某某
ใครบางคน
木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
Zolaida ภาพ
– โปรย –
เซิ่งวั่งย้ายกลับมาอยู่คฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลในตรอกไป๋หม่า
ทว่าผู้ที่ย้ายเข้ามาในเวลาเดียวกันยังมีผู้หญิงที่พ่อของเขากำลังคบหาอยู่ด้วย
และผู้เป็นพ่อก็ชี้ไปทางลูกชายของผู้หญิงคนนั้นแล้วสั่งว่า: เรียกพี่สิ
แล้วเรื่องราวระหว่าง เครื่องทำความเย็นจอมหยิ่งหัวแข็งผู้กินไม้อ่อนไม่กินไม้แข็ง
กับ คุณชายน้อยจอมขี้เกียจผู้คิดว่าตัวเองสูงส่งค่าตัวแพง ก็เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น
แต่มันไม่ง่ายเลย…เพราะเมื่อเวลาผ่านไปอะไรๆ ก็ยิ่งไม่เป็นอย่างที่คิดหวังไว้
เจียงเทียนไม่ใช่พี่ชายอีกแล้ว และก็ไม่ใช่แฟนอีกต่อไป วกไปวนมา
สุดท้ายก็กลับมาเป็นคนที่เซิ่งวั่งไม่รู้ว่าควรจะเรียกอะไรดี
กลับไปเป็น ‘ใครบางคน’ ที่เรียกออกปากไม่ได้อีกครั้ง
เซิ่งวั่ง: ฉันเป็นชายแท้แบบไม่หักไม่งอเลย (straight)
เจียงเทียน: ฉันเป็นโฮโมโฟบ (homophobia)
แท็กเนื้อหา: การเติบโตของช่วงวัยรุ่น (coming of age) ,
รักเดียวใจเดียว, การกลับมาพบพานกันใหม่หลังจากกันไป
1v1+he
—.—.—.—.—.—.—.—.—.—
ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
บทที่ 3
แสงไฟประปรายในลานบ้านแยกพื้นที่มืดกับพื้นที่สว่างออกจากกัน เจียงเทียนยืนอยู่ใต้เงาในที่มืด รูปร่างสูงโปร่ง เค้าโครงปราดเปรียวแบบที่เด็กหนุ่มควรมี แต่ก็ไม่ได้เพรียวบางเกินไป อีกฝ่ายสะพายกระเป๋าบนไหล่ข้างหนึ่ง นิ้วโป้งเกี่ยวกับสายกระเป๋า ส่วนใบหน้ากำลังเบือนมองไปทางอื่น
จนกระทั่งเซิ่งหมิงหยางลากลูกชายไปหา เจ้าตัวถึงหันหน้ามา จากนั้นก็เผยสีหน้าเหมือนกินข้าวบูดเข้าไป
พอเห็นอีกฝ่ายไม่สบอารมณ์เช่นนี้ เซิ่งวั่งก็รู้สึกสะใจนิด ๆ
“ต้องโทษป๊า ขายหน้าในฐานะผู้ใหญ่ซะแล้ว ป๊าเพิ่งรู้เหมือนกันว่าเสี่ยวเทียนเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนเดียวกับลูก พวกลูกอยู่ห้องเดียวกันนี่เอง!” เซิ่งหมิงหยางโอบไหล่ลูกชายตัวเอง พยายามลากเซิ่งวั่งที่นิ่งอยู่กับที่ราวกับโดนตะปูตอกไว้ให้ไปด้านหน้าสักก้าว “จะว่าไป วันนี้พวกลูกก็ได้เจอกันตอนกลางวันแล้วสิ”
แค่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกชายคงจะไม่พอ เซิ่งหมิงหยางยังเงยหน้ามองเจียงเทียนราวกับคาดหวังให้อีกฝ่ายตอบเขายังไงยังงั้น
แน่นอนว่าเจียงเทียนต้องเมินเขาอยู่แล้ว
ผ่านไปสักพักเจียงเทียนก็เก็บสีหน้าบูดบึ้งกลับไปทำสีหน้าเย็นชาอีกครั้ง สายตาที่มองเซิ่งวั่งราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า
“เสี่ยวเทียน” มีคนเอ่ยเรียกเสียงเบา
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนของผู้หญิง เซิ่งวั่งถึงนึกขึ้นได้ ความจริงนอกจากเจียงเทียนแล้วยังมีบุคคลสำคัญอีกคนอยู่ที่นี่ด้วย…
