นวิชาอาคมพื้นฐาน นางก็ทำเป็น เพียงแต่นกที่พับออกมามิได้ดูดีและมิได้ดูเหมือนพับได้ง่ายดายเช่นนี้ นกกระเรียนเหล่านั้นถ้าไม่ขาเป๋ก็ปีกหัก บินตุปัดตุเป๋ออกไปได้ไม่ถึงสิบหลี่

มองนกกระเรียนกระดาษบินหายลับไปท่ามกลางลมหิมะ สืออิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พลันเอ่ยว่า “จะว่าไป ตกลงเจ้าอยากแต่งให้ฟูจวินแบบใดกันแน่”

จูเหยียนคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาจะถามเช่นนี้ อดชะงักไปมิได้ “หา?”

“ไหนบอกข้าซิ” สืออิ่งเอามือไพล่หลัง มองลมหิมะนอกกระโจม ใบหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยเสียงเรียบ “คราวหน้าข้าจะได้บอกให้ชื่อหวังเลือกดีๆ ก่อน เจ้าจะได้ไม่ต้องลำบากลำบนเช่นนี้อีก”

อืม? ข้าชอบคนแบบใดหรือ…

อา ข้าชอบแบบ…” เดิมนางอยากโพล่งออกไปว่าชอบมนุษย์เงือกที่หล่อเหลาอ่อนโยนแบบยวน แต่พอคำพูดมาถึงปาก นางกลับหุบปากฉับ…จริงสิ อาจารย์นิสัยเข้มงวดคร่ำครึมาตลอด หากรู้ว่าข้าหลงรักทาสเงือกคนหนึ่งหัวปักหัวปำ ข้าไม่ต้องถูกด่าตายหรือ ทั้งฟู่หวังยังกำชับนักหนาว่าห้ามเอ่ยถึงเรื่องฉาวนี้กับใครเด็ดขาด หาไม่แล้วจะตีขาข้าให้หัก

“ข้า…ข้าคิดว่า” พอคิดได้เช่นนี้ นางก็เปลี่ยนคำพูดกลบเกลื่อนทันที ถือโอกาสประจบประแจง “แบบอาจารย์ก็น่าจะดีมาก!”

หางคิ้วของสืออิ่งกระตุกเล็กน้อย หันมามองด้วยสายตาคมกริบ นางสะดุ้งเฮือก รีบหดคอแทบไม่ทัน…อะไรกัน หรือว่าข้าประจบไม่ถูกจุด?

“อย่าพูดเหลวไหล” สืออิ่งเอ่ยเสียงเย็น “เสินกวนมิอาจแต่งภรรยา”

“ข้ารู้ ข้ารู้…” นางรีบเสริม ตัดสินใจด้านหน้าพูดออกไปว่า “ความหมายของข้าคือ พอได้เห็นมังกรในฝูงชนที่รูปโฉมเลิศล้ำไม่มีผู้ใดเทียบเทียมเช่นอาจารย์ แม้ใต้หล้าจะมีบุรุษนับหมื่นพัน แต่จะมีสักกี่คนที่อยู่ในสายตาข้าเล่า เรื่องนี้จึงทำให้การออกเรือนของข้าล่าช้าไป!”

คำพูดประจบเช่นนี้ นางฟังเองยังแทบอาเจียน แต่สีหน้าของสืออิ่งกลับดีขึ้นเล็กน้อยตามคาด

“ไม่อาจใช้มาตรฐานนี้ไปเรียกร้องกับฟู่หวังของเจ้า” ผ่านไปครู่หนึ่ง กลับได้ยินอาจารย์ถอนหายใจ “หาไม่แล้วชั่วชีวิตนี้เจ้าคงไม่ได้ออกเรือน”

อะไรนะ! ต้องปิดทองบนหน้าตัวเอง[4]ขนาดนี้เลยหรือ ทั้งยังพูดได้หน้าตาเฉยอีก! จูเหยียนแอบกระอักเลือดในใจ ฝืนกลืนคำพูดนี้กลับลงไป กลับได้ยินเขาเอ่ยว่า “ชื่อหวังมีเจ้าเป็นธิดาเพียงคนเดียว เหตุใดจึงได้ทำตัวเหมือนน้องชายข้า ทำให้ผู้อื่นเป็นกังวลอยู่เรื่อย”

น้องชาย? จูเหยียนอดแปลกใจมิได้ อาจารย์บำเพ็ญเพียรในอารามเทพมาตั้งแต่เล็ก ไปไหนมาไหนคนเดียว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด มีน้องชายด้วยหรือ เขามิใช่ดาวเคราะห์เดียวดายที่ถือกำเนิดมาจากก้อนหิน ไม่มีพ่อไม่มีแม่หรอกหรือ

