[ทดลองอ่าน] ใครบางคน บทที่ 11

某某
ใครบางคน

木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
Zolaida ภาพ

– โปรย –

เซิ่งวั่งย้ายกลับมาอยู่คฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลในตรอกไป๋หม่า
ทว่าผู้ที่ย้ายเข้ามาในเวลาเดียวกันยังมีผู้หญิงที่พ่อของเขากำลังคบหาอยู่ด้วย
และผู้เป็นพ่อก็ชี้ไปทางลูกชายของผู้หญิงคนนั้นแล้วสั่งว่า: เรียกพี่สิ
แล้วเรื่องราวระหว่าง เครื่องทำความเย็นจอมหยิ่งหัวแข็งผู้กินไม้อ่อนไม่กินไม้แข็ง
กับ คุณชายน้อยจอมขี้เกียจผู้คิดว่าตัวเองสูงส่งค่าตัวแพง ก็เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น
แต่มันไม่ง่ายเลย…เพราะเมื่อเวลาผ่านไปอะไรๆ ก็ยิ่งไม่เป็นอย่างที่คิดหวังไว้

เจียงเทียนไม่ใช่พี่ชายอีกแล้ว และก็ไม่ใช่แฟนอีกต่อไป วกไปวนมา
สุดท้ายก็กลับมาเป็นคนที่เซิ่งวั่งไม่รู้ว่าควรจะเรียกอะไรดี
กลับไปเป็น ‘ใครบางคน’ ที่เรียกออกปากไม่ได้อีกครั้ง

เซิ่งวั่ง: ฉันเป็นชายแท้แบบไม่หักไม่งอเลย (straight)
เจียงเทียน: ฉันเป็นโฮโมโฟบ (homophobia)

แท็กเนื้อหา: การเติบโตของช่วงวัยรุ่น (coming of age) ,
รักเดียวใจเดียว, การกลับมาพบพานกันใหม่หลังจากกันไป

1v1+he

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

บทที่ 11

 

เซิ่งวั่งเป็นคนที่ไม่ชอบคุยแชทเท่าไหร่ เพราะว่าการพิมพ์เป็นเรื่องที่แสนจะยุ่งยาก

อย่างแจ้งเตือน ‘เพิ่มเพื่อนสำเร็จ’ แบบนี้ เขาไม่แม้แต่จะเปิดดูด้วยซ้ำ และก็คงไม่มีทางส่งข้อความไปเป็นการ ‘เริ่มบทสนทนา’ ด้วย

คนที่สนิทกันจริงมักจะไม่ค่อยสนใจพิธีรีตองอะไรพวกนี้หรอก ส่วนพวกคนที่ไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่ ขอแค่เริ่มเปิดแชทได้เท่านั้นแหละ หลังจากนั้นก็…

ต้องวอร์มสนามด้วยการส่งสติกเกอร์ไปก่อนสองตัว ตามด้วยการเอ่ยทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ก่อนจะพยายามชวนคุยนั่นนี่เพื่อให้ดูสนิทสนมทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรจะคุยด้วยซ้ำ พอชวนคุยจนแห้งซะจนไม่มีอะไรจะแห้งกว่านี้แล้วก็ยังต้องส่งสติกเกอร์ไปอีกสองตัวถึงจะสามารถออกจากแชทไปอย่างนับว่ามีมารยาทได้

ตลอดทั้งขั้นตอนนี้ อย่างต่ำก็ต้องใช้เวลาสิบถึงยี่สิบกว่านาที มากสุดก็ต้องใช้เวลาถึงครึ่งค่อนวัน เขาเคยเห็นเคสจากเซิ่งหมิงหยางมาเยอะ แค่ดูอย่างเดียวยังเหนื่อยเลย

ตอนนี้เป็นเวลาตีสองยี่สิบสามนาทีของเวลาปักกิ่ง ไอ้เวรนั่นกลับเลือกที่จะชวนคุยแห้ง ๆ ในเวลานี้

เซิ่งวั่งคิดเช่นนั้นแล้วก็ปัดหน้าแจ้งเตือนวีแชททิ้ง จากนั้นก็กลับสู่หน้าเกม บางทีอาจเป็นเพราะถูกขัดจังหวะฟีลลิ่งที่กำลังมา หรือบางทีอาจเป็นเพราะง่วง เขาจึงเล่นได้แค่สามนาทีก็เลิก

เด็กหนุ่มหมดอารมณ์จะเล่นต่อ แต่ก็ยังไม่อยากวางมือถือลงในทันที เขาเปลี่ยนหน้าแอปไปมาอย่างเบื่อหน่ายราวกับฮ่องเต้ที่กำลังเสด็จตรวจเมือง หลังจากท่องแอปที่ใช้บ่อยไปหมดรอบหนึ่งก็กลับมาที่วีแชทโดยไม่รู้ตัว