เจียงโอวยืนอยู่ข้างกายลูกชาย แต่งตัวค่อนข้างเรียบง่ายจืดชืด แตกต่างจากภาพที่จินตนาการเอาไว้ราวฟ้ากับเหว เธอนับว่าตัวสูงไม่น้อยเมื่อเทียบกับผู้หญิงทั่วไป แต่ก็ยังเตี้ยกว่าเจียงเทียนเป็นคืบ พอมีข้อเปรียบเทียบเช่นนี้แล้วก็ทำเอาเธอดูไร้พิษสงไปเลย ถึงขั้นแผ่กลิ่นอายบอบบางอ่อนโยนเป็นมิตรออกมาอีกต่างหาก
เธอดึงแขนลูกชายทีหนึ่งแล้วกล่าวเสียงเบา “เสี่ยวเทียน? ลุงเซิ่งกำลังถามลูกแน่ะ ลูกกับเสี่ยววั่งเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน คงเจอกันแล้วใช่ไหม”
เจียงเทียนเบือนหน้าหนี คิ้วขมวดหากันอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตานั้นสีหน้าแฝงแววรำคาญและต่อต้านเอาไว้ แต่สุดท้ายเขาก็อดทนต่อสายตาผู้เป็นแม่ไม่ไหวอยู่ดี หลังชะงักงันไปสักพักถึงหันกลับมาเอ่ยอย่างขอไปทีประโยคหนึ่ง “หลับทั้งวัน ไม่ทันได้สังเกตครับ”
ในใจเซิ่งวั่งด่าว่าตอแหล ไอ้คนขี้โกหก
การต่อบทสนทนานี้ต่อไปก็มีแต่จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยิ่งกว่าเดิม เซิ่งหมิงหยางจึงรีบออกตัวกู้สถานการณ์ทันที
เขาหัวเราะและเอ่ยว่า “เป็นเพื่อนร่วมห้องกันวันแรก จำหน้ากันไม่ได้มีอยู่เยอะแยะถมไป ปกติน่า วันหลังใช้เวลาร่วมกันไปนาน ๆ ก็คงคุ้นเคยกันเอง วันเวลายังอีกยาวไกลนี่นะ”
เจียงเทียนมองคนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นิ้วโป้งรูดสายกระเป๋าและกระชับขึ้นทีหนึ่ง ท่าทีเหมือนวินาทีต่อไปก็จะยกฝีเท้าจากไปในทันที
และเป็นไปตามคาด เขาเอ่ยปากกล่าวเสียงต่ำ “ผมกลับ…”
“อยู่กินข้าวเป็นเพื่อนแม่ก่อนดีไหม” น้ำเสียงอบอุ่นของเจียงโอวเจือแววระมัดระวัง ฟังดูคล้ายกำลังอ้อนวอน
เจียงเทียน “…”
เซิ่งวั่งราวกับเห็นดวงวิญญาณใต้เนื้อหนังของอีกฝ่ายขัดขืนอย่างรุนแรงสองที ก่อนจะนอนกลับลงไปอย่างอัดอั้น
เขามองความวุ่นวายตรงหน้าด้วยความรู้สึกรื่นเริงบนความทุกข์ของผู้อื่น ทว่าเวลาต่อมาเขาก็รื่นเริงไม่ออกอีกต่อไป เพราะว่าหลังเจียงโอวจัดการลูกชายเสร็จแล้วก็หันมาส่งยิ้มให้เขา
นี่เป็นครั้งแรกที่เซิ่งวั่งได้เห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ชัด ๆ ยามที่อีกฝ่ายยิ้มนั้น เขาพลันค้นพบว่าเจ้าตัวมีหน้าตาคล้ายคลึงกับแม่ของเขาอยู่ถึงห้าส่วน บางทีอาจเป็นเพราะแสงไฟนอกบ้านที่ทำให้เห็นโครงหน้าไม่เด่นชัด ไม่ก็อาจเป็นเพราะลักยิ้มน้อย ๆ ที่อยู่ตรงมุมปากนั่น
หรือบางทีอาจเป็นเพราะเวลาล่วงเลยมานานเกินไป ไม่ว่าเขาจะดันทุรังยังไง คนในความทรงจำก็เริ่มพร่าเลือนอย่างต้านทานไม่ได้ ไม่เด่นชัดดั่งเคยอีกต่อไป จนอาจถึงขั้นที่เริ่มซ้อนทับกับคนแปลกหน้าบางคนก็ได้…
“เสี่ยววั่ง?” เจียงโอวเรียกเขาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
เซิ่งวั่งตกอยู่ในภวังค์สักพักก่อนดึงสติกลับมา จู่ ๆ ก็ไม่มีอารมณ์แม้แต่จะตอบรับตามมารยาท เขาพึมพำ “ป๊า ผมปวดท้อง ขอขึ้นไปก่อนนะ”