“ท่านมีน้องชายด้วย?” จูเหยียนอดสงสัยไม่ได้ หลุดปากถาม “เขาทำอะไรหรือ”

สืออิ่งไม่ตอบ เพียงชำเลืองมองนาง สายตานั้นทำเอานางสะท้านสันหลัง กลืนคำพูดที่เหลือลงไป เพราะเกรงจะไปแตะถูกเกล็ดย้อน[5]ของอาจารย์เอาเข้า นางจึงรีบเปลี่ยนเรื่องพูด “เช่นนั้น…ท่านมาแดนประจิมครั้งนี้ เพราะล่วงรู้แผนการร้ายของต้าเฟยแต่แรกแล้วใช่หรือไม่”

“อืม” เขาตอบเสียงเรียบ

“เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าจากคันฉ่องวารี หรือใช้การพยากรณ์?” นางทำท่าสนใจใคร่รู้ เซ้าซี้จะให้เขาสอน “เรื่องนี้ต้องดูอย่างไรหรือ”

สืออิ่งตอบเพียงสองคำ “ดูปราณ”

“อ้อ…เป็นเพราะการใช้วิชามารต้องรวบรวมสิ่งมีชีวิตจำนวนมากใช่หรือไม่ พวกเขาซ่อนมนุษย์ไหไว้ใต้ดินมากมายเช่นนั้น ไอแค้นพุ่งสู่ท้องฟ้า ดังนั้นท่านจึงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติทางนี้?” นางพยายามทำความเข้าใจความหมายที่อาจารย์พูดเต็มที่ แต่คิดอย่างไรก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดี “แต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะหนีการแต่งงาน เรื่องนี้ข้าเพิ่งตัดสินใจระหว่างทาง บอกเพียงอวี้เฟยกับอวิ๋นม่านเท่านั้น แม้แต่หมู่เฟยยังไม่รู้เลย แล้วท่านรู้ล่วงหน้าได้อย่างไร เรื่องนี้อาศัยการดูปราณก็รู้ได้ด้วยหรือ”

“ไม่ได้” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ตีหน้าเย็นชาตอบ “เป็นความบังเอิญล้วนๆ”

“…” นางถึงกับสะอึก

ที่แท้เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อช่วยข้าจากเหตุคับขัน น่ากลัวว่าห้าปีมานี้เขาคงไม่เคยคิดถึงข้าเลยกระมัง พอคิดถึงที่หมู่เฟยยังเคยบอกให้ตนหนีไปเขาจิ่วอี๋พึ่งพาคนผู้นี้ ในใจนางอดโมโหและผิดหวังมิได้ ก้มหน้าคอตกทันใด แววตาหม่นลง

สืออิ่งเห็นนางมีท่าทีห่อเหี่ยว ในที่สุดก็เอ่ยเพิ่มขึ้นมาหน่อย “ระยะนี้ข้ากำลังสืบเรื่องเกี่ยวกับมนุษย์เงือก ดังนั้นจึงลงจากเขา”

“อ้อ ที่แท้เป็นเช่นนี้” นางพยักหน้า…เรื่องที่ทำให้อาจารย์ลงจากเขาเป็นกรณีพิเศษได้ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ แต่ในเมื่อเขาไม่พูดให้ชัดเจน ถามไปก็คงไม่ได้คำตอบอะไร จูเหยียนคิดแล้วจึงถามอย่างสงสัย “แต่ว่า…เหตุใดท่านจึงมาเพียงคนเดียวเล่า”

สืออิ่งอดทนตอบข้อสงสัยของนาง “ก่อนจะพบหลักฐานที่แน่ชัด ไม่ควรสร้างความแตกตื่นให้ตี้ตูโดยพลการ ดังนั้นข้าจึงได้แต่มาสืบข่าวทางนี้ตามลำพัง สืบอยู่ครึ่งเดือน ไม่พบเบาะแสแม้แต่น้อย…โชคดีที่เมื่อคืนเจ้าหนีการแต่งงาน เกิดเหตุพลิกผันกะทันหัน บีบให้พวกเขาทำอะไรไม่ถูกจนเผยพิรุธออกมา”

จูเหยียนตกตะลึง “ท่าน…ท่านบอกว่ารับบัญชาจากตี้ตูไม่ใช่หรือ ยังบอกอีกว่ากองทัพใหญ่กำลังจะมาถึง…”

สืออิ่งเอ่ยเสียงเย็น “ตอนนั้นหากไม่พูดเช่นนี้ จะกำราบทหารทั้งกองได้อย่างไร”

“อันตรายเกินไปแล้ว!” นางอดร้องออกมามิได้ รู้สึกสะท้านสันหลัง “หากตอนนั้นเคอเอ่อร์เค่อตัดสินใจเป็นกบฏ ทหารตั้งมากมาย เรา…เราสองคนมิต้องถูกยิงจนกลายเป็นเม่นหรือ”

“การเดาใจคนเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าการใช้คาถาอาคม เคอเอ่อร์เค่อเป็นคนเช่นไร ข้ารู้ดี” เขาพูดเสียงเรียบ “เจ้าไม่มั่นใจในตัวเองก็แล้วไปเถอะ กับอาจารย์ก็ไม่มั่นใจอย่างนั้นหรือ”

นางรีบหุบปาก ไม่กล้าพูดอะไรอีก

“จัดการเรื่องทางนี้เสร็จแล้ว ข้าต้องไปเสียที” สืออิ่งลุกขึ้น “เมื่อครู่ข้าเขียนจดหมายเล่าสถานการณ์ทางนี้ให้ฟู่หวังของเจ้ารับรู้ เชื่อว่าเขาน่าจะส่งคนมารับตัวเจ้ากลับไปในไม่ช้า”

“อะไรนะ ท่าน…ท่านหักหลังข้า?!” นางไม่คิดเลยว่าจดหมายฉบับเมื่อครู่จะเขียนเรื่องนี้ โมโหจนพูดไม่ออก “ข้าบอกชัดเจนแล้วว่าไม่กลับ ท่านยังจะให้ฟู่หวังมาจับตัวข้ากลับไปอีก ท่านทรยศข้าได้อย่างไร!”

สืออิ่งมุ่นคิ้ว “ฟู่หวังของเจ้าปกครองแดนประจิม มีภาระรับผิดชอบมากมาย เจ้าอย่าได้เพิ่มความวุ่นวายให้เขา”

“ถึงอย่างไรข้าก็ไม่กลับ!” จูเหยียนกระทืบเท้า พูดเสียงสะอื้น “ตายก็ไม่กลับ!”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง นางเลิกม่านกระโจมพุ่งออกไปข้างนอก…ใช่! ต่อให้หนีการแต่งงานไม่สำเร็จ นางก็ไม่อยากกลับไปที่จวนหวังในเมืองเทียนจี๋เฟิงอีกแล้ว! กลับไปก็ต้องถูกขังในกรงทองอีก ถูกส่งไปแต่งงานเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม จนกว่าจะสมใจฟู่หวัง!

อุตส่าห์หนีออกมาแล้ว ยังจะกลับไปทำไมอีก

ทว่าเพิ่งเดินออกไปไม่กี่ก้าว ร่างกายพลันชะงัก มีอะไรบางอย่างรั้งข้อเท้านางไว้ จูเหยียนคิดจะดึงอวี้กู่ออกมาจู่โจมโดยสัญชาตญาณ แต่ใต้ฝ่าเท้าพลันมีเถาวัลย์สีขาวงอกขึ้นมา รัดตัวนางไว้แน่นแล้วดึงกลับไป เหวี่ยงลงบนพื้นพรมขนสัตว์ในกระโจมอย่างแรง นางไม่อาจขยับตัวได้

เสียงของสืออิ่งเปลี่ยนเป็นดุดัน “อย่าทำตัวไม่รู้ความ!”

นางถูกมัดลากกลับมา ทั้งหน้าเปรอะโคลนและหิมะ สภาพดูไม่ได้ โมโหจนแทบอาละวาด ดิ้นรนไม่หยุด แต่ยิ่งดิ้นเชือกเถาวัลย์ก็ยิ่งรัดแน่น นางอดแผดเสียงด่าทอไม่ได้ “บัดซบ ท่าน…ท่านถึงกับมัดข้ารึ แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ยังไม่กล้ามัดข้าเลย! ไอ้คนหน้าตายเลือดเย็น ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ! มิฉะนั้นข้าจะ…”

พูดได้ครึ่งเดียว นางกลับหยุดกะทันหัน

“ขืนยังกล้าโวยวายส่งเดชอีก ระวังจะถูกตี” สืออิ่งก้มมองนางอย่างเย็นชา ในมือปรากฏของสิ่งหนึ่งที่ดูคล้ายไม้บรรทัด นั่นคืออวี้เจี่ยน

ชั่วขณะนั้น จูเหยียนตกใจจนสูดหายใจเฮือก เสียงหายไปทันที…อวี้เจี่ยนนี้เป็นเครื่องมือเวทของอาจารย์ที่กลายรูปได้สารพัดอย่าง บางครั้งเป็นร่ม บางครั้งเป็นกระบี่…แต่เวลามันคืนสู่รูปเดิม กลับกลายเป็นฝันร้ายในวัยเยาว์ของนาง

