โอตาคุวันสิ้นโลก
重生宅男的末世守则
暖荷 หน่วนเหอ เขียน
เมิ่งเหวิน เเปล
นิยาย 7 เล่มจบ
ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์
____________________________________
บทที่ 131 หิมะตกหนัก
บรรดาผู้น่าสงสารที่ถูกดึงเข้าไปข้องเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจ
การต่อเติมห้องเป็นเรื่องง่ายดายฉันใด การปรับปรุงโถงทางเดินก็ไม่ใช่เรื่องยากฉันนั้น ส่วนการวางระบบน้ำระบบไฟมายังบริเวณทางเดินยิ่งเป็นเรื่องง่ายเข้าไปใหญ่ หากเปรียบเทียบกัน การเพาะกล้ายังกินเวลามากกว่าเลย แต่โชคดีที่พวกเขาก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร แม้ว่าตอนนี้โรงอาหารของกองทัพจะต้องการผักใบเขียวจำนวนมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถูกบีบคั้นจนต้องร้อนรนขนาดนั้น ส่วนเรื่องที่ทีมอื่นอยากรับซื้อผักจากพวกเขา…ตอนนี้พวกเขายังหาคู่ค้าดีๆ ที่เหมาะสมไม่ได้ ยิ่งไม่รู้สึกทุกข์ร้อนเข้าไปใหญ่
ไม่รู้ว่าใครไปปล่อยข่าวเรื่องที่พวกเขามาส่งผักที่โรงอาหาร เช้าของอีกสองวันต่อมา พวกหลัวซวินขนผักไปส่งที่โรงอาหารอีกครั้ง ในขณะที่ยังวนหาที่จอดรถเหมาะๆ ไม่ได้ จู่ๆ ก็ถูกคนมาดักขอซื้อผักกลางทางเสียก่อน… แน่นอนว่าผักล็อตนี้ถูกจองไว้แล้ว
อีกฝ่ายยังคงท่าทางเกรงอกเกรงใจ แต่คนที่มารอบนี้ไม่ใช่คนของทีมเดียวกับคราวที่แล้ว ทว่ามีเป้าหมายเดียวกัน หลัวซวินกับเหยียนเฟยได้แต่คุยด้วยเล็กน้อยและขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่ออีกฝ่ายไว้ จากนั้นก็แยกย้ายไปทำธุระของตัวเองต่อ
สิ่งที่น่าดีใจก็คือเวลานี้ทุกคนอยู่ในอาณาเขตของป้อมปราสาทดำทะมึนของค่ายทหาร ฉะนั้น คนที่เข้ามาตามหาพวกเขาได้ อย่างน้อยต้องเป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับทางกองทัพ ย่อมไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามที่นี่เด็ดขาด
หลัวซวินกับเหยียนเฟยวิเคราะห์ได้ว่า คนที่ขายข่าวเรื่องที่ ‘พวกเขาสองคนส่งผักที่ไม่กลายพันธุ์ให้กองทัพ’ ไม่น่าใช่หัวหน้าหลี่แน่นอน แต่ในโรงอาหารมีผู้คนเยอะขนาดนั้น การที่ข่าวพวกนี้จะรั่วไหลออกไปก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา วันนี้ตอนที่พวกเขาเอาผักมาขายยังมีพลทหารที่มาช่วยขนผักนายหนึ่งแอบยัดกระดาษโน้ตให้พวกเขา บนนั้นเขียนไว้ว่ามีทีมหนึ่งต้องการขอซื้อผักจากพวกเขา ทำเอาทั้งสองถึงกับลำบากใจทำหน้าไม่ถูก
ผักล็อตใหม่ที่กำลังปลูกต้องรออีกอย่างน้อยยี่สิบวันถึงจะเก็บเกี่ยวได้ อีกอย่างเมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาก็ต้องแบ่งบางส่วนมาส่งให้โรงอาหารในค่ายด้วย… ถ้าคำนึงถึงความมั่นคง โรงอาหารของกองทัพย่อมเป็นคู่ค้าที่มีความมั่นคงที่สุดอยู่แล้ว คู่ค้ารายอื่นถือเป็นรายได้เสริมก็พอไหว ถ้าจะทำการค้ากันในระยะยาว…ตอนนี้พวกเขาสองคนยังไม่หวังไปไกลขนาดนั้น
ช่วงกลางวันอากาศหนาวตลอดทั้งวัน ตกกลางคืนลมเหนือพัดหวีดหวิวอยู่นอกหน้าต่าง อุปกรณ์ทำความร้อนของทั้งสองชั้นเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการแล้ว แม้ในห้อง 1604 ของหลัวซวินจะไม่ได้ติดตั้งระบบทำความร้อนใต้พื้น แต่เขาดัดแปลงฮีตเตอร์ใช้เองในบ้านตั้งแต่ช่วงแรกของวันสิ้นโลกไว้แล้ว ถึงตอนนี้แค่เปิดฮีตเตอร์อุณหภูมิในบ้านก็จะอุ่นขึ้นเองโดยอัตโนมัติ
ในฐานที่มั่นราคาของวัสดุจำพวกฟืน ถ่าน แอลกอฮอล์ และแก๊สกระป๋องเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง แม้แต่จุดแลกของของกองทัพก็เริ่มค่อยๆ ปรับราคาสูงขึ้นเรื่อยแล้ว
ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวก่อนหน้านี้ ทีมโอตาคุนำซังข้าวที่เกี่ยวรวงแล้วไปตากแห้งเพื่อเก็บไว้ใช้ แม้ของพวกนี้จะเผาไหม้เร็ว แต่ถ้านำมาเป็นเชื้อเพลิงสำหรับหุงต้มอาหารก็สามารถทำได้ไม่มีปัญหา และก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวพวกหลัวซวินก็ถือโอกาสตอนที่หาแลกขอนไม้เพาะเห็ด และฟืนและถ่านกลับมาเก็บไว้แล้วบ้างบางส่วน บวกกับปกติพวกเขาใช้ไฟฟ้าในการทำอาหาร จึงน่าจะใช้ชีวิตผ่านช่วงฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร
“จนถึงตอนนี้มีคนติดต่อเรามาทั้งหมด…เจ็ดทีม” หลัวซวินถือแถบกระดาษปึกหนึ่งอยู่ในมือ บนกระดาษเหล่านั้นคือข้อมูลทีมทั้งหมดที่มาติดต่อพวกเขาสองคนในช่วงเดือนนี้เพื่อขอซื้อผัก สมาชิกในทีมโอตาคุต่างรู้เรื่องนี้กันทุกคน เพียงแต่พวกเขา ‘ไว้ใจ’ ยกให้หลัวซวินกับเหยียนเฟยตัดสินใจและจัดการได้เลย…ใครใช้ให้พวกเขาสองคนรับผิดชอบหน้าที่ขายผักมาตลอดกันล่ะ ขืนให้คนอื่นเข้าไปยุ่มย่ามอาจทำให้ทีมเดือดร้อนก็เป็นได้
เหยียนเฟยแสดงท่าทีว่าตนกำลังฟังอยู่ เขาเองก็คิดเหมือนกันว่าเรื่องนี้ควรให้หลัวซวินเป็นคนตัดสินใจเองจะดีกว่า ถึงเขาอาจจะช่วยให้ทุกคนมีพื้นที่ปลูกผักได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นอีกชั้นตึกได้ แต่เขากลับไม่แน่ใจว่าจะเพียงพอเลี้ยงทุกคนในทีมไปได้นานแค่ไหน สถานการณ์ของทีมต่างๆ ในฐานที่มั่นเป็นอย่างไร อย่างน้อยหลัวซวินก็น่าจะรู้เรื่องพวกนี้ดีกว่าใคร
“สองทีมนี้ให้ราคาสูงที่สุดในบรรดาทีมทั้งหมด” หลัวซวินไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาหยิบกระดาษโน้ตสองใบที่ทำเครื่องหมายไว้ออกมา “แต่ในสองทีมนี้มีทีมหนึ่งที่ฉันไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน หลายวันมานี้ฉันลองไปสืบเรื่องลูกพี่ใหญ่และชื่อผู้รับผิดชอบหลักของทีมพวกเขาแต่กลับไม่ได้เรื่องอะไรเลย ส่วนอีกทีมแม้จะเคยได้ยินชื่อ แต่ก็เป็นแค่ทีมเล็กๆ ที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร คิดว่าคงทำการค้ากับสองทีมนี้ได้ไม่ยาวนานนักหรอก…” เขาพูดพลางดึงกระดาษโน้ตออกมาอีกสองสามใบ “ส่วนทีมพวกนี้ให้ราคาค่อนข้างต่ำ แถมดูจากท่าทีของพวกเขา…พวกลูกน้องที่ถูกส่งมาเจรจาก็พูดจาวางก้ามเสียเหลือเกิน ทีมแบบนี้ไม่ควรไปสุงสิงด้วย เพราะงั้น…ผ่าน สุดท้ายก็เหลือสองสามทีมนี้…”
ท้ายที่สุดหลัวซวินก็เลือกทีมที่น่าจะผูกสัมพันธ์ทำการค้ากันได้ยาวๆ ออกมาสองทีม หลังจากที่เขาวิเคราะห์ดูแล้วก็หันมาหารือกับเหยียนเฟย “นายคิดว่าไง เลือกใครดี”
เหยียนเฟยหยิบกระดาษสองใบนั้นมาดูชื่อทีม แล้วพูดกับหลัวซวินยิ้มๆ ว่า “ลองติดต่อทั้งสองทีมดูก็ได้ ฉันว่าพวกเขาคงซื้อผักครั้งหนึ่งไม่เยอะเท่าไรหรอก อย่างมากพวกเราก็แบ่งขายให้เท่าๆ กัน ที่เหลือก็ส่งให้ค่ายทหารทั้งหมดก็ได้”
“จริงด้วย แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” หลัวซวินค่อยยิ้มสบายใจขึ้นบ้าง ช่วงสองวันนี้ผักใบเขียวที่ปลูกไว้ตรงโถงทางเดินหน้าห้องโตเต็มที่แล้ว แม้พวกเขาจะยังไม่ได้เก็บเกี่ยว แต่พอจะกะน้ำหนักของผักเหล่านั้นได้คร่าวๆ ประมาณดูแล้วถ้าตัดขายให้ทีมเดียวคงกินกันไม่ทัน สู้แบ่งขายให้สองทีมจะดีกว่า แบบนี้ถ้าวันไหนมีทีมใดทีมหนึ่งหยุดติดต่อซื้อขายกับพวกเขา ก็ยังมีลูกค้ารายอื่นอยู่
หลัวซวินโทรศัพท์ติดต่อลูกค้า เมื่อฝ่ายนั้นได้ยินน้ำหนักผักที่หลัวซวินสามารถส่งให้ได้ก็หารือกับคนอื่นในทีม ทีมแรกยืนยันรับซื้อตามจำนวนที่หลัวซวินแจ้ง หรือถ้ามีมากกว่านั้นก็ยินดีรับซื้อไว้ทั้งหมด ส่วนอีกทีมบอกว่าจำนวนเท่านี้เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา
ผักที่จะนำไปขายให้ทั้งสองทีมนี้ล้วนเป็นผักที่ปลูกไว้ตรงโถงทางเดิน ส่วนพืชผลที่ปลูกในห้องส่วนหนึ่งแบ่งไว้เป็นเสบียงอาหารในแต่ละวันของสมาชิกทีมโอตาคุ อีกส่วนหนึ่งแบ่งไปขายที่โรงอาหารในค่ายทหาร
ปัจจุบันราคาผักที่ขายให้โรงอาหารอยู่ที่หนึ่งจินต่อคริสตัลสี่ก้อน แต่ถ้าส่งผักครั้งหนึ่งได้มากกว่าเกินสิบจินก็จะได้ราคาเพิ่มขึ้นเป็นจินละหกก้อน แต่ราคาผักที่ขายให้คู่ค้าทั้งสองทีมคือจินละสิบก้อน…แน่นอนว่านี่เป็นราคาในช่วงฤดูหนาวซึ่งผักขาดแคลน ถ้าเป็นช่วงที่อากาศกลับมาอบอุ่นคาดว่าราคาคงตกลงมาประมาณครึ่งหนึ่งของราคาปัจจุบัน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทุกคนในทีมต่างตื่นขึ้นมาเก็บผักชนิดต่างๆ แพ็กใส่ถุง แล้วขนไปไว้ในรถกันแต่เช้า จากนั้นจึงกลับมากินข้าวเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของตัวเอง
ตอนที่เดินออกมาจากประตูเหล็กบานใหญ่ตรงชั้นสิบห้า ทุกคนต่างก็ห่อตัวสั่นสะท้านเพราะความหนาวไปตามๆ กัน…อากาศของโลกภายนอกหนาวลงแล้วจริงๆ
“อากาศครึ้มๆ เหมือนหิมะจะตกเลย” สมาชิกทีมโอตาคุผู้ซึ่งต้องออกไปทำงานนอกบ้านแหงนมองขึ้นไปเห็นท้องฟ้าสีเทาอึมครึม ก็พานสะท้านเยือกอย่างอดไม่อยู่
“ปกติน่า ฝนฤดูใบไม้ร่วงหนึ่งห่า ไอหนาวพัดพา[1]…ไม่ถูกสิ ตอนนี้น่าจะเข้าสู่ช่วงต้นฤดูหนาวแล้วนี่นา”
“อืม เข้าฤดูหนาวตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่แล้วแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของอู๋ซิน หานลี่ก็หันขวับมาทำตาโต “นายยังมีเวลาดูปฏิทินด้วยเรอะ”
อู๋ซินกลอกตามองบนใส่เพื่อน “ขอร้องเหอะ ในโทรศัพท์มือถือก็มีปฏิทินไหม” แกไม่ดูเองยังจะมาห้ามไม่ให้คนอื่นดูด้วยหรือไง
หลัวซวินขับรถไปยังสถานที่นัดหมายเพื่อส่งมอบสินค้าให้กับทั้งสองทีม เมื่อรับค่าของมาแล้วถึงขับรถมาจอดที่ข้างค่ายทหาร
ตอนลงจากรถ หลัวซวินหยิบเสื้อแจ็กเก็ตขนเป็ดที่พับไว้ในกระเป๋าใบใหญ่ในรถออกมาสองตัว พวกเขาใส่กันคนละตัว จากนั้นก็รีบวิ่งไปยังจุดรวมตัวของหน่วยโลหะ… ที่จริงสองวันนี้อากาศยังไม่ได้หนาวมากถึงขั้นที่ต้องใส่แจ็กเก็ตขนเป็ด แต่ใครใช้ให้วันนี้ท้องฟ้าอากาศไม่ค่อยดีกันล่ะ
“มากันครบแล้วนะ เร็วหน่อย ดูท่าวันนี้อาจจะมีฝนไม่ก็หิมะ” หัวหน้ากัวเห็นหลัวซวินและเหยียนเฟยมากันแล้วก็เงยหน้ามองฟ้าพลางบอกให้พวกเขารีบขึ้นรถ
“หัวหน้าครับ ถ้าหิมะตกจริงๆ จะทำยังไง ทำงานกลางหิมะหรือครับ” ทหารนายหนึ่งเอ่ยถาม ไอเย็นขาวๆ ออกมาจากปาก
“ถ้าเบื้องบนไม่มีคำสั่งให้หยุด เราก็ต้องทำงานกันต่อไป ยังดีที่งานสร้างสะพานใกล้เสร็จแล้ว หลังจากนั้นพวกเราก็เร่งมือจัดการกำแพงชั้นนอกให้เสร็จไวๆ ก็พอ” หัวหน้ากัวเองก็จนปัญญากับเรื่องนี้ ปัจจุบันพวกเขาไม่ได้ฝึกทหารกลางแดดกลางฝน แต่ต้องทำงานก่อสร้างสิ่งต่างๆ พวกนี้ก็ไม่ต่างกัน
ทว่า สิ่งก่อสร้างเหล่านี้หากไม่ได้ผู้มีพลังพิเศษใช้พลังสร้างขึ้นมา ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อรถบรรทุกทหารแล่นมาถึงที่หมาย ทุกคนก็รีบขึ้นไปบนกำแพงเพื่อทำงานต่อจากส่วนเมื่อวาน …ทุกครั้งที่มีการปรับส่วนประกอบของโลหะบนกำแพง มวลของกำแพงโลหะจะลดลงเล็กน้อย จึงต้องเติมโลหะใหม่เพิ่มเข้าไป ดังนั้น งานที่ตอนแรกทุกคนนึกว่าจะไม่ยุ่งยาก แต่เอาเข้าจริงกลับพบว่า…นี่ไม่ต่างอะไรกับการสร้างกำแพงขึ้นมาใหม่อีกรอบเลย ไม่ใช่งานง่ายๆ เลยนะเนี่ย!
