[ทดลองอ่าน] ใครบางคน บทที่ 5

某某
ใครบางคน

木苏里 มู่ซูหลี่ เขียน
ตัวละครผู้ถูกแทงที่ท้อง แปล
Zolaida ภาพ

– โปรย –

เซิ่งวั่งย้ายกลับมาอยู่คฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลในตรอกไป๋หม่า
ทว่าผู้ที่ย้ายเข้ามาในเวลาเดียวกันยังมีผู้หญิงที่พ่อของเขากำลังคบหาอยู่ด้วย
และผู้เป็นพ่อก็ชี้ไปทางลูกชายของผู้หญิงคนนั้นแล้วสั่งว่า: เรียกพี่สิ
แล้วเรื่องราวระหว่าง เครื่องทำความเย็นจอมหยิ่งหัวแข็งผู้กินไม้อ่อนไม่กินไม้แข็ง
กับ คุณชายน้อยจอมขี้เกียจผู้คิดว่าตัวเองสูงส่งค่าตัวแพง ก็เริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น
แต่มันไม่ง่ายเลย…เพราะเมื่อเวลาผ่านไปอะไรๆ ก็ยิ่งไม่เป็นอย่างที่คิดหวังไว้

เจียงเทียนไม่ใช่พี่ชายอีกแล้ว และก็ไม่ใช่แฟนอีกต่อไป วกไปวนมา
สุดท้ายก็กลับมาเป็นคนที่เซิ่งวั่งไม่รู้ว่าควรจะเรียกอะไรดี
กลับไปเป็น ‘ใครบางคน’ ที่เรียกออกปากไม่ได้อีกครั้ง

เซิ่งวั่ง: ฉันเป็นชายแท้แบบไม่หักไม่งอเลย (straight)
เจียงเทียน: ฉันเป็นโฮโมโฟบ (homophobia)

แท็กเนื้อหา: การเติบโตของช่วงวัยรุ่น (coming of age) ,
รักเดียวใจเดียว, การกลับมาพบพานกันใหม่หลังจากกันไป

1v1+he

—.—.—.—.—.—.—.—.—.—

ติดตามกำหนดการวางจำหน่ายได้ที่
เพจ >> Rose Publishing
ทวิตเตอร์ >> Rose Publishing
…XOXO…

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

 

บทที่ 5

 

เมื่อวันจันทร์เวียนมาถึง ตารางเรียนก็มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย กรรมการนักเรียนแวะไปห้องพักครูในคาบทบทวนบทเรียนช่วงค่ำ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับตารางเรียนใบใหม่เอี่ยมและแปะเอาไว้บนบอร์ดในห้อง

เซิ่งวั่งหรี่ตามองอยู่หลายวินาที ก่อนจะสะกิดถามเกาเทียนหยาง “ทำไมช่องของตอนค่ำมีเขียนชื่อวิชาด้วยล่ะ”

“หืม? ช่องไหน” เกาเทียนหยางกำลังก้มหัวงุดตอบวีแชทคนอื่นใต้โต๊ะ เขาตามไม่ทันว่าเด็กหนุ่มกำลังถามถึงอะไร

“ตารางเรียนบนบอร์ด” ปากกาที่เซิ่งวั่งหมุนควงหยุดนิ่ง ปลายปากกาชี้ไปทางที่บอก “คืนนี้เขียนว่าฟิสิกส์”

“ตารางเรียน?”

“ใช่”

เกาเทียนหยางเงยหน้าขึ้นมองตรงไปด้านหน้า ชะงักค้างไปประมาณสามวินาทีก่อนจะหันขวับมาถาม “นายแม่งนั่งอยู่แถวที่สองนับจากหลัง มองเห็นตัวหนังสือบนตารางเรียนด้วยเหรอ”

“เห็นดิ”

“แว่นขยายงอกอยู่บนหน้าท่านหรือเปล่าครับเนี่ย”

เซิ่งวั่งเปรยขึ้นอย่างช้า ๆ ชัด ๆ “ไสหัวไปซะ”

“ไม่คือ ฉันแค่ตกใจก็เท่านั้นเอง นายลองมองไปรอบตัวสิ นายไม่สังเกตเหรอว่าตัวเองเป็นคนเดียวในห้องที่ไม่ได้สายตาสั้นน่ะ” เกาเทียนหยางกล่าว

