某某
ใครบางคน
木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
Zolaida ภาพ
– โปรย –
เซิ่งวั่งย้ายกลับมาอยู่คฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลในตรอกไป๋หม่า
ทว่าผู้ที่ย้ายเข้ามาในเวลาเดียวกันยังมีผู้หญิงที่พ่อของเขากำลังคบหาอยู่ด้วย
และผู้เป็นพ่อก็ชี้ไปทางลูกชายของผู้หญิงคนนั้นแล้วสั่งว่า: เรียกพี่สิ
แล้วเรื่องราวระหว่าง เครื่องทำความเย็นจอมหยิ่งหัวแข็งผู้กินไม้อ่อนไม่กินไม้แข็ง
กับ คุณชายน้อยจอมขี้เกียจผู้คิดว่าตัวเองสูงส่งค่าตัวแพง ก็เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น
แต่มันไม่ง่ายเลย…เพราะเมื่อเวลาผ่านไปอะไรๆ ก็ยิ่งไม่เป็นอย่างที่คิดหวังไว้
เจียงเทียนไม่ใช่พี่ชายอีกแล้ว และก็ไม่ใช่แฟนอีกต่อไป วกไปวนมา
สุดท้ายก็กลับมาเป็นคนที่เซิ่งวั่งไม่รู้ว่าควรจะเรียกอะไรดี
กลับไปเป็น ‘ใครบางคน’ ที่เรียกออกปากไม่ได้อีกครั้ง
เซิ่งวั่ง: ฉันเป็นชายแท้แบบไม่หักไม่งอเลย (straight)
เจียงเทียน: ฉันเป็นโฮโมโฟบ (homophobia)
แท็กเนื้อหา: การเติบโตของช่วงวัยรุ่น (coming of age) ,
รักเดียวใจเดียว, การกลับมาพบพานกันใหม่หลังจากกันไป
1v1+he
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 2
“อาจารย์คะ มีคนมาเรียกค่ะ” เด็กสาวสักคนเรียกหัวหน้าสวี่พลางชี้ไปที่นอกหน้าต่าง
มือที่กดอยู่บนไหล่ของเซิ่งวั่งผละจากไปในที่สุด หัวหน้าสวี่ผงกศีรษะให้กับคนที่มาหาด้านนอกหน้าต่างพร้อมกล่าว “ประชุมใช่ไหม ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เขายืดตัวตรงขึ้น ก่อนจะชี้ไปทางหูฟังที่เซิ่งวั่งยังไม่ได้เอาออก “ใช่แล้ว วันนี้เพิ่งมารายงานตัวเลยยกเว้นให้ แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป อย่าให้ของจำพวกมือถือ หูฟัง PSP มาโผล่อยู่ในห้องเรียนเชียว ถ้าอาจารย์จับได้เมื่อไหร่ละก็ เฮ้อ…”
คนพูดส่ายนิ้วชี้สองที จากนั้นก็ล้วงมือไปทางใต้โต๊ะของเด็กหนุ่มที่นั่งด้านหน้าด้วยความรวดเร็วโดยไม่ให้ตั้งตัว
“เชี่ย!” เด็กหนุ่มคนนั้นเด้งตัวขึ้นทันที กุมกระเป๋านักเรียนเอาไว้อย่างว่องไว ราวกับเผลอไปจับโดนประตูรั้วช็อร์ตไฟฟ้า
“คิดว่ากุมไว้แล้วจะมีประโยชน์เหรอ ครั้งที่สองแล้วนะเกาเทียนหยาง” หัวหน้าสวี่ยกมือขึ้นสูง พร้อมกับโบกมือถือที่เพิ่งยึดได้สด ๆ ร้อน ๆ จากนั้นก็กล่าวกับเซิ่งวั่ง “เห็นหรือยัง นี่เป็นตัวอย่างแย่ ๆ ตัวแทนฝ่ายวินัยอยู่ไหน”
เด็กสาวที่นั่งแถวแรกชะโงกศีรษะออกมา “คะ”
“เล่นมือถือ หักจิตพิสัย 3 คะแนน พูดคำหยาบ หักอีก 1 คะแนน”