“นี่ จะวิ่งไปไหน ข้าวเย็นล่ะ” เซิ่งหมิงหยางอยากดึงอีกฝ่ายไว้แต่ก็ดึงไม่อยู่ “คุยกันเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอ เรื่องแค่นี้ก็ไม่ไว้หน้าป๊าหน่อยเหรอ”
เด็กหนุ่มสะพายกระเป๋าเรียนมุดเข้าประตูบ้านไปพร้อมกล่าวโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา “ลูกชายป๊ามีสอบพรุ่งนี้ ห้าวิชานั่นไม่เคยเรียนมาก่อนสักนิด คงมีเวลาไร้สาระไปกินข้าวหรอกนะ”
ป้าแม่บ้านส่งรองเท้าใส่ในบ้านมาให้ เขาเดินลากเท้าขึ้นชั้นบน เมื่อเดินถึงช่วงโค้งก็อดมองออกไปนอกหน้าต่างไม่ได้ พวกเขายังยืนอยู่ในลานบ้านด้านล่าง เซิ่งหมิงหยางกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเจียงโอว
คงไม่พ้นอธิบายว่าลูกชายตัวเองมีนิสัยคุณชายอะไรยังไงบ้าง ก่อนจะพูดเล่นกลบเกลื่อนว่าอย่าได้เก็บเอาไปใส่ใจ
เจียงเทียนถูกผู้เป็นแม่ดึงแขนเอาไว้จึงกลับไม่ได้ เจ้าตัวยังคงยืนอยู่ในที่มืด มือข้างที่ว่างถือโทรศัพท์ ก้มหน้าก้มตาจ้องหน้าจอ
สไลด์หน้าจอไปได้ไม่กี่ที อีกฝ่ายก็คล้ายจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จู่ ๆ ก็เงยหน้ามองขึ้นมาทางชั้นบนโดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ
เซิ่งวั่งสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันหน้าเดินหนีทันที
เด็กหนุ่มแขวนป้าย ‘ห้ามเคาะประตู’ ไว้ที่ลูกบิด ก่อนจะล็อกประตูและเสียบหูฟังพร้อมปรับเสียงดนตรีขึ้นดังสุด ดังจนถึงขั้นไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องด้านนอกแล้วถึงได้นั่งลง
หนังสือเรียนใหม่ถูกวางเรียงเป็นแถวอยู่บนโต๊ะ เขาซุกตัวนั่งควงปากกาอยู่บนเก้าอี้
มือถือที่วางไว้ด้านข้างสว่างขึ้นเป็นพัก ๆ เขาดองแชทจนขึ้นหลายข้อความแล้วถึงยื่นมือไปปลดล็อก
คนที่ส่งวีแชทมาหาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะที่โรงเรียนเดิม เจ้าตัวเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่เป็นคนจริงใจ มีความเป็นลูกผู้ชายอกสามศอกอย่างเต็มเปี่ยม เซิ่งวั่งมักจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาศึกษาเล่าเรียน แต่มาฝึกปรือบนเขาเหลียงซาน[1]มากกว่า รู้จักหน้าค่าตาผู้คนจนเรียกพี่เรียกน้องได้ตั้งแต่รุ่นพี่ชั้น ม.6 ยันรุ่นน้องชั้น ม.4 ขอแค่เป็นมนุษย์ที่ยังมีชีวิตล้วนต้องเคยได้คบค้าสมาคมกับอีกฝ่าย
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : ชีทโจทย์ข้อสอบไฟนอลคณิต เคมี ฟิสิกส์ของ ม.5? นายเอาไปทำไมอะ ไม่ใช่มั้งลูกพี่…เพิ่งปิดซัมเมอร์ก็จะเริ่มเรียนล่วงหน้าแล้วเหรอ
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : ไม่สิ ถ้าเรียนล่วงหน้า นายจะเอาข้อสอบไฟนอลไปทำไม
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : ลูกพี่? ตอบหน่อยสิ
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : พี่เซิ่ง?