เพราะนี่มักหมายความว่า นางกำลังจะถูกตี

ตลอดสี่ปีที่อยู่บนเขาจิ่วอี๋ เนื่องจากนางซุกซนดื้อรั้น จึงถูกตีแทบทุกสามวันห้าวัน ท่องคาถาไม่ได้ วาดยันต์ไม่ถูก ออกไปเที่ยวเล่นไม่บำเพ็ญเพียร ฝึกวิชาไม่ดีจนธาตุไฟเข้าแทรก…ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ขอเพียงเขาจับได้ สถานเบาคือตีมือ สถานหนักคือหวดก้น ทุกครั้งล้วนทำเอานางเจ็บจนเรียกหาบิดามารดาร้องจะกลับบ้าน จนใจที่เมืองเทียนจี๋เฟิงอยู่ไกลออกไปเป็นพันหลี่ เรียกฟ้าฟ้าไม่รับ เรียกดินดินไม่ขานโดยแท้

เวลาผ่านมาหลายปี บัดนี้เมื่อเห็นอวี้เจี่ยนอีกครั้ง นางยังคงรู้สึกหลังตึงไปหมด

“ท่าน…ท่านกล้าตีข้ารึ ข้าไม่ใช่เด็กแปดขวบแล้วนะ!” นางโกรธจัด ร้องตะโกนออกมา “ข้าสิบแปดแล้ว! สามีตายไปคนหนึ่งแล้ว! ข้าเป็นจวิ้นจู่ของเผ่าชื่อ! ถ้าท่านกล้าตีข้า ข้า…ข้าจะ…”

เขามุ่นคิ้วถาม “จะทำไม”

ด้วยพลังวิชาแค่กระผีกริ้นของนาง ยังคิดว่าจะขู่เขาได้หรือ

แต่ครั้งนี้จูเหยียนโมโหจนร้อนใจ ทำใจกล้าตะโกนเสียงดัง “ถ้าท่านกล้าตีข้า ข้าจะร้องว่าถูกลวนลาม! ข้าจะเรียกคนข้างนอกเข้ามาให้หมด! มีคนตั้งมากมายดูอยู่ ท่านยังจะกล้าตีข้าต่อหน้าธารกำนัลหรือ”

“…” ใบหน้าของสืออิ่งบึ้งตึงทันที อวี้เจี่ยนชะงักค้างกลางอากาศ

“ไม่เชื่อก็ลองดูสิ รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หาไม่ข้าจะตะโกนเรียกคนเข้ามา!” เป็นครั้งแรกที่นางเห็นอาจารย์ลังเล จึงยิ่งได้ใจ ทำตัวก้าวร้าวยิ่งขึ้น “ใครก็ได้! ข้าถูก…”

ยังพูดไม่ทันจบ อวี้เจี่ยนก็ฟาดลงบนหลังของนางอย่างแรง!

จูเหยียนเจ็บจนร้องออกมาทันที หมายจะเรียกอวี้เฟยกับอวิ๋นม่านเข้ามาช่วย แต่กลับพบว่าปากถูกสิ่งที่มองไม่เห็นอุดไว้ ทุกถ้อยคำหลุดออกจากปากล้วนสลายไป กลายเป็นเสียงอู้อี้แผ่วเบาฟังไม่ได้ศัพท์ นางรู้ว่าอาจารย์ปล่อยข่ายอาคมออกมา ในใจตระหนก ออกแรงดิ้นรนสุดกำลัง หมายจะทำลายพันธนาการบนร่าง ทว่าป่วยการ

อวี้เจี่ยนฟาดลงมาไม่ยั้ง ออกแรงเต็มที่ไม่มีออมมือ นางเจ็บจนกัดฟันสูดปาก ร้องโวยวายและดิ้นไม่หยุด แต่ยิ่งดิ้นเชือกก็ยิ่งรัดแน่น

การลงโทษเช่นนี้ นับตั้งแต่อายุสิบสามและกลับมาที่จวนหวังก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีก

เดิมนางยังคิดจะทนไว้ แต่เขาฟาดแรงจริงๆ นางเจ็บจนต้องกลิ้งไปมาบนพื้น ทั้งอายทั้งโกรธ พยายามออกแรงด่าเขา…ไอ้คนสมควรตาย ถึงกับกล้าตีข้าจริงๆ? คิดถึงตอนนั้น ข้าเป็นคนช่วยชีวิตเจ้าไว้แท้ๆ! หากรู้แต่แรกว่าเจ้าเป็นคนเนรคุณเช่นนี้ มิสู้ปล่อยให้คนไร้มโนธรรมอย่างเจ้ารีบตายๆ ไปซะก็ดี!

ชั่วขณะนั้น อวี้เจี่ยนพลันชะงัก

“เจ้าว่าอะไรนะ” สืออิ่งเหมือนได้ยินคำด่าที่ถูกอุดกั้นอยู่ในลำคอนาง มองนางอย่างเย็นชา สีหน้าน่าหวาดหวั่นยิ่ง “คนเนรคุณ? ไร้มโนธรรม? รีบตายๆ ไปซะก็ดี?”