“ค่ะ”
หัวหน้าสวี่ทำความดีความชอบครั้งใหญ่เสร็จก็จากไปพร้อมกับของรางวัลอย่างพึงพอใจ
เซิ่งวั่งได้เห็นการจับกุม ณ สถานที่เกิดเหตุในระยะประชิด สีหน้าของเขาจึงมึนงงไปชั่วขณะ เด็กหนุ่มที่ชื่อเกาเทียนหยางคนนั้นจ้องเขาด้วยสายตาแค้นนิด ๆ หลายวินาทีผ่านไปเซิ่งวั่งถึงตั้งสติได้และเอาหูฟังออกอย่างเงียบเชียบ เขายัดใส่กระเป๋านักเรียนไปพร้อมกับมือถือ เป็นการป้องกันไม่ให้ตำตาตำใจอีกฝ่าย
แต่เกาเทียนหยางก็ยังคงจ้องเขาอยู่อย่างนั้น
เด็กหนุ่มครุ่นคิดไปมาก่อนจะปลอบเป็นมารยาท “ทำใจเถอะนะ”
“เวร” เกาเทียนหยางนิ่งไม่อยู่ เขาลูบหน้าอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้พร้อมกล่าว “ก็โอเค ไม่ใช่ครั้งแรก ยังไงก็มาตรวจมือถือเป็นระยะอยู่แล้ว ใครในที่นี้ไม่เคยโดนบ้างเล่า”
“อ้อ” เซิ่งวั่งพยักหน้า ก่อนถามอย่างไม่เข้าใจ “งั้นนายจ้องฉันทำไมอะ”
เกาเทียนหยาง “ก็แค่อยากรู้น่ะ”
เซิ่งวั่ง “…?”
“ก่อนนายเข้าห้องมา พวกเรากำลังคุยกันอยู่เลย ฉันเพิ่งค้นไป่ตู้[1]หาโรงเรียนเดิมของนายไปเอง อายุยังน้อย ทำไมต้องคิดสั้นย้ายมาเจียงซูตอน ม.5 ด้วย”
คนฟังหัวเราะเสียงแห้งก่อนตอบ “ไปถามป๊าฉันนู่น”
เกาเทียนหยางลูบหัวสกินเฮดของตัวเอง นึกอยากถามอีกสองสามคำ น่าเสียดายที่ออดดังขึ้นเสียก่อน เพื่อนร่วมห้องที่กระจัดกระจายจับกลุ่มพูดคุยกันต่างกลับมานั่งหลังตรงอยู่ที่เก้าอี้ หลายคนที่งีบระหว่างช่วงพักใหญ่ก็พากันทยอยผงกหัวขึ้นพร้อมบิดขี้เกียจยืดแขนยืดคอ จากนั้นก็หยิบชีทปึกหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะ
เมื่อทุกคนกลับที่นั่งของตัวเอง เลิกกระจุกตัวรวมกันแล้ว ความรู้สึกแปลกแยกของเซิ่งวั่งก็เด่นชัดยิ่งขึ้น… เพราะว่าคนทั้งหมดในห้องต่างนั่ง-แยก-โต๊ะ
มีแค่โต๊ะเขาที่ถูกดันไปชิดกับโต๊ะอีกตัวซึ่งเจ้าของโต๊ะกำลังหลับเป็นตาย
แม่งเอ๊ย…
เซิ่งวั่งหยิบหนังสือเรียนออกมา กระเป๋านักเรียนในมือจะวางก็ไม่ได้ ไม่วางก็ไม่ได้ ขณะกำลังกระอักกระอ่วน เขาก็ได้แต่หันไปจ้องเจียงเทียน
ดูท่าเพื่อนร่วมโต๊ะจอมขี้เก๊กคนนี้คงไปทำงานเป็นโจรโต้รุ่งมามั้งถึงไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงออด แขนที่ใช้รองนอนบดบังใบหน้าไปเกือบครึ่ง เห็นแค่สันกรามของเจ้าตัวผ่านทางง่ามนิ้วเท่านั้น เสื้อยืดคอกลมสีขาวเผยเค้าโครงแผ่นหลังโค้งงอที่กำลังขยับตามจังหวะการหายใจอันแผ่วเบา
นี่คือจะหลับยันเลิกเรียนเลยเหรอ เซิ่งวั่งคิดในใจ