พวกเขาเพิ่งเริ่มงานได้ไม่ทันไร บนฟ้าก็เริ่มมี… ฝนหิมะโปรยปรายลงมา
ที่เรียกว่า ‘ฝนหิมะ’ เป็นเพราะทีแรกทุกคนนึกว่ามันเป็นฝน เจ้าสิ่งนั้นตกลงมาเร็วมาก และมีลักษณะเป็นหยดน้ำ หลังจากนั้นจึงพบว่าเจ้าสิ่งนี้มีลักษณะเหมือนเป็นเม็ดกลมเล็กๆ ตอนกระทบลงบนร่างกายก็เกิดเสียง ‘ปุๆ’ เบาๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทุกคนถึงได้รู้สึกตัว “นี่มันใช่ฝนที่ไหนกัน หิมะต่างหาก จะเป็นลูกเห็บอยู่แล้วเนี่ย”
หลัวซวินรีบชูโล่โปร่งใสขึ้นมาบังหัวของทั้งคู่ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างล้วงเข้าไปหยิบร่มในกระเป๋าเป้… เขาพกเจ้าสิ่งนี้มาใช้ได้ในจังหวะเหมาะพอดี มันสามารถป้องกันได้ทั้งน้ำและหิมะ ขอเพียงอย่าเจอลมแรงเกินไป ก็ใช้ปกป้องพวกเขาทั้งสองได้ดีมาก
หัวหน้ากัวก็รีบสั่งให้คนขึ้นไปหยิบร่มบนรถบรรทุกมา… บนรถของพวกเขาก็เตรียมสำรองไว้เหมือนกัน เพียงไม่นานทุกคนที่อยู่บนกำแพงต่างก็กางร่มเรียงกันเป็นทิวแถว
หลังอาหารกลางวัน ฝนหิมะเริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทันไรก็กลายเป็นเกล็ดหิมะลวดลายคล้ายขนเป็ดกระหน่ำลงมาไม่หยุดหย่อน
ทุกคนที่ยืนอยู่บนสะพานลอยฟ้าหันมองดูทั้งด้านในและด้านนอกของฐานที่มั่น ทุกหนแห่งสุดลูกหูลูกตาล้วนถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวโพลนไปทั้งผืน
หน่วยโลหะยืนหยัดทำงานขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างสะพานจนสำเร็จเสร็จสิ้น และแล้วก็พ่นลมหายใจหนาวเห็นออกมา พากันเดินกลับไปขึ้นรถ แล้วมุ่งหน้ากลับสู่ค่ายทหาร
หลังจากพวกหลัวซวินกลับมาถึงบ้าน สวีเหมยกับซ่งหลิงหลิงช่วยกันปรับระบบทำความร้อนของทุกห้องให้สูงขึ้นอีกหน่อยแล้ว เพื่อให้พืชผักไม่ถูกผลกระทบจากความหนาวเย็นด้านนอก หลัวซวินกับเหยียนเฟยเดินขึ้นบันไดมาสิบกว่าชั้น จากเดิมที่มีเกล็ดหิมะติดตัวมา แต่ตอนนี้ไม่เหลือเค้าความหนาวเย็นให้เห็นเลย เพราะอุณหภูมิในตัวพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นระหว่างออกแรงเดินขึ้นตึกนั่นเอง
“อย่า…อย่ากระโจน!” หลัวซวินเงยหน้ามาก็เจอเจ้าตัวเล็กพุ่งเข้ามาต้อนรับด้วยความกระตือรือร้น เขาสวมเสื้อผ้าหลายชั้น และชั้นนอกสุดก็เป็นแจ็กเก็ตขนเป็ดตัวใหญ่เทอะทะ เมื่อถูกเจ้าตัวเล็กจู่โจมมาแบบนี้จึงเซเสียหลักหงายหลัง โชคดีที่เหยียนเฟยตามหลังมารับไว้ได้ทัน
หลัวซวินลูบหัวปราม…ปลอบเจ้าตัวเล็กให้หายคึก พลางบ่นว่า “ดูเหมือนมันจะหนักขึ้นอีกแล้ว แถมแรงเยอะกว่าเดิมมากด้วย”
สวีเหมยยิ้มเชิญชายหนุ่มทั้งสองเข้ามาในห้อง “พวกฉันเพิ่มอุณหภูมิของทุกห้องให้สูงขึ้นเล็กน้อยนะคะ เดี๋ยวพวกคุณเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาดูให้หน่อยสิว่าอุณหภูมิเหมาะสมดีหรือเปล่า”
“โอเค พวกผมขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึงนะ” หลัวซวินพูดจบก็หันไปดึงเจ้าตัวเล็กที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้นให้ลุกขึ้น จากนั้นสองหนุ่มกับหนึ่งสุนัขก็เดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อกลับบ้านของตัวเอง