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : หัวหน้าห้อง! โอเคยัง ไม่ส่งรูปชีทให้นี่จะไม่อ่านข้อความฉันเลยใช่ไหม
เซิ่งวั่งควงปากกาพลางใช้อีกมือจิ้มตัวอักษรตอบ…
กระป๋อง : ฉันเพิ่งเห็น
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : ยังอีก ยังจะทำมาเป็น นายก็แค่ขี้เกียจนั่นแหละ จะพิมพ์เพิ่มยังกลัวจะเปลืองแรง ทุกครั้งก็เอาแต่รอดองข้อความเป็นพืดแล้วค่อยตอบทีเดียว
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : เห็นปะ เริ่มดองอีกแล้ว
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : ก็ได้ นายหล่อ นายว่าไงก็ว่างั้น ฉันขอชีทข้อสอบมาให้นายแล้ว คณิต ฟิสิกส์ เคมี อย่างละชุดใช่ปะ ทำไมนายถึงไม่เอาภาษาจีนกับอังกฤษด้วยล่ะ นี่เหยียดวิชาเหรอ
กระป๋อง : นายสิเหยียด คืนเดียวจะทำหมดเยอะขนาดนั้นได้ไง ต้องรู้จักได้อย่างเสียอย่างสิ
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : อิหยังวะ คืนเดียว? คุณท่านจะทำอะไรครับนี่ อีกอย่าง ปกตินายขี้เกียจจนถึงขั้นถ้าส่งข้อความเสียงได้จะไม่พิมพ์เด็ดขาด แล้ววันนี้เป็นอะไรไป พิมพ์มาตั้งสองประโยค
นิ้วเซิ่งวั่งค้างเติ่งพร้อมเสียง “จิ๊” ที่ดังขึ้น ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้กับการพิมพ์ ก่อนส่งข้อความเสียงออกไป
กระป๋อง : “วันนี้ฉันเพิ่งเข้าโรงเรียนเฮงซวย พรุ่งนี้มีสอบประจำสัปดาห์ การสอบครอบคลุมเนื้อหาเทอมแรกของ ม.5 ทั้งหมด ถ้าไม่วันไนท์มิราเคิล พรุ่งนี้ต้องกินศูนย์ทั้งห้าวิชาแน่นอน ภาษาจีนกับอังกฤษไม่น่าทัน พึ่งบุญเก่าแล้วกัน ส่วนคณิต ฟิสิกส์ เคมี ยังพอดิ้นรนก่อนตายได้บ้าง”
เจ้าปูโป๊ยกั้กส่งมีมหน้าดำพร้อมเครื่องหมายคำถามให้เขาแปดอัน จากนั้นก็ส่งชีทข้อสอบทั้งสามชุดมาทันควัน พร้อมกับข้อความเสียงอีกข้อความ
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : “ไม่คือ…ฉันไม่เข้าใจอะ นายทำข้อสอบวิชาละชุดก็ยังดิ้นรนได้แค่ไม่กี่คะแนนปะ คนอื่นเขาก็ไม่น่าออกคำถามจากชีทข้อสอบพวกนี้ไหม”
กระป๋อง : “ใครบอกนายว่าฉันจะทำข้อสอบ”
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : “งั้นนายจะทำไรอะ”
กระป๋อง : “ไฮไลท์ใจความสำคัญตามสัดส่วนคะแนนของข้อสอบ ถึงข้อสอบของแต่ละมณฑลจะต่างกันลิบลับ แต่ใจความหลักกับความยากง่ายก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ ฉันจะลองดูว่ามีส่วนไหนที่คะแนนสูงบ้าง คืนนี้รวบรวมแล้วจะลองทำเฉพาะส่วนนั้น ประสิทธิภาพน่าจะสูงกว่าหน่อย”