จู่ ๆ เกาเทียนหยางที่นั่งด้านหน้าก็หันขวับมาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ยื่นมือมาสะกิดเจียงเทียนอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวเสียงเบา “ตื่นได้แล้วพี่เทียน ถึงคาบทบทวนบทเรียน[2]แล้ว”
อีกฝ่ายชี้ไปทางเจียงเทียนพร้อมอธิบายให้เซิ่งวั่งฟัง “เมื่อกี้เขาสั่งให้ฉันปลุกเขาตอนถึงเวลาเรียนน่ะ ไม่งั้นคงได้หลับข้ามคาบ”
เซิ่งวั่งเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขานึกว่าเพื่อนร่วมโต๊ะคนนี้จะเป็นพวกเอาแต่งีบหลับทั้งวี่ทั้งวันแต่สอบได้คะแนนเต็มทุกวิชาซะอีก
เกาเทียนหยางปลุกด้วยการเรียกไปสองที ในที่สุดเจียงเทียนก็ตื่น
เจ้าตัวส่งเสียง “อืม” ต่ำ ๆ เป็นการตอบรับ มือที่วางไว้บนท้ายทอยขยุ้มเข้าหากันเล็กน้อย เรือนผมสั้นสีดำลอดออกมาจากง่ามนิ้ว นิ้วโป้งกดลงบนข้อนิ้วชี้ หลังเสียง ‘กึก’ ดังขึ้น เจ้าตัวถึงเงยหน้า พอยืดตัวนั่งหลังตรงแล้วเขาก็ยกมือขึ้นลูบหน้าไปมาอีกที
มองแค่นี้ก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนตื่นยากแค่ไหน
“พระเจ้า เมื่อคืนนายไปทำไรมาถึงเป็นงี้เนี่ย” เกาเทียนหยางอดถามไม่ได้
“เรื่องไร้สาระนิดหน่อย” เห็นได้ชัดว่าเจียงเทียนไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่ นอกจากร่องรอยความง่วงงุนบนใบหน้า ที่เหลือก็มีแต่ความหงุดหงิด เขาหยิบน้ำขวดหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะ ไอน้ำเย็นที่เกาะอยู่บนขวดกระจายตัวออกมาตามง่ามนิ้ว เขาเปิดฝาจิบอึกหนึ่ง ในที่สุดหางตาก็เหลือบเห็นเซิ่งวั่ง
อีกฝ่ายหันมาพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน อาจเป็นเพราะเมื่อกี้ดื่มน้ำเย็นไปมั้ง น้ำเสียงที่เปล่งจากลำคอถึงเย็นเยียบขนาดนี้ “นายเป็นใคร มานั่งนี่ทำไม”
ฟังคำพูดเฮงซวยนี่สิ
แรกเริ่มเซิ่งวั่งก็นึกพาลอยากประหารเจ็ดชั่วโคตรสกุลเจียงอยู่แล้ว พอได้ยินน้ำเสียงแบบนี้ก็ยิ่งไม่ปลื้มเข้าไปใหญ่ นิสัยคุณชายน้อยของเขาเดือดปุด เด็กหนุ่มพยักพเยิดไปทางหนังสือเรียนบนโต๊ะ “ฉันย้ายมาใหม่ นั่งตรงนี้นี่แหละ จะทำไม”
บางทีการเถียงกันระหว่างคนหล่อคงจะน่าสนใจไม่เบา เพื่อนด้านหน้าหลายโต๊ะจึงทยอยหันมามอง
เกาเทียนหยางที่เห็นท่าไม่ดีพุ่งมากอบกู้สถานการณ์เป็นคนแรก “ไม่ ๆ เมื่อกี้นายงีบเอาแรงอยู่เลยไม่รู้ อาจารย์เป็นคนสั่งให้เขานั่งนี่”
“อาจารย์คนไหน” เจียงเทียนถาม
“จะมีใครอีก ปากกว้างไง” เกาเทียนหยางตอบ “เขาชอบจัดที่นั่งให้มั่ว ๆ อยู่ตลอดไม่ใช่หรือไง คราวก่อนพูดผิดหูไปแค่ประโยคเดียวก็ย้ายโต๊ะฉันไปตรงหน้าห้องแล้ว วันต่อมายังลืมแล้วมีหน้ามาถามฉันว่าห้องเรียนมีที่เยอะแยะไม่นั่ง มานั่งหน้าขนาดนี้เบียดอาจารย์ทำไม ฉันไปทำเวรทำกรรมอะไรมากันนะ ถึงได้เป็นหมาหัวเน่าแบบนี้”
