某某
ใครบางคน
木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
Zolaida ภาพ
– โปรย –
เซิ่งวั่งย้ายกลับมาอยู่คฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลในตรอกไป๋หม่า
ทว่าผู้ที่ย้ายเข้ามาในเวลาเดียวกันยังมีผู้หญิงที่พ่อของเขากำลังคบหาอยู่ด้วย
และผู้เป็นพ่อก็ชี้ไปทางลูกชายของผู้หญิงคนนั้นแล้วสั่งว่า: เรียกพี่สิ
แล้วเรื่องราวระหว่าง เครื่องทำความเย็นจอมหยิ่งหัวแข็งผู้กินไม้อ่อนไม่กินไม้แข็ง
กับ คุณชายน้อยจอมขี้เกียจผู้คิดว่าตัวเองสูงส่งค่าตัวแพง ก็เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น
แต่มันไม่ง่ายเลย…เพราะเมื่อเวลาผ่านไปอะไรๆ ก็ยิ่งไม่เป็นอย่างที่คิดหวังไว้
เจียงเทียนไม่ใช่พี่ชายอีกแล้ว และก็ไม่ใช่แฟนอีกต่อไป วกไปวนมา
สุดท้ายก็กลับมาเป็นคนที่เซิ่งวั่งไม่รู้ว่าควรจะเรียกอะไรดี
กลับไปเป็น ‘ใครบางคน’ ที่เรียกออกปากไม่ได้อีกครั้ง
เซิ่งวั่ง: ฉันเป็นชายแท้แบบไม่หักไม่งอเลย (straight)
เจียงเทียน: ฉันเป็นโฮโมโฟบ (homophobia)
แท็กเนื้อหา: การเติบโตของช่วงวัยรุ่น (coming of age) ,
รักเดียวใจเดียว, การกลับมาพบพานกันใหม่หลังจากกันไป
1v1+he
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 10
ทันทีที่เถ้าแก่จ้าวเก็บมือถือแล้วเงยหน้าขึ้น เขาก็ได้ยินคนที่กินแล้วชักดาบพูดขึ้นอย่างจริงจัง “เถ้าแก่ฆ่าตัวประกันเลยเถอะ”
เถ้าแก่อารมณ์ดีขึ้น “ไม่ได้หรอก ฉันทำธุรกิจขนาดเล็ก ฆ่าตัวประกันทิ้งไม่ได้หรอกนะ”
เซิ่งวั่งเงยหน้าถอนหายใจเสียงดัง “เฮ้อ…” ก่อนจะกุมหัวนั่งยองลงกับพื้น
เขาไม่ชอบออกไปเจอแดดเท่าไหร่ ผิวกายจึงขาวไม่แพ้เจียงเทียน พอขึ้นสีเลือดฝาดก็มักเห็นชัดเป็นพิเศษ เถ้าแก่เห็นสีแดงก่ำที่ซ่านไปทั่วตั้งแต่หลังคอยันใบหูของเด็กหนุ่มก็ยิ่งอยากหัวเราะ “นี่ มันต้องขนาดนั้นเลยไหม”
เด็กหนุ่มหัวเราะแห้งทีหนึ่ง ตอบเสียงอู้อี้ “ผมหน้าบาง”
ดีนะเจ้าปูไม่ได้ยินประโยคนี้เข้า ไม่งั้นคงได้ถ่มน้ำลายอัดหน้าเขาอย่างแรงแน่นอน
ไม่มีใครสู้สุดหล่อคนนี้ยามหน้าหนาได้ ในสถานการณ์ที่จำเป็น เขาสามารถทำตัวไร้เหตุผลโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าได้ ดังนั้นการประดับคำว่า ‘หน้าบาง’ เอาไว้บนใบหน้าจึงถือเป็นเรื่องหน้าไม่อายสิ้นดี ทว่าสองวันมานี้อาการกระอักกระอ่วนเกิดขึ้นถี่จริง ๆ
คิดไปคิดมาก็ต้องโทษเจียงเทียน
เวลากว่าสิบนาทีนั้นยาวนานราวกับหนึ่งศตวรรษ เถ้าแก่จ้าวเตะรองเท้าเขาแล้วบอก “ลุกขึ้น คนจ่ายค่าไถ่มาแล้วนั่น”
พอเซิ่งวั่งได้ยินก็ลุกขึ้นยืนทันที
