某某
ใครบางคน
木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
Zolaida ภาพ
– โปรย –
เซิ่งวั่งย้ายกลับมาอยู่คฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลในตรอกไป๋หม่า
ทว่าผู้ที่ย้ายเข้ามาในเวลาเดียวกันยังมีผู้หญิงที่พ่อของเขากำลังคบหาอยู่ด้วย
และผู้เป็นพ่อก็ชี้ไปทางลูกชายของผู้หญิงคนนั้นแล้วสั่งว่า: เรียกพี่สิ
แล้วเรื่องราวระหว่าง เครื่องทำความเย็นจอมหยิ่งหัวแข็งผู้กินไม้อ่อนไม่กินไม้แข็ง
กับ คุณชายน้อยจอมขี้เกียจผู้คิดว่าตัวเองสูงส่งค่าตัวแพง ก็เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น
แต่มันไม่ง่ายเลย…เพราะเมื่อเวลาผ่านไปอะไรๆ ก็ยิ่งไม่เป็นอย่างที่คิดหวังไว้
เจียงเทียนไม่ใช่พี่ชายอีกแล้ว และก็ไม่ใช่แฟนอีกต่อไป วกไปวนมา
สุดท้ายก็กลับมาเป็นคนที่เซิ่งวั่งไม่รู้ว่าควรจะเรียกอะไรดี
กลับไปเป็น ‘ใครบางคน’ ที่เรียกออกปากไม่ได้อีกครั้ง
เซิ่งวั่ง: ฉันเป็นชายแท้แบบไม่หักไม่งอเลย (straight)
เจียงเทียน: ฉันเป็นโฮโมโฟบ (homophobia)
แท็กเนื้อหา: การเติบโตของช่วงวัยรุ่น (coming of age) ,
รักเดียวใจเดียว, การกลับมาพบพานกันใหม่หลังจากกันไป
1v1+he
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 1
“จักจั่นในฤดูร้อนปีนั้นส่งเสียงดังบาดหูยิ่งกว่าปีไหน ๆ และกิ่งไม้นอกหน้าต่างที่แผ่สาขาอย่างบ้าคลั่งนั้นก็บดบังแสงแดดที่เจิดจ้าไม่ได้เลยสักนิด”
ในช่วงพักใหญ่ ที่ชั้นบนสุดของตึกหมิงหลี่ในโรงเรียนมัธยมสาธิตแห่งนี้มักจะมีเสียงดังโหวกเหวกอยู่เสมอ ตัวแทนฝ่ายวิชาการประจำชั้น ม.5 ห้อง A เดินรี่จากโถงทางเดินเข้าไปยังห้องเรียนแล้วตะโกนขึ้นว่า “มีข่าวมาแจ้ง ห้องเราจะมีเด็กใหม่!”
“ขันทีน้อยแห่งกรมวังมาหลอกชาวบ้านชาวช่องอีกแล้ว” มีคนล้อขึ้น
“ขันทีน้อยแม่เอ็งสิ ฉันพูดจริงเหอะ”
“ไม่ใช่กลางเทอมหรือปลายเทอมสักหน่อย จะไปมีเด็กใหม่มาได้ไง”
“ย้ายโรงเรียนมาไง”
พอได้ยินเช่นนั้น คนในห้องที่ไม่ได้งีบหลับก็มีชีวิตชีวาขึ้นทันที “ชายหรือหญิง เรื่องจริงดิ”
“เรื่องจริงร้อยล้านเปอร์! ฉันเห็นมาเมื่อกี้ เป็นผู้ชาย ดูขาวสะอาดสะอ้าน หน้าตาหล่อเลยละ” ตัวแทนฝ่ายวิชาการใคร่ครวญแล้วเสริมขึ้นอีก “ไม่รู้ว่าอาจารย์ท่านไหนช่างโหดร้าย ไปเด็ดต้นหญ้าประจำโรงเรียน[1]คนอื่นเขามาซะได้”
ภายในห้องเรียนเกิดเสียงร้องฮือฮา เด็กสาวหลายคนถือโอกาสชุลมุนเหล่มองไปทางที่นั่งหลังห้อง ตรงนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังฟุบหลับอยู่กับโต๊ะ มือข้างหนึ่งกุมไว้ที่หลังศีรษะ เรียวนิ้วโค้งงอ กระดูกตรงข้อมือนูนชัด
รอบด้านเสียงดังอึกทึก เขาเสยผมเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง
เหล่าเด็กสาวดึงสายตากลับมาพร้อมกับเสียงที่ลดเบาลงกว่าเมื่อครู่ “ย้ายมาจากไหนอะ”
ตัวแทนฝ่ายวิชาการบอกชื่อโรงเรียนออกมา
“อะไรนะ แถวนี้มีโรงเรียนนี้ด้วยเหรอ”
“ฉันก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นโรงเรียนขึ้นชื่อประจำเมืองปะ ไม่งั้นจะย้ายมาห้องเราได้ไง”
“รอแป๊บ เดี๋ยวฉันลองเสิร์ช” เด็กหนุ่มที่พูดขึ้นแอบหยิบมือถือออกมาจากใต้โต๊ะด้วยท่าทีลับ ๆ ล่อ ๆ “ไม่มีอาจารย์อยู่แถวนี้ใช่ไหม ฝากดูลาดเลาด้วย”
เขารัวนิ้วพิมพ์อย่างรวดเร็ว หลังเสิร์ชเจอก็ตัวแข็งทื่อไป “เชี่ย?”