คุณจุดที่อยู่ข้างห้องคนนั้นยังครองตำแหน่งบนสุดของหน้าแชท แต่พอกดเข้าไปกลับว่างเปล่าไม่มีอะไร

ฮ่องเต้นอนคลุมโปงกัดริมฝีปาก ครุ่นคิดชั่วครู่ก็ยื่นนิ้วไปกดเปิดหน้าสติกเกอร์ เลือกอยู่สักพักก็หาที่เหมาะสมไม่ได้สักที สุดท้ายจึงปิดช่องสติกเกอร์ลงอย่างหมดอารมณ์แล้วเปลี่ยนไปกดตรงรูปโปรไฟล์แทน

ข้อมูลส่วนตัวของเจียงเทียนแสนจะเรียบง่าย ชื่อเล่นมีแค่เครื่องหมายหนึ่งตัว ไอดีวีแชทยังเป็นแบบสุ่มที่ให้มาแต่แรก ในโมเมนต์วีแชทก็ไม่เคยโพสต์เลยสักครั้ง

เรียบง่ายอย่างกับแอ็กร้าง มองแค่ปราดเดียวก็ทั่วแล้ว น่าเบื่อชะมัด

ฮ่องเต้หาวออกมาทีหนึ่ง ขณะที่กำลังจะล็อกหน้าจอเตรียมเข้านอนนั้น มือถือก็สั่นขึ้นมาฉับพลัน แจ้งเตือนเด้งขึ้นมาว่า : ‘. ทำรายการโอนเงินให้คุณ’

เซิ่งวั่ง “???”

ความง่วงงุนหายเป็นปลิดทิ้ง เซิ่งวั่งกดเปิดอาลีเพย์ เขาไม่ได้ตาฝาด กลางค่ำกลางคืน คุณคนข้างห้องยังไม่นอน และโอนเงินมาให้เขาจริง ๆ

เขาผุดลุกขึ้นนั่ง สายตาจ้องเขม็งไปทางผนังห้องที่ใช้ร่วมกันอยู่หลายวินาที ก่อนจะเปิดวีแชทขึ้นมา

กระป๋อง : อะไรของนาย

ข้างห้องมีเสียงลากรองเท้าเดินไปมาดังขึ้น น่าจะกำลังเดินจากข้างโต๊ะมายังริมเตียง

มือถือของเซิ่งวั่งสั่นอีกครั้ง มีข้อความเพิ่มขึ้นมาในช่องแชท

. : ?

กระป๋อง : ดึกดื่นไม่นอน จู่ ๆ มาโอนเงินให้ฉันทำไม

. : ค่าน้ำ

กระป๋อง : ค่าน้ำอะไร

เซิ่งวั่งนึกไม่ออกไปชั่วขณะ เขาจ้องผนังด้วยความงุนงง เสียงฝีเท้าจากข้างห้องหยุดลง ไม่รู้ว่าเจียงเทียนกำลังหยุดอ่านข้อความอยู่กับที่หรือแค่รู้สึกหมดคำจะพูดกันแน่

. : น้ำที่นายวางบนโต๊ะฉัน

เซิ่งวั่งพิมพ์ลงในช่องแชท : แค่น้ำขวดเดียว ต้องคืนเงินกันด้วยเหรอ ฉัน…

ข้อความตอบกลับที่ถูกพิมพ์ได้แค่ครึ่งเดียวหยุดชะงัก จู่ ๆ เขาก็ตระหนักว่าที่จริงแล้วตัวเองกับเจียงเทียนไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ที่โรงเรียน พวกเขาเพิ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องกันได้แค่สี่วัน สามวันแรกไม่เคยแม้แต่จะมองฝ่ายตรงข้ามเต็มตาด้วยซ้ำ ส่วนตอนอยู่บ้านก็…ชวนอึดอัดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ไม่ว่าจะพูดในแง่ไหน พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่รู้ใจจนเลี้ยงน้ำเลี้ยงขนมกันได้ การคืนเงินจึงถือเป็นเรื่องปกติ

เด็กหนุ่มลบตัวหนังสือที่พิมพ์เสร็จทิ้ง แล้วตอบ : อ้อ

จากนั้นเขาก็เห็นด้านบนสุดของช่องแชทอีกฝ่ายขึ้นว่า ‘คู่สนทนากำลังพิมพ์…’ เขาเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิ ศอกเท้าบนเข่ารอ

อีกฝ่ายพิมพ์อยู่สิบกว่าวินาทีได้ สถานะนี้ถึงหายไป ทว่าในหน้าแชทกลับไร้ซึ่งข้อความตอบกลับอันใหม่

กระป๋อง : ?

. : ?

