[ทดลองอ่าน] โอตาคุวันสิ้นโลก เล่ม 5 บทที่ 129 : ความแค้น

โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则

 

暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล

 

นิยาย 7 เล่มจบ

 

ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์

 

____________________________________

 

บทที่ 129 ความแค้น

 

ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง ยังคงรู้สึกเพียงแค่เจอกันแต่ไม่รู้จักกัน

 

หลัวซวินกับเหยียนเฟยเปิดประตูกลับเข้าบ้านตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้กดสวิตช์ไฟบนผนัง ทั้งสองก็เห็นแสงไฟจากดวงตาคู่หนึ่งพุ่งมาทางพวกเขา ถ้าไม่เพราะได้ยินเสียงหายใจ ‘แฮ่ๆ’ ปนมากับเสียงคราง ทั้งสองก็เกือบจะโจมตีใส่มันเพราะนึกว่าเป็นสัตว์ประหลาดอะไรสักอย่างไปแล้ว

“ช้าๆ หน่อย ค่อยๆ… ไหนให้ฉันดูลูกตาแกหน่อยซิ ทำไมมันสว่างแบบนั้น ทำคนอื่นตกอกตกใจหมด เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นแบบนี้เลยนี่นา” หลัวซวินพูดพลางเอื้อมมือไปเปิดไฟ เจ้าตัวเล็กกำลังยืนด้วยสองขาหลังตะกายอยู่ด้านข้างตัวเขา มันใช้สองขาหน้าเกาะก่าย และใช้หัวดุนๆ มุดๆ เข้าหาอ้อมกอดเจ้านาย ซุกไซ้อย่างออดอ้อน

หลัวซวินสังเกตลักษณะท่าทางของมันอย่างละเอียด ทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรแตกต่างจากเมื่อก่อนเลยสักนิด เพียงแต่… “เมื่อกี้ตาของมันสว่างขึ้นได้ยังไง เหมือนกับสะท้อนแสงได้เลย”

เมื่อครู่เหยียนเฟยก็เห็นเหมือนกัน เขาหันกลับไปมองโถงทางเดินหน้าห้องอีกครั้งโดยอัตโนมัติ “บางทีอาจเป็นแสงสะท้อนจากโถงทางเดินล่ะมั้ง” วันนี้พวกเขากลับดึกมาก จึงเปิดไฟไว้ให้พืชที่ปลูกอยู่ตรงโถงทางเดินไว้ใช้สังเคราะห์แสงทิ้งไว้ตั้งแต่ออกไปข้างนอก แถมเมื่อกี้เจ้าตัวเล็กก็อยู่แถวหน้าประตูพอดี แสงไฟสะท้อนกับลูกตาก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร แม้ปกติจะไม่ค่อยเกิดขึ้นกับสุนัขก็ตาม แต่มักจะเห็นปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับลูกตาของแมวเสียมากกว่า

เจ้าตัวเล็กไม่รู้ว่าเจ้านายทั้งสองกำลังสงสัยอะไร มันดีดขาหลังสปริงตัวขึ้น พยายามจะแลบลิ้นเลียทำความสะอาดใบหน้าให้เจ้านายทั้งสองสักหน่อย

“พอแล้วๆ เด็กดี ให้พวกเรามาเปลี่ยนฝาชักโครกกันก่อนนะ…” หลัวซวินจับขาหน้าของเจ้าตัวเล็กที่ตัวหนักอึ้งจูงมาปล่อยที่ห้องรับแขก ถึงตอนนี้เจ้าตัวเล็กก็เลิกออดอ้อนวอแวให้เจ้านายทั้งสองอุ้มมันแล้ว แต่เปลี่ยนมาส่ายหางเดินวนเวียนรอบๆ ตัวทั้งคู่แทน… ทุกเดือนที่พวกหลัวซวินออกไปนอกฐานที่มั่น มันต้องเฝ้ารอถึงช่วงบ่ายของวันถัดไปกว่าเจ้านายทั้งสองจะกลับมา หรือบางทีก็ช้ากว่านั้นมาก แต่วันนี้ทั้งคู่กลับบ้านเร็วกว่าทุกครั้ง จึงไม่แปลกเลยที่มันจะตื่นเต้นดีใจเป็นพิเศษ

ทั้งสองนำฝาชักโครกอัจฉริยะไปติดตั้งก่อนเป็นอันดับแรก พร้อมลองต่อระบบไฟทดสอบดู ผลปรากฏว่า…

“โอ๊ะ?! ฉีดน้ำได้จริงๆ ด้วย”

“ว้าว! แถมเป่าแห้งได้อีกต่างหาก…”

เหยียนเฟยเห็นหลัวซวินกำลังตื่นเต้นเห่อของใหม่ จึงอยู่เล่นทดสอบเป็นเพื่อนเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้คำพูดอยู่ประมาณสิบนาที จากนั้นจึงเกลี้ยกล่อมให้เด็กขี้เห่อเลิกเล่นแล้วไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเพื่อเข้านอน

 

เช้าวันรุ่งขึ้น หลัวซวินนึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีธุระสำคัญมากต้องไปจัดการ จึงพักเรื่องโถชักโครกไว้ก่อนชั่วคราว เขาเพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รีบลากเหยียนเฟยไปเคาะประตูบ้านจางซู่ด้วยกัน