“เป็นอะไรไป”
เด็กหนุ่มหันหน้าจอให้ทุกคนดูรอบหนึ่ง คนที่เหลือเองก็นิ่งอึ้งไปด้วยเช่นกัน
ผ่านไปสักพักหนึ่งถึงมีคนดึงสติกลับมาได้ “เขามาจากมณฑลอื่น? เรียนจบ ม.4 แล้วย้ายมาเจียงซูเนี่ยนะ มาสอบแอดมิชชั่นที่นี่อะนะ สมองของสุดหล่อคนนั้นโดนประตูหนีบมาหรือไง”
เซิ่งวั่งที่สมองโดนประตูหนีบมากำลังรอจัดการเรื่องต่าง ๆ อยู่ที่ห้องวิชาการ
จักจั่นลากเสียงร้องยาวภายใต้แสงแดดเจิดจ้า เขาผละออกจากริมหน้าต่างแล้วยัดหูฟังเข้าหูอีกครั้งถึงได้ยินข้อความเสียงจากผู้เป็นพ่ออย่างชัดเจน อีกฝ่ายส่งข้อความมารวดเดียวสามข้อความ แต่ละข้อความยาวหนึ่งนาทีตามสไตล์เซิ่งหมิงหยาง
“ลุงเสี่ยวเฉินของลูกเพิ่งโทร.มาบอกป๊าว่าลูกขึ้นตึกไปเองแล้ว ทำไมไม่รอขึ้นไปพร้อมลุงเขาล่ะ โรงเรียนใหม่ เพื่อนร่วมชั้นใหม่ มีคนพาขึ้นไปจะดีกว่า…
“บรรยากาศของโรงเรียนเป็นยังไงบ้าง ต่างจากโรงเรียนก่อนหน้านี้มากไหม ถึงจะเป็นโรงเรียนดังประจำมณฑลเหมือนกัน แต่ยังไงก็เป็นคนละมณฑล…
“ลูกเจอเหล่าสวี่หรือยัง…”
แอร์ห้องวิชาการค่อนข้างเก่า ให้ความเย็นได้เพียงบางจุด เหมาะกับคนวัยกลางคนค่อนไปทางแก่ยิ่งนัก เซิ่งวั่งยืนอยู่ตรงกับช่องแอร์ เม็ดเหงื่อตรงส่วนปลายผมถูกเป่าจนเย็น นิ้วมือเขาแตะลงบนหน้าจอ ฟังแต่ละข้อความแค่พอผ่าน ๆ แล้วกดข้าม ฟังข้อความหนึ่งก็กลอกตารอบหนึ่ง จนกระทั่งถึงข้อความสุดท้ายก็เกิดความงุนงงเล็กน้อย
เขารู้จักลุงเสี่ยวเฉินแน่นอนอยู่แล้ว อีกฝ่ายเป็นคนขับรถมาส่งเขารายงานตัว เขตโรงเรียนห้ามรถเข้า ลานจอดรถก็อยู่ไกลเกินไป เซิ่งวั่งไม่อยากแม้แต่จะเปลืองแรงเดินสักก้าว ดังนั้นจึงให้อีกฝ่ายกลับไปก่อน
แล้ว…
“เหล่าสวี่นี่ใครนะ” เซิ่งวั่งกดปุ่มส่งข้อความค้างแล้วถาม
“ลูกกดตัดข้อความพ่ออีกแล้วสินะ” เซิ่งหมิงหยางตอบกลับทันควัน
เซิ่งวั่งกระพือคอเสื้อเรียกลมให้ตัวเอง ก่อนจะทำเป็นว่าสัญญาณเน็ตหลุดไปแล้ว
เซิ่งหมิงหยางโทร.กลับมาในทันที น้ำเสียงระอาใจอย่างยิ่ง “เหล่าสวี่เป็นหัวหน้าฝ่ายปกครอง ตัวไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ หน้าตาพอใช้ได้ ดูเข้มงวดหน่อย ตามหลักแล้วเขาน่าจะเป็นคนมารับลูก ได้เจอไหม”
เซิ่งวั่งลองนึกย้อนตามที่พ่ออธิบาย “ไม่มั้ง อาจารย์ที่รับผมขึ้นตึกค่อนข้างเป็นกันเองนะ ยิ้มอยู่ตลอดเลย แค่หน้าตาเหมือนลิงปากกว้างพอลแฟรงค์ไปหน่อย”
แถมยังเตี้ยอีก มองผ่าน ๆ น่าจะสูงประมาณไหล่เซิ่งวั่ง เวลาพูดยังต้องเงยหน้าคุยกับเขา พออีกฝ่ายมาส่งเซิ่งวั่งถึงที่นี่ก็กลับลงไปชั้นล่าง บอกว่าจะไปหยิบหนังสือเรียนใหม่มาให้