เซิ่งวั่งจ้องเครื่องหมายคำถามทั้งสองอันจนรู้สึกว่าตัวเองอาจเป็นบ้า แต่เจ้าคนที่อยู่ห้องข้าง ๆ นั่นก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไหร่ เขากลอกตามองบนก่อนจะพิมพ์ทีละตัว : เอาเหอะ ไม่มีอะไร นอนละ

ด้านบนของหน้าแชทปรากฏข้อความ ‘คู่สนทนากำลังพิมพ์…’ อีกครั้ง

เด็กหนุ่มคิดในใจ ถ้านั่งพิมพ์อยู่ครึ่งค่อนวันแล้วไม่ส่งมาสักข้อความ ฉันจะไปเคาะห้องนายแน่

ผ่านไปอีกหลายวินาที ในที่สุดบนหน้าแชทก็มีข้อความใหม่เด้งขึ้นมา

. : อืม

เซิ่งวั่งอยากอัดคน

เขาปรับอุณหภูมิแอร์ให้ต่ำลงอีกสามองศาเพื่อดับความหงุดหงิด ก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วไถมือถือทำตัวเป็นฮ่องเต้เสด็จออกตรวจเมืองอีกครั้ง ตอนที่ไถไปจนเกือบหลับ ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว กดเข้าไปที่หน้าข้อมูลส่วนตัวของคนที่อยู่ข้างห้องแล้วเปลี่ยนชื่อเจ้าตัวเป็น ‘เจียงเทียน’

ตอนเจ้าหมอนั่นใช้เครื่องหมายจุดมาแชทด้วยนี่มันน่าต่อยยิ่งกว่าตอนเจ้าตัวพูดจาปกติกับเขาร้อยเท่า

 

เช้าวันต่อมา เซิ่งวั่งถูกปลุกด้วยความหนาวล้วน ๆ

จากการที่นอนตากแอร์สิบแปดองศามาตลอดทั้งคืน คุณชายน้อยรู้สึกปวดหัวตุบ ๆ ซ้ำยังคัดจมูก เขาจามออกมาติดต่อกันสี่ครั้ง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ปลายจมูกแดงระเรื่อ เด็กหนุ่มนั่งเหม่อห่อตัวในผ้าห่มอยู่บนเตียงได้ห้านาที ปากก็สบถด่าใส่ผนังข้างห้องไปยกหนึ่ง

เขาสวมชุดนักเรียนเป็นอันดับแรกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน มือกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกแสบแก้วหูของโทรศัพท์ พร้อมกับดึงทิชชูสองแผ่นแล้วเดินลงไปด้านล่าง

ธุรกิจของเซิ่งหมิงหยางเกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อยจึงยังไม่กลับมาจากการบินไปดูงาน ทว่าในบ้านกลับครื้นเครงตั้งแต่เช้าตรู่

เซิ่งวั่งชะโงกศีรษะมองลงไปจากชั้นบน…

วันนี้ป้าแม่บ้านซุนมาถึงแต่เช้า สวมถุงมือเดินตามหลังเจียงโอวเข้า ๆ ออก ๆ ห้องครัว ปากก็พูดคุยกันเป็นครั้งคราว เซิ่งวั่งยืนฟังอยู่สองสามประโยค เหมือนว่าป้าซุนกำลังสอนเจียงโอวทำอะไรสักอย่างอยู่

เจียงเทียนยืนอยู่ข้างโซฟา กำลังยัดแบบฝึกหัดกับกล่องดินสอลงในกระเป๋านักเรียน

เซิ่งวั่งกำลังจะย่างเท้าลงบันไดก็ได้ยินเสียงบางสิ่งบางอย่างแตกเพล้งดังมาจากห้องครัวเสียก่อน ตามมาด้วยเสียงสูดปากเบา ๆ ของเจียงโอว

“ว้าย ตายแล้ว รีบล้างน้ำเย็นเร็วเข้าค่ะ” เสียงของป้าซุนดังขึ้น “มันร้อนมากเลยนะคะ คุณล้างน้ำไปก่อน เดี๋ยวป้าไปหยิบยามาให้ค่ะ”

เจียงเทียนวางกระเป๋าลง ก่อนสาวเท้ายาวๆ เข้าห้องครัว จากมุมที่เซิ่งวั่งอยู่ มองเห็นเพียงแค่แผ่นหลังครึ่งเดียวของอีกฝ่ายเท่านั้น

เขาได้ยินเจียงเทียนถามขึ้น “พองหรือเปล่า”

เจียงโอวกล่าวยิ้ม ๆ “ไม่ถึงขนาดนั้นจ้ะ แค่ไม่ระวังน่ะ แม่ไม่เคยทำเมนูนี้มาก่อน เมื่อกี้ป้าซุนยังเตือนว่าอย่าใช้มือเปล่าแตะอยู่เลย แม่เหม่อไปหน่อยเลยลืมน่ะจ้ะ”