เขาชะโงกมอง เห็นเจียงเทียนเดินเลี้ยวเข้ามาจากทางเดินเล็ก ๆ ตรง ‘สวนฝึกตน’ ประตูกระจกอัตโนมัติเปิดออกพร้อมเสียงติ๊งต่อง เซิ่งวั่งยืนพิงเคาน์เตอร์พลางหลุบตาลง ทำตัวนิ่งขรึม สีเลือดฝาดบนลำคอกับใบหูจางลงตั้งแต่ตอนเขาลุกขึ้นยืน นับว่าเนียนไม่เลว
“นายนี่มัน” เขาได้ยินเสียงเจียงเทียนกล่าวขึ้น
เซิ่งวั่งเงยหน้ามองอีกฝ่ายพร้อมหัวเราะเสียงแห้ง “ตอนออกมารีบเกินไป คิดไม่ถึงว่าจะลืมมือถือกับสมองเอาไว้ในห้องเรียน”
เขายึดถือหลักการ ‘ขอแค่สำนึกผิดเร็วพอก็จะไม่มีคนด่าฉันได้’ บวกกับใบหน้าที่ชวนลุ่มหลงเป็นอย่างยิ่งนี้ หลายปีที่ผ่านมาจึงยังไม่เคยล้มเหลวมาก่อน
ทว่าใครจะไปรู้ว่าเจียงเทียนไม่หลงกล พอฟังคำเย้ยหยันตัวเองอย่างจริงจังของเขาจบ เจียงเทียนก็กล่าวเสียงดุ “ฉันก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าตัวเองจะต้องรับผิดชอบรับส่งคนอื่นมากินข้าวด้วย”
เซิ่งวั่ง “…”
เซิ่งวั่งอ้าปาก อยากเถียงกลับไป แต่เห็นเจียงเทียนเดินผ่านเขาไปสแกนคิวอาร์โค้ดจ่ายเงินตรงเคาน์เตอร์เสียก่อน อีกฝ่ายยังคงสวมแจ็กเก็ตนักเรียน แขนเสื้อถกขึ้นสูงกว่าเดิม ทำให้แขนดูยาวเรียว
เถ้าแก่จ้าวถามเขา “เอาอะไรอีกไหม”
เด็กหนุ่มปรายตามองเซิ่งวั่ง
เซิ่งวั่ง “…?”
อีกฝ่ายสูงกว่าเซิ่งวั่งเล็กน้อย ตอนนั่งในห้องเรียนไม่รู้สึก แต่ยามยืนใกล้กันแบบนี้ โดยเฉพาะตอนที่เจ้าตัวปรายหางตามามองนั้น ส่วนสูงที่ต่างกันไม่กี่เซนติเมตรกลับชัดเจนมากขึ้นเป็นพิเศษ
เจียงเทียนดูใกล้จะหมดความอดทนเต็มที “ถามนายว่าเอาอะไรอีกไหม”
เซิ่งวั่งครุ่นคิดก่อนจะเคลื่อนตัวไปยังตู้แช่ข้าง ๆ แล้วคว้าน้ำสองขวดมาวางบนเคาน์เตอร์อย่างนอบน้อม “ขอบคุณ”
เจียงเทียน “…”
มินิมาร์ทสี่เล่ออยู่ไกลจากตึกเรียนพวกเขาไม่น้อย ต้องใช้เวลาเดินสิบนาที เจียงเทียนมองเวลาก่อนจะหย่อนมือถือกลับลงกระเป๋าเสื้อ จังหวะฝีเท้าไม่ช้าไม่เร็ว
ตอนนั้นเซิ่งวั่งไม่รู้ตัว เขาจึงเดินไปทางตึกหมิงหลี่อย่างไม่เร่งรีบ
ปรากฏว่าพอเข้าห้องเรียนก็ปะทะเข้ากับสายตาของอาจารย์สอนคณิต
อาจารย์สอนคณิตแซ่อู๋ คนเดียวกันกับชายวัยกลางคนหัวล้านกลางศีรษะที่เรียกเจียงเทียนไปคุยคราวก่อน
เวลาพักเที่ยงของชั้น ม.5 โรงเรียนพวกเขาคือหนึ่งชั่วโมงสามสิบนาที…ครึ่งชั่วโมงแรกกินข้าว ครึ่งชั่วโมงหลังนอนกลางวัน ส่วนครึ่งชั่วโมงตรงกลางเป็นของอาจารย์อู๋ เขามักจะมาแจกโจทย์แบบฝึกหัดตอนกลางวัน ให้ฝึกทำโจทย์คณิตเพิ่มเติมและเก็บภายในสามสิบนาที
เหล่าอู๋มองนาฬิกาแขวนผนังในห้องเรียนก่อนถามเซิ่งวั่ง “เหลืออีกสิบห้านาที เธอตั้งใจจะยืนประท้วงตรงนี้หรือไง”
“ฉิบ ลืมไปเลย” เซิ่งวั่งเผยสีหน้าตกใจ หลุดปากอุทานโดยไม่รู้ตัว