จางซู่ที่กลับมาเมื่อคืนก็ดึกมากแล้ว ยังเล่นผีผ้าห่มกันกลางดึกต่อจนแทบหมดแรง เดินหน้าง้ำขอบตาดำมาเปิดประตูให้เพื่อนบ้านที่ปลุกเขาตั้งแต่เช้าตรู่ เขาถลึงตาใส่อีกฝ่ายพร้อมถามเสียงห้วน “มีอะไร”

“ไปโรงพยาบาลกัน” หลัวซวินพูดด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น เขาปรายตามองรอยสตรอว์เบอร์รี่สีแดงเข้มบนไหปลาร้าที่โผล่พ้นคอเสื้อของจางซู่ “เมื่อคืนนายรับปากแล้ว” ดังนั้นนายจะมาตำหนิพวกฉันที่มาเคาะประตูเรียกนายแต่เช้าไม่ได้

“ฉันไม่ได้บอกว่าจะไปแต่เช้าขนาดนี้นะ” แม้จะยังเคืองอยู่ แต่จรรยาบรรณในวิชาชีพของหมอคนหนึ่งก็กระตุ้นให้จางซู่หันหลังกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินคอตกตามหลังคนทั้งสองไปเอ็กซ์เรย์ที่โรงพยาบาล

เมื่อมีคนในช่วยอำนวยความสะดวก พวกหลัวซวินจึงสามารถลัดคิวเข้าไปตรวจที่แผนกเอ็กซ์เรย์ได้โดยตรง และหลังจากออกมาจางซู่ก็ไม่ได้พาพวกเขาไปพบแพทย์ท่านอื่น ในเมื่อมีเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญอยู่ทั้งคนยังต้องไปหาหมอท่านอื่นให้ช่วยดูอีกเหรอ

จางซู่หยิบฟิล์มเอ็กซ์เรย์มาตรวจดูแล้วก็ชี้ไปที่แผ่นฟิล์มนั้น “อืม ก็ปกติดีทุกอย่างนะ เมื่อวานคงถูกแรงกระแทกจนจุกหน้าอก ไม่ได้มีปัญหาใหญ่โตอะไร อย่างมากแค่กินยาที่ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี และพักผ่อนสักสองวันเดี๋ยวก็หาย สองวันนี้ก็อย่าทำอะไรที่ต้องใช้แรงมากเกินไป…” เขาพูดพลางช้อนดวงตาดอกท้อมองไปที่เอวหลัวซวินอย่างมีเลศนัย แถมยังยักคิ้วให้อีกฝ่าย

หลัวซวินขี้เกียจสนใจ เพียงกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง จากนั้นก็หยิบซองใส่ฟิล์มเอ็กซ์เรย์เตรียมจะกลับบ้าน

จางซู่ไม่มีความคิดเห็นต่อการรักษาแบบแพทย์แผนจีน แต่เรื่องยาตามตำรับแพทย์แผนปัจจุบัน…เนื่องจากในยุควันสิ้นโลกสิ่งนี้เป็นที่ต้องการสูงมากขึ้นจึงยิ่งมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ อีกอย่างคือถ้าจ่ายยาไปแล้วไม่ได้ช่วยอะไร แถมที่บ้านหลัวซวินก็มียาแก้ฟกช้ำยาสามัญต่างๆ เก็บไว้เต็มไปหมด ดังนั้น การมาหาหมอครั้งนี้พวกเขาจึงประหยัดเงินค่ายาไปได้เลย

หลังจากรู้ผลเป็นที่น่าพอใจ ในที่สุดเหยียนเฟยก็เห็นหลัวซวินทำท่าสบายใจโล่งอกได้สักที เขาล้วงหน้ากากผ้าออกมาใส่แล้วรับซองฟิล์มเอ็กซ์เรย์จากมือหลัวซวินมาถือไว้เอง

“กลับกันเลยไหม”

“โอเค กลับไปนอนต่ออีกสักงีบ”

จางซู่ถลึงตาจ้องสองตัวแสบที่มาปลุกเขามาตั้งแต่เช้าด้วยใบหน้าถมึงทึง ตอนนี้สองคนนั่นยังกล้าพูดว่าจะกลับไปนอนต่ออีกสักตื่นแบบหน้าไม่อาย เขาพลันรู้สึกว่าควรหาเรื่องอะไรสักอย่างให้เจ้าพวกนี้ถึงได้กลับบ้านไปแต่ก็ไม่มีเวลาให้พักผ่อนเลยดีหรือไม่

แต่จะว่าไปก็ชักง่วงๆ เหมือนกันแฮะ จางซู่เองก็อยากกลับไปนอนต่อเหมือนกัน ส่วนเรื่องหาเรื่องให้สองคนนี้ยุ่งยากไว้ยกให้เป็นหน้าที่ของพวกที่บ้านจัดการไปก็แล้วกัน

จางซู่ยกมือขึ้นปิดปากหาว พลางเปิดประตูห้องทำงานของตัวเอง (วันนี้ตอนที่พวกเขาเข้ามาที่โรงพยาบาล จางซู่ไล่ตะเพิดทั้งคนที่แลกเวรกับเขาและเพื่อนร่วมงานที่ใช้ห้องตรวจร่วมกันออกไปหน้าตาเฉย) ทันทีที่บานประตูเปิดออกเขาก็เห็นผู้หญิงร่างอวบอิ่มคล้ายจะมุ่งหน้ามาทางนี้ด้วยสีหน้าคับแค้นใจ เธอเห็นเขาแล้วก็อึ้งไปแวบหนึ่ง จากนั้นก็รีบปรี่เข้ามาหา “คุณหมอจาง!”