“อยู่ ๆ มาอบนี่ทำไม” เจียงเทียนถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“ไม่ได้อยู่ ๆ หรอกค่ะ ก่อนหน้านี้บังเอิญคุยกับแม่ของคุณว่าเสี่ยววั่งชอบกินเมนูนี้เป็นพิเศษ หมายถึงเมื่อก่อนน่ะนะ…” ป้าซุนรีบถือยากระปุกเล็กเข้ามา “มาค่ะ ทานี่สักหน่อย ยาอันนี้ดีมาก ป้าพกติดตัวไว้ตลอด ทาตรงที่โดนลวกเดี๋ยวก็หายแล้วละ”

เธอทายาให้เจียงโอวไปพลางพูดเสียงเบา “สมัยเด็กแม่ของเสี่ยววั่งทำให้เขากินบ่อย ๆ น่ะค่ะ คุณโอวเลยบอกว่าอยากลองทำบ้าง”

เจียงโอวเคอะเขินเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ฉันไม่ค่อยถนัดเมนูแบบนี้เท่าไหร่ ทำยากนะคะเนี่ย”

เซิ่งวั่งชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวลงบันได ชักเท้ากลับมาแล้วยืนเหม่อ ความรู้สึกในชั่วขณะนั้นซับซ้อนผสมปนเปกันไปหมด พูดไม่ออกว่ากำลังรู้สึกแบบไหนอยู่กันแน่

ประตูห้องนอนด้านหลังเปิดอ้าซ่า ไอเย็นจากตลอดทั้งคืนลอยละล่องออกมาห้อมล้อมตัวเขาจากด้านหลัง เด็กหนุ่มพลันเกิดความรู้สึกวูบโหวงขึ้นเล็กน้อย

ทันใดนั้นเสียงของเจียงเทียนก็ดังขึ้นจากด้านล่าง “ทำไมต้องเลียนแบบคนอื่นด้วย”

ไม่รู้ว่าคำพูดของป้าซุนไปแทงใจดำส่วนไหนเข้า น้ำเสียงของเจ้าตัวจึงฟังดูทั้งเย็นยะเยือกและแข็งกระด้าง

เจียงโอวอึ้งไป “หา?”

“หมายถึง…” คิ้วของเจียงเทียนขมวดเข้าหากันแน่น ไหล่กับแผ่นหลังเกร็ง แค่เห็นแผ่นหลังยังรับรู้ได้ว่าเจ้าตัวไม่พอใจแค่ไหน

พูดได้แค่นั้นเจ้าตัวก็หยุด ทว่ามือที่อยู่ข้างลำตัวกำเข้าหากันจนเกิดเสียงดัง ‘กึก’ เผยแววหงุดหงิดงุ่นง่านออกมาบางส่วน

ผ่านไปอีกสักพักเขาถึงพูดต่อ “ช่างมันเถอะ ผมไปโรงเรียนก่อนนะครับ”

เจียงโอวตบไหล่ลูกชายอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหันไปกะพริบตาใส่ป้าซุนเป็นการคลายบรรยากาศชวนอึดอัด

เจียงเทียนหลุบตาลง สาวเท้ายาว ๆ ไปที่โซฟา ก่อนจะหิ้วกระเป๋าขึ้นมาแล้วเดินตรงไปทางประตูบ้าน

ขณะที่กำลังใส่รองเท้า หางตาของเขาเหลือบเห็นตรงบันได มือที่ผูกเชือกรองเท้าจึงชะงักไปเล็กน้อย

เซิ่งวั่งที่สวมเสื้อแจ็กเก็ตนักเรียนยืนอยู่ตรงนั้น แจ็กเก็ตนักเรียนตัวใหญ่คลุมทับเสื้อยืดสีขาว แขนเสื้อถูกถกจนพับย่น ขับเน้นร่างสูงเพรียวของเด็กหนุ่มช่วงกำลังเจริญวัยได้เป็นอย่างดี

เจียงเทียนช้อนตาขึ้นมองอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งก็ดึงสายตากลับมา ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง

วินาทีต่อมา เขาลุกขึ้นเดินสะพายกระเป๋าออกจากประตูไป

เดือนสิงหาคมของเมืองนี้มีอากาศอึมครึม เอาแน่เอานอนไม่ได้ ฟ้าแลบเพียงไม่กี่ทีก็อาจมีฝนตกลงมาห่าใหญ่ เซิ่งวั่งได้ยินเสียงฟ้าร้องแว่วดังมาจากนอกบ้าน เขาถูปลายจมูกพลางเดินลงบันได รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังจะป่วยอีกแล้ว

 

 

 

แล้วพบกันในเล่มนะคะ 🙂

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า