อะไรกัน! เขา…เขาใช้อาคมอ่านใจกับข้า? ฉวยโอกาสนี้ ในที่สุดนางก็รวบรวมกำลังได้ ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเปล่งเสียงออกมา แต่กลับเป็นการอ้อนวอนเสียงสั่น “อย่า…อย่าตีอีกเลย! อาจารย์ ข้า…ข้ารู้ผิดแล้ว!

ถูกต้อง นางเป็นคนว่าง่ายเสมอมา เมื่อรู้ว่าสู้ไม่ไหวและหนีไม่พ้น ไม่รีบยอมจำนนยังจะทำอะไรได้อีก พึงรู้ว่าอาจารย์อ่านใจคนได้ แม้แต่ลอบบ่นในใจนางยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ ได้แต่อ้อนวอนและยอมรับผิดทันที

เขาเก็บมือกลับไป มองนางอย่างเย็นชา “ผิดที่ใด ไหนเจ้าลองว่ามา”

จูเหยียนฟุบกับพรมขนสัตว์ รู้สึกแสบร้อนไปทั้งหลัง ทั้งอายทั้งโกรธทั้งเจ็บ อยากกระโดดขึ้นมาชี้หน้าด่าเขานัก แต่นางรู้ว่าอาจารย์โมโหแล้วจริงๆ คนฉลาดต้องรู้จักประเมินสถานการณ์ นางได้แต่เบือนหน้าไปอีกทาง ฝืนใจเอ่ยว่า “ข้า…ข้าไม่หนีการแต่งงานแล้วก็ได้”

“เท่านี้เองหรือ” สืออิ่งหัวเราะเสียงเย็น แต่กลับไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ

“แล้วจะเอาอย่างไรอีก!” ในที่สุดนางก็สะกดกลั้นความคับแค้นใจไว้ไม่อยู่ ระเบิดเสียงตะโกนดังลั่น “ข้า หนึ่งไม่ได้ทำชั่วละเมิดกฎหมาย สองไม่ได้ฆ่าคนวางเพลิง สามไม่ได้ทรยศแผ่นดินแปรพักตร์เข้าหาศัตรู! ข้า…ข้าก็แค่อยากหนีการแต่งงานเท่านั้น ท่านตีก็ตีไปแล้ว ด่าก็ด่าไปแล้ว ข้ายังผิดที่ใดอีก”

หางคิ้วเขาขยับเล็กน้อย ถอนหายใจ ยอบกายลงมองนาง ใช้อวี้เจี่ยนแตะหน้าผากนาง “มีเหตุมีผลทีเดียวนี่ ได้ เช่นนั้นข้าจะบอกให้ว่าเจ้าผิดที่ใด…”

เสียงของเขาทุ้มต่ำเย็นชาขณะเอ่ยทีละคำ “ในฐานะจวิ้นจู่ของเผ่าชื่อ ปกติได้รับการค้ำชูจากราษฎร สวมชุดแพรกินอาหารหยก[6] สุขสบายเหนือคนนับหมื่น แต่กลับไม่สนใจหน้าที่ความรับผิดชอบของวงศ์ตระกูลแม้แต่น้อย เจอเรื่องไม่ถูกใจหน่อยก็คิดแต่จะหนี!

“นี่คือข้อแรก!”

ทุกครั้งที่พูดจบหนึ่งข้อ เขาจะใช้อวี้เจี่ยนตีฝ่ามือนางหนึ่งที นางเจ็บจนอยากร้องออกมา ทว่ากลับได้แต่ฝืนกลั้นไว้ น้ำตารื้นขอบตา กลัวว่าหากร้องไห้โวยวายจะถูกตีหนักกว่าเดิม

“ก่อความวุ่นวายใหญ่โตถึงเพียงนี้ในซูซ่าฮาหลู่โดยไม่สนใจผลที่จะตามมา ทำให้คนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน แต่กลับไม่เขียนจดหมายแจ้งคนที่บ้านในทันที ทำให้บิดามารดาคอยเป็นห่วงเจ้าทุกวันคืน ถึงขั้นคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว…ลูกแพะยังรู้จักคุกเข่าดื่มนม อีกายังรู้จักขย้อนอาหารให้แม่กา เจ้าเป็นถึงธิดาในราชวงศ์ กลับไม่รู้บุญคุณบุพการี!

“นี่คือข้อสอง!”

