薄雾[无限]
ม่านหมอก (ไร้สิ้นสุด)
微风几许 เวยเฟิงจี๋สวี่ เขียน
ธมน แปล
라일 (Lyle) วาด
Zinlin Xin ไทโป
– โปรย –
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไฮเปอร์ธีมีเซียจะสามารถจดจำทุกรายละเอียดในชีวิตได้อย่างชัดเจน
ตั้งแต่จุดเปลี่ยนของโลกไปจนถึงทุกความคิดเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในหัว
ความจำอันดีเยี่ยมและความกระหายในความรู้ของพวกเขา
ทำให้พวกเขากลายเป็นอัจฉริยะในแง่หนึ่งได้อย่างง่ายดาย
ว่ากันว่า ‘จี้อวี่สือ’ คืออัจฉริยะอย่างที่กล่าวมา แถมยังหน้าตางดงามมากเสียด้วย
และข่าวที่ว่าเขาจะไปช่วยงานหน่วยเจ็ดแห่งโดมท้องฟ้าก็แพร่สะพัดไปทั่ว
ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่า ‘ซ่งฉิงหลาน’ ผู้เป็นหัวหน้าของหน่วยเจ็ดนั้นเก่งกาจมากความสามารถ และมีบุคลิกดุดัน
เขาใช้ความสามารถอันเหนือชั้นของตัวเองจนกลายเป็นม้ามืดแห่งสนามรบได้ภายในสองปี
และเขายังเกลียดพวกไม้ประดับที่โดนเบื้องบนยัดเข้ามาในทีมเขาเป็นที่สุด
แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อทราบข่าวเรื่องการมาของจี้อวี่สือ ซ่งฉิงหลานแสดงความเห็นต่อหน้าทุกคนว่า
“มาแล้วช่วยอะไรได้ พวกเราจะออกไปเสี่ยงตาย
ไม่ได้ต้องการอัจฉริยะที่อ่านหนังสือเร็วแบบควอนตัมได้!”
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
มีชายจรจัดที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือดสด ๆ กระโจนเข้าหาใครก็ตามที่พบเห็นในป่าของอุทยานช่วงเวลาเช้ามืด แถมยังสติไม่สมประกอบ เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ปกติอยู่แล้ว
บวกกับมีแนวโน้มสูงว่าอีกฝ่ายจะป่วยด้วยโรคอะไรบางอย่าง รูปลักษณ์ที่กระตุ้นความรู้สึกเกินไปหน่อยทำให้ทุกคนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ซ่งฉิงหลานคว้าไฟฉายจากมือจี้อวี่สือมาปิด
รอบด้านตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง จี้อวี่สือได้ยินอีกฝ่ายพูด “ให้ตายสิ ก่อนออกจากบ้านน่าจะดูปฏิทิน[1]สักหน่อย ดันทำลายสถิติผู้พิทักษ์ที่ถูกคนพื้นที่พบเห็นเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ไปซะได้ ตอนกลับไปห้ามรายงานใครทั้งนั้น ถ้าโดนหักคะแนนละก็ ไอ้พวกเวรหน่วยเก้านั่นแซงหน้าพวกเราแน่”
จี้อวี่สือ “…”
ซ่งฉิงหลานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนยามปกติ เพื่อดึงทุกคนออกจากบรรยากาศลึกลับแปลก ๆ
นี่เป็นการเตือนสติอย่างหนึ่งว่า พวกเขาเป็นผู้พิทักษ์ และขณะนี้กำลังอยู่ในมิติเวลาที่พวกเขาไม่ควรอยู่
“ทิ้งเขาไว้แถวนี้ก่อน ต้องมีคนมาเจอเขาแล้วแจ้งตำรวจแน่” ซ่งฉิงหลานว่า “มืดจนมองอะไรไม่เห็น พวกเราต้องออกไปแล้วหาทางติดต่อกับโดมท้องฟ้าในมิติเวลานี้ ตอนออกไปก็คอยสังเกตสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ด้วย ยกระดับการระวังตัว เป็นไปได้ว่าอาจต้องผ่านจุดเกิดเหตุฆาตกรรม”
ทุกคน “รับทราบ!”