จางซู่ก้มมองท้องป่องๆ ของเธอ แล้วจึงเลื่อนสายตาขึ้นมองเส้นผมที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีน้ำตาลเทาอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีแดงแบบแห้งเสียของผู้หญิงคนนั้น จากนั้นก็เหล่มองสองคนที่ยืนอยู่ในห้องทำงานพลางเอ่ยถามว่า “คุณนายหลิว มาหาผมมีธุระอะไรครับ”

สองคนในห้องซึ่งเดิมทีกำลังจะเดินออกไปต่างก็ชะงักฝีเท้าทันที ครั้นเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นเพียงเสี้ยวเดียว เหยียนเฟยก็ล้วงแว่นกันแดดออกมาจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาสวมด้วยสีหน้าเรียบเฉย… ทรงผมปัจจุบันของเหยียนเฟยยกให้สุดที่รักของเขาเป็นคนจัดการดูแล หลังจากมีประสบการณ์การตัดผมครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง สาม…และครั้งต่อๆ มา ตอนนี้ทรงผมของเหยียนเฟยก็แตกต่างจากทรงเดิมไปไกลลิบจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว

นี่ถ้าไม่เพราะเขาเป็นคนหน้าตาดีโดดเด่นสะดุดตาเป็นทุนเดิมจึงเป็นที่จดจำง่ายละก็ เดาว่าถ้าคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกับเหยียนเฟยตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลกมาเจอเขาในตอนนี้ก็คงจำเขาไม่ได้แน่ๆ

หลัวซวินตามไม่ทัน พอเห็นเหยียนเฟยสวมแว่นกันแดดอย่างเงียบๆ เขาถึงเพิ่งรู้สึกผิดปกติและเลื่อนสายตามองผ่านช่องประตูออกไปสังเกตคนที่คุยอยู่กับจางซู่อย่างละเอียด…หน้าตาคุ้นๆ แฮะ… เดี๋ยวนะ คนนี้คือแม่ของเหยียนเฟยไม่ใช่เหรอ

หลัวซวินตื่นตระหนก รีบก้าวไปยังมุมที่มีช่องว่างกว้างกว่าเดิม ตอนนี้เองหลัวซวินถึงได้เห็นวายร้ายที่เขาไม่มีทางจดจำได้ตั้งแต่แรกเจอ… ท้องใหญ่ๆ กลมๆ ของหลิวเซียงอวี่… เดี๋ยวก่อน นี่เธอตั้งครรภ์มาครึ่งปีแล้วงั้นเหรอ ทำไมท้องเธอถึงใหญ่โตขนาดนี้!

เนื่องจากกำลังตั้งครรภ์ หลิวเซียงอวี่ในตอนนี้จึงมีอวบอิ่มไปทั้งตัว เดิมทีเธอเป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูแลตัวเองได้ไม่เลวเลย ทว่าตอนนี้รูปร่างของเธอมาไกลมาก ใต้คางก็มีเหนียงยานถึงสามชั้น ส่วนท้องนั้นขยายใหญ่เหมือนลูกโป่งที่ใส่น้ำมาเต็มเต่ง จนเธอต้องใช้มือข้างหนึ่งยันบั้นเอวพยุงไว้

บางทีอาจเพราะเห็นแก่ลูกในท้องเธอจึงไม่แต่งหน้าละมั้ง

แต่พอได้ยินถ้อยคําที่เธอพูดกับจางซู่… หลัวซวินรีบเก็บความคิดที่ว่าเธอมีสัญชาตญาณความเป็นแม่เมื่อครู่กลับทันที…

“หมอจาง ฉันตามหาอยู่หลายเดือนจนหมดปัญญาแล้วจริงๆ ขอร้องละ คุณช่วยหน่อยเถอะ ช่วยเอาเด็กออกให้ฉันที โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เป็นอะไรกันไปหมด ทำไมถึงไม่มีความรับผิดชอบเอาซะเลย ฉันต้องการทำแท้งมันไปเกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วย มีสิทธิ์อะไรไม่อนุญาตให้ฉันทำแท้ง จะให้ฉันคลอดลูกตอนอายุปูนนี้มันอันตรายมากพวกเขาไม่รู้เหรอ ประชากรในฐานที่มั่นขาดแคลนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย ฉันจะเก็บเด็กไว้หรือทำแท้งมันก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขาเลยสักนิด ถ้าฉันคลอดเด็กออกมาแล้วใครจะเลี้ยง…”