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : “อย่างนี้ก็ได้เหรอ”
กระป๋อง : “บอกแล้วว่าดิ้นรนก่อนตาย”
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : “แล้ววิชาอื่นทำไง”
กระป๋อง : “แล้วแต่บุญแต่กรรม”
หลังตอบประโยคนี้จบ คุณชายน้อยก็พลันเกิดความรู้สึกเจ็บกระดองใจ เขาล้มลุกคลุกคลานอยู่ในสังคมถึงสิบหกปีครึ่ง ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีวันที่ต้องพึ่งบุญวาสนาในการทำข้อสอบด้วย
เขาครุ่นคิดแล้วถามเจ้าปูโป๊ยกั้ก
กระป๋อง : “บทสวดเดาข้อสอบอันนั้นคืออะไรนะ”
เจ้าปูโป๊ยกั้ก : “นายรอแป๊บนะ ฉันจดเอาไว้ในหน้าแรกของสมุด เดี๋ยวถ่ายให้ พระเจ้า เพิ่งได้เห็นนายต้องพึ่งบทสวดเดาข้อสอบนะเนี่ย คนทั่วทั้งโลกต้องฉลองแล้วละ”
เวลาเที่ยงคืนกว่า ในที่สุดเซิ่งวั่งก็อ่านวิชาเคมีกับฟิสิกส์จบ ปวดเมื่อยลูกตาไปหมด แต่สิ่งที่ปวดยิ่งกว่าคือกระเพาะ…เขาหิวจะตายอยู่แล้ว
เขาเดินวนอยู่ในห้องสองรอบ ค้นที่เก็บขนมหมดทั้งสามที่ก็แล้ว แต่ไม่พบว่ามีของกินหลงเหลือ สุดท้ายต้องเปิดประตูอย่างช่วยไม่ได้
ตามคาด บนประตูมีโพสต์-อิทแปะเอาไว้ ด้านบนเขียนว่า ‘ในตู้เย็นมีองุ่นแดงล้างไว้แล้ว ส่วนโจ๊กเห็ดมัตสึตาเกะไก่ฉีกก็อุ่นเอาไว้บนเตาในครัว อย่างอื่นอย่ากินตอนดึก เดี๋ยวจะแสบกระเพาะเอา’
ป้าแม่บ้านเป็นคนแปะโพสต์-อิท ปกติเซิ่งหมิงหยางไม่ค่อยอยู่บ้าน พอไม่มีผู้ปกครองคอยเฝ้า เซิ่งวั่งจึงกินอาหารสามมื้อไม่เป็นเวลานัก ทุกครั้งที่เคาะประตูแล้วไม่เปิด ป้าแกก็จะเก็บอาหารที่เหมาะกับการกินกลางดึกเอาไว้ให้ สะดวกเขาลงไปหาอะไรกินยิ่งนัก พอเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ก็กลายเป็นความเคยชินเหมือนธรรมเนียมปฏิบัติบางอย่าง
ตามกิจวัตรของเซิ่งหมิงหยางแล้ว เวลานี้อีกฝ่ายต้องหลับไปแล้วแน่นอน
เซิ่งวั่งไม่ใส่กระทั่งรองเท้าแตะ ใส่แค่ถุงเท้าเดินลงด้านล่างอย่างเงียบเชียบ ขณะที่เปิดตู้เย็นยื่นหน้าเข้าไปหาของกิน เขาก็ได้ยินเสียงพูดคุยแผ่วเบาของเซิ่งหมิงหยางดังลอดมาจากระเบียงนอกหน้าต่างกระจก
เขานิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนจะกอดองุ่นแอบย่องไป เซิ่งหมิงหยางกำลังคุยโทรศัพท์ มือหนึ่งถือโทรศัพท์ อีกมือนวดหัวคิ้ว ดูท่าทางง่วงนอนจนถึงขีดสุด ทว่าน้ำเสียงกลับยังคงอ่อนโยน
เซิ่งหมิงหยางกล่าวกับคนปลายสาย “ผมถามเรื่องหอพักกับทางโรงเรียนไปแล้ว ต้องรอหลังเปิดเทอมอย่างเป็นทางการถึงจะยื่นเรื่องได้ ถ้าเสี่ยวเทียนอยากเข้าพักตอนนี้เลยคงเป็นไปไม่ได้