มีการแจกจ่ายอาวุธตามระเบียบปฏิบัติก่อนจะออกจากจุดหยุดพักชั่วคราว
โจวหมิงเซวียนเปิดคลังยุทโธปกรณ์ ในนั้นมีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นปืนยาว ปืนสั้น มีดพก หรือมีดทหาร พวกผู้พิทักษ์จะได้ครอบครองอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุด แต่ละคนต่างมีอาวุธที่ตัวเองถนัด ยามคับขันควรเลือกใช้มาตรการจำเป็น พวกเขาจำต้องเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมทุกเมื่อเผื่อคราวจำเป็นในมิติเวลาของอนาคต
นี่เป็นครั้งแรกที่จี้อวี่สือพกอาวุธระหว่างทำภารกิจ เมื่อถึงคิวของเขา เขาเลือกปืนพกกระบอกหนึ่งที่ตัวเองใช้บ่อย ๆ ตอนอยู่ที่ห้องฝึกซ้อมส่วนตัวในช่วงหลายวันมานี้
ตัวกระบอกปืนเป็นสีขาวเงิน ขนาดเล็กกะทัดรัด สะดวกต่อการพกพาและเก็บซ่อนมากทีเดียว
“ไดมอนด์เบิร์ด” ซ่งฉิงหลานที่ยืนอยู่ข้างเขาพูดชื่อของปืนออกมา “ออกแบบตามสไตล์ PPK[2] ในศตวรรษก่อน เคยใช้มาแล้วทั้งบอนด์ ทั้งฮิตเลอร์ ที่ปรึกษาจี้ คุณโบราณมาก”
“อะไรนะ” จี้อวี่สือไม่เข้าใจ แค่ปืนกระบอกเดียวก็มองว่าเขาหัวโบราณแล้วหรือ
แต่ซ่งฉิงหลานกลับไม่ได้อธิบายว่าทำไมเขาถึงพูดเช่นนั้น เพียงแต่เอ่ยว่า “สถานการณ์แบบนี้ ถ้าเป็นผม ผมจะพยายามเลือกอาวุธที่สามารถป้องกันตัวเองได้ดีกว่านี้ แต่ก็นะ เหมาะกับคุณดี”
จี้อวี่สือ “…” เขารู้ว่ามีคนในทีมเรียกไดมอนด์เบิร์ดว่าปืนสาวน้อย
ซ่งฉิงหลานเชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด กล้ามเนื้อที่ตึงแน่นได้สัดส่วนไปทั้งตัวบ่งบอกถึงเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี
เห็นเพียงอีกฝ่ายเลือกไปตามลำดับ เริ่มจากมีดพกทหารสองเล่มที่เอาสอดไว้ในแถบรัดซึ่งผูกกับหน้าแข้งยาว ตามด้วยถุงมือหนึ่งคู่ กรงเล็บเหล็กหนึ่งคู่ และจบด้วยการเลือกปืนลูกซอง
เสินเหมียน
นั่นคือโค้ดเนมของปืนกระบอกนี้ น้ำหนักของมันไม่เบาเลย ทั้งยังมีพลังทำลายล้างรุนแรง ให้ความรู้สึกเหมือนกับซ่งฉิงหลานผู้นี้ที่พยศ เอาแต่ใจ ยากจะมองข้าม
หลังจากเลือกอาวุธเรียบร้อยแล้ว ซ่งฉิงหลานก็เอ่ยถาม “ใช้อาวุธเมื่อควรใช้ ทางที่ดีอย่าเอาไว้ห่างตัว แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าต้องทำยังไง ถ้าเกิดถูกคนพื้นที่เห็นว่าคุณพกอาวุธ”
นัยน์ตาสีดำของเขาจับจ้องจี้อวี่สือที่อยู่ตรงหน้า เอ่ยสอนอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแฝงแววล้อเลียน “ก็บอกว่าคุณเป็นตำรวจ”
เมื่อเดินออกจากป่า ทุกคนถึงได้รู้ว่าสถานที่ที่พวกเขาเดินทางมาถึงนั้นเป็นสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
ซ่งฉิงหลานพูดถูก ทันทีที่มาถึงถนนสายหลักของสวนสาธารณะ พวกเขาก็พบศพร่างหนึ่งใต้โคมไฟริมทาง ถึงจะพูดว่าร่างหนึ่ง แต่อันที่จริงแล้วศพนั่นเหลือเพียงครึ่งท่อน บาดแผลบนผิวเหมือนถูกสัตว์อะไรบางอย่างกัด ชวนให้นึกถึงชายจรจัดเสียสติชวนสะพรึงคนนั้นขึ้นมาทันที
เมื่อรวมกับชิ้นเนื้อบนตัวของชายจรจัดคนเมื่อครู่แล้ว ทุกคนก็รู้สึกอยากจะสำรอก
ถูกกินอย่างนั้นเหรอ
นี่ไม่เพียงแต่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาถูกคนพื้นที่เจอตัวเร็วที่สุด แต่ยังเป็นครั้งที่หนักหน่วงที่สุดด้วย
ที่นี่เป็นสวนป่าขนาดย่อมตั้งอยู่ใจกลางเมืองที่ล้อมรอบไปด้วยอาคารสูง ขณะนี้เป็นเวลาตีห้า น่าจะมีคนที่ออกกำลังกายตอนเช้า หรือผู้สูงอายุมาเดินเล่นและออกกำลังกายที่สวนสาธารณะบ้างแล้ว ทว่าตลอดทางกลับไม่เจอมนุษย์เลยสักคน
ขยะถูกลมพัดปลิวไปทั่วจนสามารถมองเห็นได้ทุกที่ ไม่ว่าจะบนสนามหญ้าหรือบนม้านั่งยาว คล้ายกับไม่มีเจ้าหน้าที่สุขาภิบาลมาทำความสะอาดเป็นเวลานานแล้วท่ามกลางสภาพถูกทิ้งร้าง และยังสามารถเห็นคราบเลือดสีแดงคล้ำที่แห้งกรังอยู่บางจุดบนพื้นถนน ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้จะไม่ได้เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นแค่คดีเดียว
เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป นอกจากไฟริมทางไม่กี่ดวงในสวนสาธารณะที่ยังคงส่องสว่างอยู่แล้วก็แทบจะไม่พบร่องรอยของแสงไฟเลย
ไม่เพียงเท่านั้น หน้าต่างของอาคารสูงทุกแห่งที่อยู่ห่างออกไปล้วนแต่มืดสนิท พวกมันยืนแกร่วอย่างไร้ชีวิตชีวาอยู่ภายใต้ท้องฟ้าสีเทาเข้ม
เมืองแห่งนี้เงียบจนน่ากลัว เพราะปราศจากเสียงจอแจอันคุ้นเคยยามเช้า คล้ายกับตกอยู่ในความเงียบงันไร้ซึ่งวี่แววแห่งชีวิต
และที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ ยิ่งห่างจากสวนป่ามากเท่าไร กลิ่นเหม็นเน่าจาง ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศก็ยิ่งชัดเจนขึ้นมากเท่านั้น ราวกับว่า ณ สถานที่ที่พวกเขามองไม่เห็นยังมีสิ่งที่ไม่รู้ชัดมากกว่านี้รออยู่
เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันแน่
แสงสีขาวปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้า ดวงอาทิตย์ใกล้จะขึ้นแล้ว
แต่สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ร้างไร้ผู้คนยังคงปกคลุมด้วยเงามืดแสนอึมครึม
ด้วยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอันตราย ซ่งฉิงหลานจึงส่งสัญญาณมือโดยไร้เสียง
ทุกคนพากันเตรียมพร้อมคอยระวัง ตั้งแถวแล้วพากันมองไปรอบ ๆ
จี้อวี่สือเดินไปอยู่ทางซ้ายมือของซ่งฉิงหลาน เรียวนิ้วสวยงามของเขาจับกระบอกปืนไว้และบรรจุกระสุนใส่ไดมอนด์เบิร์ดด้วยความคล่องแคล่ว การกระทำนี้ดูเข้าขากับคนในทีมมากทีเดียว แต่เมื่อดูจากปฏิกิริยาของจี้อวี่สือตอนเผชิญกับอันตรายในป่าแล้ว ซ่งฉิงหลานก็เอียงหน้าพยักพเยิดไปทางอีกฝ่าย
นัยน์ตาสีดำของซ่งฉิงหลานสื่อความหมายชัดเจน : ไปอยู่กลางวง
ทว่าจี้อวี่สือกลับไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นไม้ประดับของทีมเลยสักนิด เขายังคงก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจใคร คล้ายกับไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
ไม่กี่วินาทีถัดมา เขากดเสียงต่ำ เอ่ยบอกด้วยความรวดเร็ว “หัวหน้าซ่ง สิบเอ็ดนาฬิกา ที่ทำการอุทยาน”