หลิวเซียงอวี่ท่าทางอัดอั้นตันใจมานาน พอเจอหมอที่รู้จักมักคุ้นจึงระบายความในใจออกมาแบบน้ำไหลไฟดับ ทำเอาทั้งคนไข้และหมอคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะชะลอฝีเท้าแอบมุงดูอยู่เงียบๆ

จางซู่เลิกคิ้วด้วยความขบขัน รอยยิ้มบนหน้ายิ่งเด่นชัดขึ้น “คุณนายหลิว ผมไม่ใช่สูตินรีแพทย์นะ” นี่เป็นความจริงที่เขาพูดซ้ำเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ผู้หญิงคนนี้สมองมีปัญหาหรือว่าหูมีปัญหากันแน่นะ

หลิวเซียงอวี่พูดได้เพียงครึ่งเดียวก็ถูกจางซู่ขัดขึ้นกลางคัน เธอจึงโต้กลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่หมอสูติฯ แต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่นา ไม่เป็นไร เราแอบตกลงกันเองแบบลับๆ ก็ได้ ขอแค่คุณรับประกันว่าชีวิตฉันจะปลอดภัยเท่านั้นก็พอ…หมอจาง ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนเก่ง มีฝีมือในการรักษาที่ยอดเยี่ยมมาก ฉันลองถามมาแล้ว ที่จริงการผ่าตัดของแผนกสูตินรีเวชก็เหมือนกับการผ่าตัดของแผนกศัลยกรรมที่คุณทำอยู่นั่นแหละ ขนาดผ่าตัดเปิดกะโหลกคุณยังทำได้ กับแค่ทำแท้งให้ฉันแค่นี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไรไม่ใช่เหรอ แค่เอาเด็กออกมาจากในท้องเองไม่ใช่หรือไง มันก็เหมือนกับผ่าตัดเนื้องอกนั่นแหละ”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ แม้แต่จางซู่ผู้ใจแข็งยังทนฟังต่อไม่ไหว เขาผายมือยักไหล่ด้วยสีหน้าสุดแสนเสียดาย “การผ่าตัดคลอดบุตรมันไม่เหมือนกับการผ่าตัดเนื้องอกออกนะครับ” ในขณะที่หลิวเซียงอวี่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง เขาก็พูดต่อว่า “เบื้องบนไม่อนุญาตให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนในโรงพยาบาลทำการผ่าตัดยุติการตั้งครรภ์ ต่อให้คุณจะไปวิ่งเต้นหาคนยังไงก็ไม่มีใครช่วยคุณได้หรอก อีกอย่างวันนี้เป็นวันหยุดของผม ที่ผมมาโรงพยาบาลก็แค่เพื่อมาเอาของที่ลืมไว้เท่านั้น รบกวนคุณช่วยหลีกทางด้วย ผมจะกลับบ้านแล้ว” พูดจบเขาก็ขี้เกียจจะสนใจผู้หญิงคนนี้ต่อ จึงดึงแขนเธอให้เปิดทางแล้วเดินเลี่ยงออกไป

หลิวเซียงอวี่รีบร้อน คิดจะเอื้อมมือไปดึงเสื้อเขา แต่กลับถูกกระแสลมสีครามขวางกั้นทำให้จับตัวเขาไม่ได้!

เหยียนเฟยจูงมือหลัวซวินเดินอาดๆ ผ่านหน้าหลิวเซียงอวี่ไป หลิวเซียงอวี่เดือดจัดจนควันออกหูไม่ทันสังเกตเห็นพวกเขาเลยด้วยซ้ำ เธอเอาแต่ถลึงตาจ้องไปยังทางที่จางซู่เดินลับตาไปด้วยความเคียดแค้น…ทำไมถึงไม่มีใครช่วยฉันเลยสักคน ขืนชักช้าเจ้ามารหัวขนก็จะยิ่งโตขึ้นๆ น่ะสิ ความรู้สึกตอนคลอดลูกทรมานแค่ไหนเธอรู้ดี เธอเคยมีประสบการความเจ็บปวดมาแล้วครั้งหนึ่ง และจะไม่ยอมคลอดลูกครั้งที่สองอีกเด็ดขาด แม้แต่ตอนท้องเจ้าลูกคนแรกนั่นแล้วมีอาการอาเจียนแพ้ท้อง แถมหุ่นรูปร่างยังพังอีก เธอยังเคยคิดจะเอาเด็กในท้องออกตั้งหลายครั้ง…ถ้าไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ของสองตระกูลล่ะก็ เธอคงทำแท้งไปตั้งแต่เดือนที่สามแล้วด้วยซ้ำ

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในยุควันสิ้นโลกอย่างในตอนนี้ นอกเสียจากว่าเธอจะเสียสติไปแล้วเท่านั้นถึงปล่อยให้เด็กในท้องได้ลืมตาดูโลก… ถ้าตอนคลอดเกิดตกเลือด หรือติดเชื้อขึ้นมาล่ะจะว่ายังไง

 

จางซู่ยืนกอดอกด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เมื่อเห็นหลัวซวินกับเหยียนเฟยตามออกมา เขาก็เชิดคางพยักพเยิดให้ทั้งคู่เปิดประตูรถ