“ฉิบ จะลืมไม่ลืมฉันไม่รู้หรอก รู้แค่ว่าเธอน่าจะทำแบบฝึกหัดไม่ทันแล้ว” เวลาเหล่าอู๋พูดมักติดสำเนียง แต่ละประโยคราวกับการร้องงิ้วเสียงยาน นอกจากนี้อีกฝ่ายยังชี้ไปทางเซิ่งวั่ง ภาพกับเสียงที่เห็นเรียกได้ว่าสุด ๆ
ทั้งห้องหัวเราะกันครืน
เซิ่งวั่งถือน้ำมือหนึ่ง อีกมือก็บังหน้า ก่อนจะล้มลุกคลุกคลานกลับที่นั่ง ไอ้เวรเจียงเทียนนั่นเดินตามหลังเขาอย่างไม่รีบเร่ง
“นายตั้งใจใช่ไหม” พอนั่งลงได้เขาก็หันไปถลึงตาใส่อีกฝ่ายทันที
ท่ามกลางสายตาบีบคั้นของเขา เจียงเทียนใช้ปากกาชี้ขึ้นด้านบน
เด็กหนุ่มมองตามปลายปากกา เข็มนาฬิกาเดินผ่านไปแล้วสองช่องเล็ก เหลือเวลาอีกสิบสามนาที
แม่งเอ๊ย
แม้ลายมือของนักเรียนเซิ่งจะย่ำแย่ แต่ก็เขียนได้รวดเร็ว กระนั้นวิชาคณิตก็ไม่ใช่การเขียนบทความ เขายุ่งหัวหมุน สุดท้ายก็ทำแบบฝึกหัดไปได้แค่ครึ่งเดียว
เมื่อออดดังขึ้น เหล่าอู๋ก็ปรบมือให้วางปากกา และสั่งให้นักเรียนคนสุดท้ายของแถวเก็บแบบฝึกหัด
เจียงเทียนถือกระดาษของตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าเซิ่งวั่ง คอยอีกฝ่ายอยู่ห้าวินาที มองเจ้าตัวดิ้นรนก่อนตาย เขียนตัวเลขตัวสุดท้ายของข้อนั้นจนเสร็จ จากนั้นก็ดึงกระดาษไปอย่างไม่ปรานี
“เดี๋ยวก่อน” เซิ่งวั่งกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เจียงเทียนชะงักฝีเท้าเล็กน้อย นึกว่าอีกฝ่ายมีเรื่องจริงจังอะไร ปรากฏว่าเจ้าเด็กนี่เอื้อมมาคว้ากระดาษข้อสอบของเขาพร้อมกับพึมพำ “เพื่อแกล้งฉันแล้ว นายนี่มันใจเด็ดจริง ๆ ฆ่าศัตรูได้พัน แต่เสียหายแปดร้อย[1]งี้ ไหนดูซิ ในสิบสามนาทีนายจะตอบได้สักกี่ข้อเชียว”
ผลลัพธ์ของการเช็กนั้นชวนสิ้นหวัง ไอ้โรคจิตเจียงเทียนทำเสร็จหมดทุกข้อ
“นายโกงใช่ไหม” เซิ่งวั่งอดพูดขึ้นไม่ได้
อาจเป็นเพราะสีหน้าของเขาดูตกใจเกินไป เจียงเทียนที่ถือกระดาษคำตอบของเกาเทียนหยางจึงหลุดยิ้มออกมา แต่เพียงแค่แวบเดียว จึงยากที่จะดูออกว่าเป็นการหัวเราะเยาะหรือไม่
เมื่อเหล่าอู๋ทรมานพวกไก่อ่อนสำเร็จอีกครั้ง เขาก็ถือกระดาษแบบฝึกหัดออกไปอย่างพึงพอใจ
เด็กนักเรียนที่เหลือเก็บกระดาษปากกาบนโต๊ะจนสะอาดเกลี้ยง และทยอยกันฟุบลงกับโต๊ะเตรียมหลับ พวกเขาคุ้นชินกับการแบ่งเวลาแบบนี้มานานแล้ว เรียกได้ว่ากลายเป็นนาฬิกาชีวิตเลยก็ว่าได้ บางคนเพิ่งฟุบลงไปก็เริ่มกรนเสียงเบาเลยก็มี
เซิ่งวั่งหันไปเคาะโต๊ะข้างหลัง กระซิบเสียงแผ่วเบา
เจียงเทียนเพิ่งยัดกระเป๋าดินสอใส่ใต้โต๊ะ พอได้ยินเสียงก็ช้อนตาขึ้นมองพร้อมถามเสียงต่ำ “อะไรอีก”
“ขอวีแชทหน่อย” เซิ่งวั่งพูดเสียงเบา
เจียงเทียน “…?”