เซิ่งวั่งไม่แม้แต่จะหันไปมองตาม นิ้วโป้งกระดกชี้ไปทางด้านหลัง ก่อนจะกดเสียงต่ำอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ “เขาก็ไม่ใส่แว่น เขาไม่ใช่คนหรือไง”

เกาเทียนหยางกลับตามไม่ทันและยังคงใช้น้ำเสียงระดับปกติกล่าว “พี่เทียนแค่ไม่ใส่ในเวลาปกติ เดี๋ยวถึงตอนเรียนแล้วดูเขาอีกทีสิ”

คนฟังคิดในใจว่า ดูที่หน้านายสิ เจ้าโง่นี่จะเสียงดังขนาดนี้ไปทำไมกัน

โชคดีที่เจียงเทียนงีบหลับระหว่างคาบ เจ้าตัวจึงไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น

เซิ่งวั่งสงสัยไม่น้อย ทำไมอีกฝ่ายถึงง่วงตลอดเวลาราวกับไปแอบทำตัวเป็นโจรในตอนกลางคืน หรือเป็นเพราะว่าซุ่มทำโจทย์?

ขณะที่กำลังเหม่อ จู่ ๆ พวกที่นั่งด้านหน้าก็ส่งเสียงโหวกเหวกขึ้นมา

ตัวแทนฝ่ายวิชาการพูดเสียงดังฟังชัด “จริง ๆ นะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนฉันกำลังจะเข้าห้องพักครู อาจารย์นี่อย่างกับผึ้งแตกรัง โคตรคึก ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษแล้วก็เอาแต่ถกกันไม่หยุดเลยละ”

“คุยอะไรอะ”

“ไม่ได้ยิน พอฉันเข้าไป พวกเขาก็กลับเป็นปกติแล้ว”

“งั้นนายจะพูดทำแป๊ะอะไรเนี่ย”

เกาเทียนหยางเป็นคนกระตือรือร้น พอได้ยินคำพูดของตัวแทนฝ่ายวิชาการ เขาก็เข้าร่วมบทสนทนาด้วยการตะโกนคุยข้ามหัวอีกสองคนที่นั่งด้านหน้าทันที ดังนั้นไป ๆ มา ๆ คำถามแรกสุดที่เซิ่งวั่งถามอีกฝ่ายเลยยังไม่ได้คำตอบเสียที

ทว่าไม่นานนักคำตอบก็มาถึงที่เอง

หลังจากออดคาบทบทวนบทเรียนช่วงค่ำดังขึ้นได้สักพัก อาจารย์ประจำชั้นอย่างเหอจิ้นก็ถือกระดาษข้อสอบเข้ามาปึกหนึ่งก่อนวางมันลงบนโต๊ะตามปกติ จากนั้นก็เลื่อนกระดานด้านหลังอย่างคล่องแคล่วพร้อมกล่าว “ตรวจข้อสอบเสร็จแล้ว คืนนี้มาเฉลยข้อสอบพวกนี้แล้วกัน”

ด้วยเหตุนี้เซิ่งวั่งก็เข้าใจในที่สุด…

คาบทบทวนบทเรียนช่วงค่ำของโรงเรียนเฮงซวยนี่ไม่ได้มีไว้ทบทวนบทเรียน แต่มีไว้เรียนต่างหาก! จันทร์ถึงศุกร์ แต่ละคืนเรียนวิชาไหนบ้างต่างถูกจัดเอาไว้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

ถ้างั้นคำถามก็คือ…

พวกวิชาตอนกลางวันก็สั่งการบ้านกันหมด สามวิชาอย่างคณิต ฟิสิกส์ เคมี แจกแบบฝึกหัดมาวิชาละชุดอย่างเรียบง่ายทว่าป่าเถื่อน วิชาภาษาจีนยังพอมีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้แจกแบบฝึกหัดมาทั้งชุด แค่ซีรอกซ์แบบฝึกหัดอ่านถาม-ตอบมาสองบท ส่วนวิชาเดียวที่ไว้ชีวิตพวกเขาคือวิชาภาษาอังกฤษ เพราะวันนี้ไม่มีเรียนน่ะนะ

อย่างไรก็ตาม รวมหลายวิชาแล้วมีชีทเฮงซวยทั้งหมดถึงแปดแผ่นด้วยกัน คาบทบทวนบทเรียนช่วงค่ำยังไม่ให้ทบทวนบทเรียน แล้วจะเอาเวลาไหนมาทำชีทเฮงซวยพวกนี้ล่ะ!