หลัวซวินเปิดประตูรถให้อีกสองคนขึ้นรถอย่างจนใจ หลังจากจางซู่ขึ้นนั่งบนรถได้ก็บ่นอุบ “วันนี้ซวยชะมัด นอนก็ไม่พอเพราะถูกพวกนายมาปลุกให้ลุกจากเตียงแต่เช้า พอเตรียมจะกลับไปนอนต่อก็ดันมาเจอแม่นายเข้าอีก…”

เหยียนเฟยถอดแว่นกันแดดออก แล้วพูดด้วยสีหน้าเฉยชาสุดๆ “เรื่องของผู้หญิงคนนั้นอย่าดึงฉันเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เด็กในท้องนั่นก็ไม่ได้อยู่ภายใต้ความเห็นชอบของฉัน ฉันไปยุ่งด้วยไม่ได้อยู่แล้ว”

จางซู่กลอกตามองบนอย่างไม่สบอารมณ์ “หมู่นี้เธอมาตามตอแยหมอแผนกสูตินรีเวชหลายคน คราวก่อนก็ถูกคนของกองทัพพาไปปรับทัศนคติตั้งหลายวัน คิดไม่ถึงจะออกมาไวขนาดนี้” เขาเล่าพลางแค่นเสียงหัวเราะเย็นชาทีหนึ่งก่อนเล่าต่อว่า “ถ้าคิดจะเอาเด็กออกจริงๆ ก็ไม่ได้อะไรยากขนาดนั้นหรอกมั้ง ทำเป็นสะดุดหกล้ม? กินของอะไรที่ไม่ควรกินให้เด็กหลุดออกมา? แต่เธอทั้งไม่อยากเก็บเด็กไว้ ทั้งกลัวตัวเองจะเป็นอะไร ถึงได้ดิ้นรนหาหมอมาช่วยทำแท้งให้เธออยู่แบบนี้”

เหยียนเฟยยักไหล่ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน”

จางซู่ถลึงตาจ้องท้ายทอยเหยียนเฟยอย่างเข่นเขี้ยวก่อนกลอกตามองบนอีกครั้ง ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้แม่คนนั้นถึงขนาดจำลูกชายที่เดินเฉียดผ่านตัวเองไปไม่ได้กันเล่า แถมเหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวด้วย

ตอนที่ทั้งสามกลับมาถึงโถงทางเดินบนชั้นสิบหก พวกหลี่เถี่ยตื่นกันหมดแล้ว แต่ทั้งจางซู่ หลัวซวินและเหยียนเฟยต่างอยู่ในสภาพง่วงงุน จึงหาวหวอดทักทายพวกเขาเล็กน้อย จากนั้นก็แยกย้ายกลับเข้าบ้านใครบ้านมันเพื่อ… นอนชดเชย

ตอนที่พวกหลัวซวินตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ปาเข้าไปช่วงบ่ายแล้ว สิ่งแรกที่หลัวซวินลงมือทำหลังจากลุกขึ้นมาก็คือเปลี่ยนฝาชักโครกในห้องน้ำบนชั้นลอย จากนั้นก็เพลิดเพลินไปกับการทดสอบคุณภาพของใหม่อยู่สักพัก เขาพบว่าฝาชักโครกแบบนี้ช่วยลดความยุ่งยากเมื่อเทียกับของเก่าไปได้ไม่น้อย ทั้งสะดวกสบายกว่า ที่สำคัญคือไม่ต้องเปลืองกระดาษทิชชู่อีกต่างหาก!

ถ้ารู้ว่าเป็นของดีแบบนี้คงไปหามาใช้ตั้งแต่แรกแล้ว มีหรือจะรอมาจนถึงป่านนี้ แม้ครั้งนี้จะไม่ได้คริสตัลมาเป็นกอบเป็นกำ แต่ปฏิบัติการตามหาฝาชักโครกในช่วงวันหยุดนี้ก็ถือว่าสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

เมื่อคิดได้แบบนี้หลัวซวินก็เดินลงบันไดมาชั้นล่างอย่างมีความสุข เขาเตรียมจะไปเปลี่ยนฝาชักโครกตามห้องที่ไม่มีคนอยู่ให้ครบทุกห้อง ผลปรากฏว่าทันทีที่ก้าวออกจากบ้านก็ได้รู้ว่า…พวกหลี่เถี่ยเปลี่ยนเสร็จครบหมดทุกห้องตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว

อู๋ซินยิ้มอย่างกระดากอายพลางอธิบายให้ทั้งสองคนฟังว่า “พี่หลัวก็รู้ว่าที่บ้านพวกผมอยู่กันสี่คนมีห้องน้ำแค่ห้องเดียว ต้องตื่นมาแย่งกันเข้าห้องน้ำกันทุกเช้า ถ้าฉุกเฉินขึ้นมาก็ต้องไปหาเข้าห้องอื่นไปก่อน… เช้านี้พวกผมก็เลยจัดการเปลี่ยนฝาชักโครกในห้องอื่นที่เหลือครบหมดทุกห้องแล้วครับ”

