薄雾[无限]
ม่านหมอก (ไร้สิ้นสุด)
微风几许 เวยเฟิงจี๋สวี่ เขียน
ธมน แปล
라일 (Lyle) วาด
Zinlin Xin ไทโป
– โปรย –
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไฮเปอร์ธีมีเซียจะสามารถจดจำทุกรายละเอียดในชีวิตได้อย่างชัดเจน
ตั้งแต่จุดเปลี่ยนของโลกไปจนถึงทุกความคิดเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในหัว
ความจำอันดีเยี่ยมและความกระหายในความรู้ของพวกเขา
ทำให้พวกเขากลายเป็นอัจฉริยะในแง่หนึ่งได้อย่างง่ายดาย
ว่ากันว่า ‘จี้อวี่สือ’ คืออัจฉริยะอย่างที่กล่าวมา แถมยังหน้าตางดงามมากเสียด้วย
และข่าวที่ว่าเขาจะไปช่วยงานหน่วยเจ็ดแห่งโดมท้องฟ้าก็แพร่สะพัดไปทั่ว
ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่า ‘ซ่งฉิงหลาน’ ผู้เป็นหัวหน้าของหน่วยเจ็ดนั้นเก่งกาจมากความสามารถ และมีบุคลิกดุดัน
เขาใช้ความสามารถอันเหนือชั้นของตัวเองจนกลายเป็นม้ามืดแห่งสนามรบได้ภายในสองปี
และเขายังเกลียดพวกไม้ประดับที่โดนเบื้องบนยัดเข้ามาในทีมเขาเป็นที่สุด
แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อทราบข่าวเรื่องการมาของจี้อวี่สือ ซ่งฉิงหลานแสดงความเห็นต่อหน้าทุกคนว่า
“มาแล้วช่วยอะไรได้ พวกเราจะออกไปเสี่ยงตาย
ไม่ได้ต้องการอัจฉริยะที่อ่านหนังสือเร็วแบบควอนตัมได้!”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
ศักราชซิงหยวน เดือนธันวาคม ปี 1396 หิมะแรก
รถไฟสีเขียวรุ่นเก่าวิ่งข้ามสันเขา เคลื่อนตัวไปยังดินแดนอันกว้างใหญ่ราวกับมังกรยักษ์ตัวหนึ่ง
ด้านนอกหน้าต่างมีเกล็ดหิมะโปรยปรายไม่ขาดสาย สภาพเมืองที่ดูทรุดโทรมซึ่งอยู่ค่อนข้างห่างไกลค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นในสายตา เสียงประกาศของหญิงสาวที่ฟังไม่ใคร่ไพเราะเท่าไรนักดังขึ้นในห้องโดยสาร “เรียนผู้โดยสารที่รักทุกท่าน ขณะนี้ถึงเขตหัวตงแล้ว ผู้โดยสารที่ต้องการลงจากรถไฟ กรุณาหยิบสัมภาระของท่านให้พร้อม อย่าเบียดเสียดกัน และทยอยลงจากรถตามลำดับค่ะ”
พร้อมๆ กับความเร็วของรถไฟที่ลดน้อยลง ในที่สุดเด็กหนุ่มตรงหัวมุมซึ่งหมกมุ่นอยู่กับเครื่องเล่นเกมหน้าจอขาวดำก็เงยหน้าขึ้น
ระหว่างทางจากสถานีก่อนมาจนถึงเขตหัวตง คะแนนในเกมเตตริส[1]ของเด็กหนุ่มไต่ขึ้นมาจากศูนย์จนถึงสี่แสนกว่า ตัวบล็อกที่หล่นลงมาด้วยความเร็วสูงและการจัดวางอันน่าทึ่งของเขา ทำให้เกมฆ่าเวลาที่ใคร ๆ ก็รู้จักนี้ดูเหมือนจะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันจบเมื่ออยู่ในมือของเขา
ตอนได้ยินเสียงประกาศบ่งบอกว่าถึงที่หมาย เด็กหนุ่มเหลือบมองไปนอกหน้าต่างชั่วขณะ และพอก้มหน้าลงอีกครั้ง บนหน้าจอเกมก็ปรากฏคำว่า “เกมโอเวอร์” เสียแล้ว
“ว้า !” เป็นผลให้ผู้โดยสารข้าง ๆ ที่กำลังติดตามเกมของเขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ “น่าเสียดายจัง”
เกมต้องมาจบลงกะทันหันด้วยคะแนนระดับนี้ ทว่าเด็กหนุ่มกลับดูไม่เสียดายเลยสักนิด เจ้าตัวเพียงแต่ปิดเครื่องเล่นเกมแล้วใส่ลงในกระเป๋าเป้อย่างลวกๆ
ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อดเอ่ยปากถามไม่ได้ “เจ้าหนุ่ม เคยเล่นได้มากสุดกี่คะแนนเหรอ เก่งขนาดนี้บางทีเธออาจจะทำลายสถิติอะไรทำนองนั้นก็ได้”
หน้าตาของเด็กหนุ่มดูธรรมดาทั่วไป แต่กลับมีดวงตากลมโตดำขลับที่ดูใสบริสุทธิ์ “พอ ๆ กับเมื่อกี้ครับ”
ผู้โดยสารที่นั่งข้างกันเสียดาย “ฉันว่าถ้าเมื่อกี้เธอไม่หยุดละก็ต้องได้คะแนนมากกว่านั้นแน่!”
เด็กหนุ่มไม่ใช่คนช่างพูด เขาฟังขณะที่ลุกขึ้นเตรียมลงจากรถและตอบเรียบ ๆ เพียงว่า “ไม่มีเวลาแล้ว”
เขาก้าวออกจากที่นั่ง สะพายกระเป๋าแล้วเคลื่อนตัวไปทางประตูพร้อมกับกลุ่มผู้โดยสารที่จะลงจากรถ
เหล่าผู้โดยสารในตู้รถไฟต่างมาจากทั่วทุกสารทิศ พวกเขาพูดคุยกันหลากหลายสำเนียงด้วยเสียงค่อนข้างดังโหวกเหวก เขาเดินผ่านบริเวณที่นั่งที่เงียบที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ กลุ่มปัญญาชนสามสี่คนในเครื่องแบบที่ขึ้นรถจากสถานีที่แล้วในเขตหัวหนาน เวลานี้กำลังรวมกลุ่มกันเพื่อหารือเกี่ยวกับกระดาษแผนผังบนโต๊ะด้วยเสียงแผ่วเบา หนึ่งในนั้นเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาอวบอิ่ม หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น เห็นแล้วรับรู้ได้เลยว่าเป็นผู้นำกลุ่ม
คล้ายกับรู้สึกถึงสายตาของเด็กหนุ่ม หัวหน้าคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาด้วยความระแวดระวัง แต่เด็กหนุ่มกลับลงจากรถไปเสียแล้ว
เด็กหนุ่มสวมชุดผ้าฝ้ายสีดำ สะพายกระเป๋าเป้ธรรมดา ๆ ภาพแผ่นหลังสูงโปร่งนั้นดูเด่นสะดุดตา
แต่ทันทีที่ลงไปยังชานชาลา เขาก็หายไปในฝูงชนราวกับไม่เคยมีตัวตน
ถ้าหากมีใครบางคนบนรถไฟลองนึกถึงเด็กหนุ่มผู้นี้อีกครั้งก็จะพบว่าตัวเองจำแม้กระทั่งหน้าตาของอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ
ศักราชซิงหยวน ปี 1456
[1456.5.13 14:36:40]พิกัดเวลาที่ปรากฏขึ้นมาบนระบบฉายภาพเป็นเหตุให้ทุกคนตื่นตัว “กลับมาแล้ว ! เตรียมประสานงาน!”
สามวินาทีถัดมา แคปซูลพร้อมด้วยจี้อวี่สือที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีดำในยุค 90 ปรากฏตัวบนแท่นวาร์ป
แขนกลทำการตรวจสอบผู้เดินทางข้ามเวลา และเข้าไปส่งเครื่องดื่มบำรุงให้ทันที หลังจากเดินทางผ่านกระแสเวลา ร่างกายจะสูญเสียน้ำปริมาณมาก จำเป็นต้องได้รับการชดเชยสารอาหารต่าง ๆ โดยด่วน
จี้อวี่สือปลดตัวล็อกนิรภัยแล้วโยนกระเป๋าสะพายของตัวเองลง ก่อนจะรับเครื่องดื่มบำรุงมาดื่มไปสองสามอึก
ใบหน้าจำลองของเขาที่ธรรมดาเสียจนไม่มีจุดเด่นให้จดจำเริ่มสลายไป เผยให้เห็นใบหน้าเดิมที่ดูขาวซีดเล็กน้อย
[ยินดีด้วย คุณสำเร็จภารกิจระดับ B ทั้งหมด 89 ภารกิจ คะแนนในปัจจุบัน : สองดาว]
จี้อวี่สือเหลือบมองดูข้อความแจ้งเตือนบนหน้าจอโปร่งใส แล้วเดินออกจากแคปซูลอย่างไร้ความรู้สึกใด
ด้วยเป็นคนพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร เขาจึงเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที “เตรียมบันทึกภารกิจ เหตุการณ์เหยียนเช่ว์ ปี 1396 เป้าหมายได้ขึ้นรถไฟที่เขตหัวหนานเมื่อวันที่ 13 ธันวาคมของปีเดียวกัน ผ่านเขตหัวตง ขบวนรถที่ x168 พร้อมเพื่อนร่วมเดินทางจำนวนสี่คน โดยทุกคนเป็นผู้นำหลักในเหตุการณ์เหยียนเช่ว์ ซึ่งแตกต่างจากที่บันทึกในประวัติศาสตร์ค่อนข้างมาก แนะนำให้ทำการแก้ไข”
สมาชิกในทีมบันทึกลงไปทีละข้อ
ไม่สนว่าจี้อวี่สือยังไม่ทันได้หายใจหายคอ งานเพิ่งเสร็จสิ้นก็มีสมาชิกในทีมเข้ามาบอกว่า “อาจารย์จี้ ผู้การหลินมารอคุณอยู่ด้านนอกอีกแล้ว”
จี้อวี่สือกุมขมับ เรื่องนี้ทำเขาปวดหัวมากกว่าอาการข้างเคียงหลังจากเดินทางข้ามเวลาเสียอีก “มาอีกแล้ว?”
สมาชิกในทีมกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เขารู้ว่าคุณจะกลับมาเวลานี้เลยมาดักรอได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว”
จี้อวี่สือไปเปลี่ยนชุดที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ผู้การสาขาหนิงเฉิงถอดมาดผู้นำและกำลังรอเขาอยู่ด้านนอกตามคาด
“เสี่ยวจี้ !” ผู้การหลินเข้ามาตบไหล่เขาพร้อมยิ้มจนตาหยี “ยินดีด้วยนะ! สำเร็จไปอีกหนึ่งภารกิจ เข้าใกล้เป้าหมายไปอีกก้าวแล้วสิ!”
จี้อวี่สือตอบตามมารยาท “ขอบคุณครับผู้การหลิน”
ผู้การหลินตรงเข้าประเด็น “คนหนุ่มสาวอนาคตไกล! เป็นยังไงบ้าง ตัดสินใจเรื่องไปช่วยงานสาขาเจียงเฉิงได้แล้วใช่ไหม”
จี้อวี่สือ “ครั้งก่อนผมบอกคุณไปแล้วนี่ครับว่าไม่ไป”
ผู้การหลินยังคงยิ้ม “เฮ้อ ทำไมคนหนุ่มสาวถึงได้ใจแคบอย่างนี้นะ เธอก็รู้ ข่าวลือน่ะ พอพูดไปพูดมาเนื้อความก็เปลี่ยนไปหมด เธอไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในอนาคตเพียงเพราะข่าวลือแค่ประโยคเดียวหรอกนะ”
จี้อวี่สือเอ่ยบอกเสียงเรียบ “ไม่มีใครช่วยผมเลี้ยงแมว”
ผ่านไปหลายร้อยปี แต่นิสัยคลั่งไคล้แมวของคนสมัยใหม่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข จี้อวี่สือที่อายุยังน้อยและตัวคนเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะเลี้ยงแมวไว้ที่บ้านถึงสามตัว
ทุกคนในทีมแอบฟังและแอบพูดกันว่าเหตุผลของอาจารย์จี้ช่างเข้าท่าเหลือเกิน ปฏิเสธได้เยี่ยม ปฏิเสธได้เลิศ!
ไม่แปลกที่ทุกคนจะขุ่นเคือง สาขาเจียงเฉิงจะรังแกกันเกินไปแล้วจริง ๆ!
เจียงเฉิงและหนิงเฉิงต่างก็เป็นหน่วยงานภายใต้ระบบบริหารเวลาของโดมท้องฟ้าเหมือนกัน แต่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบต่างกัน
ตลอดมาเจียงเฉิงมีหน้าที่รับผิดชอบในการต่อต้านอาชญากรรมหรือภัยพิบัติต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต พวกเขาถูกเรียกว่า “ผู้พิทักษ์” และเมื่อจำเป็น พวกเขาจะใช้ยุทธการขั้นเด็ดขาด เพื่อกำจัดผลพวงเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นแต่เนิ่นๆ
ส่วนหนิงเฉิงนั้นมีหน้าที่บันทึกเหตุการณ์น้อยใหญ่ในประวัติศาสตร์มาตลอด พวกเขาถูกเรียกว่า “ผู้จดบันทึก”
หมายความว่าพวกเขาเพียงแต่จดบันทึกประวัติศาสตร์เท่านั้น ไม่ยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเด็ดขาด กระทั่งไม่จำเป็นต้องพกปืนด้วยซ้ำ
หนึ่งสัปดาห์ก่อน ผู้พิทักษ์ที่รับหน้าที่สังเกตการณ์คนหนึ่งในหน่วยไหนสักหน่วยของสาขาเจียงเฉิงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปฏิบัติภารกิจ ประจวบกับภายในทีมกำลังจะมีภารกิจใหม่พอดี จึงเป็นเหตุให้ขาดสมาชิกคนสำคัญไปหนึ่งคน
ระบบการทำงานของโดมท้องฟ้า ทุกคนต่างมีตำแหน่งหน้าที่เป็นของตัวเอง แต่ละหน่วยไม่มีทางดึงกำลังคนมาเสริมทัพได้ในทันที การที่จู่ ๆ จะหาผู้สังเกตการณ์ที่มีความสามารถรอบด้านสักคนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และเบื้องบนก็นึกขึ้นได้ว่าสาขาหนิงเฉิงมีบุคลากรเบอร์หนึ่งที่สามารถโยกย้ายได้ชั่วคราว เลยออกคำสั่งให้ย้ายเจ้าตัวไปยังสาขาเจียงเฉิง
จี้อวี่สือมีชื่อเสียงโด่งดังในโดมท้องฟ้า และมีข่าวลือไม่น้อย
ว่ากันว่าเขามีความจำเป็นเลิศ เป็นเด็กเนิร์ดที่กระหายในความรู้ นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว แต่ในบ้านของเขากลับยังมีหนังสือที่ทำจากกระดาษกองระเนระนาดเต็มห้องจนไม่มีแม้แต่ที่จะให้วางเท้า
บ้างก็ว่าเขาหน้าตาสดใสเปล่งปลั่ง ร่างกายบอบบาง เป็นผู้ชายตัวโตที่แม้แต่ฝาขวดน้ำยังไร้เรี่ยวแรงที่จะเปิด
บ้างก็ว่าเขาขี้กลัว ไม่กล้าอยู่ในกรมคนเดียวตอนกลางคืน แถมยังได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ทั่วทั้งสาขาหนิงเฉิงมีเขาเพียงคนเดียวที่ไม่เคยเข้าเวรกะกลางคืน
…
อะไรต่าง ๆ ทำนองนี้
ดังนั้นหัวหน้าหน่วยผู้ที่ต้องการกำลังคนในสาขาเจียงเฉิงจึงไม่พอใจ และปฏิเสธต่อหน้าทุกคน “เรื่องบ้าอะไร เบื้องบนแยกแยะผู้ชายแมน ๆ ที่ต่อสู้เป็นไม่ออกหรือไง พวกเราจะออกไปเผชิญอันตราย ไม่ได้ต้องการอัจฉริยะที่อ่านหนังสือเร็วแบบควอนตัมได้!”
เพียงไม่นาน คำพูดนี้ก็ลอยข้ามน้ำข้ามทะเลมาเข้าหูของจี้อวี่สือ
จี้อวี่สือตอบกลับคำสั่งย้ายทันทีว่า ไม่ไปแล้ว
ผู้นำจึงกระวนกระวายเหมือนมดบนกระทะร้อน
ผู้การหลินเอ่ยเสียงเข้ม “ให้ตายสิ ก็แค่แมวสามตัวไม่ใช่หรือไง! พามาที่กรม คนในกรมจะช่วยเลี้ยง! ปลาแห้งวันละสามมื้อ เมนูไม่ให้ซ้ำเลยสักมื้อ!”
กลุ่มคนที่อยู่หลังประตู “???”
จี้อวี่สือ “ผมไม่เคยชินกับอาหารแปลกถิ่น”
ผู้การหลิน “ฉันจะจัดสินค้าท้องถิ่นของหนิงเฉิงไปให้หนึ่งคันสเปซทรัคเลย! อยากได้อะไรก็มีทั้งนั้น!”
จี้อวี่สือ “ผมไม่เคยชินกับคนแปลกหน้า”
ผู้การหลิน “นายสนใจแค่เรื่องปฏิบัติภารกิจก็พอ ไม่จำเป็นต้องไปคิดทำความเข้าใจพวกไม่รู้หนังสือที่ชอบสบประมาทคนอื่นพวกนั้นหรอก!”
จี้อวี่สือขยับริมฝีปากบางเฉียบ “ผมเป็นเกย์”
ทุกคนที่อยู่หลังบานประตู “!!!”
ผู้การหลินเหมือนโดนสายฟ้าฟาดกลางแสกหน้า “เสี่ยวจี้ เสี่ยวจี้ เธอ…”
จี้อวี่สือปล่อยหมัดเด็ดออกมานิ่ง ๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “การไปในที่ที่สัดส่วนเพศชายเพิ่มสูงลิ่ว ผมกลัวว่าจะควบคุมความรู้สึกของตัวเองไว้ไม่อยู่จนพัฒนาไปเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่พึงประสงค์แล้วไปทำลายความปรองดองในสาขาเจียงเฉิงเข้า”
ไม่รอให้หัวหน้าได้โน้มน้าวอีก จี้อวี่สือผู้สุขุมเยือกเย็นก็พยักหน้าส่งอีกฝ่าย แล้วหมุนตัวเดินจากไปด้วยความนอบน้อม
เก็บซ่อนความสามารถและชื่อเสียงเรียงนาม
จู่ ๆ ผู้การหลินก็เอ่ยปากอีกครั้ง “เสี่ยว เสี่ยวจี้เอ๊ย”
ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นหัวหน้าเขา และเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของพ่อเขาอีกด้วย
จี้อวี่สือจำต้องหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมาอย่างช่วยไม่ได้ “ผู้การ”
สีหน้าของผู้การหลินดูแปลกไป ทว่าสมกับเป็นผู้นำที่เคยผ่านโลกมามาก เขาสามารถกลับมาสวมมาดผู้นำแล้วกลับคำได้ “งั้นก็ดีเลย เรื่องนั้นยิ่งไม่ต้องเป็นห่วง หัวหน้าหน่วยแซ่ซ่งคนนั้นเขา…เกลียดเกย์สุด ๆ มิหนำซ้ำ…พวกเขายังเกลียดเกย์กันทั้งหน่วยเลยด้วย”
จี้อวี่สือ “…”
จี้อวี่สือแห่งหนิงเฉิงมาแล้ว
ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วสาขาเจียงเฉิงอย่างรวดเร็วและทำให้เกิดความโกลาหล
ภายในลานฝึกซ้อมโฮโลแกรม[2] สมาชิกในทีมที่เกี่ยวข้องแสดงความกังวลอย่างมาก
“มาจริงเหรอ! จิตใจแข็งแกร่งชะมัด!”
“มาจริง ๆ! เมื่อกี้ฉันมองเห็นจากไกล ๆ หน้าตาดีสุด ๆ ใบหน้าเอย บุคลิกเอย อย่างกับดาราแน่ะ”
ทุกคนมองหน้ากัน อุตส่าห์หาอยู่นานสองนาน ดันได้พวกหน้าตาดีแต่ไร้ประโยชน์มาซะงั้น
สมาชิกที่อายุน้อยที่สุดในหน่วยเอ่ยปลอบเพื่อนร่วมทีม “เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก พวกเราต่อสู้เป็นก็พอแล้ว อย่างมากพอถึงเวลาก็แค่คอยคุ้มกันนิดหน่อย กลับมาก็ยังพอมีผลงานส่งให้เบื้องบนได้”
“เหอะ อย่าพูดแบบนี้ต่อหน้าหัวหน้าซ่งเชียวนะ นายลืมเหล่าอวี๋แล้วหรือไง”
“คนคนนี้จะเหมือนกับเหล่าอวี๋ได้ยังไง”
“อย่างน้อยเหล่าอวี๋ก็เคยได้รับการฝึกพิเศษมาก่อน”
เหล่าอวี๋ซึ่งเป็นผู้สังเกตการณ์ในทีมได้รับบาดเจ็บสาหัสในกองทัพ ตอนนี้ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาล
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นจะต้องมองโลกในแง่ร้ายเกินไปเลยนี่ พวกพี่พูดเองไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยเขาก็หน้าตาดีจริง ๆ เวลาเห็นจะได้เจริญหูเจริญตา เป็นข้อดีไม่ใช่หรือไง”
“ข้อดีกับผีสิ นายรู้ไหมว่าทำไมจู่ ๆ หมอนั่นถึงได้ย้ายมา”
“เพราะจะได้พิชิตภารกิจระดับ A กับพวกเราไปแบบสบาย ๆ แล้วเลื่อนขั้นดาวงั้นเหรอ”
“กับผีสิ” ใครบางคนพูดแทรกขึ้นมาด้วยความโมโห “บอกว่าเขาไม่มีความสามารถในการต่อสู้ เขาไม่มา บอกว่าเขาดูดีแต่ไร้ประโยชน์ เขาไม่มา แต่พอบอกว่าพวกเราทั้งทีมเกลียดเกย์ เขาดันมา ไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่อยากมาปะทะกับพวกเราซึ่ง ๆ หน้าหรือว่าอยากมาพิสูจน์เสน่ห์ของตัวเองกันแน่!”
ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
“เชี่ย” ก่อนจะพากันสบถคำหยาบออกมา
สำหรับเหล่าทหารโฉดที่นิสัยตรงไปตรงมากลุ่มนี้แล้ว ผู้ที่จะมาคล้ายกับเป็นภัยพิบัติใหญ่หลวงก็ไม่ปาน
เจ้าของดวงตาชั้นเดียว ทรงผมสกินเฮดคนหนึ่งกลุ้มอกกลุ้มใจอย่างจริงจัง “จบกัน ส่วนใหญ่คนพวกนี้ไม่เลือกซะด้วย ถ้าเกิดชอบฉันขึ้นมาจะทำยังไง ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลสามชั่วรุ่น…”
ยังไม่ทันขาดคำ ท้ายทอยของชายหัวเกรียนก็เจอมะเหงกเขกแรง ๆไปหนึ่งที
แล้วเสียงคุ้นหูของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “เมื่อเช้าลืมส่องกระจกก่อนออกจากบ้านหรือไง”
ชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องฝึกซ้อมหน้าตาหล่อเหลา คิ้วเรียวยาว ท่าทางดุดันราวคมดาบที่เคยผ่านการแช่ในน้ำแข็ง
เขารูปร่างสูงใหญ่ ชุดรบสีดำขับให้เห็นเค้าโครงร่างอันสมบูรณ์แบบ บวกกับช่วงขายาวกระฉับกระเฉง ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามอย่างไม่อาจมองข้าม
ชายหัวเกรียนกุมศีรษะ ทำหน้าร่ำไห้ “หัวหน้าซ่ง”
ทุกคนหัวเราะลั่น
ซ่งฉิงหลานกวาดสายตาไปรอบ ๆ นัยน์ตาสีเข้มเหมือนบ่อน้ำลึกล้ำเย็นยะเยือก ทว่าเจือแววดุดันอย่างไม่ปิดบัง
เขาเปิดปากอีกครั้ง เพียงแต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเนือย “หมอนั่นอยู่ที่ไหน”
[1] เกมต่อบล็อกที่ผลิตโดยนักออกแบบชื่อ อเล็กเซย์ ปายีตนอฟ กติกาคือให้จัดเรียงตัวบล็อกทรงเหลี่ยมสี่ชิ้นที่วางเรียงกันตามรูปร่างของตัวอักษร โดยจัดระเบียบให้บล็อกเหล่านั้นหล่นลงมาในช่องว่างเพื่อทำลายตัวบล็อกที่จะหล่นลงมาอย่างต่อเนื่อง
[2] ภาพเสมือนสามมิติที่เกิดขึ้นจากการฉายภาพสองมิติ โดยอาศัยหลักการการแทรกสอดของแสง