ซ่งฉิงหลานหรี่ตามองไปตามทิศที่อีกฝ่ายบอก ความมืดปกคลุมไปทั้งแถบ เขามองไม่เห็นอะไรเลย
จี้อวี่สือพูดขึ้นอีกครั้ง “เหมือนมีแสงไฟจากข้างใน”
คุณสมบัติขั้นต่ำที่ผู้สังเกตการณ์ต้องมีก็คือความหูไวตาไว ก่อนหน้านี้ตอนที่เหล่าอวี๋ยังอยู่ ซ่งฉิงหลานยกให้เขาเป็นหูเป็นตาของหน่วย และไม่เคยคลางแคลงต่อการประเมินของผู้สังเกตการณ์
ด้วยเหตุนี้ซ่งฉิงหลานจึงเอ่ยเสียงเข้ม “ลองไปดู”
ความเป็นจริงได้พิสูจน์ว่าจี้อวี่สือมีความสามารถในการมองเห็นเป็นเลิศ
จากการบอกกล่าวของเขา ทุกคนต้องเดินต่อไปอีกระยะหนึ่งถึงจะสามารถแยกแยะสิ่งปลูกสร้างที่ซ่อนตัวอยู่ข้างพุ่มไม้ออก บนบานประตูของอาคารเตี้ย ๆ มีป้ายแขวนอยู่ : “ที่ทำการอุทยานกลาง PU-31”
“ไอ้ PU-31 มันคืออะไร” เสียงใครสักคนพูดขึ้นเบา ๆ “ไม่มีสถานที่ชื่อนี้นี่นา”
ทุกคนต่างสงสัย พิกัดเวลาในปัจจุบันคือ ศักราชซิงหยวน ปี 1470 ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมาจากเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่คงไม่ถึงกับต้องใช้ชื่อสถานที่แบบนี้หรอกมั้ง
อยู่ห่างตั้้งขนาดนี้ ตัวอักษรก็เล็กแค่นั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าจี้อวี่สือมองเห็นได้ยังไง
เมื่อเข้าไปด้านในซ่งฉิงหลานถึงได้รู้ว่าแสงไฟที่อีกฝ่ายบอกมาจากโคมไฟตั้งโต๊ะที่อยู่บนโต๊ะทำงานไม้เนื้อแข็งตรงมุมห้องเพียงเท่านั้น
สายตาของคนคนนี้สามารถซูมจุดโฟกัสได้หลายเท่าหรือไง
ภายในที่ทำการอุทยานว่างเปล่า เงียบเชียบ ไร้วี่แววแห่งชีวิตเหมือนกับโลกด้านนอก
ลูกทีมสองสามคนเข้าไปตรวจดูห้องอื่น ๆ ซ่งฉิงหลานหยิบเครื่องมือสื่อสารบนโต๊ะของเจ้าหน้าที่ขึ้นมาก็พบว่าเครื่องได้ดับไปแล้ว เนื่องจากแบตเตอรี่หมด บนโต๊ะเองก็ระเกะระกะไปหมด มีทุกอย่างทั้งกุญแจ หนังสือพิมพ์ ใบลงทะเบียนและกล่องอาหารเดลิเวอรี่
เพียงไม่นาน ทังเล่อก็ออกมา “หัวหน้า พบศพอยู่ในห้องน้ำ!”
ร่างที่อยู่ในห้องน้ำสวมชุดเครื่องแบบ ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่ของที่นี่
ศพนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น บนลำคอมีโพรงบาดแผลขนาดใหญ่ที่ทะลุไปถึงสมอง มองเห็นเนื้อเน่าเปื่อยและหลอดเลือดได้อย่างชัดเจน ซ่งฉิงหลานหยิบผ้าขนหนูผืนหนึ่งมาพันมือไว้ลวก ๆ แล้วพลิกร่างนั้นให้หงายขึ้น เป็นไปตามคาด คนคนนี้เหมือนกับชายจรจัดที่เจอเมื่อครู่ ผิวบนใบหน้าซีดขาว เส้นเลือดสีเขียวกระจายไปทั่วคล้ายร่างแห ที่ต่างกันคือใบหน้าของศพนี้แข็งทื่อ ดวงตาสองข้างปิดสนิท ทว่ายังคงหลงเหลือสภาพร้องโหยหวนก่อนตายเอาไว้ ภายในปากที่อ้ากว้างมีหนอนชอนไช ทำเอาคนที่มุงดูอยู่ขนหัวลุก
ภายในพื้นที่คับแคบอากาศไม่ถ่ายเททำให้กลิ่นเหม็นรุนแรง มีเสียงคลื่นไส้ดังขึ้นเบา ๆ
ซ่งฉิงหลานไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง “หลี่ฉุน นายลองอ้วกให้ฉันเห็นอีกรอบสิ”
ทุกคนที่อัดกันอยู่ในห้องน้ำหันกลับไปมองด้วยสายตาอาฆาต หลี่ฉุนยกมือขึ้นอย่างไม่รู้เรื่อง “รอบนี้ไม่ใช่ผมจริง ๆ!”
จี้อวี่สือที่ยืนอยู่ตรงปากประตูเอามือปิดปากแล้วรีบวิ่งออกไป
ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้วสินะ ซ่งฉิงหลานคิด
ทว่าไม่ว่าเป็นใคร ตอนนี้เขาก็ไม่มีเวลามาดูแลสภาพจิตใจของสมาชิกในทีมคนไหนทั้งนั้น
เขาพิจารณาศพอยู่สองสามวินาที คราวนี้เขาไม่ได้ใช้มือโดยตรงเหมือนครั้งแรก แต่ชักมีดพับออกมาจากสายรัดตรงหน้าแข้ง แล้วเปิดเปลือกตาของผู้ตายด้วยด้ามมีด
เป็นอย่างที่คิดไว้ ดวงตาของผู้ตายเป็นสีขาวขุ่นเช่นเดียวกับชายจรจัด ยิ่งไปกว่านั้นยังยากจะแยกว่าส่วนไหนคือม่านตาท่ามกลางลูกตาที่ขุ่นทึบไปทั้งดวง
หลี่ฉุนเอ่ย “เชี่ย อาการเดียวกับไอ้บ้าเมื่อกี้เลย นี่มันอะไร โรคติดต่อเหรอ”
เมื่อหวนคิดไปถึงตัวเองที่เกือบจะถูกกัด หรือก็คือเกือบจะติดเชื้อ ทำเอาหลี่ฉุนนึกกลัวขึ้นมาทันที
ซ่งฉิงหลานพูด “อาจจะใช่ แต่พวกเรายังฟันธงไม่ได้”
รวมกับศพในสวนสาธารณะ บวกกับคราบเลือดอื่น ๆ…ชายจรจัดเสียสติคนหนึ่งจะสามารถก่อคดีฆาตกรรมได้มากขนาดนี้จริง ๆ น่ะหรือ เขาแสดงความสงสัย
จี้อวี่สือกลับไม่ได้อาเจียนออกมาจริง ๆ
ตอนที่ซ่งฉิงหลานกลับไปยังห้องทำงานของเจ้าหน้าที่ จี้อวี่สือกำลังสำรวจอุปกรณ์สื่อสารที่ไม่มีสัญญาณเครื่องนั้น นอกจากสีหน้าที่ดูซีดเซียวเล็กน้อยแล้ว เขาก็จัดการสภาพตัวเองจนเรียบร้อย
เมื่อเห็นพวกเขาออกมา จี้อวี่สือก็เอ่ยบอก “ผมเจอคลิปวิดีโอคลิปหนึ่ง
“ผมเจอพอร์ตชาร์จไฟของอุปกรณ์สื่อสารในลิ้นชัก” ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับการแสดงความเห็นต่อหน้าผู้คนนัก จี้อวี่สือเอ่ยต่ออย่างไร้ความรู้สึก “หลังจากเปิดเครื่องก็เจอคลิปนี้ที่ดาวน์โหลดไว้เมื่อหนึ่งเดือนก่อน”
อุปกรณ์สื่อสารฉายวิดีโอนั่นขึ้นมา
ในภาพปรากฏชายคนหนึ่งที่บนใบหน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีเขียวโยงใยเป็นร่างแห ลูกตาสีขาวขุ่นปูดโปน กำลังพุ่งตัวใส่เลนส์กล้องอย่างบ้าคลั่ง คนถ่ายพลันส่งเสียงกรีดร้อง ในภาพที่สั่นไหวไปมา ชายคนนั้นถูกโซ่เหล็กดึงลำคอไว้ ลำคอถูกกระชากอย่างรุนแรงจนเป็นรอยจ้ำเลือด แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ยังคงอ้าปากกว้างแล้วกระโจนใส่อย่างเสียสติ ส่งเสียงคำรามดัง “ฮื่อๆ” ออกมาจากลำคอ
คนที่ถ่ายเป็นผู้หญิง เสียงร้องไห้ของเธอดังออกมาจากในคลิป “ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย…สามีของฉันกลายร่างแล้ว! ข้างนอก ข้างนอกนั่นยังมีอีกเยอะเลย! ช่วยฉันด้วย ฉันไม่อยากตาย! ฉันไม่ได้โดนกัด! ใครก็ได้มาช่วยฉันที!”