ครั้งที่สองนี้ตีแรงกว่าเดิม ในที่สุดนางก็ร้องไห้โฮ น้ำตาร่วงเผาะๆ ตกลงบนหลังมือเขา สืออิ่งมุ่นคิ้ว น้ำเสียงเยียบเย็นราวกับแช่อยู่ในน้ำแข็ง เขาพูดต่อ “ก่อความผิดแล้วไม่สำนึก ไม่แก้ไข ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน ยังกล้าข่มขู่อาจารย์ เอ่ยวาจาลบหลู่! นี่คือข้อสาม! …ตอนนี้รู้หรือยังว่าผิดที่ใด ถูกตีครั้งนี้ยอมรับหรือไม่ ห้ามร้องไห้!”

นางตัวสั่น ฝืนกลั้นน้ำตาไว้ รีบตอบว่า “ข้ารู้ผิดแล้ว! ข้ายอมรับ ยอมรับแล้ว!”

สืออิ่งกลับมองนาง เอ่ยเสียงเย็น “พูดเสียคล่องปร๋อเช่นนี้ ต้องมิใช่คำพูดจากใจจริงแน่”

จูเหยียนแทบจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ส่ายหน้าสุดชีวิต “ศิษย์ไม่กล้าแล้วจริงๆ…จริงๆ นะ! ข้ารู้ผิดแล้ว อาจารย์ละเว้นข้าเถิด!”

สืออิ่งวางอวี้เจี่ยน เหลือบมองนาง “เช่นนั้นยังคิดแช่งข้าให้ตายอีกหรือไม่”

“ไม่…ไม่กล้าแล้ว” นางตัวสั่น ส่ายหน้าเป็นกลองป๋องแป๋ง…เมื่อครู่เป็นเพราะถูกตีจนร้อนใจ ถึงได้พูดไม่ยั้งคิด

เขามองนาง สีหน้ากลับอ่อนลง ถอนหายใจเอ่ยว่า “แต่เจ้าเคยช่วยชีวิตข้าไว้จริงๆ…หากไม่ได้เจ้า ตอนนั้นข้าคงตายอยู่ในเหวชางอู๋[7]แล้ว”

นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยเช่นนี้ ชั่วขณะนั้นตัวแข็งทื่อน้ำตานองหน้า นิ่งงันไป

ห้าปีก่อน ตอนลากตัวอาจารย์ที่ไม่ได้สติออกมาจากเหวชางอู๋ นางทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาเหมือนกับตอนนี้…เด็กสาวอายุสิบสามแบกร่างเขาอย่างทุลักทุเล วิ่งสะเปะสะปะอยู่ในป่าทึบ ล้มลุกคลุกคลานครั้งแล้วครั้งเล่า

พวกเขาหลงทางในป่าทึบ เขาสลบไสลไม่ได้สติ นางใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มจึงเดินเท้าเปล่าทะลุออกจากป่าแห่งฝันร้ายได้ ลากเขาที่ลมหายใจรวยรินกลับไปยังอารามเทพจิ่วอี๋ ความยากลำบากและอันตรายในตอนนั้นยากจะบรรยายได้ด้วยถ้อยคำเดียว แต่นางที่ยังเด็กมากในตอนนั้น ยามอยู่ระหว่างความเป็นความตายกลับไม่เคยทอดทิ้งเขาเลย

หลังจากนั้น เขาจึงมอบอวี้กู่ให้นาง

เวลานั้นนางเพิ่งอายุเต็มสิบสาม เริ่มเปลี่ยนจากเด็กหญิงเป็นหญิงสาว ไม่พบกันห้าปี นางเติบโตขึ้นเป็นสตรีที่อ้อนแอ้นงดงาม ตอนที่ดาบเล่มนั้นฟันมาที่ศีรษะเขา เด็กคนนี้ยังคงพุ่งเข้ามาโดยไม่คิด ใช้มือเปล่ารับคมดาบที่ฟันมาที่ลำคอเขาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น!

ชั่วขณะนั้น พลังที่นางปล่อยออกมาแทบจะเหมือนเมื่อหลายปีก่อนทุกประการ

สืออิ่งถอนหายใจ ประคองนางขึ้นมา มองคราบน้ำตาที่เต็มหน้านาง พลันรู้สึกทนดูไม่ได้…เป็นปัญหาที่ตัวข้าหรือไม่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตตัวคนเดียวมาตลอด ไม่เคยเรียนรู้ว่าต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างไร ไม่ว่ากับตนเองหรือคนอื่น ล้วนตั้งเงื่อนไขเอาไว้สูงจนเข้าขั้นจงใจจับผิด…ข้าต้องทำตัวเกินกว่าเหตุเพียงใด ถึงบีบให้ศิษย์ดีๆ สาปส่งตัวเองให้ไปตาย

เห็นแววตาของอาจารย์อ่อนลง จูเหยียนลอบโล่งอก รู้สึกโชคช่วยเล็กน้อย อาจารย์ใจอ่อนหายโกรธแล้ว! เห็นทีคงไม่โดนตีอีกแล้ว…แต่บัญชีนี้ข้าไม่มีวันลืมหรอก!