เซิ่งวั่งที่กำลังส่งสีหน้าไม่รับแขกประชันกับเจียงเทียนอยู่ พอได้ยินประโยคดังกล่าวก็หันไปจ้องเกาเทียนหยางแทน บนใบหน้าเผยคำด่าเป็นแถว : ทำไมนายไม่พูดตอนลิงปากกว้างอยู่เมื่อกี้เล่า
ด้านข้างพลันมีเสียงลาก ‘ครืด’ ดังขึ้น เด็กหนุ่มได้ยินจึงหันไปมอง เขาเห็นเจียงเทียนลุกขึ้นลากเก้าอี้กับโต๊ะของตัวเองไปด้านหลัง
“ทำไรอะ” เกาเทียนหยางถามด้วยความงุนงง
“ย้ายที่” เจียงเทียนพยักพเยิดไปทางเซิ่งวั่งโดยไม่แม้แต่จะมองเจ้าตัว “เขาเตี้ยกว่า นั่งนี่ไปเหอะ ฉันจะไปนั่งด้านหลัง”
“ใครเตี้ย”
เจียงเทียนนั่งลงตรงตำแหน่งใหม่ เขาหยิบชีทปึกหนาจากใต้โต๊ะขึ้นมาวาง ก่อนเอนหลังพิงพนักพร้อมช้อนตาขึ้นมองไปทางเซิ่งวั่ง “หรือนายสูงกว่าฉันล่ะ”
“…”
มาถึงตอนนี้เซิ่งวั่งคงไม่สามารถเรียกความประทับใจให้เกิดกับคนคนนี้ได้อีกต่อไป
เขาลุกขึ้นขยับโต๊ะเดี่ยวของตนไปด้านซ้ายให้ตรงกับแถว จากนั้นก็ยัดกระเป๋าเข้าใต้โต๊ะ เพิ่งนั่งลงไม่ทันไร เกาเทียนหยางก็ใช้ปลายปากกาเคาะลงบนโต๊ะเขาพร้อมกับหันมาเอ่ยเสียงเบา “นี่ เพื่อนยาก”
“หือ?” เวลาคุณชายน้อยเซิ่งไม่สบอารมณ์จะเจาะจงแค่กับเป้าหมาย ไม่มีนิสัยพาลคนอื่นไปทั่ว
เกาเทียนหยางใช้มือป้องปากบอกเขาเสียงเบา “นายอย่าเก็บเอาไปใส่ใจเลย ปกติเขาไม่เป็นแบบนี้หรอกนะ สองวันนี้คงไปเจอเรื่องอะไรเข้าละมั้ง ดูอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่”
เซิ่งวั่งร้อง “อ้อ” ตามมารยาททีหนึ่ง ทว่าสิ่งที่คิดในใจกลับเป็น : แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ
เทียบกับตัวซวยรูปปั้นน้ำแข็งด้านหลังนั่นแล้ว เขาอยากใส่ใจเพื่อนคนอื่นในห้องมากกว่า
เพราะเมื่อมองไปแล้ว ทั้งห้องเรียนมีเขาคนเดียวที่วางหนังสือเรียนไว้บนโต๊ะ คนอื่นมีแต่ชีทกองเป็นตั้งๆ แถมออดดังมาครึ่งค่อนวันแล้ว ยังไม่เห็นมีอาจารย์คนไหนเดินเข้ามาเลยสักคน
โรงเรียนนี้มันบ้าอะไรเนี่ย
เขากวาดตามองรอบหนึ่ง ยังไม่ทันเอ่ยสิ่งที่สงสัยออกมา เกาเทียนหยางผู้เอาใจใส่ก็ปริปากขึ้นก่อน “วันนี้วันเสาร์ แถมยังเป็นช่วงเรียนชดเชย มีคาบทบทวนตลอดทั้งวัน นาย…ไม่ได้พกโจทย์มาทำเหรอ”
เซิ่งวั่งเอ่ยเตือนความจำอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก “ฉันเพิ่งมาวันนี้”
“อ้อ งั้นนายจะใช้อะไรทบทวนอะ” เกาเทียนหยางจิ้มหนังสือเรียนใหม่เอี่ยมพลางถาม “หนังสือเรียนเหรอ”
“ทบทวน?” เซิ่งวั่งย้ำอีกรอบ “นายบอกว่าทบทวน?”