เซิ่งวั่งเกือบขาดใจตาย

เหอจิ้นเกริ่นจบก็หยิบกระดาษข้อสอบตรงหน้ามาสะบัดพลางกล่าว “คงอยากรู้สินะว่าผลสอบตัวเองเป็นยังไงกันบ้าง ฉันจะพูดรวม ๆ ก่อนแล้วกัน ฉันคิดว่าปิดเทอมฤดูร้อนหนนี้พวกเธอคงปิดตายสมองตัวเองไปด้วยสินะ”

คนทั้งหมดไม่มีใครส่งเสียงออกมา ต่างคนต่างขยับปากขมุบขมิบ คงกำลังแขวะว่าได้หยุดจริง ๆ แค่สิบวันยังจะกล้าเรียกปิดเทอมฤดูร้อนอีก

“ส่วนมากทำข้อสอบสู้เมื่อปลายเทอมก่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำโจทย์ช้ากว่าแต่ก่อนมาก แค่ตรวจข้อสอบก็ดูออกแล้ว พวกเธอใช่ว่าจะทำโจทย์ไม่เป็น แต่ตอบไม่ทันต่างหาก เฮ้อ หลายคนทำไปถึงข้อท้าย ๆ แล้วตัวหนังสือนี่โย้เย้ซะจนน่าสงสารเชียว ทำเอาฉันรู้สึกปวดใจที่จะกากบาทลงไปเลย…”

สีหน้าของเธอผ่อนคลายลงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเอือมระอา “เพราะงั้นฉันเลยหักคะแนนไปเลย รวมถึงหักคะแนนภาพรวมข้อสอบไปอีก 2 คะแนนด้วย”

ภายในห้องเรียนมีคนอดไม่ไหว หลุดเสียงแงออกมาทีหนึ่ง

เหอจิ้นเอ็ด “แงอะไรกัน คิดจะอ้อนหรือไง อ้อนแล้วมีประโยชน์ไหม”

สี่สิบกว่าคนต่างลากเสียงตอบ “ไม่มีประโยชน์ครับ/ค่ะ แง…”

เซิ่งวั่ง “…”

นี่คือโดนกดดันมากเกินไปจนทำเอาเด็กห้องนี้เป็นบ้ากันไปหมดแล้วสินะ

เหอจิ้นเองก็โมโหจนหลุดหัวเราะออกมา แต่ไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจอะไรนัก แค่ดูก็รู้แล้วว่านี่คงไม่ใช่ครั้งแรก “ฉันรู้แล้วว่านี่เป็นนิสัยเดิมที่แก้ไม่หายของพวกเธอ ทุกรอบหลังกลับมาจากหยุดยาวก็เป็นงี้กันหมด ฉันขี้เกียจจะพูดแล้ว พวกเธอรู้ตัวหน่อยได้ไหม”

ทั้งห้องลากเสียงตอบอีกครั้ง “ได้ครับ/ค่ะ”

อาจารย์สาวชี้หน้าพวกเขาแล้วตำหนิ “เจ้าพวกเด็กขี้โกหก”

ทั้งห้องหัวเราะครืน

“ยังจะมีหน้ามาหัวเราะอีก!” เหอจิ้นเอ่ยปากอีกครั้ง “คะแนนเฉลี่ยทั้งห้องรอบนี้น้อยกว่าการสอบรอบก่อนเสียอีก นักเรียนบางคนช่วยออกแรงดึงคะแนนเฉลี่ยให้ต่ำลงไม่น้อยเลยละ”

นักเรียนส่วนมากในห้องต่างรู้เห็นเป็นใจกันอย่างดี เวลาแบบนี้จะไม่หันไปมองใครแบบเจาะจง ถึงจะสนิทกันแค่ไหนก็ต้องไว้หน้าอีกฝ่ายบ้าง แต่ก็มีบางส่วนที่อดใจไม่ไหว เอี้ยวคอเหลือบมองเช่นกัน

วินาทีนั้นเซิ่งวั่งรู้สึกว่ามีสปอตไลท์ยิงมาที่กลางหัว อย่างน้อย ๆ ก็มีสักห้าหกคนที่กำลังมองเขาอยู่