“เจ็บหรือไม่” สืออิ่งถอนหายใจ เอ่ยถาม

“ไม่…ไม่เจ็บ” นางด่าเขาในใจ แต่ปากกลับไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว

“อย่าทำตัวเป็นเด็กไม่รู้ความ” สีหน้าเขาอ่อนโยนลง ทว่าน้ำเสียงยังคงขึงขัง “เจ้าอายุสิบแปดแล้ว ในฐานะจวิ้นจู่ จะคิดอ่านทำการใด ไม่อาจคิดถึงแต่ตัวเอง”

“ใช่…ใช่แล้ว” นางพยักหน้าติดๆ กัน

เงียบไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เช่นนั้น…ตอนนี้ปล่อยข้าได้หรือยัง”

ใครให้นางฝีมือสู้ผู้อื่นไม่ได้เล่า ถูกเขาตี แม้แต่จะโมโหยังไม่กล้า…นางสาบานว่านับตั้งแต่วันนี้ไปจะตั้งใจฝึกวิชา เรียนรู้วิชาอาคมให้แก่กล้า ครั้งหน้าจะปล่อยให้คนเหยียบย่ำรังแกตามอำเภอใจเช่นนี้อีกไม่ได้เด็ดขาด!

สืออิ่งเหลือบมองนาง นางรีบปั้นหน้าว่าง่ายไร้เดียงสา มองเขาทั้งน้ำตา “เจ็บมากจริงๆ!”

เขานิ่งคิดครู่หนึ่ง นิ้วมือขยับ เชือกที่มัดตัวนางพลันร่วงหล่นลงพื้น ทว่าหลังจากนั้นเขากลับวาดนิ้วเป็นวงกลม เกิดลำแสงล้อมกระโจมทองไว้อย่างแน่นหนา

“อ๊ะ!” นางหลุดอุทาน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง…คนผู้นี้แก้มัดข้าแล้ว แต่กลับสร้างข่ายอาคมขึ้นแทนที่!

สืออิ่งลุกขึ้น “สถานการณ์ทางนี้ควบคุมไว้ได้แล้ว ข้าให้แม่ทัพเจียงเฉินจากค่ายใหญ่ที่เมืองคงจี้นำทหารฝีมือดีรุดมา รับหน้าที่ดูแลซูซ่าฮาหลู่ชั่วคราว เรื่องอื่นๆ รอให้ชื่อหวังมาถึงค่อยจัดการ” เขาเดินออกไปนอกกระโจม สั่งการบ่าวสองสามคำ จากนั้นหันกลับมา “เจ้ารออยู่ที่นี่ดีๆ! อวี้เฟยกับอวิ๋นม่านสามารถเข้ามาปรนนิบัติเจ้าได้ แต่คนอื่นๆ ทั้งหมดห้ามเข้าใกล้”

นางตกใจ อดถามมิได้ “หา? ท่าน…ท่านจะไปแล้วหรือ”

“ใช่ เบาะแสที่ข้าตามสืบขาดหายไปตรงนี้ ต้องรีบกลับไปทันที หลังจากนี้ยังมีเรื่องอีกมากต้องจัดการ” เขาว่าพลางเก็บสัมภาระง่ายๆ ที่นำติดตัวมาโดยไม่เงยหน้า “เจ้ารออยู่ที่นี่ ฟู่หวังของเจ้ามาถึงเมื่อไร ข่ายอาคมนี้จะถูกทำลายไปเอง”

“ข้า…ข้าทำใจจากอาจารย์ไม่ได้นี่!” นางพยายามข่มโทสะสุดชีวิต ยิ้มเอาใจเขา ปั้นหน้าน่าสงสาร “ไม่ได้พบอาจารย์ตั้งห้าปี เพิ่งจะเจอกันท่านก็จะไปเสียแล้ว มิสู้ให้อาเหยียนติดตามท่านไปด้วยเถอะ…ต่อให้สุดหล้าฟ้าเขียว ข้าก็ยินดีติดตามอาจารย์ไป!”

เขาเหลือบมองนาง คล้ายลังเลเล็กน้อย

มีหวัง! นางยินดีปรีดา รีบปั้นท่าว่าง่ายและน่าสงสารยิ่งกว่าเดิม ไม่สนใจอะไรมากมาย ผ่านด่านนี้ไปให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ไม่ว่าอย่างไร ติดตามอาจารย์ออกไปเที่ยวข้างนอกสักรอบ ย่อมต้องดีกว่าอยู่ที่นี่รอให้ฟู่หวังมาจับตัวกลับไปล่ะน่า

ทว่าสืออิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กลับส่ายหน้า “ไม่ได้ เรื่องต่อจากนี้อันตรายมาก ไม่อาจพาเจ้าไปด้วยได้ เจ้ากลับจวนชื่อหวังไปก่อน! วันหน้าเรายังได้พบกันอีก”