“ไม่เป็นไร เปลี่ยนแล้วก็ดีแล้ว ถึงยังไงทุกคนก็ต้องได้ใช้” มีฝาชักโครกตั้งเยอะตั้งแยะถ้าไม่เอามาติดตั้งแล้วจะเก็บไว้รออะไร ขนาดเปลี่ยนครบหมดทุกห้องแล้วยังเหลืออีกเกินครึ่งเชียวนะ ถ้าอันไหนเสียก็เปลี่ยนใหม่ได้เลยทันที

ทุกคนต่างถูกใจฝาชักโครกเหล่านี้มาก ดังนั้นหลังจากหารือกันแล้วทุกคนจึงตัดสินใจว่า จะเก็บฝาชักโครกมากมายก่ายกองนี้เป็นอะไหล่สำรองไว้ใช้เองทั้งหมด ไม่เอาไปขายเด็ดขาด ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้ขัดสนเงินทองอยู่แล้วนี่นา จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องเอาของพวกนี้ไปขายเพื่อแลกเป็นอาหารและของใช้ในชีวิตประจำวันเลยสักนิด

 

ช่วงวันหยุดพักผ่อนสองวันแรก หลัวซวินลงไปชั้นล่างกับเหยียนเฟย เพื่อจัดการรั้วล้อมที่จอดรถของพวกเขา ครั้งนี้พวกเขานำรถบรรทุกที่ขึ้นทรงและอัดโลหะตันๆ มาด้วยหนึ่งคัน โดยที่ไม่มีใครผิดสังเกตเลยตอนที่กลับเข้าฐานที่มั่นมา หนำซ้ำยังคิดว่าเป็นของที่ทีมพวกเขาได้มาจากการไปทำภารกิจ จึงเพียงตรวจดูแค่ว่ารถของพวกหลัวซวินมีไวรัสปะปนมาหรือไม่ จากนั้นก็ปล่อยให้ผ่านไปได้

หลัวซวินให้เหยียนเฟยใช้โลหะเหล่านี้สร้างเป็นโรงรถสองชั้น แบบนี้ช่วยประหยัดพื้นได้ดีกว่า… ทีมของพวกเขามีรถตั้งสี่คันเชียวนะ

หลังจากนั้น เนื่องจากยังอยู่ในช่วงท้ายๆ ของฤดูกาลเก็บเกี่ยว พวกเขาจึงใช้เวลาในช่วงวันหยุดจัดการพืชผลที่ต้องเก็บเกี่ยวและหว่านเมล็ดพันธุ์ล็อตถัดไป อะไรที่ต้องเอามาตากก็เอามาตาก อะไรที่ควรจัดเก็บแปรรูปก็แปรรูป

วันที่สามพวกหลี่เถี่ยทั้งห้าคนจำเป็นต้องกลับไปทำงานในค่าย ส่วนหลัวซวินกับเหยียนเฟยยังได้หยุดเป็นวันสุดท้าย พวกเขาพักผ่อนอยู่บ้านแบบสบายๆ เล่นกับเจ้าตัวเล็ก สอนหนังสืออวี๋ซินหรัน จากนั้นก็ไปช่วยสวีเหมย ซ่งหลิงหลิงกับจางซู่เก็บเกี่ยวและดูแลพืชผัก ตกกลางคืนพวกหลี่เถี่ยมีข่าวใหม่จากฐานที่มั่นมาเล่าให้ทุกคนฟัง…

“ว่ากันว่ามีทีมที่ถูกส่งไปทำภารกิจในตัวเมืองขาดการติดต่อไปหลายทีมเลยครับ และบางคนส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือด้วย!”

ทุกคนมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที หลัวซวินรีบถามก่อนเพื่อน “ใช่คนที่ใช้เส้นทางที่เราขับกลับมาหรือเปล่า”

พวกเด็กหนุ่มส่ายหน้า แต่แล้วก็พยักหน้าตอบว่า “ไม่แน่ใจครับ แต่ได้ยินว่าทีมที่ได้รับภารกิจให้ไปทางเหนือส่วนใหญ่ต้องผ่านถนนสายนั้น ตอนนี้ยังไม่รู้สถานการณ์ที่แน่ชัด กองกำลังบางส่วนรีบรุดไปช่วยหลังจากได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือ ได้ข่าวว่าทางทหารอาจส่งทีมย่อยไปดูสถานการณ์ด้วย ต้องรอฟังผลจากการสำรวจของพวกเขาก่อนถึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

หวังตั๋วรีบนำเสนอข่าวอีกเรื่องต่อทันที “วันนี้ผมได้ยินมาว่า มีหลายทีมที่ได้ยินเสียงตึกนั่นถล่มลงมาตอนขากลับเหมือนกัน พวกเขาระมัดระวังตัวมากจึงขับอ้อมไปอีกทางที่ไกลกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องผ่านถนนสายนั้น เห็นว่าไม่ใช่แค่วันที่พวกเรากลับมา เมื่อวานนี้ในใจกลางเมืองก็มีเสียงดังกึกก้องอยู่นานครึ่งค่อนวัน”