“ใช่สิ”
จู่ ๆ เซิ่งวั่งก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก เขาถามเสียงแห้ง “ทำไมต้องทบทวนด้วย”
เกาเทียนหยางตอบ “เพราะว่าพรุ่งนี้สอบไง”
เซิ่งวั่ง “???”
“พรุ่งนี้ทำไมนะ”
“สอบ”
เซิ่งวั่งมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่อ่านได้ว่า : นายกำลังละเมอเพ้อพกอะไร
“สอบอะไร เนื้อหา ม.4?”
“นั่นเป็นเนื้อหาของไฟนอลเทอมก่อน ตอนนี้ยังจะมาสอบเนื้อหา ม.4 อะไรอีก” เกาเทียนหยางชี้ไปทางหนังสือเรียนที่เซิ่งวั่งเพิ่งรับมาวันนี้แล้วกล่าว “สอบอันนี้”
เซิ่งวั่ง “…”
ไหนพูดอีกรอบซิ
บางทีท่าทางนิ่งค้างของเขาคงดูน่ารักไปหน่อย เกาเทียนหยางถึงกับฟุบตัวหัวเราะกับโต๊ะ
เด็กหนุ่มชี้ไปทางหนังสือเรียน เอ่ยด้วยเสียงนิ่งเรียบไร้คลื่น “อาจารย์สวี่บอกฉันว่านี่เป็นหนังสือใหม่เทอมนี้”
“ตามหลักแล้วก็ใช่” เกาเทียนหยางตอบ “แต่พวกเราเรียนเนื้อหาจบหมดแล้วนี่นา วันนี้วันที่ 8 สิงหาใช่ปะ พวกเราปิดซัมเมอร์ไปตอน 10 กรกฎา ปิดแค่สิบวันก็มาเรียนแล้ว เพิ่งเรียนจบทั้งหมดไปเมื่อสองวันก่อนเอง”
“วิชาไหน”
“พวกคณิต ฟิสิกส์ เคมี เรียนจบหมดแล้วละ ส่วนเนื้อหาภาษาจีนช้ากว่าหน่อย เนื้อหาภาษาอังกฤษก็ไม่อิงตามหนังสือเรียน”
เซิ่งวั่งรู้สึกหายใจไม่ออก “ก็คือพรุ่งนี้ฉันต้องสอบเนื้อหาห้าวิชาที่ไม่เคยเรียนมาก่อนอะนะ”
“ใช่”
“ฉันขอลาได้ไหม”
“น่าจะไม่ได้” เกาเทียนหยางพูดด้วยท่าทีเหมือนคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ “เพื่อนเอ๋ย ยังต้องแบกรับความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงไปอีกนาน พยายามต่อไปนะ รอเรียนจบค่อยหาคนมาอัดสวี่ปากกว้างให้น่วมแล้วกัน”
เรื่องนี้ชวนช็อกมากเกินไป สภาพจิตใจของนักเรียนอย่างเซิ่งวั่งจึงอยู่ในสภาวะสับสนมึนงงตลอดทั้งวัน เรียกสั้น ๆ ว่าโคตรเมา
ตอนลุงคนขับรถเสี่ยวเฉินโทร.มาหานั้น เขาถึงตั้งสติได้ว่าคาบทบทวนจบลงแล้ว คนในห้องเดินกันวุ่นวายไปหมด เกาเทียนหยางไม่ลืมบอกลาเขาก่อนจากไป ส่วนคนน่ารังเกียจด้านหลังก็หายไปไม่เหลือแม้แต่เงา
ระหว่างทางเขาได้รับสายจากผู้เป็นพ่ออย่างเซิ่งหมิงหยาง ป๊าก็ยังเป็นป๊าอยู่วันยังค่ำ ฟังแค่เสียง “อืม” ทีเดียวก็รับรู้ถึงความผิดปกติแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น เจอเรื่องอะไรเข้างั้นเหรอ” เซิ่งหมิงหยางถาม
เซิ่งวั่งเอนพิงศีรษะกับกระจกรถ เขาที่นั่งเลื้อยอยู่บนเบาะหลังด้วยท่าทางเกียจคร้านตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉยชา “มีคำขอหนึ่งอยากรบกวนให้ป๊าช่วยทำให้หน่อย”
“ว่า?”