จูเหยียนรู้ว่าอาจารย์พูดหนึ่งไม่เป็นสอง ขืนยังพูดมากต้องถูกตีอีกแน่ คิดดูแล้ว ได้แต่ถามอย่างเป็นกังวล “เช่นนั้น…ใน…ในจดหมาย ท่านได้บอกฟู่หวังหรือไม่ว่าคืนนั้นข้ากำลังเตรียมหนีการแต่งงาน”

เขาเหลือบมองนางด้วยแววตาเรียบเฉย “ไม่ได้บอก”

“เยี่ยมเลย! ข้ารู้อยู่แล้วว่าอาจารย์มิใช่คนปากมาก!” นางโล่งอก แทบจะปรบมือกระโดดโลดเต้น กลับเห็นเขาหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ มอบให้นางอย่างจริงจัง “ห้าปีมานี้ วิชาอาคมของเจ้าก้าวหน้าช้าเกินไปจริงๆ ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าไม่ควรเป็นเช่นนี้…กลับไปอ่านสมุดบันทึกที่ข้าเขียนให้ละเอียด น่าจะมีพัฒนาขึ้นบ้าง”

“ขอบคุณอาจารย์!” นางจำต้องรับมา แสร้งปั้นหน้ายิ้ม

“ตั้งใจฝึกฝนให้ดี ห้ามแอบอู้” สุดท้ายเขายังคงมอบการบ้านให้นาง เคาะศีรษะนาง พลางเอ่ยอย่างขึงขัง “พบกันคราวหน้า ข้าจะทดสอบวิชาเจ้า”

“ทราบแล้ว…ทราบแล้ว” นางพยักหน้าไม่หยุด ในใจกลับบ่นว่าเขาเป็นร้อยเป็นพันรอบ

สืออิ่งมองนาง ไม่รู้นึกอะไรขึ้นได้ จึงคว้าสมุดเล่มนั้นกลับไป ฉีกหน้าสุดท้ายออกดังแควก เอ่ยว่า “ช่างเถอะ หน้าสุดท้ายนี้ เจ้าอย่าเรียนรู้เลยดีกว่า”

“อื้ม!” พอนางได้ยินว่าเนื้อหาที่ต้องเรียนน้อยลง ย่อมยินดีปรีดา ไม่เอ่ยถามแม้สักนิดว่าหน้าที่ฉีกไปคือเนื้อหาอะไร

“เจ้า…” สืออิ่งมองนาง คล้ายยังคงไม่วางใจ ทว่าสุดท้ายก็เพียงถอนหายใจเบาๆ จนแทบไม่ได้ยิน มิได้เอ่ยอะไรอีก กางร่ม หันหลังเดินออกจากกระโจมทอง เกล็ดหิมะตกลงบนร่มที่วาดลายดอกเฉียงเวย

วิหคเทพฉงหมิงร่อนลงมาจากฟ้า ทิ้งตัวลงบนทุ่งหิมะ

เขาถือร่มขึ้นขี่หลังวิหคเทพ ลอยขึ้นสูงท่ามกลางลมหิมะที่พัดปะทะในทิศทางตรงกันข้าม ชุดขาวปลิวสะบัด สูงส่งสง่างามดุจเทพเจ้า ชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายเปล่งเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงเป็นทอดๆ ต่างพากันคุกเข่าลงหมอบกราน คิดว่าเทพเจ้ามาเยือนโลกมนุษย์

นางเฝ้าดูอยู่ไกลๆ จากในกระโจม พลันใจลอย

ความคิดคำนึงย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน…

 

 

[1] “ต้าตี้” แปลว่ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่

[2] เป็นคำเรียกรวบ หมายถึง หวงตี้และหวงโฮ่ว

[3] กายวัชระ คือกายของพระตถาคต ในที่นี้นำมาเปรียบถึงกายที่ไม่มีวันถูกทำลายและเป็นอมตะเช่นเดียวกับกายของพระพุทธเจ้าหลังจากบำเพ็ญจนได้ผลานิสงส์

[4] หมายถึง ยกยอตัวเองหรือหลงตัวเอง

[5] หมายถึงเกล็ดย้อนที่คอมังกรซึ่งเป็นแนวสวนทางกับเกล็ดส่วนอื่นๆ หากแตะในจุดนี้จะทำให้มังกรโกรธ จึงใช้เปรียบถึงจุดอ่อนหรือขีดจำกัดที่สามารถทำให้คนคนหนึ่งโกรธ หรือหมดความอดทนได้

[6] หมายถึง ชีวิตหรูหราสุขสบาย

[7] ชางอู๋เป็นอีกชื่อหนึ่งของเขาจิ่วอี๋

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า