แม้สวีเหมยกับซ่งหลิงหลิงจะมีประสบการณ์จัดการห้องควบคุมความร้อนไม่มากนัก แต่ขอเพียงดูเทอร์โมมิเตอร์เป็นและปรับอุณหภูมิของระบบทำความร้อนใต้พื้นได้ แค่นี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แถมวันนี้ก็ไม่ได้มีพายุลมแรง ช่องระบายอากาศในแต่ละห้องก็ไม่มีปัญหาด้วยเหมือนกัน
หลังจากหลัวซวินตรวจดูแต่ละห้องแล้วก็บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรเลย จากนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องขายผักเมื่อเช้าขึ้นได้ จึงนำรายได้ของวันนี้ออกมา
รายได้จากการขายผักนี้ถือเป็นรายได้พิเศษของทุกคน โดยแบ่งหนึ่งส่วนเข้ากองกลางของทีม ที่เหลือก็นำมาเฉลี่ยแล้วแบ่งให้ทุกคนเท่าๆ กัน เพียงรอพวกหลี่เถี่ยกลับมาบ้านก่อนแล้วค่อยแจกจ่ายให้ทุกคน
หิมะข้างนอกตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ท้องฟ้ามืดเร็วกว่าเมื่อก่อนมาก พวกหลัวซวินนั่งล้อมวงรอบฮีตเตอร์ที่แสนอบอุ่นอยู่ในบ้าน กำลังคิดว่าคืนนี้ว่าจะทำเนื้อเป็ดตุ๋นหม้อดินหรือเนื้อเป็ดผัดจับฉ่ายเพื่ออบอุ่นร่างกายดี ทว่าจู่ๆ โทรศัพท์มือถือของหลัวซวินก็ส่งเสียงดังขึ้น
“หลี่เถี่ยโทรมา” หลัวซวินบอกพลางวางชาร้อนในมือลง (ใบชานี้หาซื้อมาเก็บไว้ตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลก) เขารีบกดรับสาย “ว่าไง หลี่เถี่ย?”
“พี่หลัว” เสียงของหลี่เถี่ยฟังไม่ค่อยชัดสักเท่าไร ดูเหมือนว่าทางฝั่งนั้นจะมีเสียงคนกำลังคุยกันจอแจ “วันนี้หิมะตกหนักมากเลย พวกผมกลัวว่าถ้าปล่อยให้พี่จางกับหวังตั๋วกลับกันเองตามลำพังอาจเจออันตรายระหว่างทาง พวกผมเลยจะไปรับพี่จางที่โรงพยาบาลแล้วกลับบ้านพร้อมกันครับ”
“อืม ได้สิ” เมื่อหลัวซวินได้ยินคำพูดของเขาก็หันไปมองเหยียนเฟยกับสวีเหมยและซ่งหลิงหลิงที่อยู่ข้างๆ ก่อนบอกว่า “พวกฉันกำลังปรึกษากันว่าคืนนี้เราจะทำเป็ดตุ๋นกินกัน ตอนนี้กำลังเตรียมของกันอยู่ คิดว่าพวกนายกลับมาถึงคงได้กินพอดี”
“เยี่ยมไปเลย! พวกผมจะรีบกลับไปครับ เดี๋ยวเจอพี่จางแล้วผมจะส่งข้อความบอกพวกพี่อีกทีนะ”
ถึงแม้ทุกคนจะฝึกทำอาหารกันเป็นแล้ว แต่คนที่ทำอาหารได้อร่อยจริงๆ นอกจากสองสาวแล้วก็ยังมีหลัวซวินอีกคน ปกติพวกหลี่เถี่ยแค่ถูไถปรุงให้สุกพอกินได้ แต่ถ้าอยากกินของอร่อย ต้องรอตอนที่ทุกคนมาทำอาหารกินด้วยกัน
ทางฝั่งหลี่เถี่ยส่งเสียงดีใจดังลั่น ขนาดสวีเหมยกับซ่งหลิงหลิงยังได้ยิน พวกเธอจึงพากันหัวเราะออกมา
“งั้นเดี๋ยวพวกฉันไปเตรียมวัตถุดิบก่อน”
“ไปด้วยกันนี่แหละ” หลัวซวินยืนขึ้นและเดินไปทางห้องครัวพร้อมกับพวกเธอ ฝ่ายเหยียนเฟยลุกขึ้นเดินไปชั้นบนเพื่อหยิบเนื้อเป็ดจากในตู้เย็นที่บ้านของพวกเขาลงมา
เนื้อเป็ดตุ๋นหัวไช้เท้ากับมันฝรั่งใส่วุ้นเส้น (เก็บไว้ตั้งแต่ก่อนวันสิ้นโลก) กำลังเดือดปุดๆ ยังมีเครื่องเคียงที่ทำจากผักตากแห้งทั้งหลาย เช่น มะเขือม่วงตาก ถั่วแขก ฟักทองและเห็ด เอาไว้กินกับข้าวสวยหอมๆ… พวกเขาปรุงอาหารในหม้อหม้อด้ามจับบนเตาก่อน จากนั้นจึงค่อยถ่ายใส่หม้อดินใหญ่ๆ ที่เข้าเตาไมโครเวฟได้ กระทั่งพวกหลี่เถี่ยเข้าประตูมาก็ได้กลิ่นหอมๆ ฉุยของอาหารมื้อนี้ทันที
“มาได้จังหวะพอดีเลย พวกเราเพิ่งใส่ผักกาดขาวเพิ่มลงไป” หลัวซวินชี้ไปที่หม้อตรงกลางโต๊ะ “พวกนายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยกลับมากินด้วยกัน”
“ได้เลยครับ!”