เหอจิ้นดันแว่นแล้วเอ็ด “เหลือบมองอะไรกันน่ะ พอได้ข้อสอบคืนก็เหล่ไปทางนักเรียนใหม่เชียวนะ! ฉันกำลังอยากพูดเรื่องนี้อยู่พอดี เซิ่งวั่งเพิ่งย้ายเข้าห้องเราตอนวันเสาร์ เนื้อหาในข้อสอบไม่เคยเรียนมาก่อนสักนิด แต่ถ้าหากคำนวณตามสัดส่วนที่ใช้กันมา ทั้งฟิสิกส์กับเคมีของเขาอยู่ในระดับ B[1] ทั้งสิ้น ส่วนคะแนนรวมสามวิชา คณิต จีน อังกฤษ ก็เกิน 300 ถ้าเป็นการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจริง ๆ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะสอบเข้าได้แล้ว และทั้งหมดทั้งมวลนี้เจ้าตัวใช้เวลาแค่วันเดียวเท่านั้น”

เธอยกนิ้ว ส่งสายตามองมาทางเซิ่งวั่งพร้อมรอยยิ้ม

ทั้งห้องเรียนเงียบสนิทไปสามวินาที ก่อนจะแตกฮือขึ้น

ศีรษะกว่าสี่สิบศีรษะหันขวับมาอย่างพร้อมเพรียง สายตากว่าแปดสิบดวงจ้องมาทางเขา เซิ่งวั่งรู้สึกเหมือนกำลังโดนประณามชอบกล

เด็กหนุ่มยกมุมปากหัวเราะเสียงแห้ง กะจะแกล้งมือลื่นทำปากกาที่ควงอยู่ตกพื้นและถือโอกาสก้มตัวลงไปเก็บ รอให้ทุกคนหันกลับไปอีกครั้ง

ปรากฏว่าเขาไม่ทันระวัง ควงเป็นวงกว้างเกินไป ปากกาหมึกซึมหมุนอยู่สองรอบก่อนจะบินหวือไปทางด้านหลัง

แย่แล้ว ลอยไปโดนตัวซวยซะแล้ว

เซิ่งวั่งค่อย ๆ หันไปมอง แต่กลับต้องชะงัก

คาดไม่ถึงว่าในยามเรียนเจียงเทียนจะมีแว่นสายตาอยู่บนดั้งจริง ๆ เลนส์ค่อนข้างบาง ตามความเข้าใจที่มีอยู่อย่างจำกัดของเซิ่งวั่งแล้ว เขาคิดว่าค่าสายตาน่าจะไม่มากนัก กรอบแว่นบางสีควันบุหรี่หากอยู่บนใบหน้าคนอื่นคงจะช่วยเพิ่มกลิ่นอายคงแก่เรียนไม่น้อย ทว่าสำหรับเจียงเทียนกลับเป็นข้อยกเว้น

ไฟสีโทนเย็นเหนือหัวส่องสะท้อนเลนส์แว่นของอีกฝ่าย ส่งผลให้นัยน์ตาหลังเลนส์แว่นคล้ายเคลือบไปด้วยแสงเย็นยะเยือก ราวกับสามารถเห็นตัวหนังสือคำว่า ‘ไม่สบอารมณ์’ เขียนเอาไว้เต็มใบหน้าอีกฝ่าย

ปากกาหมึกซึมด้ามนั้นกลิ้งอยู่บนโต๊ะ แขนของอีกฝ่ายที่เท้าโต๊ะอยู่ถูกปากกาขีดเป็นเส้นยึกยือ เมื่ออยู่บนผิวขาวซีดแล้วจึงดูสะดุดตาเป็นพิเศษ

อีกฝ่ายช้อนสายตาขึ้นมองเซิ่งวั่งผ่านเลนส์แว่นอยู่หลายวินาที จากนั้นก็หยิบปลอกปากกามาปิดกลับคืน

“ขอบคุณ” เซิ่งวั่งนึกว่าเขาจะส่งปากกาคืนมาให้ หลังขอบคุณเสร็จก็เตรียมจะขอโทษ ใครจะไปรู้ว่าเพิ่งจะเผยอปากก็เห็นเจียงเทียนกระแทกปากกาที่ปิดปลอกเสร็จสรรพลงตรงหน้าตัวเอง ไม่มีทีท่าว่าจะคืนเลยแม้แต่น้อย

“นายทำอะไร” เขาถาม

เจียงเทียนจ้องมองตรงไปทางกระดานดำโดยไม่แม้แต่จะชายตามองเขา ปากก็เปรยขึ้น “กันมือนายหาเรื่องอีก”

เซิ่งวั่ง “???”