หลัวซวินคิดทบทวนครู่หนึ่ง พยายามนึกย้อนความทรงจำในชาติก่อนแต่ก็นึกไม่ออกว่าเมื่อชาติที่แล้วเคยได้ยินเรื่องราวแบบนี้มาก่อน แต่จะว่าไปแล้วเมื่อชาติก่อนเขาก็ไม่ค่อยได้ร่วมทีมออกไปทำภารกิจนอกฐานสักเท่าไร ออกไปหาทีมอยู่ด้วยแต่ละทีก็ต้องรอเป็นวันๆ ยังดีที่ตนยังพอมีฝีมือทำหน้าไม้เป็นอยู่บ้าง บางครั้งจึงคุ้ยหาท่อนไม้จากกองขยะมาทำเป็นอาวุธติดออกไปขาย

ที่น่าเสียดายคือตอนนั้นตนไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือที่เหมาะสม นอกจากจะสร้างอาวุธได้ไม่ตรงตามที่คิดไว้แล้ว ยังทำได้ช้ามากกว่าจะเสร็จแต่ละชิ้น

ตราบใดที่ทีมที่ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือยังไม่ถูกช่วยกลับมา และยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกหลัวซวินจึงได้แต่วางเรื่องเหล่านี้ลงก่อน แล้วเริ่มสนใจทำงานของตัวเองไป

ครั้งนี้พวกหลัวซวินได้โลหะกลับมาเยอะมาก พวกเขาแบ่งบางส่วนไปสร้างโรงรถ จากนั้นหลัวซวินกับเหยียนเฟยก็คิดกันว่า ควรนำโลหะที่เหลือขึ้นมาเก็บไว้ในบ้าน

“ย้ายโซฟาตัวนี้ไปไว้ตรงมุมห้องกับลังพวกนี้ดีกว่า จะได้ใช้พื้นที่ตรงนี้ตั้งชั้นวาง” ตอนที่เริ่มปลูกธัญพืชในห้อง 1604 ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ไม่ได้อยู่ในแผนการที่วางไว้ พวกเขายังย้ายพืชผักที่กินกันเป็นประจำไปที่ห้อง 1603 บางส่วนด้วย ตอนนี้ที่นี่เหลือเพียงพืชสมุนไพรเครื่องเทศอย่างเช่น ต้นหอม ขิง กระเทียม ผักชี พริกและพริกหอมที่ปลูกไว้ตรงระเบียง บริเวณอื่นของชั้นล่างแทบไม่ได้ปลูกพืชผักจำพวกนี้อีกเลย…ส่วนผักใบเขียวที่ไว้ให้เจ้าตัวเล็กเคี้ยวเล่นนั้นไม่นับ

ตอนนี้ที่บ้านพวกเขายังมีพืชปกติเก็บไว้อยู่ นอกเหนือจากนี้แทบจะมีแต่ผลไม้นานาชนิดหลากหลายสีสัน

เช่นเลมอนที่เขาได้มาก่อนหน้านี้ไม่กี่เมล็ด ตอนนี้ต้นโตเต็มสองกระถางแล้ว ต้นแอ๊ปเปิ้ลกับองุ่นก็ล้วนเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง…แต่ปีนี้พวกมันยังไม่ออกดอกออกผล ส่วนสตรอว์เบอร์รี่ที่ปลูกไว้ช่วงสองสามวันนี้ก็เริ่มผลิดอกสีขาวเล็กๆ ออกมาแล้ว จากเดิมที่เป็นแค่ก้านเล็กๆ แต่ตอนนี้แผ่ใบคลุมเต็มกระบะหมดแล้ว

ไม้ผลยืนต้นที่ต้องใช้เวลาปลูกนานหลายปีคงยังเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ในเร็วๆ นี้ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องรอช่วงหลังฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าถึงจะเริ่มออกดอก ส่วนผลของมัน…ถ้าสองปีให้หลังเริ่มออกผลบ้าง หลัวซวินก็ถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ โชคดีสุดๆ แล้ว แน่นอนว่า ไม้ผลล้มลุกย่อมโตไวให้ผลเร็วกว่ามาก

นอกจากนี้ ยังมีพืชกลายพันธุ์แปลกๆ ที่หลัวซวินเลี้ยงเก็บไว้ตั้งแต่ช่วงแรก ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วต้นไม้พวกนั้นจะให้ผลออกมาเป็นแบบไหน กินได้หรือเปล่า จะมีพิษหรือไม่ จะออกมาเป็นผลไม้กลายพันธุ์คุณภาพดีหรือเป็นแค่ต้นไม้กลายพันธุ์ธรรมดา? ก็ไม่อาจรู้ได้

ตอนนี้หลัวซวินพิจารณาแล้วว่าจะยกห้อง 1603 รวมเข้ากับพื้นที่เพาะปลูกส่วนกลางของทีม ผืชผลที่เก็บเกี่ยวได้ก็นำมาแบ่งปันให้แก่สมาชิกทีมทุกคน ถึงแม้การทำแบบนี้ผลประโยชน์ไม่ตกอยู่ที่เขาแบบเต็มร้อย แต่อย่างน้อยในบ้านเขายังมีที่ว่างเหลืออยู่ สามารถเอามาใช้ประโยชน์หาอะไรมาปลูกเพิ่มก็ยังได้