“ใช่ ย้ายเข้ามาอยู่ก่อนดีกว่า
“อันที่จริงถ้าอยู่ที่นี่ถาวรไปเลยผมจะดีใจกว่า เดี๋ยวเช้าวันมะรืนผมจะพาเสี่ยวเฉินไปช่วยขนของ คุณบอกกับเสี่ยวเทียนก็ได้ว่าสองฝั่งในบ้านเหมือนกันหมด แต่ละฝั่งต่างมีห้องนอน ห้องรับแขก ห้องน้ำแยกจากกัน ให้เขาคิดซะว่าพวกเราสองครอบครัวเช่าร่วมกันก็ได้ มีแค่ห้องครัวที่ต้องใช้ร่วมกันหน่อย”
องุ่นติดคอของเซิ่งวั่ง เขาสำลักจนใบหูแดงก่ำ
เขาเคยคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหลังอาหารมื้อนี้ไม่นาน สองคนนั้นก็คงจะย้ายเข้ามาอย่างเป็นทางการ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเร็วขนาดนี้ เร็วจนคืนนี้เขาถึงขั้นฝันร้ายติดกันสามต่อ เขาฝันว่าโดนกระดาษข้อสอบว่างเปล่าไล่ตาม ต่อด้วยโดนหมาไล่กวด และจบด้วยโดนเจียงเทียนวิ่งไล่
การจัดตารางสอบของโรงเรียนแห่งนี้โรคจิตสิ้นดี หนึ่งวันสอบห้าวิชา เริ่มสอบตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนถึงสามทุ่ม วิชาแรกก็สอบคณิตเลย คงอยากช่วยปลุกสมองของพวกเขาละมั้ง
อาจารย์คุมสอบยืนนับกระดาษข้อสอบอยู่หน้าห้อง ก่อนจะแบ่งจำนวนชุดออกตามแถวแล้วให้นักเรียนคนแรกของแถวส่งต่อไปทางด้านหลัง เกาเทียนหยางที่นั่งข้างหน้าดึงกระดาษข้อสอบไปชุดหนึ่ง ก่อนจะส่งที่เหลือให้เขาพร้อมถาม “นายจะทำไงอะ”
เซิ่งวั่งหัวเราะเสียงแห้ง “ไม่ทำไง ถ้าไม่ไหวก็เลือกช้อยส์ C ทั้งหมด อย่างน้อยก็ได้คะแนนมาบ้าง”
“นาย…” เกาเทียนหยางมองเขาด้วยท่าทีเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หันกลับไปนั่งหลังตรงท่ามกลางสายตาจดจ้องของอาจารย์คุมสอบ
ฉันทำไม
เซิ่งวั่งงุนงงไปชั่วขณะ ทว่าเวลาต่อมาเขาก็รู้แล้วว่าทำไมเกาเทียนหยางถึงมีสีหน้าแบบนั้น หลังจากกวาดสายตาอ่านกระดาษข้อสอบผ่าน ๆ รอบหนึ่งถึงค้นพบว่า…
คณิต! ไม่มี! ช้อยส์! ด้วยซ้ำ!
ในขณะที่เขานั่งนิ่งตัวชาไปทั้งตัวนั้น ไหล่พลันถูกสะกิดสองที น้ำเสียงทุ้มต่ำของเจียงเทียนดังมาจากด้านหลัง “นายจะลองตอบ C ทั้งหมดในข้อสอบข้อเขียนก็ได้นะ”
“…”
นายเป็นโรคจิตหรือไง
เซิ่งวั่งหันไปใช้สายตาดูถูกมองอีกฝ่าย “ฉันจะตอบอะไรก็เรื่องของฉัน เกี่ยวอะไรกับนาย จะสะกิดบอกฉันเพื่อ?”
เจียงเทียนมองเขาและแบมือออก “ที่สะกิดก็แค่อยากถามว่า นายคิดจะเก็บข้อสอบฉันไปอีกนานแค่ไหน”
เซิ่งวั่งนิ่งไป “…อ้อ ลืมอะ”
[1] เทือกเขาที่มีสำนักฝึกวิทยายุทธ์ของจอมยุทธ์กระจุกตัวอยู่