“ผมอยากลาออก”
“…”
เซิ่งหมิงหยางชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “โถ นี่ยังใช่ลูกชายป๊าหรือเปล่าเนี่ย”
เซิ่งวั่งมีนิสัยมั่นใจในตัวเองมาตั้งแต่เด็ก มีแค่ตอนดื้อกับงอแงเท่านั้นจึงจะเอ่ยคำว่า ‘ทำไม่ได้’ ออกจากปาก พอโตขึ้นก็ไม่ได้ยินคำนี้อีก เมื่ออยู่ ๆ ได้ยินแบบนี้เข้าก็ชวนให้เซิ่งหมิงหยางหวนนึกถึงอดีตเล็กน้อย น้ำเสียงก็พลอยอ่อนโยนขึ้นตาม “ไหนลองบอกป๊ามาซิ เจอเรื่องกระทบจิตใจอะไรมา”
เด็กหนุ่มร้อง “หึ” ทีหนึ่ง เตรียมจะโพล่งคำค่อนแคะที่อัดอั้นอยู่เต็มท้องออกมา แต่กลับได้ยินเสียงเลือนรางแว่วมาจากฝั่งเซิ่งหมิงหยางเสียก่อน เป็นเสียงของผู้หญิงพูดเบา ๆ เสียงของเซิ่งหมิงหยางเองก็พลันอู้อี้ขึ้น คงเป็นเพราะเอามือปิดส่วนลำโพงและกำลังตอบเธออยู่
เซิ่งวั่งชะงักไปเล็กน้อย หมดอารมณ์ในทันที
“ไม่มีอะไร บ่นไปงั้นแหละ ผมวางแล้วนะครับ” เขายกมุมปากยามพูด น้ำเสียงที่ออกมาจึงฟังดูร่าเริงไม่น้อย
“อ้อ งั้นลูกถึงไหนแล้ว” เซิ่งหมิงหยางถาม
คนถูกถามชะโงกหน้ามองออกนอกรถ รถกำลังเคลื่อนผ่านถนนชิงหยาง สายตามองเห็นทางแยกราง ๆ พอขับไปอีกนิดก็จะถึงตรอกไป๋หม่า หน้าตรอกมีรถเข็นขายของกินเล่นจอดอยู่หลายคัน ไม่รู้ว่ามีของนึ่งของต้มอะไรบ้าง ควันจึงโชยกระจายไปตามแนวกำแพงของตรอก
ในตรอกไป๋หม่ามีคฤหาสน์เก่าของครอบครัว เขาอาศัยอยู่ถึงแค่อายุห้าขวบก็ย้ายออก ก่อนแปดขวบยังเคยแวะเวียนกลับมากับแม่บ้างเป็นครั้งคราว ทว่าหลังแปดขวบพอแม่เสียไปก็ไม่เคยได้กลับมาอีกเลย
อันที่จริงแล้วที่นี่เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก อีกทั้งความทรงจำในวัยเด็กของเขาเองก็ไม่ได้ชัดเจนมากนัก แต่ยามเห็นควันฉุยเหล่านั้นแล้วกลับเกิดความรู้สึกคิดถึงขึ้นมา
ตอนที่เสี่ยวเฉินขับรถเข้าไปยังลานบ้าน เซิ่งหมิงหยางก็กำลังยืนรออยู่ตรงนั้นแล้ว
ท้องฟ้าเป็นสีเทามืดครึ้ม บางบ้านเปิดไฟแล้ว เซิ่งวั่งก้มหน้าก้มตาเดินลงจากรถ ได้ยินผู้เป็นพ่อเรียกชื่อเล่นของเขาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “หนูวั่ง นี่ป้าเจียง ส่วนนี่ลูกชายป้าเจียง ชื่อเจียงเทียน โตกว่าลูกนิดหน่อย เรียกพี่ซะสิ”
เจียงไหนนะ
เซิ่งวั่งชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นในทันที
[1]โปรแกรมค้นหาในจีนที่ใช้แทนกูเกิล
[2] โรงเรียนมัธยมสาธิตในประเทศจีนจะมีคาบวิชาทบทวนบทเรียน ซึ่งเป็นคาบที่ปล่อยให้นักเรียนอ่านหนังสือเอง โดยจะมีอาจารย์เดินตรวจตราตามทางเดิน และมีกรรมการนักเรียนคอยเป็นหูเป็นตาให้อาจารย์