หลัวซวินอยากปลูกข้าวกลายพันธุ์คุณภาพดี ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเกี่ยวข้าวกันมาแล้ว ทว่าข้าวกลายพันธุ์ที่มีคุณภาพดีกลับมีปริมาณน้อยมาก แม้ตอนนี้จะเก็บเกี่ยวได้บางส่วน แต่หลังเกี่ยวเสร็จเอาเมล็ดข้าวทั้งหมดมารวมกันก็แยกไม่ออกแล้ว เดิมทีก่อนหน้านี้เขาทดลองนำข้าวบางเม็ดในจำนวนนั้นไปหุงด้วยน้ำสะอาดในปริมาณเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับข้าวธรรมดาหลังจากหุงสุกแล้ว ต้องบอกเลยว่าข้าวกลายพันธุ์ที่มีคุณภาพดีไม่เหมือนกับข้าวปกติจริงๆ…รสชาติหอมนุ่มอร่อยลิ้นไม่ธรรมดาเลย แม้แต่น้ำข้าวก็ยังอร่อยกว่าของข้าวปกติหลายเท่า

หลัวซวินรู้สึกว่ารสชาติของข้าวกลายพันธุ์คุณภาพดีอร่อยกว่าข้าวหอมมะลิของยุคก่อนวันสิ้นโลกด้วยซ้ำ เหยียนเฟยก็เห็นด้วยกับเขา

สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือเพาะข้าวกลายพันธุ์คุณภาพดีออกมาให้ได้เยอะๆ แล้วเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ เพื่อที่จะได้เพิ่มปริมาณการปลูกให้ได้มากที่สุด ข้าวสายพันธุ์นี้ถือว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย หลัวซวินเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าข้าวที่เขาปลูกได้จะต้องเป็นข้าวเกรดนี้ทั้งหมด… ผลผลิตจากข้าวกลายพันธุ์คุณภาพดีย่อมต้องมีปริมาณน้อยกว่าข้าวพันธุ์ปกติเป็นธรรมดา นอกจากนี้ ข้าวกลายพันธุ์ทั่วไป (พันธุ์ที่รสชาติแย่) ก็อาจมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาก

พวกเขานำเมล็ดพันธุ์ของข้าวกลายพันธุ์คุณภาพดีไปอนุบาลไว้ในห้องเพาะชำล่วงหน้าแล้ว ตอนนี้เพียงแค่นำต้นกล้าที่เพาะไว้ไปลงแปลงก็สามารถปลูกรอบใหม่ได้สบายๆ ถ้าหลังเก็บเกี่ยวได้แล้วสมาชิกในทีมทุกคนไม่อยากนำข้าวกลายพันธุ์คุณภาพดีไปขายก็ไม่เป็นไร เก็บไว้กินเองในเวลาที่อยากกินมื้อหรูๆ หรือเปลี่ยนไปต้มโจ๊กบ้างเป็นครั้งคราวก็ย่อมได้

เหยียนเฟยเพียงโบกมือเบาๆ ก็ทำกระบะปลูกผักพวกนี้เสร็จสมบูรณ์ หลัวซวินนำดินมาใส่และรดด้วยน้ำสะอาด ใส่ปุ๋ยในปริมาณที่พอเหมาะ จากนั้นก็นำต้นกล้าที่เพาะไว้มาปักลงดินทีละต้นๆ

หลังจากจัดเรียงกระบะเต็มชั้นปลูกแล้ว หลัวซวินก็นำขอนไม้เพาะเห็ดไปใส่ใน ‘ลิ้นชัก’ ชั้นล่างสุดไว้สำหรับดูดซับสารพิษที่อาจเกิดขึ้นในกระบะปลูกผัก พวกเขาเลือกปลูกผักที่กินบ่อยไว้ชั้นบนสุด…เพราะผักบางชนิดปลูกไว้ในห้องตัวเองเลยจะสะดวกกว่า

เนื่องจากพวกเขานำขอนไม้เพาะเห็ดล็อตใหม่มาใส่ตามห้องต่างๆ ที่ใช้สำหรับปลูกพืชผักโดยเฉพาะ ช่วงนี้ทุกคนจึงพบว่าเริ่มมีเห็ดปกติขึ้นตามขอนไม้เพิ่มมากขึ้น หลังจากสองสาวเจอเห็ดปกติที่โตเต็มที่แล้ว พวกเธอก็จะเก็บเห็ดพวกนั้นไปตากแห้งแล้วเก็บรวบรวมไว้

เมื่อเห็ดปกติเหล่านี้มีปริมาณเยอะพอสมควรแล้ว ทุกคนถึงจะกล้าเอาออกมาทำอาหารกินกันเป็นบางมื้อ

Leave a Reply

แจ้งเตือนการใช้งานคุกกี้ เว็บไซต์ของเรามีการใช้งานคุกกี้เพื่อวัตถุประสงค์ในการจัดการประสบการณ์ของผู้ใช้งานให้ดีที่สุด ได้แก่ คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพ คุกกี้เพื่อการทำงานของเว็บไซต์ และคุกกี้กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ศึกษารายละเอียดและการตั้งค่าคุกกี้เพิ่มเติมเพื่อความเป็นส่วนตัวของท่านได้ใน นโยบายคุกกี้ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • Always Active

บันทึกการตั้งค่า