สัญญาณทางฟากเซิ่งหมิงหยางกระตุกไปทีหนึ่ง “อ้อ ประมาณนั้นแหละ นั่นเขาเอง”
เซิ่งวั่ง “…”
เขาครุ่นคิดก่อนกล่าว “ป๊า งั้นป๊าว่าผมนี่หน้าตาพอใช้ได้ด้วยไหม”
เซิ่งหมิงหยางอยากตีเจ้าเด็กนี่สักที
ในฐานะคนทำธุรกิจ ความสามารถในการใช้คำพูดพลิกแพลงของเขานั้นเรียกได้ว่าเพอร์เฟ็กต์ มีแค่ลูกชายนี่แหละที่ตามไม่ทัน
มีเสียงคนดังขึ้นที่นอกประตู เซิ่งวั่งชะโงกศีรษะมองแวบหนึ่ง “ลิง ไม่สิ อาจารย์สวี่มาแล้ว ผมวางสายก่อนนะ”
คนเป็นพ่อเอ่ยด้วยความรวดเร็ว “ได้ ทำตัวดี ๆ ล่ะ วันแรกพยายามทำตัวดี ๆ สร้างความประทับใจให้พวกอาจารย์นะ อย่าไปตั้งฉายาให้ซี้ซั้ว”
“อื้อ” เซิ่งวั่งตอบรับเสียงยานคาง
“เดี๋ยวตอนค่ำให้เสี่ยวเฉินไปรับลูก ตอนนั้นป๊าก็น่าจะถึงบ้านพอดี ไว้จะพาลูกไป…”
ปลายสายชะงักไปชั่วขณะ ก่อนทำเป็นพูดต่อด้วยท่าทีผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ “ไว้พวกเราไปกินข้าวกับป้าเจียงกัน เรื่องที่ป๊าคุยกับลูกคราวก่อนนั่นแหละ ได้ไหม”
เซิ่งวั่งเม้มปากทีหนึ่ง
ชื่อเต็ม ๆ ของป้าเจียงคือเจียงโอว เธอมีลูกชายหนึ่งคน เขาไม่เคยพบกับเจียงโอวมาก่อน เคยเห็นผ่านรูปแค่สองรอบ แถมยังแค่ดูพอเป็นพิธีอีกต่างหาก
เขาได้ยินชื่อนี้ติดต่อกันมาเกือบปีแล้ว เริ่มจากสองสามเดือนครั้ง กลายเป็นได้ยินแทบทุกวันจนเกือบจะชินไปแล้วจริง ๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเซิ่งหมิงหยางเป็นมือโปรด้านการควบคุมจังหวะสถานการณ์ เรียกได้ว่าไร้ที่ติ แม้เซิ่งวั่งอยากจะระเบิดความโมโหสักทีก็ยังหาจังหวะแทรกไม่ได้เลย
เดือนก่อนเซิ่งหมิงหยางบอกว่างานในครึ่งปีหลังของเขาจะยุ่งขึ้นอีกเป็นเท่าตัว อยู่บ้านได้แค่ไม่กี่วัน อีกทั้งยังบอกว่าทางฝั่งเจียงโอวเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น ทำให้ฝ่ายนั้นอยู่บ้านที่เคยอยู่ไม่ได้อีกต่อไป
เพราะฉะนั้นเขาจึงอยากให้เจียงโอวย้ายเข้ามา นอกจากจะช่วยให้อีกฝ่ายมีที่อยู่แล้ว เจียงโอวยังสามารถช่วยดูแลเซิ่งวั่งได้ด้วย
ฟังยังไงก็โคตรปลอม ไม่ว่าจะทำความสะอาดหรือทำกับข้าวก็มีป้าแม่บ้านคอยทำให้ เหตุสุดวิสัยก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องจริง อาจเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น พอเข้ามาอยู่ด้วยกันแล้ว จะมีโอกาสจากไปอีกหรือไง
ถึงปากจะบอกว่าขอปรึกษาเรื่องนี้ แต่ความจริงยังไม่ทันรอให้เซิ่งวั่งพยักหน้า ในบ้านก็เริ่มปรากฏข้าวของเครื่องใช้ชิ้นใหม่แล้ว เป็นการเตรียมความพร้อมทุกอย่างเพื่อรอการมาถึงของผู้หญิงคนนั้น อ้อ รวมถึงลูกชายของเธอด้วย