“ต้องไปเปลี่ยนทำไม กินก่อนเถอะ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
“วันนี้หนาวจนจะแข็งตาย ถนนข้างนอกเดินไม่ได้แล้ว”
“หิมะหนามากเลยเหรอ” หลัวซวินมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความประหลาดใจ พวกเขาอยู่แต่บนตึกเลยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วข้างนอกหิมะตกหนักมากแค่ไหน
“หนาใช้ได้เลยครับ เล่นเอาน่องผมเมื่อยไปหมดแล้วเนี่ย” หลี่เถี่ยพูดพลางหย่อนก้นนั่งลงข้างโต๊ะ
เหอเฉียนคุนทำจมูกฟุดฟิดพร้อมกับหยิบตะเกียบขึ้นคนๆ อาหาร “เผลอๆ พรุ่งนี้ทุกคนต้องใส่รองเท้ากันฝนลุยหิมะไปทำงานแหงๆ”
หลัวซวินส่ายหน้าพลางเสนอแนะว่า “ฉันว่าใส่รองเท้าบูทหุ้มข้อดีกว่า แล้วก็เอาขากางเกงสอดเก็บในรองเท้าด้วย ถ้าใส่รองเท้ากันฝนลุยหิมะ หิมะก็จะเข้าไปในรองเท้า… จะยิ่งหนาวไปกันใหญ่ อาจโดนหิมะกัดบาดเจ็บเอาได้”
จางซู่อาศัยจังหวะที่ทุกคนกำลังคุยกันเรื่องหิมะตกหนัก คว้าตะเกียบและช้อนบรรเลงอย่างว่องไว
…ลืมเจ้าหมอนี่ไปได้ยังไงกันเนี่ย
ทุกคนเพิ่งจะรู้ตัวและมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาก็ตอนที่จางซู่ยื่นตะเกียบลงไปในหม้อเป็นรอบที่สามแล้ว ครั้นแล้ว จึงพากันออกตะเกียบออกช้อนคีบจ้วงหมุบหมับๆ ตักอาหารตรงหน้าใส่ชามตัวเองกันจนเต็ม
อาหารมื้อพิเศษผ่านพ้นไป แม้แต่มันฝรั่งชิ้นสุดท้ายในหม้อก็ไม่เหลือ ซ่งหลิงหลิงหัวเราะคิกคักพูดติดตลกว่า “โอ้โฮ กินเกลี้ยงอย่างกับเลียถึงก้นหม้อเลย แบบนี้ช่วยฉันประหยัดแรงตอนล้างชามได้มากเลยละ”
พวกเขานั่งจับพุงพิงเก้าอี้ด้วยความอิ่มแปล้กันแทบทุกคน ไม่อยากจะกระดิกตัวทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
มีเพียงอวี๋ซินหรันที่กำลังอุ้มกะละมังสตรอว์เบอร์รี่ กะพริบตามองทุกคนปริบๆ พลางหยิบสตรอว์เบอร์รี่ใส่ปากกินเองหนึ่งลูก สลับกับป้อนให้เจ้าตัวเล็กกินหนึ่งลูก
สองวันมานี้สตรอว์เบอร์รี่เริ่มทยอยสุกแล้ว เป็นโอกาสดีที่ช่วยเพิ่มวิตามินในหน้าหนาวให้ทุกคนได้ไม่น้อย เมื่อเทียบกับการกินข้าว ไม่ว่าจะเป็นอวี๋ซินหรันหรือเจ้าตัวเล็กต่างก็ชื่นชอบผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานแบบนี้มากกว่า
แม้แต่ผู้ชายตัวโตๆ กลุ่มนี้ก็ยังหยิบกินวันละลูกสองลูกเพื่อบรรเทาความอยาก…ที่ต่างออกไปก็คือปกติพวกเขามักกินสตรอว์เบอร์รี่ก่อนอาหาร แต่วันนี้…พวกเขากินมันเป็นผลไม้หลังมื้ออาหารแทน
“ยังต้อง… เตรียม… ข้าวสำหรับพกไปกินพรุ่งนี้อีก…” เหอเฉียนคุนกินมื้อนี้อิ่มแล้วก็เริ่มคิดถึงอาหารเที่ยงที่จะห่อไปกินวันพรุ่งนี้เสียแล้ว
“ยังมีวัตถุดิบอยู่นะ ยังใช้ไม่หมด เดี๋ยวฉันช่วยทำให้พวกนายใหม่อีกหม้อ พักไว้ให้เย็นแล้วพวกนายค่อยตักใส่กล่องไป” สวีเหมยหันไปบอกพวกหลี่เถี่ยยิ้มๆ เด็กหนุ่มทั้งห้าซึ่งกลายร่างเป็นสาวท้องแก่ไปแล้วพร้อมใจกันประสานมือคารวะขอบคุณเธอ
ความจริงแล้ว ตอนนี้คนที่มีอาหารการกินแย่กว่าใครเพื่อนคือหลัวซวินและเหยียนเฟยต่างหาก เพราะทุกวันตอนเที่ยงพวกเขาต้องกล้ำกลืนฝืนกินแกงหม้อใหญ่รสชาติ ‘บัดซบ’ ร่วมกับสมาชิกหน่วยโลหะ…รสชาติแบบนั้นไม่ต้องบรรยายทุกคนก็เข้าใจเป็นอย่างดี
หลังผ่านไปหนึ่งคืน หลัวซวินตื่นขึ้นมาเปิดม่านมองดูสถานการณ์ด้านนอกก่อนเป็นอันดับแรก…
“มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะบนกระจกด้วย” เห็นได้ชัดว่าในบ้านอบอุ่นแค่ไหน แตกต่างจากข้างนอกซึ่งอากาศหนาวขนาดไหน แต่จะว่าไป เมื่อชาติก่อนเขาใช้ชีวิตผ่านช่วงหน้าหนาวมาได้อย่างไรกันนะ
หลัวซวินครุ่นคิดอย่างจริงจัง นึกย้อนความทรงจำตอนที่ไม่มีเสื้อกันหนาว เขาต้องสวมเสื้อผ้าทุกชิ้นที่มีซุกตัวอยู่ในผ้าห่มนวมและฉีกกระดาษที่ใช้แล้ว หนังสือพิมพ์เก่าๆ มาทำเป็นเชื้อเพลิงจุดไฟไล่ความหนาว โชคดีที่ตอนนั้นเนื่องจากห้องพักมีพื้นที่เล็กมาก เขาจึงไม่กล้าติดไฟในเตากองใหญ่เกินไป ไม่อย่างนั้นอาจเกิดหายนะ ห้องใต้ดินทั้งห้องรวมทั้งตัวเขาคงได้ถูกไฟไหม้ไปหมดแล้ว
“หิมะดูท่าจะหนามากเลย” เหยียนเฟยสังเกตหลังคาตึกข้างๆ อย่างละเอียด เขาลองคะเนความหนาของหิมะที่ทับถมลงมาด้วยสายตา จากนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน “นายดูหิมะตรงนั้นสิ กลบตึกหลังเล็กนั่นไปเกือบครึ่งแล้วใช่หรือเปล่า”
“นั่นสิ สูงอย่างน้อยครึ่งตัวคนเลยนะ” หลัวซวินพูดตอกย้ำความจริงให้ชัดเจนขึ้นอีกขั้น ฤดูหนาวในปีที่แล้ว ในวันที่หิมะตกหนักจนปิดขวางประตูและทางสัญจร เขาก็พยายามไม่ออกจากบ้าน รอให้หิมะละลายไปบางส่วนก่อน และคนในชุมชนเริ่มเก็บกวาดหิมะออกไปถึงค่อยออกจากบ้าน
หิมะครั้งนี้ตกหนักแค่ไหนเขาบอกไม่ได้ แต่น่าจะหนักถึงขั้นขวางกั้นประตูแน่นอน… ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกปี
“งั้น… วันนี้เรายังต้องไปทำงานกันอยู่หรือเปล่า” จู่ๆ หลัวซวินก็นึกถึงประเด็นนี้ขึ้นมาได้ จึงเงยหน้ามองเหยียนเฟยด้วยแววตาเปี่ยมคาดหวัง
เหยียนเฟยกเลิกคิ้ว… เรื่องนี้เป็นปัญหาจริงๆ ด้วยแฮะ
“พี่หลัว พี่หลัว บนดาดฟ้ามีหิมะเยอะมากเลย จะมีปัญหาอะไรไหม” พวกหลัวซวินลงมาที่ห้องรับแขกชั้นล่าง เพื่อเปิดรับพวกหลี่เถี่ยที่มาสอบถามสถานการณ์
พอได้ยินคำถามของหลี่เถี่ยทั้งสองก็หันมองหน้ากัน… เหยียนเฟยจึงบอกว่า “ฉันจะใช้ตาข่ายโลหะจัดการดู”
บนดาดฟ้าของตึก เหยียนเฟยใช้ตาข่ายโลหะปูไว้คลุมไว้ทั้งหมดเพื่อป้องกันและการตรวจจับความเคลื่อนไหวด้านบนนั้น คิดไม่ถึงว่าเจ้าสิ่งนี้จะมีใช้กำจัดหิมะได้ด้วย นอกจากนี้ จุดที่หิมะตกลงมาปกคลุมแผงพลังงานแสงอาทิตย์ด้านนอกผนังตึก เหยียนเฟยก็สามารถควบคุมโลหะมากำจัดหิมะพวกนั้นออกไปได้ด้วยเหมือนกัน
ดูเหมือนว่าดาดฟ้าตึกจะเกิดการสั่นสะเทือนหน่อยๆ ในขณะที่ทุกคนในตึกไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป หลังจากสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง ด้านล่างรอบตัวตึกก็มีหิมะตกลงไปปกคลุมหนาขึ้นกว่าเก่า
ไม่ใช่แค่หลัวซวินกับเหยียนเฟยเท่านั้นที่กังวลว่าต้องออกไปทำงานหรือไม่ แม้แต่หลี่เถี่ยกับเพื่อนๆ ก็ต้องติดต่อหัวหน้างานของพวกเขาเพื่อสอบถามประเด็นนี้ด้วยเหมือนกัน
หิมะตกครั้งใหญ่คราวนี้เกิดขึ้นกะทันหันมาก และตกหนักมากกว่าที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ แม้แต่ทางกองทัพและหน่วยงานที่ปกติต้องเปลี่ยนกะหมุนเวียนบุคลากรก็ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้