คลิปจบที่ใบหน้าน่ากลัวของผู้ชายคนนั้น
ทุกคนสั่นสะท้าน
“มันคือซอมบี้!!”
“ถ้าเป็นซอมบี้จริง ๆ งั้นด้านนอกต้องมีแบบนี้อยู่อีกเพียบแน่!”
“เวรเอ๊ย มิน่าล่ะ ที่นี่ถึงได้แปลกขนาดนี้!”
“นี่เป็นคลิปตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว!”
ทันทีที่ดูหนังสยองขวัญจากเรื่องจริงนี้จบ สีหน้าของจี้อวี่สือก็แปลกไปเช่นกัน “อุปกรณ์สื่อสารไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต แต่เมื่อกี้ผมเพิ่งได้รับข้อความ น่าจะส่งถึงพวกเรา”
โจวหมิงเซวียนเอ่ยด้วยความแปลกใจ “ข้อความอยู่ในอุปกรณ์สื่อสารของผู้ตาย แต่กลับส่งถึงพวกเราเนี่ยนะ”
เขาเน้นย้ำคำว่า “พวกเรา”
นี่จะแปลกเกินไปแล้ว
ทว่าจี้อวี่สือกลับยืนยันคำเดิม “ผมคิดว่าใช่”
ซ่งฉิงหลานเอ่ยเสียงเรียบ “เปิดดู”
แสงสีฟ้ากะพริบเล็กน้อย ภาพโฮโลแกรมค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมา
สมาชิกในทีมล้อมวงเข้ามาอ่านข้อความบนจอฉายแล้วก็ต้องมองหน้ากัน
[ยินดีต้อนรับเหล่าผู้พิทักษ์จากศักราชซิงหยวน ปี 1456 สู่ PU-31 ]ถ้อยคำต้อนรับอันคุ้นเคยของระบบโดมท้องฟ้าที่แต่เดิมควรทำให้รู้สึกโล่งใจ กลับทำให้รู้สึกเย็นสันหลังวาบในขณะที่ความสงสัยก็ยังคงไม่หายไป
ไม่เพียงเพราะข้อความนี้ถูกส่งถึงพวกเขาจริง ๆ แต่ยังเป็นเพราะข้อความบรรทัดที่สองและสามที่ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
[การเดินทางนี้ครั้งนี้ถูกล็อกไว้แล้วและจะปลดล็อกหลังจากภารกิจสำเร็จ] [โหมดภารกิจ : อูโรโบรอส ] [กฎของภารกิจ:ตายคัดออก]“ทุกคนดูนั่น!!” จู่ ๆ ทังเล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างก็ชี้ไปด้านนอกพร้อมตะโกนเสียงดัง
ทุกคนเดินไปทางนั้นทันที
แล้วก็ต้องอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
กำแพงสีดำสูงจากพื้นดินจรดท้องฟ้าปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน แล้วขยายยาวไปตลอดทางที่พวกเขาเพิ่งมา
ไม่สิ จะบอกว่าเป็นกำแพงสีดำก็ไม่ถูก
ถ้าให้อธิบายจริง ๆ มันเหมือนกับภาพจอดำตอนกำลังดาวน์โหลดเกมจำลองนั่นแหละ มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว กลืนกินทั่วทุกบริเวณตั้งแต่ท้องฟ้าจรดพื้นดิน กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ตาสามารถมองเห็นได้ กระทั่งถึงบริเวณด้านหน้าที่ทำการอุทยานถึงค่อย ๆ หยุดลง
“ตื๊ด—” เสียงแจ้งเตือนดังออกมาจากเครื่องมือสื่อสาร
ปรากฏข้อความบรรทัดสุดท้ายบนจอฉาย
[วัตถุประสงค์ของภารกิจ :ผู้ไล่ล่าความมืด]
[1] คนสมัยก่อนมักจะดูปฏิทินโหราศาสตร์ก่อนออกจากบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์โชคร้าย
[2] ย่อมาจาก Polizeipistole Kriminalmodell เป็นปืนพกพาขนาดเล็กกะทัดรัด ขนาด 7.65 x 17 มิลลิเมตร