มื้อค่ำวันนี้ไม่ว่าจะกินข้าวด้วยกันหรือไม่ สุดท้ายผลลัพธ์ก็มีแค่แบบเดียวอยู่ดี
เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากทางฝั่งเซิ่งวั่งสักที เซิ่งหมิงหยางที่อยู่ปลายสายจึงเรียกเขาอีกครั้ง
พอดีกับที่อาจารย์สวี่ซึ่งหน้าเหมือนลิงปากกว้างเดินเข้าประตูมา เซิ่งวั่งชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตัดสายทิ้ง
อย่างไรเสียก็เป็นนักเรียนใหม่ที่มารายงานตัว หัวหน้าสวี่แห่งฝ่ายปกครองจึงยังคงทำท่าทางใจดีอย่างที่ควรทำ “โทร.หาที่บ้านเหรอ ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบวางก็ได้ การบอกกล่าวเป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว”
เซิ่งวั่งหันมา เผยรอยยิ้มของเด็กวัยรุ่น “ขอบคุณครับอาจารย์ คุยเสร็จพอดีน่ะครับ”
หัวหน้าสวี่ชี้ไปทางเซิ่งวั่งพร้อมผงกศีรษะให้อาจารย์ที่อยู่ด้านหลัง เขาเคยพูดตั้งแต่อยู่ด้านล่างเมื่อกี้แล้ว แม้นักเรียนที่เพิ่งย้ายมาใหม่จะมีใบหน้าที่ดูหลอกเด็กสาวทั้งหลายได้ แต่ท่าทางดูเป็นเด็กดี ไม่น่าออกนอกลู่นอกทาง
“มานั่งนี่สิ” จากนั้นหัวหน้าสวี่ก็ชี้ไปทางหนังสือตั้งหนึ่งที่เพิ่งยกเข้ามา “ตามหลักแล้วนี่เป็นหนังสือที่ใช้เรียนในเทอมนี้ เธอลองเปิดดูก่อนได้”
อะไรคือตามหลักแล้ว
เซิ่งวั่งไม่อาจเข้าใจความหมายได้ในทันที เขาหยิบหนังสือเคมีเล่มบนสุดมาเปิดดูสองหน้า ยังพอต่อกันติดกับเนื้อหาที่เรียนมาก่อนหน้านี้ได้บ้าง ไม่ค่อยแตกต่างกันมากเท่าไหร่ ตอนเรียนไม่น่ามีปัญหาอะไรนัก
“ฉันอ่านข้อมูลของเธอมาแล้ว เคยย้ายโรงเรียนตั้งหลายที่ใช่ไหม” หัวหน้าสวี่ถามขึ้น
เซิ่งวั่งพยักหน้า “ครับ เคยย้ายหลายรอบอยู่” หลัก ๆ แล้วก็ย้ายตามเซิ่งหมิงหยางทั้งนั้น
ชั้นประถมเรียนที่เจียงซู ระหว่าง ม.1 ถึง ม.4 เคยย้ายโรงเรียนสองรอบ คราวนี้เป็นรอบที่สาม ต้องขอบคุณประสบการณ์เหล่านี้ที่ทำให้เขาไม่มีความรู้สึกผูกพันกับที่ไหนทั้งนั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็อยู่เพียงไม่นาน
“ผลการเรียนฉันก็ดูแล้ว เป็นนักเรียนดีเด่นเลยละ ไม่เคยอยู่ต่ำกว่าสามอันดับแรกของชั้นเรียนเลย พื้นฐานแน่นพอแล้ว แค่ลำดับเนื้อหาการสอนของโรงเรียนทั้งสองฝั่งต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น” หัวหน้าสวี่ยกนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ห่างกันไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตรพร้อมเอ่ยปลอบ “การย้ายโรงเรียนก็ต้องเจอปัญหาพวกนี้บ้าง แค่ตั้งใจหน่อยก็ตามทันแล้ว ไม่ต้องกังวลนะ”
