ลิขิตรักข้ามปรภพ
孟婆
หวนมี่ เขียน
ลีลรักษ์ แปล
เล่มเดียวจบ
(ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์)
__________________________
นี่คือน้ำพุเหลืองแห่งการรอคอย
กล่าวกันว่าคนเราเมื่อตายแล้วจะเข้าสู่ด่านประตูผี ทางที่เดินไปเรียกว่าทางน้ำพุเหลืองซึ่งจะมีดอกม่านจูซาฮวา[1]ดุจเปลวเพลิงบานสะพรั่งทอดยาวเป็นผืน ทางที่มีบุปผาบานสะพรั่งสายนี้จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าทางแสงเพลิง
ดอกม่านจูซาฮวาหรือดอกปี่อั้น[2] ดอกกับใบมิอาจพบพานกันตลอดกาล คลาดกันนับพันปี คือการเสาะแสวงหาทุกภพ รอคอยทุกชาติ หากแต่กลับมิอาจพบหน้า
ณ ริมฝั่งน้ำสีแดงสดสวยมีสตรีสวมชุดแดงนางหนึ่งยืนกางร่มคอยท่า พัสตราภรณ์แดงงามหรูยาวระพื้น ใบหน้างามกระจ่างประดับรอยยิ้มอ่อนจาง ทว่ากลับเลื่อนลอยหมองเศร้าถึงเพียงนั้น
นางกำลังรอ รอคอยโอกาสที่จะชดใช้ความผิด
ใช้เวลานับพันปี
…
จุดสิ้นสุดของทางน้ำพุเหลืองมีธาราสายหนึ่งนามว่าธาราลืมเลือน ดวงวิญญาณที่ไม่ยอมดื่มน้ำแกงลืมชาติเพื่อลืมผู้เป็นที่รักในชาติก่อนแล้วเข้าสู่สังสารวัฏจะต้องลงไปในธาราลืมเลือนและเฝ้ารอผ่านกาลเวลาอันแสนยาวนาน
พันปีผ่านพ้น หากจิตคะนึงมิคลาย ยังจดจำเรื่องในชาติก่อนได้ จะต้องลงไปยังโลกมนุษย์ตามหาคนรักในอดีต
ในธาราลืมเลือน จักรพรรดิองค์หนึ่งกำลังรอคอย ใช้เวลาพันปีเฝ้ารอโอกาสที่จะรักนางอีกสักครั้ง
เพราะสิ่งที่เขาติดค้างนางต่อให้ใช้เวลานับพันปีก็มิอาจชดใช้ได้หมดสิ้น
…
ริมธาราลืมเลือนเป็นสะพานอนิจจัง[3] ข้างสะพานมีศาลาหลังหนึ่งเรียกว่าศาลายายเมิ่ง ยายเมิ่งจะอยู่ที่นั่นคอยเคี่ยวน้ำแกงลืมชาติของดวงวิญญาณแต่ละดวงไว้ให้พวกเขาเหล่านั้น
ทุกคนจะมีชามคนละหนึ่งใบ น้ำแกงลืมชาติในชามก็คือน้ำตาทั้งหมดที่คนผู้นั้นหลั่งออกมาขณะมีชีวิตอยู่ มีทั้งความยินดี ความโศกเศร้า ความเจ็บปวด ความเกลียดชัง ความทุกข์ระทม และความรัก เมื่อดื่มแล้วก็จะลืมสิ้นทุกสิ่งในชาติก่อน ค่อยๆ ลืมเลือนอดีตในใจทีละน้อยกระทั่งกลายเป็นควันบางเบาในสายตา
จดจำมิได้อีกต่อไป
ยายเมิ่งเองก็รออยู่เช่นกัน รอที่จะใช้น้ำตาของตนเคี่ยวเป็นน้ำแกงชามหนึ่งให้เขาดื่ม เพื่อให้จดจำเรื่องราวต่างๆ ในอดีตชาติได้
ใช้เวลานับพันปี
…
พวกเขารอคอยนับพันปี
ไม่เสียใจ
เพราะคุ้มค่าแล้ว
ชาตินี้ได้รู้เรื่องในอดีตชาติแล้ว ทิ้งชื่อแซ่ไว้บนศิลาสามชาติ มิรู้ว่าชาติหน้าเขาคือผู้ใด ดื่มน้ำแกงแล้วไซร้ลืมสิ้นเรื่องราวสามชาติภพ
[1] หรือดอกพลับพลึงแดง หรือพลับพลึงแมงมุม เป็นดอกไม้พิษสามารถไล่แมลงต่างๆ จึงมักปลูกตามคันนาหรือสุสาน
[2] แปลตรงตัวว่าอีกฟากฝั่ง ตามความเชื่อของจีน แม่น้ำในปรภพจะแบ่งสองฟากฝั่งแยกคนเป็นและคนตายออกจากกัน บนฝั่งของคนตายจะมีดอกปี่อั้นบานอยู่ทั่ว ผู้ที่จะข้ามมาฝั่งนี้ได้มีเพียงคนตายเท่านั้น ดังนั้นดอกปี่อั้นจึงเรียกอีกชื่อว่าบุปผาแห่งปรภพ มีตำนานเล่าว่า ปกติต้นไม้หนึ่งต้นจะมีเทพารักษ์องค์เดียว แต่เทพพิทักษ์ดอกและเทพพิทักษ์ใบตกหลุมรักกัน ต้องการพิทักษ์ต้นไม้นี้ด้วยกัน ซึ่งเป็นการฝืนกฏสวรรค์จึงถูกลงโทษและสาปไม่ให้ทั้งคู่พบพานกันอีก ดอกปี่อั้นจึงมีแต่ดอก ไม่มีใบ
[3] หรือสะพานไน่เหอ เป็นสะพานข้ามภพที่เชื่อมแดนสวรรค์ มนุษย์ และนรก ตามความเชื่อของพุทธมหายาน มนุษย์ที่ตายแล้วทุกคนจะต้องเดินข้ามสะพานนี้