“เกิดอะไรขึ้น” เหอจิ้นที่อยู่หน้าห้องทักขึ้นมา

เด็กหนุ่มทำเรื่องงี่เง่าอย่างการฟ้องอาจารย์ไม่ลง จึงได้แต่หันมาส่งยิ้มให้เหอจิ้นพร้อมกล่าว “ไม่มีอะไรครับ อาจารย์สวี่ให้ผมศึกษาจากเจียงเทียนเยอะ ๆ ผมก็เลยถามเขาไปว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะสอบผ่านสักที”

นักเรียนในห้องพลันหัวเราะขึ้นมาและไม่ได้จ้องมาทางเขาตรง ๆ อีกต่อไป

เหอจิ้นเองก็หัวเราะออกมาด้วย “ก็จริง ถ้าคิดตามคะแนนเต็มของข้อสอบ คณิต ฟิสิกส์ เคมี ยังห่างจากคะแนนผ่านเกณฑ์อีกนิดนึง แต่ก็ไม่มากนัก ขยันหน่อยก็พอ แค่คืนเดียวก็ได้ระดับนี้ แปลว่าความสามารถด้านการเรียนของเธอเยี่ยมมาก แบบมากเลยละนะ”

เธอใช้คำว่า ‘มาก’ มาชมเขาถึงสองครั้ง และเซิ่งวั่งก็ตอบในใจอย่างหน้าไม่อายว่า : อาจารย์พูดถูกครับ

“แต่ความจริงแล้วพวกวิชาคณิต ฟิสิกส์ เคมี ก็เป็นแบบนี้หมดแหละ ทำคะแนนพื้นฐานได้ง่าย แต่พอถึงระดับนึงแล้วอยากพัฒนาเพิ่มขึ้นอีกละก็ แต่ละคะแนนนั้นยากแสนสาหัสเลยละ”

อาจารย์สาวกล่าวไป มือก็แบ่งข้อสอบเตรียมแจกคืนทีละแถว ก่อนยื่นให้คนแรกของทุกแถว ให้พวกเขาหาของตัวเองแล้วส่งไปด้านหลัง

ตอนที่ส่งมาถึงมือเซิ่งวั่งก็เหลือเพียงแค่สองแผ่น แผ่นหนึ่งเป็นของตัวเอง ส่วนอีกแผ่นเป็นของเจียงเทียน ผลลัพธ์ที่พิสูจน์ความสามารถด้านการเรียนภายในหนึ่งวันของเขาเพียงพอที่จะทำให้เขาเป็นนกยูงรำแพนหาง[2]ต่อหน้าอาจารย์กับเพื่อนร่วมห้องส่วนมากได้ แต่พอเห็นคะแนนสอบของเจียงเทียน เขาก็ได้แต่หุบหางของตัวเองลงทันควัน

เพราะเจียงเทียนได้คะแนนเต็ม

เวรเอ๊ย

เซิ่งวั่งงึมงำไร้เสียง จากนั้นก็หยิบกระดาษข้อสอบแล้วหันไปกล่าวกับเจียงเทียน “ข้อสอบนี่จะเอาปะ นายคืนปากกาฉัน ฉันให้ข้อสอบนาย เงินมาของไป”

เจียงเทียนกวาดตามองข้อสอบรอบหนึ่ง “ไม่มีเงิน”

เมื่อพูดจบ บุคคลที่ได้คะแนนเต็มท่านนี้ก็ถอดแว่นออก ก่อนจะหยิบชีทการบ้านของวันนี้ออกมาจากใต้โต๊ะ และเริ่มทำการบ้านด้วยปากกาที่ยึดมาได้