นักเรียนอย่างเซิ่งวั่งที่ทำอะไรก็เป็นไปดั่งใจตลอดไม่เคยนึกหวั่นกับเรื่องเรียนมาก่อน เพราะงั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะกังวล ทว่าเขาจะแสดงท่าทีมั่นใจเกินไปไม่ได้ จำต้องกดหางที่กำลังกระดิกไปมาของตัวเองไว้[2] “ก่อนมาก็พอทำใจเอาไว้บ้างแล้วครับ ผมจะพยายามตามให้ทัน”
หัวหน้าสวี่ดูใจดียิ่งกว่าเดิม “ตอน ม.4 เคยลองแบ่งสาย[3]หรือยัง”
เซิ่งวั่งตอบ “ไม่เคยครับ ทางโรงเรียนเคยลองหลักสูตรแบบย้ายห้องเรียนตามวิชา[4]อยู่เทอมนึงครับ”
“อ้อ” หัวหน้าสวี่พยักหน้า “อันที่จริงพวกเราก็เรียนกันแบบย้ายห้องเรียนเหมือนกัน แต่ว่าพิเศษกว่าหน่อย”
เด็กหนุ่มฟังแล้วงุนงงเล็กน้อย “พิเศษ? พิเศษยังไงครับ”
“ห้อง A ที่เธอกำลังจะได้เข้าไปอยู่เป็นห้อง ม.5 ที่เน้นวิชาเคมีกับฟิสิกส์เป็นพิเศษน่ะ ครึ่งเทอมย้ายที มีการสอบใหญ่อย่างสอบกลางภาคกับปลายภาคอยู่ใช่ไหม สามอันดับสุดท้ายของการสอบใหญ่ทุกรอบจะถูกย้ายไปอยู่ห้อง B ก่อนจะเลือกสามอันดับแรกจากห้อง B เข้ามาแทน เป็นระบบการย้ายห้องเรียนแบบนี้แหละ”
เซิ่งวั่ง “…”
อธิบายง่าย ๆ ก็คือ ที่อื่นย้ายห้องเรียนตามวิชา แต่ของพวกเขาคือวิธีขับไสไล่ส่งแทนสินะ
เมื่อหัวหน้าสวี่ข่มขู่เด็กจนพอใจแล้ว ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจจะทำตัวมีเมตตาบ้าง
เขาพาเซิ่งวั่งเดินผ่านสวนดอกไม้ไปทางตึกหมิงหลี่ ขณะเดินผ่านกระดานประกาศเกียรติคุณ เด็กหนุ่มก็อดที่จะเหลือบมองหลายทีไม่ได้ เพราะว่า ‘รูปถ่ายติดบัตร’ สีหน้าไร้อารมณ์บนนั้นให้ความรู้สึกเหมือนป้ายประกาศจับเกินไป
เทสต์ด้านความสวยงามของโรงเรียนนี้ช่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเอาซะเลย เขาคิดในใจ
ทว่าหัวหน้าสวี่กลับเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย แสดงท่าทีราวกับนกกระจอกสยายปีกอยู่กับที่ เขากล่าวด้วยความภาคภูมิใจไม่น้อย “ถึงจำนวนผู้เข้าแข่งขันระดับชั้น ม.4 จะไม่เยอะนัก แต่พวกเราก็ทำผลงานได้ไม่เลวเลย คนส่วนมากบนกระดานนี้คือเพื่อนร่วมห้องที่เธอกำลังจะเจอ ลองทำความรู้จักล่วงหน้าหน่อยก็ได้”
เซิ่งวั่งเป็นพวกจำหน้าคนไม่เก่ง จึงไม่สนใจที่จะทำความรู้จักกับเพื่อนล่วงหน้าเท่าไหร่ เขาจำหน้าคนบนนั้นได้แค่คนเดียว
เหตุผลแรกเลยคือคนคนนี้โผล่มาบ่อยเกินไป แค่คนเดียวก็เกือบทำเอากระดานประกาศเกียรติคุณกลายเป็นเกมจับคู่ เหตุผลต่อมาคือเจ้าตัวสกุลเจียง ชื่อเต็ม ๆ คือ ‘เจียงเทียน’