กระทั่งเวลาเจ็ดโมงครึ่ง ในที่สุดก็มีข้อสรุปออกมา… พวกหลี่เถี่ยทั้งห้าคนไม่ต้องไปทำงาน ส่วนจางซู่ เหยียนเฟยและหลัวซวินยังต้องไปทำงานตามเดิม
จางซู่ทำงานที่โรงพยาบาล วันนี้ย่อมต้องมีเคสคนหนาวตายและคนบาดเจ็บล้มป่วยจากอากาศหนาวจัดเป็นจำนวนมากแน่ ทางโรงพยาบาลไม่สามารถหยุดพักได้เหมือนหน่วยงานอื่น แต่งานสร้างกำแพง… เบื้องบนระบุลงมาว่าเป็นงาน ‘สำคัญเร่งด่วนมาก’ จึงไม่อาจชักช้าเสียเวลาได้
แต่วันนี้พวกเขาขับรถออกไปไม่ได้ จึงต้องเดินเท้าไปทำงานกันเอง
ครั้นแล้ว ทั้งจางซู่ เหยียนเฟยและหลัวซวิน จึงได้แต่ค่อยๆ เดินลุยหิมะที่ท่วมสูงถึงเอวไปยังจุดหมายของตัวเอง
แต่ที่บัดซบยิ่งกว่าก็คือ หลังจากที่พวกหลัวซวินมาถึงจุดรวมตัวแล้ว หัวหน้ากัวกลับบอกว่า เนื่องจากหิมะตกหนัก รถสตาร์ทไม่ติด ดังนั้นเบื้องบนจึงมีคำสั่งให้พวกเขา…เดิน-ไป-กำแพง-ชั้นนอก
“หัวหน้าครับ พวกเราใช้เส้นทางสะพานลอยฟ้าไปโดยตรงเลยได้ไหมครับ” หลังจากได้ยินคำสั่งจากเบื้องบน ทุกคนในหน่วยต่างเงียบงันกันไปพักหนึ่ง แต่แล้วจู่ๆ ก็มีผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะคนหนึ่งยกมือถามขึ้น
“ใช่ ผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน!” หัวหน้ากัวมีสีหน้าบูดบึ้ง สูดอากาศและพ่นลมหายใจเป็นไอเย็นขาวๆ ออกมาจากปากทีหนึ่ง “ไป! ขึ้นสะพานกัน!” เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนจ้องจะเล่นงานหน่วยของเขา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสายสนกลในระหว่างผู้มีอำนาจเบื้องบนของฐานที่มั่นในช่วงหลายวันมานี้ มีคนจากอีกฝ่ายหนึ่งคิดจะดึงตัวทีมผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะของพวกเขาไปเป็นพวก แต่หัวหน้ากัวกลับเพิกเฉยไม่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะเจอคำสั่งให้ออกมาทำงานหลังวันที่หิมะตกหนักแบบนี้เหรอ นี่เป็นผลพวงหลังจากการเดินหมากของผู้นำทั้งสองฝ่าย…แต่ถ้าเกิดมีผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะหนาวตายขึ้นมาล่ะ พวกเขาจะรับผิดชอบไหวเหรอ
การเดินบนสะพานลอยฟ้าที่ยังสร้างไม่เสร็จ ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้าง… หวาดเสียว เนื่องจากสะพานที่มีแต่แผ่นโลหะดูโลดโผนเหลือเกิน พื้นคอนกรีตที่ผู้มีพลังพิเศษธาตุดินเทไว้มีเฉพาะส่วนแรกเท่านั้น สะพานช่วงหลังที่เหลือชวนให้ลุ้นระทึกอย่างแท้จริง
โชคดีที่พวกเขาคือทีมผู้มีพลังพิเศษธาตุโลหะ หลังจากพวกเขาขึ้นไปบนสะพานแล้ว เพียงแค่ใช้พลังพิเศษ ‘สลัด’ หิมะที่หนาเตอะบนนั้นทิ้ง ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องลุยหิมะไป แม้ว่าพื้นโลหะจะลื่น แต่ตราบใดที่เดินอยู่ในแนวกลางถนนก็จะไม่มีปัญหาอะไร นอกจากนี้สมาชิกทีมทุกคนต่างผูกเชือกไว้รอบเอวต่อๆ กัน ดังนั้น ถนนสายนี้จึงเดินสบายและราบรื่นกว่าเส้นทางด้านล่างเป็นไหนๆ
“วันนี้ผู้มีพลังพิเศษธาตุดินไม่ต้องมาทำงานเหรอครับ” เหยียนเฟยกระซิบถามหัวหน้ากัวด้วยความสงสัย เมื่อขึ้นมาบนสะพานแล้วไม่เห็นผู้มีพลังพิเศษธาตุดินมาทำงานเลยสักคน
[1] มาจากคำพังเพยเต็มๆ ว่า ‘ฝนฤดูใบไม้ร่วงหนึ่งห่า ไอหนาวพัดพาหนึ่งสาย’ เป็นคำเปรียบเปรยว่าฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะมาเยือน