ฝ่ากฎรักต่างโลก
Law of a Different World
异世之万物法则
焦糖冬瓜 เจียวถังตงกวา เขียน
BlueFeather แปล
นิยาย 3 เล่มจบ
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่เพจ Rose Publishing
…XOXO…
มาดามโรส
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
———————————————————–
บทที่ 1
บริเวณโดยรอบปกคลุมไปด้วยความตึงเครียด ขมับของเจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเฉกเช่นเดียวกับแผ่นหลังที่เปียกโชก
“สายที่ 2! สายที่ 2 ได้ยินแล้วตอบกลับด้วย!”
“สายที่ 3 ยังอยู่มั้ย สายที่ 3 ได้ยินแล้วตอบกลับด้วย!”
“สายที่ 5 ยังออนไลน์อยู่หรือเปล่า”
ภายในรถที่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราว เจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานที่มีส่วนร่วมในปฏิบัติการพิเศษกำลังพยายามอย่างหนักในการติดต่อหาสมาชิกหน่วยสวาทที่เข้าไปในสถาบันวิจัยทางชีววิทยาของจวี้ลี่กรุ๊ป ซึ่งขาดการติดต่อตั้งแต่เหยียบย่างเข้าไปภายในสถาบันได้ไม่ถึงสิบนาที
ทว่าความเงียบที่ไร้การตอบกลับเป็นครั้งแรกนี้กลับทำให้คนรู้สึกหวาดหวั่น
ด้านหลังของเจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานทั้งสามคือโจวอวี้ ผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติการพิเศษในชุดเกราะยืนกอดอกอยู่
แววตาของโจวอวี้ ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปี นิ่งสงบและเยือกเย็น ริมฝีปากของเขาเม้มสนิทเป็นเส้นตรง ขณะที่นิ้วชี้ข้างขวากดเข้าที่แขนซ้ายจนขึ้นข้อขาว
เหตุที่เขานิ่งเงียบเป็นเพราะเขากำลังใช้ความคิด แต่ข้อมูลที่ได้มาจากสถาบันวิจัยมีไม่มากพอที่จะสนับสนุนความคิดของเขา
อะไรคือสิ่งที่ทำให้หน่วยสวาททั้งเจ็ดคนที่ผ่านการฝึกพิเศษพร้อมอาวุธครบมือ แข็งแรงปราดเปรียวและมากประสบการณ์ขาดการติดต่อได้ภายในสิบนาที โดยที่ศูนย์บัญชาการไม่อาจรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่
ทั้ง ๆ ที่ปฏิบัติการนี้เป็นปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันที่ดูเหมือนไม่มีอะไรยุ่งยาก
จวี้ลี่กรุ๊ปเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพจากเอเชียที่ร่วมลงทุนโดยกลุ่มนายทุนขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกากับยุโรป ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาขอบเขตทางด้านชีวเภสัชศาสตร์มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมโรคติดต่อร้ายแรงในทวีปแอฟริกา หรือการรักษาโรคทางพันธุกรรมให้กับคนสำคัญในบางประเทศ จวี้ลี่กรุ๊ปได้สร้างผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ไว้มากมาย ถึงขนาดที่ว่าไม่ว่าสถาบันวิจัยของจวี้ลี่กรุ๊ปจะจัดตั้งสาขาอยู่ในประเทศไหนก็จะได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษจากประเทศนั้น
เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ หน่วยสวาทที่โจวอวี้สังกัดอยู่ได้รับภารกิจให้เข้าไปในสถาบันวิจัยทางชีววิทยาของจวี้ลี่กรุ๊ปเพื่อช่วยเหลือตัวประกันที่ติดอยู่ข้างใน โดยสาเหตุของเรื่องราวตามการกล่าวอ้างคือมีนักวิจัยที่ได้รับทุนคนหนึ่งเกิดอาการทางจิตขึ้นจากการทำงานภายใต้แรงกดดันเป็นระยะเวลานานและพยายามจะทำลายสถาบันวิจัย แม้เขาจะทำไม่สำเร็จเพราะถูกพบเข้าเสียก่อน แต่เขาก็ใช้ประโยชน์จากระบบภายในสถาบัน กักขัง ข่มขู่หมายเอาชีวิตนักวิจัยคนอื่น ๆ และเรียกร้องให้จวี้ลี่กรุ๊ปยุติการวิจัยทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับบางสิ่งที่มีรหัสว่า ‘แหวนแห่งนิเบลุงเกน [1] ’
ข้อเรียกร้องนี้เป็นไปไม่ได้ที่จวี้ลี่กรุ๊ปจะตอบรับ
ทีมฝีมือดีอย่างทีมของโจวอวี้จึงได้รับภารกิจนี้ มุ่งหน้ามายังสถาบันวิจัยที่ถูกปิดเพื่อช่วยเหลือเหล่านักวิจัยที่ติดอยู่ข้างใน
ยังไม่ทันที่เหมยซี เจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานจะมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบให้เพื่อนร่วมทีม สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นข้อมูลของนักวิจัยเหล่านั้น เธอรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
นักวิจัยแต่ละคนล้วนเป็นนักวิชาการชั้นหัวกะทิในแต่ละสาขา ไม่ว่าจะนักเซลล์วิทยา นักประสาทวิทยา นักไวรัสวิทยา และอื่น ๆ อีกมากมาย คุณูปการของคนเหล่านี้ไม่อาจเทียบได้ด้วยเงินตรา พวกเขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ภารกิจช่วยเหลือตัวประกันนี้สำเร็จลุล่วงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
เหมยซีชักจะสงสัยแล้วว่าจวี้ลี่กรุ๊ปกำลังทำงานวิจัยอะไรอยู่กันแน่
เธอพลันรู้สึกสังหรณ์ใจราง ๆ ว่าการกล่าวอ้างที่ว่ามีนักวิจัยคลุ้มคลั่งและจับตัวเพื่อนร่วมงานไว้ข้างในสถาบันวิจัย เป็นการพูดเพื่อปกปิดอะไรบางอย่าง เธอคิดว่าข้างในนั้นจะต้องเกิดเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวมาก ๆ ขึ้นอย่างแน่นอน…ไม่แน่ว่าสมาชิกในหน่วยทุกคนอาจจะ…
ในตอนนั้นเองสายที่ 7 ก็ติดต่อกลับมา
“หัวหน้า! พวกคุณห้ามเข้ามานะ! ห้ามเข้ามา!”
เสียงร้องนั่นเป็นเสียงของเฉินชง รองหัวหน้าหน่วย
หัวหน้าหน่วยโจวอวี้ที่นิ่งเงียบมาตลอดดึงหูฟังมาจากเหมยซีแล้วออกคำสั่ง “เฉินชง! นายอยู่ที่ไหน ถอนกำลังออกมาเดี๋ยวนี้!”
สัญญาณยังไม่ขาดหาย ทว่ามีเสียงกระดูกหักดังลั่นเข้ามาในโสตประสาท โจวอวี้พลันกำหมัดแน่น ปลายนิ้วมือของเหมยซีสั่นระริก
“เฉินชง! เฉินชง!”
เสียงทุ้มต่ำที่มักจะเยียบเย็นอยู่เสมอของโจวอวี้ทำให้บรรยากาศภายในรถพลันหายใจไม่ออกขึ้นมาทันที
“หัวหน้าคะ…” เหมยซีผ่านภารกิจทั้งใหญ่และเล็กมามากมาย แม้จะไม่เคยถืออาวุธบุกตะลุยเหมือนคนอื่น ๆ แต่เธอก็ผ่านสถานการณ์มาหลายรูปแบบ เธอคิดว่าตัวเองจะสามารถทำจิตใจให้สงบเยือกเย็นได้ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะประเมินตัวเองสูงเกินไป
แผ่นหลังของโจวอวี้แข็งทื่อได้ไม่ทันไร เขาก็เริ่มสวมถุงมือป้องกัน เช็กปืนพก QSZ-92 ที่อยู่ในซองหนังตรงต้นขา ก่อนจะแบกไรเฟิลจู่โจม QBZ-95 ไว้บนบ่าและเปิดประตู
การกระทำทั้งหมดเป็นไปอย่างคล่องแคล่วและเด็ดขาด
ยามที่โจวอวี้ออกห่างจากประตูรถ เหมยซีก็พลันตระหนักได้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายจะทำ “หัวหน้า คุณไปไม่ได้นะ! จำสิ่งที่รองหัวหน้าเฉินพูดเป็นครั้งสุดท้ายไม่ได้เหรอคะ อีกไม่นานกำลังเสริมก็จะมาแล้ว! ”
“กว่ากำลังเสริมจะมา แม้แต่ศพของทุกคนก็อาจจะหาไม่เจอด้วยซ้ำ”
น้ำเสียงของโจวอวี้ยังคงเย็นชาเช่นเดิม ราวกับสิ่งที่เผชิญอยู่ตรงหน้าคือห่ากระสุนในสมรภูมิรบที่พวกเขาเคยผ่านมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่ามันไม่มีทางง่ายดายเหมือนอย่างนั้น
“หัวหน้า…” เหมยซีรู้ดีว่าเมื่อใดก็ตามที่โจวอวี้ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าใครก็ห้ามเขาไม่ได้
“ฉันแค่จะไปดูเพื่อหาทางออกให้คนของเราก็เท่านั้น”
เมื่อโจวอวี้กล่าวจบ เขาก็เดินตรงไปยังสถาบันวิจัยอย่างรวดเร็ว
สำหรับโจวอวี้ สิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความอยากรู้อยากเห็นทั้งสิ้น แต่มันคือความรับผิดชอบ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนร่วมทีมที่ฝ่าฟันอันตรายมาด้วยกัน ถ้าพวกเขาถูกฆ่าตายหมด ในฐานะผู้บัญชาการของปฏิบัติการพิเศษนี้ โจวอวี้คงปล่อยให้ตัวเองมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่รู้อะไรเลยไม่ได้
ลักษณะภายนอกของตัวสถาบันเป็นอาคารโลหะ ส่องแสงสะท้อนภายใต้แสงจันทร์เย็นยะเยือก รอบด้านไม่มีสิ่งปลูกสร้างใด ๆ นอกจากพื้นดินที่เต็มไปด้วยกรวดทรายแล้วก็ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้อีกราวกับเป็นเกาะกลางทะเล
ตามข้อมูลจากพิมพ์เขียว ตัวอาคารเป็นลานหกเหลี่ยมที่มีรูปแบบคล้าย ๆ กับอาคารเพนตากอน [2] นิดหน่อย
ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่มีความละเอียดซับซ้อนและแม่นยำสูงมาก เพื่อป้องกันความลับของงานวิจัยที่อาจรั่วไหล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลความสูง จังหวะการก้าวเดิน และเสียงของนักวิจัยทั้งหมดล้วนถูกบันทึกเอาไว้ในระบบ โดยนักวิจัยแต่ละคนจะมีสิทธิ์เข้าไปได้แค่เฉพาะพื้นที่ที่ตนเกี่ยวข้องเท่านั้น ส่วนไหนที่อยู่นอกเหนือจากงานวิจัยที่ตนรับผิดชอบจะถูกล็อกไว้และมีการแจ้งเตือน
เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าไปช่วยเหลือตัวประกันของหน่วยสวาท เจ้าหน้าที่ที่ดูแลระบบของจวี้ลี่กรุ๊ปได้ทำการเปิดทางเชื่อมของสถาบันวิจัยจากระยะไกลเอาไว้ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โจวอวี้เดินถือปืนมาถึงประตูทางเข้า สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขาคือทางเดินสว่างไสวปราศจากเงาคน
ภาพที่เห็นคล้ายกับฉากในหนัง Resident Evil อยู่ไม่น้อย ไม่แน่ว่าถ้าก้าวเท้าเข้าไปอีกสักสองก้าวอาจมีฝูงซอมบี้โผล่ออกมารุมทึ้ง หรือไม่ก็อาจเจอเลเซอร์อินฟราเรดที่พร้อมจะตัดเนื้อของผู้บุกรุกเป็นชิ้น ๆ ก็ได้
ทว่าตอนนี้ สิ่งที่โจวอวี้ต้องการมีเพียงค้นหาคนของตัวเองให้พบโดยเร็วที่สุด
เขากระชับปืนในมือแน่น แผ่นหลังเหยียดตรงก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็วด้วยฝีเท้าที่มั่นคงและเงียบกริบ
เสียงของเหมยซีดังออกมาจากอุปกรณ์สื่อสารที่เสียบอยู่ในหู “หัวหน้าคะ มีคำสั่งมาจากเบื้องบน บอกให้พวกเราถอนกำลังเดี๋ยวนี้! ยุติภารกิจ! ”
โจวอวี้แค่นเสียงตอบกลับอย่างเย็นชา “คนของเราไม่เหลือรอดแล้วด้วยซ้ำ ยังต้องถอนกำลังอะไรอีก”
เขารู้ว่าเขาควรจะเชื่อฟังคำสั่งและหันหลังกลับไปก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ แต่เขาก็รู้ดีเช่นกันว่าทันทีที่กลับออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่จะกลายเป็นความลับที่ไม่อาจแพร่งพราย เขาจะไม่มีวันได้บอกลาเพื่อนร่วมทีมเป็นครั้งสุดท้าย รวมถึงไม่มีวันได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาตลอดกาล
แทนที่จะใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการคาดเดาและเศร้าเสียใจ สู้รู้คำตอบตอนนี้ยังจะดีเสียกว่า
โจวอวี้เดินไปสุดทางเชื่อมอย่างไม่ลังเลก่อนจะเลี้ยวไปทางซ้าย
ด้านหน้าคือประตูสองชั้นที่บัดนี้ถูกเปิดออกทั้งสองบาน
โจวอวี้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสงบ ประสาทสัมผัสต่าง ๆ มีความเฉียบคมขึ้น เขาเงี่ยหูฟังเสียงรอบด้านอย่างระมัดระวัง ทว่ากลับไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงลมหายใจของตัวเอง
นักวิจัยเหล่านั้นอยู่ที่ไหน
ลูกทีมของเขาอยู่ที่ไหน
ความเงียบงันนี้ทำให้โจวอวี้รู้สึกถึงความผิดปกติ
ในที่สุดเขาก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าทางเชื่อม สายตากวาดไปเห็นร่างหนึ่งนอนคว่ำอยู่บนพื้น ร่างนั้นน่าจะเป็นร่างของนักวิจัยคนหนึ่งเพราะอีกฝ่ายสวมชุดคลุมสีขาว ใต้ร่างเต็มไปด้วยแอ่งเลือดที่เจิ่งนอง ชุดคลุมตัวยาวถูกชโลมจนกลายเป็นสีแดงฉานดูน่าสยดสยอง
รอยเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณราวกับมีบางสิ่งเรียกเลือดออกจากร่างของนักวิจัยคนนี้ด้วยความเร็วเกินพิกัดมนุษย์ ทว่าโจวอวี้ไม่พบอะไรอยู่แถวนี้เลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออะไรก็ตามที่ฆ่านักวิจัยคนนี้ เขาหรือมันก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
โจวอวี้ค่อย ๆ ย่อตัวลงขณะที่ประสาทสัมผัสยังคงตื่นตัวอยู่เสมอ เขาใช้มือซ้ายแตะลงที่คอของอีกฝ่าย พบว่าชีพจรหยุดเต้นไปแล้วรวมถึงอุณหภูมิร่างกายที่เย็นเฉียบ
โจวอวี้ยกใบหน้าอีกฝ่ายขึ้นเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบว่าคนที่ตายเป็นนักวิจัยที่เสียสติหรือตัวประกัน ทว่าภาพที่ปรากฏสู่สายตากลับทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนของเขาเครียดขมึงขึ้นมาฉับพลัน
กรามของศพแหว่งหายไปราวกับถูกสัตว์ร้ายฉีกกระชาก ตั้งแต่กระดูกหน้าอกไล่ลงไปมีแต่ความว่างเปล่า แม้แต่อวัยวะภายในก็ไม่มีเหลือ
คิ้วของโจวอวี้ขมวดเข้าหากัน ในใจสบถคำหนึ่งว่า ‘แม่งเอ๊ย!’
จวี้ลี่กรุ๊ปจะต้องโกหกอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีทางที่โจวอวี้จะเชื่อว่างานวิจัยที่พวกเขาทำเป็นแค่ชีวเภสัชศาสตร์!
บางทีอาการทางจิตของนักวิจัยคนนั้นก็อาจจะเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาด้วยซ้ำ!
โจวอวี้ปรับลมหายใจของตัวเอง เดินมุ่งไปข้างหน้าต่อ
ทว่าเพียงแค่ผ่านประตูสองชั้นอีกบานเข้าไป สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลับเป็นสิ่งที่เกินกว่าเขาจะทำความเข้าใจได้
ทั่วทั้งบริเวณเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถาบันวิจัยคนหนึ่งนั่งพิงกำแพงในสภาพดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลง ขาท่อนล่างแหว่งหายไป และมีอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่สมองของเขา โจวอวี้ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบก็รู้ได้ว่าหลังศีรษะของชายคนนั้นจะต้องแหลกละเอียดเป็นแน่
ด้านหน้าของเขายังมีนักวิจัยในชุดคลุมสีขาวอีกสองคนนอนคว่ำอยู่บนพื้น หนึ่งในนั้นมีท่าทางบิดงอผิดรูป คล้ายกับเอวถูกหักเป็นสองท่อน
พื้นที่โดยรอบราวกับตกอยู่ภายใต้รัศมีของปีศาจแห่งขุมนรกก็ไม่ปาน ไร้สัญญาณชีวิตใด ๆ เพียงแค่หลับตาก็คล้ายจะได้ยินเสียงของเลือดที่ไหลนอง
เวลานี้โจวอวี้มั่นใจแล้วว่าสิ่งที่ลงมือเข่นฆ่าเหล่านักวิจัยจะต้องไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน!
ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงของเหมยซีก็ดังลอดออกมาจากหูฟัง “หัวหน้า! คุณต้องรีบกลับมาเดี๋ยวนี้! เบื้องบนบอกมาว่างานนี้เกินความสามารถของเรา! ขอร้องล่ะค่ะหัวหน้า! ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน พวกเราจะทำยังไง!”
เหมยซีพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องไห้ออกมา
“เสี่ยวเหมย ถ้าฉันกลับไปไม่ได้ เธอจะต้องทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
เจ้าหน้าที่ประสานงานทั้งสามคน หนึ่งในนั้นก็คือเหมยซีต่างนิ่งเงียบ มือที่วางอยู่กำแน่น คนนอกอาจจะไม่เข้าใจถึงความมุ่งมั่นของโจวอวี้ แต่พวกเขาเข้าใจ
“พวกเราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะรอหัวหน้าอยู่ที่นี่ค่ะ” เหมยซีตอบ
“ขอบคุณ”
โจวอวี้ถอดหูฟังของตัวเองออก ก่อนจะปิดการเชื่อมต่อไป
[1] ปกรณัมแหวนแห่งนิเบลุงเกน เป็นปกรณัมชุดของริชาร์ต วากเนอร์ คีตกวีชาวเยอรมัน ค.ศ.1848 -ค.ศ.1874 โดยมีเค้าโครงเรื่องมาจากตำนานเทพเจ้านอร์ส และนิยายปรัมปราเรื่องนิเบลุงเกนลีท แต่ภายในเรื่องนี้นิเบลุงเกนใช้กล่าวอ้างถึงโลกคู่ขนานอีกใบหนึ่ง
[2] เป็นอาคารรูปห้าเหลี่ยม ซึ่งเป็นที่ทำการของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่เคานตีอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย นับเป็นสัญลักษณ์ทางการทหารของสหรัฐอเมริกา