ประเด็นอยู่ที่อย่างหลังนี่เอง
เด็กหนุ่มคิดว่าหากตัวเองเป็นฮ่องเต้ จะต้องเป็นทรราชที่ชอบสั่งประหารเจ็ดชั่วโคตรแน่นอน จะบอกว่าจิตใจคับแคบก็ได้ ช่วงนี้เห็นใครสกุลเจียงก็รู้สึกขัดหูขัดตาไปหมด
หัวหน้าสวี่ยืนชื่นชมกระดานนี้เป็นรอบที่ล้าน แต่จู่ ๆ ก็ยื่นหน้าชะโงกไปที่รูปของเจียงเทียน ก่อนจะใช้มือถูสองทีพร้อมกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “ใครบังอาจมาวาดหัวใจบนกระดานประกาศเกียรติคุณกัน ไม่รู้จักกฎระเบียบ!”
เซิ่งวั่งที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงอืออาเป็นการเสริม “คนวาดไม่ได้มีแค่คนเดียวด้วยนะครับ”
แม้ช่างภาพของโรงเรียนจะมีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ไปหน่อย แต่ก็ยังคงหลงเหลือคุณสมบัติบางอย่างของคนในรูปถ่ายเอาไว้บ้าง หากใช้คำพูดของหัวหน้าสวี่ก็คงบอกว่ามันคือใบหน้าที่หลอกเด็กสาวได้ละมั้ง แต่เซิ่งวั่งคิดว่าผู้ชายที่ดูเย็นชาสูงส่งแบบนี้มักจะเป็นพวกขี้เก๊ก
เขาภาวนาให้วันเวลาหลังจากนี้ยิ่งอยู่ไกลคนคนนี้ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี ไม่งั้นคงมีสักวันที่ทนไม่ไหวแล้วตีกันเข้า
ปรากฏว่าเพิ่งภาวนาได้ไม่ถึงห้านาที เขาก็ถูกจับให้นั่งข้าง ๆ ไอ้ขี้เก๊กตัวจริงเสียงจริงเสียแล้ว เหตุผลคือช่วงเริ่มต้นที่จะเรียนให้ทันอาจเหนื่อยหน่อย เพราะงั้นวิธีที่ดีที่สุดคือเมื่อมีข้อสงสัยก็ถามเพื่อนที่นั่งคู่กันยังไงล่ะ
หัวหน้าสวี่กล่าว “ลองกวาดตามองทั้งระดับชั้นแล้ว คาดว่าคงไม่มีใครเหมาะจะเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะเธอมากไปกว่าเจียงเทียนแล้วละ”
เพิ่งกล่าวประโยคข้างต้นจบ สายตาสี่สิบกว่าคู่ในห้องเรียนก็จ้องมาทางนี้ ทำเอาเขาหายใจแทบไม่ออก
เซิ่งวั่งได้แต่เหลือบมองลิงปากกว้างทีหนึ่ง ก่นด่าในใจว่าแม่งเอ๊ยไปด้วย
[1]หมายถึง นักเรียนชายหรือนักศึกษาชายหน้าตาดี หากเป็นนักเรียนหญิงหรือนักศึกษาหญิงจะเรียกว่าดอกไม้
[2] คำเปรียบเปรยในภาษาจีน มักจะกล่าวถึงคนที่หลงระเริงได้ใจว่าหางกระดิกขึ้นสูงแล้ว
[3] โรงเรียนมัธยมปลายที่จีนบางโรงเรียนจะมีการแบ่งสายโดยอิงจากคะแนนวิชาทางสายวิทย์-คณิตกับสายศิลป์ แล้วให้นักเรียนลองเรียนดูเทอมหนึ่ง จากนั้นค่อยให้นักเรียนตัดสินใจ
[4] ระบบนี้จะคล้ายคลึงกับระบบในมหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนทางฝั่งตะวันตก โดยนักเรียนจะสามารถเลือกเข้าเรียนในรายวิชาที่ตัวเองสนใจได้