“คืนตังค์” เซิ่งวั่งรีบอธิบาย แล้วชะงักไปครู่หนึ่งก่อนพูดเสริม “ไม่งั้นเอาไอดีอาลีเพย์มาก็ได้ นายเลือกสักอัน เร็วดิ”
เจียงเทียนมองมืออีกฝ่ายที่แบออกโดยไม่พูดอะไร คล้ายกับกำลังครุ่นคิดว่าให้อันไหนจะเหมาะสมกว่า
ไม่ว่าการรอคอยจะเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด ก็มักทำให้คนรอรู้สึกตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ได้เสมอ มือของเซิ่งวั่งกางรออยู่บนโต๊ะของอีกฝ่ายได้สักพักแล้ว ชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วนชอบกล
เด็กหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาก่อนจะขยับนิ้วไปมาเป็นการเร่ง “เร็วดิ ฉันยังต้องนอนนะ”
เจียงเทียนหยิบปากกาออกมาเขียนตัวเลขชุดหนึ่งลงบนโพสต์-อิท ก่อนจะแปะมันไว้ที่กลางฝ่ามือเขา
เซิ่งวั่งจิ๊ปากก่อนจะงึมงำ “เหนียวมือฉันเนี่ย”
เขาหันกลับมาแกะโพสต์-อิทออก ตัวเลขชุดนั้นเป็นเบอร์โทรศัพท์ ใช้แอดได้ทั้งวีแชททั้งอาลีเพย์
เซิ่งวั่งเบ้ปากเล็กน้อย เขาฟุบลงตามเพื่อนร่วมห้องคนอื่น หน้าผากฟุบกับโต๊ะ ส่วนมือสองข้างแอบเล่นมือถือที่ใต้โต๊ะ
เขาลังเลระหว่างสองแอปอยู่สักพัก สุดท้ายก็เปิดวีแชทแล้วเสิร์ชเบอร์โทรศัพท์ชุดนั้น
วินาทีต่อมาบนหน้าจอก็ปรากฏผลลัพธ์จากการค้นหา
ชื่อเล่นวีแชทของอีกฝ่ายเป็นแค่จุดจุดเดียว สัมผัสได้ถึงความเย็นชาและการตั้งแค่พอเป็นพิธี ดูก็รู้เลยว่าเป็นเจียงเทียนไม่ผิดแน่ ทว่ารูปโปรไฟล์ของอีกฝ่ายกลับไม่ได้ให้ความรู้สึกเย็นชาขนาดนั้น มันเป็นรูปแมวตัวหนึ่งที่กำลังเกาะกำแพงมองลงมา
เซิ่งวั่งเลิกคิ้วและกดเพิ่มเป็นเพื่อน
เขารออยู่ประมาณสองนาที ฝ่ายตรงข้ามก็ยังไม่ได้ตอบรับคำขอเพิ่มเพื่อนกลับมา จึงอดหันไปมองไม่ได้ ไอ้เวรนั่นฟุบหลับกับโต๊ะไปแล้ว
เจียงเทียนนอนหลับในท่าประจำ นั่นคืออ้อมมือขวาไปกุมหลังศีรษะเอาไว้ เรียวนิ้วโค้งอย่างเป็นธรรมชาติวางอยู่บนหลังคอ
เพื่อนร่วมห้องนอนหลับกันไปแล้วกว่าครึ่ง คนที่ยังไม่หลับก็มีสติสัมปชัญญะเลือนราง เสียงหายใจกับเสียงกรนดังสลับกัน ปะปนกับเสียงหึ่ง ๆ แผ่วเบาของแอร์ในห้องเรียน แม้จะไม่ถึงกับเงียบสงัดไร้เสียง แต่ก็สงบยิ่งกว่าสิ่งใด