เซิ่งวั่งอัดอั้นจนทนแทบไม่ไหว

สำหรับอาจารย์แล้ว การอธิบายข้อสอบเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่สำหรับนักเรียนกลับไม่ได้ทรมานขนาดนั้น นักเรียนห้อง A ขึ้นชื่อเรื่องอยู่ไม่นิ่ง แทบทุกคนต่างกางชีทไว้บนโต๊ะสองชุด ชุดหนึ่งคือข้อสอบที่เพิ่งแจกคืน ส่วนอีกชุดคือการบ้าน

เหอจิ้นยืนอธิบายโจทย์อยู่หน้าห้อง นักเรียนด้านล่างก็สลับปากกาสองด้ามไปมา พอพวกเขาได้ยินจุดที่ตัวเองผิดก็หยิบปากกาแดงขึ้นมาแก้พร้อมจดโน้ตเอาไว้ ส่วนเวลาที่เหลือก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำการบ้าน

สลับเปลี่ยนไปมาสองด้านอย่างคล่องแคล่ว เห็นได้ชัดว่าเนียนทำบ่อยแค่ไหน

เซิ่งวั่งกวาดตามองรอบหนึ่ง ปากก็พึมพำ “ถ้าหากชีวิตบีบบังคับฉันให้เป็นแบบนี้แล้วละก็…” จากนั้นก็ยื่นมือล้วงการบ้านที่อยู่ใต้โต๊ะออกมา

คาบทบทวนบทเรียนช่วงค่ำเลิกตอนสองทุ่ม พวกเกาเทียนหยางต่างร้องเฮว่า “เยี่ยม!” ราวกับทำอะไรใหญ่โตสำเร็จ จากนั้นก็หิ้วกระเป๋าชิ่งออกนอกห้องทันที

เซิ่งวั่งรูดซิปกระเป๋า ขณะที่เตรียมจะโทรศัพท์หาลุงเสี่ยวเฉินนั้น กลับได้รับสายโทร.เข้ามาจากเซิ่งหมิงหยางก่อน

“มีอะไรครับ” เซิ่งวั่งงงอยู่ชั่วครู่ก็พลันนึกออก วันนี้เป็นวันที่เซิ่งหมิงหยางช่วยเจียงโอวกับเจียงเทียนย้ายบ้าน นั่นก็หมายความว่าตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป คฤหาสน์หลังโตในตรอกไป๋หม่าจะมีคนเข้ามาอยู่เพิ่มอีกสองคน

ตามคาด เซิ่งหมิงหยางโอ๋ลูกชายจากปลายสายได้สองประโยคก็ตรงดิ่งเข้าประเด็น “คาบทบทวนจบแล้วใช่ไหม เสี่ยวเฉินใกล้ถึงหน้าโรงเรียนแล้ว ลูกพาเสี่ยวเทียนกลับมาด้วยกันนะ”

ถุย

คุณชายน้อยสบถด่าในใจ ถ้าจะพากลับไปก็มาพาเองสิ เกี่ยวอะไรกับเขาเล่า โตเป็นควายแล้วยังต้องมาเน้นย้ำเป็นพิเศษ ทำอย่างกับอีกฝ่ายจะงอกขาวิ่งหนียังไงยังงั้น

โทรศัพท์สายนี้แค่ฟังก็รำคาญใจ เซิ่งวั่งกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เขานั่งข้างหลังผม มีอะไรก็ไปพูดกับเขาเอง” พูดจบก็หันตัวไปยื่นโทรศัพท์ให้คนที่โต๊ะด้านหลัง

แต่กลับพบว่าโต๊ะด้านหลังว่างเปล่า ไม่คิดเลยว่าไอ้บัดซบที่ชื่อว่าเจียงเทียนจะงอกขาวิ่งหนีไปแล้วจริง ๆ

 

[1] การสอบเข้ามหาวิทยาลัยของประเทศจีนจะมีการแบ่งระดับคะแนนเป็น A, B, C และ D หากคะแนนเต็มคือ 100 แต่ละระดับจะแบ่งด้วยคะแนนดังนี้ A = 85-100, B = 70-84 , C = 50-69  และ D = 25-49 ถ้าคะแนนต่ำกว่านี้จะไม่ประกาศระดับ ซึ่งส่วนมากแต่ละมณฑลจะมีคะแนนเต็มของข้อสอบแต่ละวิชาแตกต่างกันออกไป แต่จะคิดตามสัดส่วนข้างต้น

[2] เป็นการเปรียบเปรยถึงความลำพองใจ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า