สภาพแวดล้อมเงียบเชียบแบบนี้ชวนให้คนตกอยู่ในภวังค์ได้ง่าย เซิ่งวั่งเหม่อมองนิ้วมือของเจียงเทียนอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพบว่าตรงหลังคออีกฝ่ายมีแผลเป็นอยู่จุดหนึ่ง
นั่นคงจะเป็นร่องรอยที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว รอยแผลเป็นปื้นวงกลม ผิวหนังส่วนนั้นไม่เรียบเนียน คล้ายกับถูกอะไรบางอย่างลวก นิ้วของเจ้าตัวทาบปิดอยู่ตรงส่วนนั้นพอดี
เซิ่งวั่งนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะดึงสายตากลับมา
เขาซบหน้าผากกับโต๊ะอีกครั้ง เล่นมือถือได้อีกสักพักก็กดเปิดแอปอาลีเพย์ขึ้นมา กรอกเบอร์โทร.ของเจียงเทียนอีกครั้ง ก่อนจะโอนเงินค่าข้าวกับน้ำสองขวดไปให้อีกฝ่าย
ทันทีที่โอนเสร็จ ใต้โต๊ะด้านหลังก็มีเสียงสั่นดังขึ้นทีหนึ่ง
เซิ่งวั่ง “…”
เด็กหนุ่มหันศีรษะไปอย่างเกร็ง ๆ พอเห็นว่าเจียงเทียนไม่ได้ตื่นขึ้นมาก็โล่งอกไปหนึ่งเปลาะ เขาดึงน้ำขวดหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะแล้ววางไว้ตรงข้างมือเจียงเทียน จากนั้นก็ค่อย ๆ ฟุบกลับลงไปที่โต๊ะพร้อมสบถด่าแอปหน้าโง่เสียงเบา
ไม่รู้ด้วยสาเหตุใด ตลอดช่วงเวลาที่เหลือของวัน รอยแผลเป็นปื้นนั้นของเจียงเทียนจึงเอาแต่แวบไปมาในหัวของเซิ่งวั่งไม่หยุด ทั้ง ๆ ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเองเลยแท้ ๆ
จนกระทั่งนอนลงบนเตียงหลังใหญ่ภายในห้องนอนแล้ว ภาพนั้นจึงถูกอย่างอื่นไล่ออกไปได้ชั่วขณะ…
ขณะนั้นเขาถือโทรศัพท์ไว้ในมือ คิดจะใช้เวลาก่อนนอนเล่นเกมสักตา ทว่ามือถือกลับสั่นขึ้นมา นิ้วมือเขารู้สึกชาเล็กน้อย
ในนั้นแจ้งเตือนว่าวีแชทมีข้อความใหม่
ดึกดื่นตีสองกว่าแล้ว ผีตัวไหนไม่หลับไม่นอนแล้วส่งข้อความมาหาเขากัน เจ้าปูก็ไม่ได้นอนดึกแบบนี้นี่?
เซิ่งวั่งกดเปิดวีแชทดูด้วยความสงสัย แล้วพบว่าแจ้งเตือนนั้นไม่ใช่เพราะว่ามีคนทักหาเขา แต่เป็นเพราะว่ามีใครบางคนตอบรับการเพิ่มเพื่อนของเขาต่างหาก
ที่บนสุดของหน้าแชทมีคนเพิ่มมาใหม่คนหนึ่ง หน้าจอแสดงข้อความว่า : ‘คุณกับ . ได้เป็นเพื่อนกันแล้ว สามารถเริ่มบทสนทนาได้’
[1] สำนวนจีน หมายถึง หากคนเรางัดไม้แข็งเข้าสู้กับศัตรูแล้ว ผู้ที่เสียหายจะไม่ใช่แค่ฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นทั้งสองฝ่าย